ธปท.ไร้กังวลอสังหาฯล้นเคลียร์สต็อก
“แบงก์ชาติ” ยอมรับภาคอสังหาฯ มีภาวะสินค้าล้นตลาดในบางจุด แต่ยืนยันไม่น่ากังวล เหตุไร้แรงเก็งกำไรเหมือนอดีต ไม่พบแบงก์แข่งปล่อยกู้ ขณะผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าเก่า ชี้กลุ่มชอปปิงมอลล์มีปัจจัยท้าทายจากช้อปออนไลน์ ประเมินแนวโน้มบาทยังผันผวน จี้ผู้ประกอบการเร่งทำ”เฮดจิ้ง”
ในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำเป็น เวลานาน ทำให้นักธุรกิจและผู้มีเงินออม บางส่วน หันมาลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์กันมากขึ้น จนนักเศรษฐศาสตร์หลายคน เริ่มแสดงความเห็นห่วงเกี่ยวกับภาวะ สินค้าล้นตลาด หรือ “โอเวอร์ซัพพลาย” การหารือระหว่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับผู้บริหาร ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกัน
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอมรับว่ามีบ้าง ซึ่งธปท.ก็ติดตามดูอยู่ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เองก็เริ่มเห็นสถานการณ์เหล่านี้ แต่โดยภาพรวมยังไม่น่าเป็นห่วง และยังไม่เห็นปัจจัยใดที่จะสร้างความเสี่ยงเหมือนในอดีต
“โอเวอร์ซัพพลายมีบ้างเราก็เห็น ผู้ประกอบการก็เห็น แต่เป็นเพียงบางจุดปีนี้ ได้ทำเซอร์เวย์ พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ แทนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ เขาก็หันมาขาย โครงการที่ผลิตออกมาแล้ว มาขายของเดิมๆ เพื่อเคลียร์ปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย”
เวลาพูดถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ต้องแบ่ง เป็นรายกลุ่ม เช่น สำนักงานออฟฟิศ คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ตลอดจนศูนย์การค้า
ไร้สัญญาณเก็งกำไร
นายวิรไท กล่าวว่าแม้ปัจจุบันจะมีปัญหาโอเวอร์ซัพพลายอยู่บ้าง แต่ก็เกิดเพียง บางจุด และยังไม่เห็นปัจจัย หรืออาการใดที่เป็นความเสี่ยงเหมือนในอดีต เช่น คนมาแย่งกันซื้อใบจอง แต่ไม่ได้ต้องการอยู่จริง จนกลายเป็นดีมานด์เทียม
“ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต คือ คนมาแย่งกัน ซื้อใบจอง เพื่อหวังเก็งกำไร แต่พอโอนจริงๆ ไม่มีใครมาโอน จนโครงการล้มไป ซึ่งเรายังไม่เห็นแบบนั้น และเราก็ยังไม่เห็นว่า แบงก์แย่งกันปล่อยสินเชื่อ หรือแข่งกันปล่อย สินเชื่อเพื่อไปรีไฟแนนซ์โครงการ”
ห่วงกู้สั้นไปลงทุนยาว
ทั้งนี้ความเป็นห่วงขณะนี้ อาจมีบ้างที่ ผู้ประกอบการหันไปพึ่งตลาดตราสารหนี้กันมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่ได้เรทติ้งต่ำๆ ระดมทุนสั้นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ทั้ง ธปท. และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ก็คอยระวังอยู่ อีกทั้งเวลาที่ขาย ก็ขายให้เฉพาะนักลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อย(เอไอ)
“สิ่งที่เราไม่อยากเห็น คือ การกู้ยืมระยะสั้นๆ แล้วมาลงทุนโครงการยาวๆ หรือไปซื้อแลนด์แบงก์ยาวๆ เพราะอาจเกิด Maturity Mismatch เหมือนที่เกิดเมื่อปี 2540 ได้”
ภาคธุรกิจเริ่มระดมทุนยาวขึ้น
