เปิดเวทีถกผังเมืองกาญจน์ ขับเคลื่อน’เขตเศรษฐกิจพิเศษ’
นายรณชัย จิตรวิเศษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า กรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังดำเนินการวางและจัดทำผังเมืองรวมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี โดยดำเนินการขั้นตอน การปิดประกาศ 15 วัน ระหว่างวันที่ 7-21 กรกฎาคม ตามสถานที่ต่างๆ ดังนี้ ที่ศาลากลาง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ทำการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กาญจนบุรี ที่ว่าการอำเภอเมืองกาญจนบุรี ที่ว่าการอำเภอด่านมะขามเตี้ย สำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี สำนักงานเทศบาลตำบล (ทต.) แก่งเสี้ยน สำนักงานเทศบาลตำบล (ทต.) หนองบัว ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แก่งเสี้ยน ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หนองบัว ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านเก่า และที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จระเข้เผือก
“พร้อมกันนี้ยังได้เผยแพร่ทางระบบอินเตอร์ เน็ตของกรมโยธาธิการและผังเมือง (www.dpt.go.th) จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้อยู่อาศัย หรือมีที่ดิน หรือมีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ในเขตท้องที่ ต.แก่งเสี้ยน ต.หนองบัว ต.บ้านเก่า อ.เมืองกาญจนบุรี และต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ไปตรวจดูแผนที่แสดงแนวเขตท้องที่ที่จะวางและจัดทำผังเมืองรวม แผนผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง รายการประกอบแผนผัง พร้อมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินของผังเมืองรวมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี”
นายรณชัยกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกาญจนบุรีได้จัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนในวันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า และเวลา 14.00 น.ที่อาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลตำบลแก่งเสี้ยน อ.เมืองกาญจนบุรี จึงขอเชิญชวนประชาชนไปตรวจดูแผนผังแสดงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน พร้อมรายการประกอบแผนผัง และเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอความคิดเห็นความต้องการและข้อมูลในการวางและจัดทำผังเมืองรวมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน
หนี้เน่าบ้านย้อนกลับ เหตุเศรษฐกิจฟื้นช้า กลุ่ม3-10 ล้านลอยตัว
SCBตั้งเป้าปล่อยกู้แสนล้าน
แบงก์ผวาหนี้เสียบ้านเพิ่ม เหตุคุณภาพสินเชื่อเศรษฐกิจฟื้นช้า ขณะที่ยอดปล่อยกู้ใหม่ครึ่งปีแรกยังอืด “ซีไอเอ็มบีไทย”ชี้สัญญาณหนี้จับตาเป็นพิเศษเพิ่มไม่หยุด ดันเอ็นพีแอลทั้งปีแตะ 4% “กรุงศรี” มั่นใจทุกแบงก์บริหารได้ เน้นอัดสินเชื่อกลุ่มราคา 3-10 ล้านบาท ฟากไทยพาณิชย์พร้อมดูแลลูกค้าผ่อนไม่ไหว
นางสาวอรอนงค์ อุดมก้านตรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2560 กลุ่มหนี้ที่จับตาเป็นพิเศษ (SM) ยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า จะเห็นลูกค้าค้างชำระหนี้เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะไหลกลับเป็น SM ในทิศทางเพิ่มขึ้น
หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของซีไอเอ็มบีไทย มีอัตราสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพอร์ตสินเชื่อใหญ่ขึ้น ปัจจุบันเอ็นพีแอลอยู่ที่ประมาณ 3.8-3.9% คาดว่าภายในสิ้นปีเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4%ส่วนภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 เดือนแรก เติบโตค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม และยอดขายของภาคอสังหา ริมทรัพย์ โดยยอดขายจะขึ้นลงตามแรงของโปรโมชันในช่วงเวลานั้น เพื่อแข่งขันหรือดึงยอดขาย แต่โดยภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น และในช่วงครึ่งหลังของปีจะมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย หลังจากธนาคารมุ่งเน้นลูกค้าที่มีคุณภาพ และกลุ่มที่มีรายได้ประจำ 3 หมื่นบาทต่อเดือน ส่งผลให้อัตราการอนุมัติสินเชื่อ (Approval Rate) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 50%
