สิงห์ภูธรตะลุยลงทุนฝ่าเศรษฐกิจฝืด ผุดอสังหาแนวใหม่”โฮสเทลซิตี้”ยันวิลล่า-คอนโด
สิงห์ภูธรอสังหาฯ ลุยลงทุนสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว “บ้านสวยกรุ๊ป สุราษฎร์” ผุดอสังหาฯแนวใหม่คอนเซ็ปต์โฮสเทลซิตี้ แบรนด์ “วัน กระบี่” ทำเลใจกลางอ่าวนาง เปิดพรีเซล Q3/60 ยูนิตละ 10-20 ล้าน “คลังคาซ่า” โคราชผุดคอนโดฯใหม่ 2 ตึก เจาะตลาดเช่าลูกค้าญี่ปุ่นเดือนละ 15,000 บาท “พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้” ทุนบุรีรัมย์ข้ามฟากผุดบ้านตากอากาศใกล้สนามบินอู่ตะเภา เจาะลูกค้า EEC
นายพิริยะ ธานีรณานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บ้านสวยกรุ๊ป (สุราษฎร์ธานี) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทมีที่ดิน 7 ไร่ ทำเลศักยภาพสูง ใจกลางอ่าวนาง มีโครงการรอพัฒนามูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท โดยแบ่งที่ดิน 4-5 ไร่ พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ดีไซน์เป็นโฮสเทลซิตี้ แบรนด์ “วัน กระบี่” มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิดพรีเซลไตรมาส 3/60 นี้
“วัน กระบี่” จุดขายโฮสเทลซิตี้
รายละเอียด วัน กระบี่ ออกแบบเป็นอาคารโลว์ไรส์ สูง 5 ชั้น จำนวน 70 ยูนิต ขนาด 5×15 เมตร ชั้นล่างสามารถทำร้านค้า ชั้น 2-3-4-5 ดีไซน์รองรับการทำโฮสเทล (ที่พักค้างคืนราคาประหยัด) ชั้นละ 12 เตียง รวมเป็น 48 เตียง/ยูนิต รูปแบบการตกแต่งทำได้หลากหลายสไตล์จากทุกมุมโลก เช่น สไตล์หมิงของจีน เปอร์เชียน อินเดีย สแปนิช โมเดิร์น ฯลฯ ราคายูนิตละ 10-20 ล้านบาท
“ทำเลอ่าวนางเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแบ็กแพ็กจากยุโรปเป็นหลักซึ่งล้นมาจากภูเก็ต พฤติกรรมการท่องเที่ยวพักค้างคืนไม่ต่ำกว่า 7 วัน ใช้จ่ายเงินเยอะ แต่เลือกพักแบบโฮสเทล ในขณะที่ลงสำรวจพื้นที่พบว่า ผู้ประกอบการโฮสเทลส่วนใหญ่ต้องเช่าพื้นที่ทำโฮสเทล ค่าเช่าตกเดือนละ 6-7 หมื่นบาทเท่า ๆ กับค่าผ่อนงวด โครงการวัน กระบี่ เป็นอสังหาฯแนวใหม่ที่พัฒนารองรับการทำโฮสเทลโดยเฉพาะ จึงมั่นใจว่าเปิดพรีเซลแล้วจะมีผลตอบรับที่ดีแน่นอน” นายพิริยะกล่าว
โคราชเจาะคอนโดฯให้ยุ่นเช่า
นายวีรพล จงเจริญใจ กรรมการบริหาร บริษัท คลังคาซ่า จำกัด จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทลงทุนคอนโดฯเพิ่ม 2 อาคารในโครงการซิตี้ลิงก์ คอนโด บนทำเลเดียวกับที่ดิน 250 ไร่ ริมถนนมิตรภาพ ใกล้ห้างเดอะมอลล์ ก่อนหน้านี้พัฒนาแล้ว 8 อาคาร ปีนี้ทำเพิ่มอาคารที่ 9-10 ใช้ชื่อแบรนด์ “เมลเบิร์น” กับ “แมดริด”
รายละเอียด ออกแบบเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ อาคารละ 79 ห้อง พื้นที่ใช้สอย 3 ขนาด เริ่มต้น 24 ตารางเมตรแบบสตูดิโอ, แบบ 1-2 ห้องนอน 33-52 ตารางเมตร ราคา 1.5-3 ล้านบาท