นายวิรไท กล่าวว่าการที่เริ่มมีบางบริษัทผิดนัดชำระหนี้(ดีฟอลท์) ในตั๋วแลกเงิน(บีอี) ที่เป็นการระดมทุนระยะสั้นๆ และทำให้การออกตั๋วบีอีเริ่มลดลง หากมองในอีกด้าน ถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ผู้ประกอบการเกิดการปรับตัว หันไปออกตราสารระยะยาว มากขึ้น ซึ่งช่วยลดภาวะ Maturity Mismatch ลงได้ ขณะที่ก่อนหน้านี้พบว่า บริษัทบางรายกู้ยืมเงินระยะสั้นถึง 50-60% ของเงินกู้ทั้งหมด ก็ทำให้บริษัทเหล่านี้ หันมากู้เงินระยะยาวมากขึ้น ลดความเสี่ยงลง
จับตาชอปปิงมอลล์
ส่วนภาวะโอเวอร์ซัพพลายในอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้า อย่างคอมมูนิตี้มอลล์ หรือ ชอปปิงมอลล์ นั้น ธปท. ได้ติดตามดูอยู่ ซึ่งก็อาจมีบ้าง แต่ยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลมากเท่ากับคอนโดมิเนียม
อสังหาริมทรัพย์กลุ่มนี้ เบื้องต้นมีความท้าทายเพิ่มเติมจากกระแสที่คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว
เงินบาทแนวโน้มผันผวน
นอกจากนี้ นายวิรไท กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า แนวโน้มระยะข้างหน้ายังคงมีความผันผวนที่สูงอยู่ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกไม่ควรประมาท ควรต้องทำประกันความเสี่ยง(เฮดจิ้ง) อัตราแลกเปลี่ยนไว้ตลอด
“โจทย์ที่เราเห็นและพยายามชี้ให้เขา (ผู้ส่งออก-นำเข้า) เห็นคือ มันอันตรายมากหากคุณไม่ทำ เพราะถ้าค่าเงินมูฟไปในทางที่ไม่ได้คาดคิด แล้วทุกคนลุกขึ้นมาประกันความเสี่ยงพร้อมๆ กัน ค่าเงินจะยิ่งมูฟแรง ผลกระทบก็จะยิ่งมากขึ้น ผมจึงพูดอยู่ตลอดว่า อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าจะมีใครมากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้”
จี้แบงก์ช่วยรายย่อยเฮดจิ้ง
นายวิรไท ยอมรับว่าการทำเฮดจิ้งสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก อาจมีต้นทุนที่สูง เมื่อเทียบขนาดธุรกิจ แต่ธปท. ได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมธนาคารไทย รวมทั้ง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ ไทย(เอ็กซิมแบงก์)ช่วยดูแลทางเอ็กซิม แบงก์ หาแนวทางช่วยเหลืออยู่
“อาจมีบางคนที่อยากปิดความเสี่ยง บริหารความเสี่ยง แต่ต้นทุนเขาอาจสูง ติดปัญหาเรื่องวงเงิน หรือค่าธรรมเนียมที่แพง เราก็ขอความร่วมมือไปยังแบงก์และทางเอ็กซิมแบงก์ หาแนวทางช่วยเหลือ”
เอกชนไทยเฮดจิ้งค่าเงินน้อย
นายวิรไท กล่าวว่า การทำเฮดจิ้งของ ผู้ประกอบการไทยนั้น ต้องยอมรับว่ามีน้อยกว่า ประเทศอื่นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย เกาหลีใต้ หรือ ไต้หวัน ส่วนหนึ่งเพราะระดับความผันผวนของค่าเงินบาทต่ำกว่า
“หลายคนชอบมองว่าเงินบาทแข็ง แต่จริงๆ แล้ว เป็นปรากฏการณ์เงินดอลลาร์อ่อน และเป็นการอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุล ทำไมผู้ประกอบการในประเทศ คู่แข่งของเรา เขาบริหารจัดการค่าเงินได้ ซึ่งถ้าเราบริหารไม่ได้ ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับการแข่งขันในอนาคต แต่เราเห็นว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ของเรา เขาทำเรื่องพวกนี้ได้ดีและต่อเนื่อง”
สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางๆ ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีวินัยโดยประกันความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีบางส่วนที่เลือก ทำเป็นบางช่วงเวลา กลุ่มนี้ ธปท. พยายามส่งเสริมให้เขาทำเฮดจิ้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ
“บางคนอาจมองว่าเป็นต้นทุน อยากบอก ตรงนี้ว่า ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ควรมีต้นทุนบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติของการทำ ธุรกรรมระหว่างประเทศ ”
ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ดีเดย์ประมูลไฮสปีด กทม.-ระยอง เชื่อมต่อ3สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา
รฟท.เร่งเครื่องทำรถไฟความเร็วสูง กทม.-ระยอง เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ลงทุน 2 แสนล้าน เปิดประมูลพ.ย.นี้ ชงครม. พิจารณาไฮสปีดไทย-จีน 1.79 แสนล้าน วันนี้
นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะรักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ ภายใต้มติของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(บอร์ดอีอีซี) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมืองสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา หรือรถไฟความเร็วสูง หรือ ไฮสปีดเทรน เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 215,100 ล้านบาท ว่า ผลศึกษาความเหมาะสมใกล้แล้วเสร็จ คาดว่าจัดทำร่างเอกสารประกวดราคาหรือทีโออาร์เดือนก.ย.นี้ และจะเปิดประมูลได้ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.
โดยใช้รูปแบบให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนหรือพีพีพี ส่วนการบริหารการเดินรถจะต้องบริหารงานร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยคือ รฟท., บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ซึ่งดูแลโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงพญาไท-สุวรรณภูมิ และพญาไท-ดอนเมือง และเอกชนผู้ได้รับสัมปทานรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากมีเส้นทางเชื่อมต่อกัน
ส่วนโครงการรถไฟทางคู่เชื่อมต่อ 3 ท่าเรือ คือท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ และท่าเรือมาบตาพุด วงเงิน 64,300 ล้านบาท รฟท.เตรียมจัดหางบ 100 ล้านบาท จ้างที่ปรึกษาศึกษาความเหมาะสมและแนวทางการดำเนินโครงการ โดยมีกรอบเวลาการศึกษา 9-12 เดือน ซึ่งจะทำควบคู่ไปกับการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมีเขตทางในเส้นทางรถไฟเดิมอยู่แล้ว อาทิ เส้นทาง ศรีราชา-มาบตาพุด และศรีราชา-แหลมฉบัง
นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-โคราช ระยะทาง 252.5 กิโลเมตร วงเงิน 1.79 แสนล้านบาท ว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 19 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 5-7 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นไปด้วยดีและได้ข้อสรุปในบางประเด็นแล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าจะเสนอภาพรวมโครงการรถไฟ ไทย-จีน ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติได้ในวันที่ 11 ก.ค.