ส่วนยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ยอยู่ที่ 1,500ล้านบาทต่อเดือน โดยในเดือนมิถุนายนน่าจะปล่อยได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมครึ่งแรกของปีน่าจะทำได้ตามเป้าหมาย และทั้งปีคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากสินเชื่อคงค้างปัจจุบันอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 7 หมื่นล้านบาท
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า สินเชื่อ 5 เดือนแรกธนาคารปล่อยใหม่ไปแล้วประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท โดยยังคงเป็นกลุ่มราคาบ้าน 3-10 ล้านบาท ที่ยังคงเห็นสัญญาณการเติบโตและมีความต้องการในตลาดเป็นหลัก ทั้งปีคาดว่าน่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 2.17 แสนล้านบาท
ส่วนพฤติกรรมการชำระหนี้ยังเป็นปกติและค่อนข้างดี ทำให้หนี้เอ็นพีแอลทรงตัวอยู่ในระดับ 2.5-2.6% มาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ธนาคารจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับดังกล่าว แม้ว่าภาพรวมทั้งระบบจะมีสัญญาณเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล แต่หากพิจารณาในรายกรณีจะพบว่ามีสถาบันการเงินที่สามารถควบคุมได้ดี และรายที่ยังคงเห็นสัญญาณเพิ่มขึ้นซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและควบคุมของแต่ละสถาบันการเงิน
นางสาวจามรี เกษตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะเห็นว่าในไตรมาสแรกมีอัตราเติบโตติดลบ 15% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานที่สูงเมื่อปีก่อน โดยทั้งปีตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ปัจจุบันสามารถปล่อยไปแล้ว 3-4 หมื่นล้านบาท จากยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวเติบโตกว่าครึ่งปีแรก
ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอล มีทิศทางเพิ่มขึ้นตามภาวะของตลาดภาพรวมโดยทั้งระบบอยู่ที่ระดับ 3.4% ซึ่งของธนาคารต่ำกว่าระบบอยู่ที่กว่า 2% คาดทั้งปีจะบริหารให้อยู่ในระดับดังกล่าว เนื่องจากธนาคารมีระบบสกอริ่งและหลังบ้านที่แข็งแรง ตลอดจนมีทีมติดตามหนี้ (Collection) ที่คอยติดตามดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด หากลูกค้าเริ่มส่งสัญญาณมีปัญหาหรือผ่อนชำระไม่ไหว ธนาคารจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเป็นปกติ เช่น ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ลดค่างวด เป็นต้น
“ครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัวไม่หวือหวา เรื่องการทำโปรโมชันยังเน้นทำโปรสั้นๆ เหมือนกันทั้งตลาด ส่วนเรื่องดอกเบี้ยพิเศษก็ออกมาเป็นช่วงๆไม่ได้ทำยาว ส่วนหนี้เอ็นพีแอลยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งธนาคารดูตามความสามารถของลูกค้าเพื่อให้ช่วยผ่อนได้”
ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ต้นทุนสูง ค่าไฟจ่อขึ้น! งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 60
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือเอฟที งวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ที่ -15.90 สตางค์/หน่วย ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 8.87 สตางค์/หน่วย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ในการพิจารณาค่าเอฟทีครั้งก่อน ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้จากภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5966 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ไฟฟ้าพลังน้ำ-ถ่านหินลด ราคาก๊าซพุ่ง ทำต้นทุนสูง