โดยปีนี้กลยุทธ์การขายเพิ่มสัดส่วนลูกค้าซื้อลงทุนปล่อยเช่าจากเดิม 30% เป็น 40% เนื่องจากมีดีมานด์ลูกค้าต่างชาติคือผู้บริหารชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมใกล้เคียง ค่าเช่าทำได้สูงถึง 15,000 บาท/เดือน ลูกค้าปกติเช่าอยู่ระหว่าง 10,000-12,000 บาท/เดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 5-7% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารเฉลี่ย 2%
“ภาพรวมอสังหาฯโคราช 2-3 ปีนี้ไม่ดีมากนัก แต่ยังพอไปได้ ไม่ร้อนแรงเหมือนปี”53-54 มีบิ๊กแบรนด์จากกรุงเทพฯ อาทิ ศุภาลัย, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, แสนสิริ, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นตัวเลือกของผู้บริโภค ส่วนตลาดคอนโดฯก็มีโครงการของกลุ่ม ซี.พี.แลนด์ และกำลังจะมีคอนโดฯไฮไรส์ของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา เราเป็นผู้ประกอบการท้องถิ่นต้องรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยมีพันธมิตรธุรกิจคือ บริษัท IRM กับบริษัทวันดี พร็อพเพอร์ตี้ เป็นผู้รับบริหารการปล่อยเช่าให้กับลูกค้า” นายวีรพลกล่าว
ทุนบุรีรัมย์บุกวิลล่าพัทยา
นางปารดา พิทยาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทุนรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาที่ดินจากบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ปีนี้เพิ่งเปิดตัวบ้านตากอากาศแบรนด์ “แกรนด์ วิลล่า พัทยา” ทำเลใกล้วัดเขาชีจรรย์ สวนสนุก ที่สำคัญใกล้สนามบินอู่ตะเภา ปัจจุบันเป็นทำเลมีศักยภาพรองรับนโยบายโปรโมตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC
รายละเอียด ก่อสร้างบนที่ดิน 24 ไร่ ออกแบบให้มีพื้นที่ส่วนกลาง 50% จำนวนเพียง 43 ยูนิต ดีไซน์บ้านเดี่ยวชั้นเดียวกับ 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 90-221 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 314-343 ตารางเมตร ราคายูนิตละ 10.5-19.5 ล้านบาท จุดขายมีสระว่ายน้ำไซซ์ 40 ตารางเมตรทุกหลัง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดินทั้งโครงการ จ็อกกิ้งแทร็กสนามเด็กเล่น สวนสีเขียวในหมู่บ้าน มูลค่าโครงการรวม 500 ล้านบาท
“เฟสแรก 17 ยูนิต เปิดตัวปลายปี”58 เราขายหมดแล้ว ตอนนี้กำลังเปิดขายเฟส 2 ราคาขยับเพิ่มไม่ต่ำกว่า 20% จากเดิมเคยเริ่มต้นหลังละ 6 ล้านบาท มีการรีดีไซน์แบบบ้านใหม่ให้เหลือบ้านชั้นเดียวกับสองชั้น เพิ่มฟังก์ชั่นให้โอ่โถงและกว้างขวางขึ้น ซึ่งเฟสสองที่เปิดขาย 23% มียอดจองแล้ว 20% หรือ 5 ยูนิต”
นางปารดากล่าวด้วยว่า เมืองพัทยาโซนใกล้สนามบินอู่ตะเภากลายเป็นทำเลศักยภาพสูงเพราะมี EEC เป็นตัวช่วย ในอนาคตหากโครงการมีการลงทุนภาครัฐเข้ามาเต็มพื้นที่ จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจพัทยาเติบโตมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ดีมานด์-ซัพพลายกลุ่มลูกค้าระดับบนไม่มีปัญหาด้านกำลังซื้อ ขึ้นกับทำโปรดักต์ได้ตอบโจทย์และสร้างความพึงพอใจก็จะมีผลตอบรับที่ดี สามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว หรือ ชีวิตราคาถูกกว่าประตูกั้นชานชาลา?