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด
6 กันยานี้ ลูกหนี้เตรียมเฮ! เงินเดือนไม่ถึง 2 หมื่น ไม่ถูกยึดใช้หนี้
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 โดยมีใจความสำคัญเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ระบุให้ลูกหนี้ที่มีเงินเดือนไม่เกิน 20,000 บาท บังคับคดีอายัดเงินเดือนไม่ได้ โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 60 วันนับแต่วันลงประกาศฯ คือในวันที่ 6 กันยายน 2560
แก้กฎหมายให้ทันสมัยมากขึ้น
พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 เป็นการปฏิรูปใหม่ทั้งหมดในส่วนการบังคับคดี เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนการบังคับคดีมีการใช้มานานกว่า 20 ปี จึงต้องปรับให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องพื้นฐานของลูกหนี้ นั่นคือ ในส่วนที่ 2 ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ได้แก่ มาตรา 301 เกี่ยวกับทรัพย์สิน และมาตรา 302 เกี่ยวกับเงิน โดยคำนึงถึงการดำรงชีพของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสม ตามสมควรกับฐานะของลูกหนี้
สาระสำคัญ เน้นคำนึงถึงการดำรงชีพลูกหนี้เป็นหลัก
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 อยู่ในส่วนที่ 2 ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรา 301 ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(1) เครื่องนุ่งห่มหลับนอน เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องใช้สอยส่วนตัว โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินประเภทละ 20,000 บาท
(2) สัตว์ สิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการประกอบอาชีพหรือประกอบวิชาชีพเท่าที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพ ราคารวมกันโดยประมาณไม่เกิน 1 แสนบาท
(3) สัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำหน้าที่ช่วยหรือแทนอวัยวะของลูกหนี้
(4) ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันมีลักษณะเป็นของส่วนตัวโดยแท้ เช่น หนังสือสำหรับวงศ์ตระกูลโดยเฉพาะ จดหมาย หรือสมุดบัญชีต่างๆ
มาตรา 302 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น เงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปนี้ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
(1) เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ ส่วนเงินรายได้เป็นคร่าวๆ ซึ่งบุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพนั้น ให้มีจำนวนไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท หรือตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร (จากเดิมไม่เกิน 10,000 บาท)
(2) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ เบี้ยหวัด หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างในหน่วยราชการ และเงินสงเคราะห์ บำนาญ หรือบำเหน็จที่หน่วยราชการได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น
(3) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าชดใช้ เงินสงเคราะห์ หรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน นอกจากที่กล่าวไว้ใน (2) ที่นายจ้างหรือบุคคลอื่นใดได้จ่ายให้แก่บุคคลเหล่านั้น หรือคู่สมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น เป็นจำนวนรวมกันไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท หรือตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร
(4) บำเหน็จหรือค่าชดเชยหรือรายได้อื่นในลักษณะเดียวกันของบุคคลตาม (3) เป็นจำนวนไม่เกิน 3 แสนบาทหรือตามจำนวนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร
(5) เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้รับอันเนื่องมาแต่ความตายของบุคคลอื่นเป็นจำนวนตามที่จำเป็นในการดำเนินการฌาปนกิจศพตามฐานะของผู้ตายที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร
นอกจากนี้กฎหมายยังเปิดช่องให้เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ที่ไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด อาจยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบถึงการกำหนดจำนวนเงินนั้น เพื่อขอให้ศาลกำหนดจำนวนเงินใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม ภาคสถาบันการเงินได้ให้ข้อสังเกตว่ากฎหมายฉบับนี้อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาท/เดือน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินเหล่านี้เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ยากขึ้น หรือไม่ได้เลย จนอาจต้องไปพึ่งกับเงินกู้นอกระบบแทน
ที่มา ddproperty.com
วิธีตั้งค่าสมาร์ทโฟน ที่ช่วยประหยัดแบตและลดอาการติดสมาร์ทโฟนได้
เชื่อว่าคุณมีอาการติดสมาร์ทโฟน และใช้สมาร์ทโฟนเป็นประจำทั้ง iPhone หรือ Android กันอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะการเล่นเกม การชมภาพยนตร์ และการเช็คทาง Social Media บทความนี้เลยนำเสนอวิธีตั้งค่าสมาร์ทโฟนที่ช่วยประหยัดแบตเตอรี่มือถือคุณ และลดอาการติดสมาร์ทโฟนได้ วิธีที่ว่านี้คือ การตั้งค่าให้จอขาวดำ