สาเหตุหลักของการปรับขึ้นค่าเอฟทีครั้งนี้ มาจากสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่ลดลงตามฤดูกาล และการใช้ถ่านหินที่ลดลงจากการหยุดบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าตามแผนในช่วงฤดูหนาวที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากสัดส่วน LNG ที่เริ่มสูงขึ้น จากราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวขึ้นก่อนหน้านี้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนส่วนที่สูงกว่าประมาณการในรอบที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันสะสมเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิงและการผลิตไฟฟ้า ได้แก่
1. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 (ปรับปรุงค่าจริงเดือนพฤษภาคม 2560) ซึ่งอยู่ที่ระดับ 34.31 บาท/ดอลล่าสหรัฐฯ เป็น 34.19 บาท/ดอลล่าสหรัฐฯ หรือแข็งค่าขึ้น 0.12 บาท/ดอลล่าสหรัฐฯ ตามอัตราแลกเปลี่ยนขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกิดขึ้นจริงเฉลี่ยวันที่ 1-16 มิถุนายน 2560
2. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 เท่ากับ 61,420 ล้านหน่วย ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 เท่ากับ 4,067 ล้านหน่วย คิดเป็น -6.21%
3. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 63.64% รองลงมาเป็นการรับซื้อไฟฟ้าจากลาว 12.63% ลิกไนต์ 9.14% และถ่านหินนำเข้า 7%
4. แนวโน้มราคาเชื้อเพลิง คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติรวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการของโรงไฟฟ้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และโรงไฟฟ้าเอกชน 245.64 บาท/ล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 3.80 บาท/ล้านบีทียู สำหรับราคาน้ำมันเตาคงที่อยู่ที่ 13.27 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 20.04 บาท/ลิตร ลดลงจากงวดปัจจุบันที่ปรับปรุงค่าจริงเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งอยู่ที่ 21.18 บาท/ลิตร เท่ากับ 1.14 บาท/ลิตร ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,108.45 บาท/ตัน ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 2,178.64 บาท/ตันในงวดปัจจุบันที่ปรับปรุงค่าจริงเดือนพฤษภาคม 2560 แล้ว เท่ากับ 70.19 บาท/ตัน และราคาลิกไนต์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตอยู่ที่ 693 บาท/ตัน ไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของภาครัฐในส่วน Adder หรือการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจากบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในราคาพิเศษ และ Feed-in-Tariff (FiT) หรือการรับซื้อไฟฟ้าที่คำนวณจากต้นทุนจริง ในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 14,312.97 ล้านบาท ในประมาณการงวดปัจจุบัน ปรับปรุงค่าจริงเดือนพฤษภาคม 2560 มาอยู่ที่ 14,497.07 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184.10 ล้านบาท ประกอบกับประมาณการจำนวนหน่วยไฟฟ้าในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 จะลดต่ำลงจากช่วงปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อเทียบเป็นอัตราต่อหน่วยแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 ซึ่งอยู่ที่ 25.81 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2560 ที่ปรับปรุงค่าจริงเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งอยู่ที่ 23.81 สตางค์/หน่วย เท่ากับ 2.00 สตางค์/หน่วย
เตรียมรับฟังความคิดเห็นประชาชนถึง 26 ก.ค. นี้
จากการปรับค่าเอฟทีเรียกเก็บงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5966 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยจะเผยแพร่รายละเอียดทั้งหมดผ่านทาง www.erc.or.th เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่วันนี้-26 กรกฎาคม 2560 เวลา 12.00 น. ก่อนที่จะนำผลการรับฟังความคิดเห็น มาพิจารณาและให้การไฟฟ้าประกาศเรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในรอบดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อไป
แนวโน้มค่าไฟปรับขึ้นถึงปีหน้า