จากอุบัติเหตุผู้โดยสารตกรางเสียชีวิตบนสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เมื่อวานนี้ สร้างความสะเทือนใจให้กับคนในสังคมไม่น้อย พร้อมทั้งยังเกิดคำถามตามมาด้วยว่า “ทำไม” บนชานชาลาของรถไฟฟ้าซึ่งไม่เฉพาะแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เท่านั้น ยังรวมถึงรถไฟฟ้า BTS บางสถานี จึงยังไม่มีประตูกั้นชานชาลา หรือชีวิตคนกรุงเทพฯ จะราคาถูกกว่าประตูกั้นกันแน่
ทำความรู้จักประตูกั้นชานชาลา
ประตูกั้นชานชาลา หรือ Platform Screen Doors (PSD) เป็นอุปกรณ์ประตูที่ใช้สำหรับป้องกันอุบัติเหตุจากการที่ผู้โดยสาร หรือสิ่งของ ตกหล่นจากชานชาลาลงสู่ทางวิ่งรถไฟฟ้า และป้องกันการเข้าสู่เขตการเดินรถโดยพลการ รวมทั้งยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในสถานีที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป โดยประตูกั้นชานชาลา จะทำงานสัมพันธ์กับระบบประตูของขบวนรถ และระบบอาณัติสัญญาณ สามารถติดตั้งได้ทั้งก่อนเปิดใช้งานระบบรถไฟฟ้า หรือติดตั้งเพิ่มเติมภายหลังก็ได้ ปัจจุบันประตูกั้นชานชาลา มีใช้ในรถไฟฟ้าหลายระบบทั่วโลก โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายใหม่ สำหรับในไทยมี PSD 2 แบบ คือ ประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูง (Half Height Platform Screen Door) และประตูกั้นชานชาลาแบบเต็มความสูง (Half Height Platform Screen Doors)
ปัจจุบันประตูกั้นชานชาลามีที่สถานีไหนบ้าง
รถไฟฟ้า BTS ไม่ได้ติดตั้งประตูกั้นชานชาลามาตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง เนื่องจากเทคโนโลยี PSD ยังไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้น ภายหลังในปี 2555 ถึงจะได้เริ่มติดตั้งประตูกั้นชานชาลาทุกสถานีที่มีผู้โดยสารหนาแน่น จำนวน 9 สถานี จากทั้งหมด 35 สถานี โดยเป็นประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูง สถานีแรกที่ติดตั้งคือสถานีสยาม และติดเพิ่มอีก 8 สถานี ได้แก่ อโศก อ่อนนุช พญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ศาลาแดง ชิดลม พร้อมพงษ์ และช่องนนทรี ส่วนสถานีอื่นๆ จะทยอยติดตั้งต่อไป สำหรับรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายทางกรุงเทพมหานครจะเป็นผู้รับผิดชอบติดตั้งทั้งหมด การดูแลเบื้องต้นได้เพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานี และฝึกการปฐมพยาบาลให้ช่วยเหลือผู้โดยสารได้ทันที
รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปัจจุบันประตูกั้นชานชาลามีที่สถานีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเท่านั้น โดยเป็นประตูกั้นชานชาลาแบบเต็มความสูง และมีแผนจะติดตั้งประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูงในสถานีที่เหลือ ตั้งงบประมาณไว้ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนยื่นซองเทคนิคจากบริษัทที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคา โดยมีกำหนดยื่นซองในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ และเริ่มขั้นตอนการประกวดราคาในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ จากนั้นจะเริ่มติดตั้งสถานีแรกคือสถานีพญาไทภายในเดือนเมษายน 2561
การดูแลเบื้องต้นได้เตรียมมาตรการรองรับไม่ให้จำนวนผู้โดยสารแน่นสถานีมากเกินไป โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน เช้า-เย็น โดยให้ผู้โดยสารต่อแถวรอบริเวณชั้น 2 หรือชั้นขายตั๋ว เพื่อรอระบายผู้โดยสารที่อยู่ในชั้นชานชาลาขึ้นรถไฟฟ้าให้หมดก่อน ถึงจะให้ขึ้นไปรอรถไฟฟ้าขบวนต่อไปได้
รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล หรือรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของไทยที่มีประตูกั้นชานชาลาครบ 100% คือทั้งหมด 18 สถานี โดยเป็นประตูกั้นชานชาลาแบบเต็มความสูง ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมอุณหภูมิในสถานีที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป
รถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม หรือรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ถือเป็นรถไฟฟ้าสายที่สองของไทยที่มีประตูกั้นชานชาลาครบ 100% คือทั้งหมด 16 สถานี โดยเป็นประตูกั้นชานชาลาแบบครึ่งความสูง
มาตรฐานความปลอดภัยของไทยอ่อนกว่าต่างประเทศหรือไม่
แม้ว่าประตูกั้นชานชาลาจะเป็นเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถไฟฟ้า แต่ในปัจจุบันไม่ใช่เฉพาะในไทยอย่างเดียว ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้าที่มีลักษณะเปิดโล่ง กลับไม่มีประตูกั้นชานชาลาครบทุกสถานี อาทิ แคนาดา จีน ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ ฮ่องกง แม้กระทั่งญี่ปุ่นที่มีอัตราการฆ่าตัวตายด้วยรถไฟจำนวนมาก จากสถิติเมื่อปี 2559 พบว่า จากรถไฟ 15 สายหลักในเมือง มีกรณีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากรถไฟมากถึง 3,145 ราย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และในจำนวนนั้นมีคนที่พยายามฆ่าตัวตายถึง 1,985 ราย หรือคิดเป็น 63% ของทั้งหมด แต่ปัจจุบันก็ยังมีการติดตั้งประตูกั้นชานชาลาเพียงสถานีที่มีผู้โดยสารจำนวนมากเท่านั้น
แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถไฟฟ้า แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกลับมองเรื่องนี้เพียงผิวเผิน ตั้งแต่ภาครัฐที่ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย หรือภาคเอกชนที่มองว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน เมื่อเกิดเรื่องแต่ละครั้งก็ตื่นตัวขึ้นมาครั้งหนึ่ง เข้าทำนอง “วัวหาย ล้อมคอก” เชื่อว่าหากไม่มีมาตรการอะไรจริงจังก็จะเกิดเหตุการณ์สลดแบบนี้ขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ที่มา ddproperty.com
รู้ไหม…จอดรถหน้าบ้านคนอื่นมีความผิด!
หนึ่งในปัญหาใหญ่มากสำหรับคนที่อยู่อาศัยในบ้านแนวราบ ไม่ว่าจะอยู่ในโครงการหมู่บ้านชั้นนำ หรือหมู่บ้านทั่วไป หรือจะเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ก็มีโอกาสเจอปัญหากวนใจเหล่านี้ นั่นคือ การจอดรถหน้าบ้าน ทั้งที่มีคนมาจอดรถบดบังหน้าบ้านของเรา หรือบังเอิญว่าเรา หรือญาติเรา เพื่อนเรามาเยี่ยมเยือนแล้วก็ไปจอดรถบ้านเพื่อนบ้าน ล้วนเป็นประเด็นที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้
แม้ว่าตามความเป็นจริง พื้นที่นอกบริเวณบ้านของแต่ละคน จะเป็นหน้าบ้าน หรือส่วนใดก็ตามที่พ้นนอกเขตบ้านแล้ว จะเป็นพื้นที่ส่วนรวมของทุกคน หรือ พื้นที่สาธารณะก็ตาม แต่ตามกฎหมายแล้ว การตั้งใจไปจอดรถบดบังทางเข้าออกของผู้อื่น ก็ถือเป็นการกระทำความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญใจแก่ผู้อื่นได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่ทั้งเราและเพื่อนบ้านต้องระมัดระวังไม่ให้ล่วงล้ำสิทธิ์ของผู้อื่น
ทีนี้ มาดูสิทธิ์เขา สิทธิ์เรา กันก่อน สำหรับพื้นที่บริเวณหน้าบ้านที่ติดกับรั้ว หลายครั้งที่เราก็จะถือว่าเป็นส่วนของเรา และเรามีสิทธิ์ที่จะจอดรถหน้าบ้านได้ ซึ่งการจอดได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบต่างๆ ของหมู่บ้าน หรือโครงการนั้นๆ ว่า อนุญาตให้จอดหรือไม่ หรือว่าให้จอดรถในบริเวณบ้านของตัวเองเท่านั้น (บางหมู่บ้านไม่อนุญาตให้จอด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโครงการ)