วิธีการตั้งค่าให้สมาร์ทโฟนแสดงผลขาวดำ ทั้งบน iOS และ Android
วิธีตั้งค่าให้จอขาวดำ สำหรับ iOS
หากคุณใช้ iPhone หรือใช้บนอุปกรณ์พวก iOS 10 คุณสามารถตั้งค่าได้ดังนี้ คือ
เข้าไปที่แอป Settings จากนั้นเลือก General แล้วเลือก Accessibility
จากนั้นแตะที่ Display Accommodations แล้วเลือก Color Filters
แล้วเลือกเปิด Switch Color Filters แล้วเลือกที่ Greyscale
ผลที่ได้คือ iOS หรือ iPhone ของคุณก็จะแสดงผลเป็นจอขาวดำแล้ว
วิธีตั้งค่าจอขาวดำ สำหรับผู้ใช้ Android
หลายท่านคงจำได้ว่าผู้ใช้ Samsung มีฟีเจอร์ขาวดำมาแล้ว บน Ultra Saving Mode แต่ล่าสุดบน Android 7.1 Nougat ก็สามารถตั้งค่าให้เครื่อง Android สามารถแสดงเป็นจอขาวดำ ได้เช่นกัน
โดยเข้าไปที่ Settings เลือก Accessibility แล้วเลือก Vision จากนั้นเลือกที่ grayscale เพื่้อเปิดโหมดแสดงหน้าจอขาวดำ เท่านี้ก็เรียบร้อย
ประโยชน์ของการแสดงจอขาวดำคือทำให้ช่วยประหยัดแบตเตอรี่แล้ว ยังสามารถลดอาการติดสมาร์ทโฟนได้ด้วย เพราะคนเราชอบสนใจอะไรแบบมีสีสันดังนั้นการปรับให้เป็นโทนขาวดำก็ช่วยลดอาการการหยิบสมาร์ทโฟนได้อีกทางหนึ่ง โดยเฉพาะคอเกมและคอเช็คติดโซเชียล
ที่มา it24hrs.com
บทความ ดีๆที่น่าอ่านเรื่อง ต้นทุนแต่ละคนมีไม่เท่ากัน
บทความสอนใจ – พอดีได้ไปเจอบทความดีๆ ที่น่าอ่าน ให้ข้อคิด ให้กำลังใจชีวิตให้ก้าวเดินต่อไป เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ต้นทุนของชีวิต ความต่างระหว่างเศรษฐีกับคนจน เพราะว่าคนเรานั้นเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกที่จะเป็นได้ แต่เมื่อเลือกแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพยายามของแต่ละคน ดังบทความที่นำมาฝากนี้
ผมได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเขียนโดย Keith Cameron Smith เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควรจากการสังเกตของผม ดังนั้น จึงขอนำมาเผยแพร่เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย
ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปีๆ หรือเป็นสิบๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
ข้อสอง – คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดีๆ หรือมีมุมมองต่างๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
ข้อสาม – คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆได้
ข้อสี่ – คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริงๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ข้อห้า – คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริงๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน
โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้
ข้อหก – คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้
ข้อเจ็ด – คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต
ข้อแปด – คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลายๆอย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
ข้อเก้า – คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
สุดท้าย ข้อสิบ – คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจ เช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร?
และนั่นก็คือ ความแตกต่าง 10 ข้อระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลางที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริง แน่นอน คนรวยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลางและคนชั้นกลางจำนวนมากก็มีนิสัยแบบคนรวย แต่ถ้าเราอยากรวย ผมคิดว่า การยึดนิสัยแบบคนรวยน่าจะทำให้เรามีโอกาสมากกว่า
บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราการ
ที่มา : Forward Mail
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 12/07/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,550.00 | 19,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,266.00 | 19,192.56 | 20,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,139.40 | 17,273.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 570.00 | 8,641.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 443.00 | 6,715.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,312.00 | 19,889.92 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 12/07/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.55 | 25.55 | – | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | – | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 19.24 | 19.24 | – | – | – | – | – | 19.24 | 19.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 |
เบนซิน 95 | 32.66 | – | – | 33.11 | 33.11 | – | 33.16 | 32.66 | 32.66 | 32.66 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 24.49 | 24.49 | 24.49 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 27.49 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 |