สำหรับค่าเอฟทีงวดถัดไปในเดือนมกราคม-เมษายน 2561 อาจจะขยับขึ้นอีกราว 12-13 สตางค์/หน่วย หากปัจจัยพื้นฐานยังคงเดิม ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ายังมีแนวโน้มเป็นช่วงขาขึ้น สะท้อนจากราคาน้ำมันย้อนหลังช่วง 6-8 เดือนก่อนหน้าที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงยังสะท้อนการใช้เชื้อเพลิงที่แพงขึ้นในการผลิตไฟฟ้าจากการหยุดผลิตและจ่ายก๊าซธรรมชาติกะทันหันของแหล่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อย่างไรก็ตามหากค่าเงินบาทในงวดดังกล่าวแข็งค่าขึ้นจากปัจจุบันก็อาจจะช่วยลดผลกระทบการปรับขึ้นค่าเอฟทีดังกล่าวได้ด้วย โดยทุก ๆ การแข็งค่า 1 บาทต่อดอลล่าสหรัฐฯ จะทำให้เอฟทีลดลงได้ 5-6 สตางค์/หน่วย
การปรับค่าเอฟทีในครั้งนี้แน่นอนว่ากระทบต่อประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนที่ต้องรับภาระค่าไฟที่สูงขึ้น แต่ในส่วนของภาคเอกชนนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะอัตราสุทธิค่าเอฟทีปัจจุบันยังคงติดลบอยู่ ซึ่งต่ำกว่าที่ผ่านมาที่เคยเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1 บาท/หน่วย
ที่มา ddproperty.com
รับยุค 4.0 ไทยคว้าอันดับ 7 เอื้อสตาร์ทอัพ
โลกอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ทั้งนี้ประเทศไทยจะต้องก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง “นักรบใหม่ทางเศรษฐกิจ” ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ สร้างฐานการเติบโตที่มั่นคง ก็คือ “สตาร์ทอัพ” โดยภาครัฐได้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาสตาร์ทอัพอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจเมื่อความพยายามดังกล่าวออกดอกออกผล โดยจากผลสำรวจล่าสุดของ PeopleHour บริษัทจัดหางานอิสระ พบว่า กรุงเทพฯ มีปัจจัยเอื้อต่อสตาร์ทอัพติดอันดับ 7 จาก 25 เมืองของโลก และเป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย
ผลสำรวจชี้กรุงเทพฯ เอื้อต่อสตาร์ทอัพ
จากผลสำรวจของ PeopleHour บริษัทจัดหางานอิสระ ที่ได้ทำการจัดอันดับเมืองที่ดำเนินนโยบายเอื้อต่อสตาร์ทอัพ โดยวัดจากค่าครองชีพ ค่าเช่า เงินเดือน และปัจจัยที่เหมาะสมที่สุดในการประกอบธุรกิจ พบว่า กรุงเทพฯ มีการเติบโตของสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินและกลุ่มอื่น ๆ ทำให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางอันดับต้น ๆ ของโลกที่เหมาะสมสำหรับผลักดันธุรกิจสตาร์ทอัพ
โดย 15 อันดับแรกของเมืองที่ได้รับการจัดอันดับ ได้แก่ 1. แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา 2. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี 3. แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ 4. ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส 5. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน 6. ซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา 7. กรุงเทพฯ ประเทศไทย 8. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย 9. ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา 10. บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย 11. กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 12. ประเทศสิงคโปร์ 13. อิสตันบูล ประเทศตุรกี 14. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 15. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เพียงอันดับที่ 22 และโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามมาในอันดับที่ 23 ทั้งนี้ สาเหตุที่แวนคูเวอร์ คว้าอันดับ 1 ในการจัดอันดับครั้งนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีอันดับต้น ๆ ของโลก มีค่าครองชีพ ค่าเช่า เงินเดือน ที่เอื้อต่อการเริ่มต้นธุรกิจใหม่อย่างสตาร์ทอัพ
สตาร์ทอัพไทย ปี 60 เพิ่มกว่า 1,500 ราย