กรณีที่มีเพื่อนบ้านมาจอดรถบริเวณหน้าบ้านของเรา สิ่งที่ถือว่าเป็นการล่วงล้ำสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะว่าเขามาจอดรถในพื้นที่ของเรา แต่เพราะว่าเขาจอดรถกีดขวางทางเข้าออกบ้านของเรา ดังนั้น แม้ว่าเพื่อนบ้านจะคิดว่า พื้นที่นอกบ้านของทุกคนเป็นพื้นที่สาธารณะ สามารถทำอะไรก็ได้ แต่ก็การจอดรถกีดขวางทางเข้าออกของผู้อื่นก็เป็นความผิด เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปจอดรถบริเวณหน้าบ้านเพื่อนบ้านคนอื่น ก็ผิดเพราะบดบังทางเข้าออกของผู้อื่น
นอกจากการจอดรถแล้ว การทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นการกีดขวางบริเวณหน้าบ้านผู้อื่น ก็ถือว่ามีความผิด เช่น นำราวตากผ้าขนาดใหญ่ไปวางไว้หน้าบ้านผู้อื่น วางของขนาดใหญ่ กระถางต้นไม้ ตั้งโต๊ะขายของ ตั้งชุดโต๊ะนั่งเล่น ฯลฯ
อีกหนึ่งกรณีที่ก็เป็นปัญหาถกเถียงกัน นั่นก็คือ พื้นที่ฝั่งตรงข้ามบ้าน กรณีที่เป็นพื้นที่โล่ง ไม่ได้มีหน้าบ้านของใคร (บางหมู่บ้าน จะมีบางโซนที่มีบ้านแค่ฝั่งเดียว ไม่ได้มีบ้านสองฝั่ง) ก็อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า เราสามารถมาจอดรถได้ ทั้งเจ้าของบ้านบริเวณนั้น ก็ถือเอาพื้นที่เหล่านั้นเป็นสิทธิ์ของตัวเอง หรือเพื่อนบ้าน คนบ้านใกล้เคียง ก็ถือเป็นสิทธิ์ ต่างคนต่างถือสิทธิ์ ก็เลยทำให้เกิดปัญหา ทั้งมาจอดรถ เอาของมาว่าง เอาขยะใหญ่มาทิ้ง ทำให้เกิดทัศนวิสัยที่ไม่ดีต่อคนที่อยู่บริเวณนั้น
ดังนั้น แม้ว่าพื้นที่ลักษณะนี้จะเป็นพื้นที่สาธารณะ ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ควรมีใครไปจับจองเป็นของตัวเอง ทั้งเจ้าของบ้านบริเวณนั้น หรือบุคคลอื่น ซึ่งถ้าทุกคนเข้าใจในสิทธิ์เหล่านี้แล้ว จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ที่มา ddproperty.com
7 เคล็ดลับการเงินที่ดีที่สุด!
ใครอยาก “รวย” ยกมือขึ้น !!
อ๊ะๆ อย่าเพิ่งคิดว่า รวย = โลภ กันนะคะ…เพราะแท้จริงแล้ว “รวย” ในความหมายของเฟิร์นก็คือการมี “อิสรภาพทางการเงิน” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรา “พอใจในสิ่งที่ตนมี” และ “ไม่ต้องทำงานเพื่อเงิน” อีกต่อไป
และไม่ว่าวันนี้เราจะอยู่ในสถานะไหน…
ยังไม่รวย, เกือบรวย, ไม่รู้เมื่อไหร่รวย หรือ รวยแล้วแต่อยากรวยกว่านี้ !
เฟิร์นเชื่อว่า 2 สิ่งง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้เพื่อไปถึงเป้าหมายเดียวกัน ก็คือ “ใช้แรงทำเงิน” & “ให้เงินทำงาน” Jerry Lynch นักวางแผนการเงิน เจ้าของ JFL Total Wealth Management ได้แบ่งปันความคิดส่วนหลัง นั่นคือการ “ให้เงินทำงาน” ผ่านเคล็ดลับการเงิน 7 ข้อดังนี้
- คุณไม่มีทาง “ รวย” จากตลาดหุ้น
แน่นอนว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ “ สมเหตุสมผล” กับเรา…แต่ก็ต้อง “ ลงทุนระยะยาว” จริงๆ นอกจากนั้นโดยทั่วไปแล้วคนที่ร่ำรวยมักมีจุดเริ่มต้นจาก 4 ทางด้วยกัน คือ
- ได้รับมรดกตกทอด
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- ทำธุรกิจ
- ออมเงินจำนวนมาก…และนานมาก
ดังนั้น…จง “อย่าคาดหวัง” มากเกินไปกับ ผลตอบแทนในตลาดหุ้น โดยควรเข้าใจกระบวนการทำงานของตลาดหุ้นด้วยว่าเป็นอย่างไร…ที่สำคัญต้องพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่สมเหตุสมผลอยู่สม่ำเสมอ และมีวินัยกับกลยุทธ์นั้น เชื่อเถอะว่าเมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนระยะยาว…จะดีกับคุณเอง
- เก็บออม…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นานาเหตุผลที่ทำให้เราไม่เก็บออม…มีอยู่เสมอ (ยังไม่พร้อม , มีหนี้อยู่เลย, ปีหน้าค่อยเริ่ม, เงินเดือนยังน้อยอยู่ ฯลฯ) แต่ทราบหรือไม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน เลือกที่จะทำเรื่องง่ายๆ เช่น “ เก็บออม” อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต หรือแม้แต่ในปี 2008 หากมองย้อนกลับไปใครที่ เก็บออม หรือ ลงทุน ในช่วงนั้น ย่อมได้ผลตอบแทนก้อนโตเมื่อเวลาผ่านไป “ ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ”
- มีแผนสำรองเสมอ
แผน A ที่คุณใช้อยู่ใช่ว่าจะใช้ได้ดีเสมอไป หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แผน A อาจไม่สามารถใช้ได้เลยก็เป็นได้…คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่รู้ว่า “ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ดังนั้นเขาจึง “ มีแผนสำรองเสมอ” เพื่อรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และนั่นทำให้เขามีทางเลือกในทุกสถานการณ์ ซึ่งก็คือกุญแจสู่ความสำเร็จนั่นเอง
- “ ช้าอย่างเต่า” ชนะเสมอ
“ ความสำเร็จ” ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการทุ่มกับกระทำเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น แต่เกิดจากการทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำ อย่างต่อเนื่อง เฉกเช่นคนที่ประสบความสำเร็จในวัยที่อายุยังน้อย เขามักหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ผ่านการเรียน หรืออบรมคอร์สต่างๆ หรือแม้แต่ ทำงานหนักกว่าคนรอบข้าง (เพื่อน, ครอบครัว หรือในธุรกิจเดียวกัน)
- ทำงานกับคนเก่ง
เป้าหมายการทำงานของ Jerry Lynch ก็คือ “ เป็นคนที่โง่ที่สุดในที่ทำงาน” เพราะนั่นหมายความว่าเขาได้อยู่ท่ามกลางคนเก่ง คนฉลาด มากมาย ดังนั้นทุกการตัดสินใจใหญ่ๆ ของเขามักมีสุดยอดที่ปรึกษาคอยชี้แนะก่อนลงมือทำการใด เพราะไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง ดังนั้นการยอมรับข้อจำกัดของตนเองย่อมทำให้เราสามารถดึงผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาช่วยให้ทุกการตัดสินใจ ดียิ่งขึ้น
- เก็บเงินมากขึ้นเพราะรู้จัก “ ปฏิเสธ” มากกว่า “ ตอบรับ”
ทุกบทสนทนาทางธุรกิจ หรือธุรกรรมที่คุณทำ อาจไม่ใช่ deal ที่ดี หรือเหมาะกับคุณเสมอไป ดังนั้นคงดีกว่าไม่น้อยหากรู้จักหันหลังให้สิ่งเหล่านั้น และเริ่มต้นต่อรองใหม่ จนกว่าจะได้สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ เพราะนั่นย่อมดีกว่าการเสียเงินไปกับเรื่องที่มันยังไม่โดน!
- เข้าใจ “ ความเป็นไปได้” ในทุกอย่าง
อะไรที่มันดู “ เหลือเชื่อ” พึงระลึกไว้เลยว่ามัน “ เชื่อไม่ได้” เพราะสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยงเลย นั่นแหละ “ เสี่ยงที่สุด” เฉกเช่นการลงทุนที่การันตีผลตอบแทนก้อนโต ที่มักการันตีได้เช่นกันว่าคุณต้อง “ เสียเงิน” กับการลงทุนนั้นแน่นอน…ไม่ใช่ว่าบนโลกนี้จะน่ากลัวไปซะหมด แต่เพียงอยากให้ศึกษาข้อมูล ทำการบ้าน และระมัดระวังกับสิ่งที่มันดู “ ไม่น่าเป็นไปได้” ก็เท่านั้น
รู้แบบนี้แล้ว…จะรอช้าอยู่ไย มาเริ่มต้น “ให้เงินทำงาน” ผ่านเคล็ดลับการเงิน 7 ข้อกันดีกว่า
ที่มา set.or.th/education
คำถามเปลี่ยนชีวิต
มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย
“ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียวเวลาหลับ”
ขอบอกว่านี่เป็นปริศนาประลองเชาว์ ไม่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว…
ถ้าผ่านไป 5 นาทีแล้วคุณยังคิดไม่ออก
(หรือยังตอบได้ไม่ถูกใจทั้งคนถามและคนฟัง)
นั่นเพราะคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ไหมว่า…
ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา
ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า..
ทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา
เท่านี้แหละ คำตอบก็ออกมาทันทีว่า
“ถ้ามันหดทั้งสองขา มันก็ล้มน่ะสิ”
ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่าย
หากเราเปลี่ยนมุมมอง
หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางยืนขาเดียว
กับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน
แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน
และสามารถชักนำความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้
การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมอง
ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยให้เรารอดพ้นจากอาการหน้าแตก
เวลาถูกจู่โจมด้วยปริศนาแบบนี้ (ซึ่งบางคนเรียกอย่างเจ็บแค้นว่า ปริศนาปัญญาอ่อน)
ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่านั้น
เชื่อหรือไม่ว่า มันอาจจะมีผลถึงกับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้
คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ
เฝ้าบ่นในใจว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย” ไม่ว่าเขา (หรือเธอ)
คนนั้นเป็นเพื่อนหรือคู่รักของคุณก็ตาม
การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้
บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว
ยังอาจหมางเมินเขามากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก
ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า
“แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า”
การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้
เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน
สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหาก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง
แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่น
ถึงตรงนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา”
แต่อยู่ที่ “ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา” และ
“ทำอย่างไร เราถึงจะเข้าใจเขาได้”
ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า “ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้”
หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า “ทำไมฉันชอบบ่นอย่างนี้”
เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อหรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่า
การรู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
ทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก
คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือ
คำถามเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของเรา ถ้าตั้งคำถามผิด
ก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย
เด็ก (และผู้ใหญ่) หลายคน
ชอบถามในใจเวลามีงานมากองอยู่ข้างหน้าว่า “ฉันจะทำได้หรือ”
คำถามอย่างนี้ชวนให้ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไป
หากเขาถามตัวเองใหม่ว่า “ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งอุปสรรคไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าทำได้หรือไม่ได้
หากอยู่ที่แรงจูงใจ
มีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่า เป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด
แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ
คำถามว่า “ทำแล้วฉันจะได้อะไร”
คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก
จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า
“ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร”
การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้
จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น
และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า
“ทำแล้วเธอได้อะไร” หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ได้ไปเท่าไหร่”
การถามว่า ใคร กับ ทำไม ก็ให้ผลที่แตกต่างกันมาก
เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า ใครทำ
แต่ไม่ค่อยถามว่า ทำไมเขาจึงทำ
คำถามแรกนั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น
แต่คำถามหลังช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหา
และอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้
คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ
โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล
ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม
คุณโสภณเล่าว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น
จะไม่ถามพนักงานว่า “ใครทำ” แต่จะถามว่า “ทำไมถึงเกิดขึ้น”
วิธีการดังกล่าวมีผลคือ ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข
แทนที่จะซัดทอดหรือกล่าวโทษกัน ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น
ในเวลาไม่นานดรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย
กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคง
ส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คงไม่มีคำถามใดสำคัญเท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเอง
ถ้าเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อนกับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า
“เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที” ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า
“เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอใจกับความรวยของฉันเสียที”
ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้
แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะเอาแต่ชะเง้อมองคนอื่นที่รวยกว่า
แต่ถึงแม้คุณจะยังไม่รวย พยายามบ่มเพาะความพอใจในสิ่งที่ตนมี
แล้วคุณจะพบกับความรวยชนิดที่ไม่มีใครมาแย่งชิงได้
แม้จะอิจฉาตาร้อนจนลุกเป็นไฟก็ตาม
ที่มา trueplookpanya.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 21/06/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 20,000.00 | 20,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,296.00 | 19,647.36 | 20,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,166.40 | 17,682.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 583.00 | 8,838.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 454.00 | 6,882.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,343.00 | 20,359.88 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 21/06/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.55 | 25.55 | – | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | – | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 19.24 | 19.24 | – | – | – | – | – | 19.24 | 19.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 |
เบนซิน 95 | 32.66 | – | – | 33.11 | 33.11 | – | 33.16 | 32.66 | 32.66 | 32.66 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 | 23.89 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 26.89 | 27.57 | 27.57 | 27.57 | 27.57 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 | 16 Jun 05:00 |