จากการรวบรวมข้อมูลของสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ พบว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในประเทศไทยมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่มีไม่เกิน 100 ราย ในปัจจุบันมีสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วงพัฒนาแนวคิด (Idea startup) กว่า 8,000 ราย เกิดสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเริ่มดำเนินธุรกิจจริงอีกกว่า 1,500 ราย เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 7,500 อัตรา และเห็นการเติบโตของการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นสูงจากปีก่อนกว่า 150% โดยมีตัวเลขการลงทุนเพิ่มจาก 1 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็นมากถึง 35-40 ล้านดอลล่าสหรัฐฯ
9 กลุ่ม สตาร์ทอัพน่าจับตา
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. ระบุว่า ปัจจุบันแนวโน้มสตาร์ทอัพไทยอยู่ในช่วงเติบโต และมีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้นในปี 2561 โดยกลุ่มของสตาร์ทอัพใหม่ที่น่าจับตาได้ขยายจากเทคโนโลยีการเงินและ E-commerce ไปยังกลุ่มที่มีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ เกษตร อาหาร ท่องเที่ยวและสุขภาพ โดยแบ่งเป็น 9 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. กลุ่มธุรกิจภาครัฐและการศึกษา (GovTech & EdTech)
2. กลุ่มการเกษตรและอาหาร (AgTech & FoodTech)
3. กลุ่มนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ (HealthTech)
4. กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตแห่งอนาคต (IndustryTech)
5. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีบริการ (Servicetech)
6. กลุ่มเทคโนโลยีการเงิน (FinTech)
7. กลุ่มไลฟ์สไตล์ และความบันเทิง (Lifestyle-Entertainment- Gaming)
8. กลุ่มเทคโนโลยีท่องเที่ยว (TravelTech)
9. กลุ่มเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (Propertytech-UrbanTech)
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐจะต้องแก้ปัญหาให้สตาร์อัพเหล่านี้ไม่ไหลออกนอกประเทศ โดยเตรียมเล็งแก้กฎหมายและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่ให้จดทะเบียนธุรกิจในประเทศไทยแทนประเทศอื่น อาทิ สิงคโปร์ รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจากทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญ และกลุ่มคนที่เรียกว่า Digital Nomads สามารถเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจกับคนไทยได้ สร้างโอกาสในการเติบโตให้ผู้ประกอบการ และการพัฒนาระบบบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ ให้มีความสามารถในการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศได้ ทั้งนี้พบว่า สตาร์ทอัพแห่งหนึ่งควรจะได้รับเงินสนับสนุนอย่างน้อย 5 ล้านบาท ร่วมกับมาตรการทางการเงินที่รัฐให้การสนับสนุน หากมีเอกชน สถาบันการเงินเข้ามาร่วมสนับสนุนด้วย จะยิ่งทำให้มีปัญหาเรื่องเงินทุนน้อยลงในระยะแรก
แม้ว่าสตาร์ทอัพจะไม่ประสบความสำเร็จนัก โดย 9 ใน 10 หรือกว่า 95% ของสตาร์ทอัพทั่วโลกต้องพบกับความล้มเหลว แต่เชื่อว่าจากการพยายามของภาครัฐ และผลการสำรวจจากต่างประเทศข้างต้นถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้ประเทศไทยเหมาะแก่การลงทุน และหนุนให้สตาร์ทอัพมีโอกาสเติบโต
ที่มา ddproperty.com
ทำไมชาวพุทธถึงมีความเครียดหนัก?
เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ สื่อมวลชนฉบับหนึ่งได้เสนอข่าวชวนให้คิด เชิงจริยธรรม ความว่า บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ใช้อักษรย่อว่า เพิร์ด แห่งประเทศฮ่องกง ได้จัดอันดับความเครียดของพลเมืองประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเซีย ด้วยมาตราวัดความเครียดได้สถิติความเครียด ๖ อันดับดังนี้ : –
มีความเครียดระดับ ๑ ได้แก่ พลเมืองประเทศเวียดนาม สถิติ ๘.๕
มีความเครียดอันดับ ๒ ได้แก่ พลเมืองประเทศเกาหลี สถิติ ๘.๒
มีความเครียดสูงอันดับ ๓ ได้แก่ พลเมืองประเทศไทย สถิติ ๗.๘
มีความเครียดสูงอันดับ ๔ ได้แก่ พลเมืองประเทศจีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น,
สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สถิติ ๖.๗
มีความเครียดสูงอันดับ ๕ ได้แก่ พลเมืองประเทศมาเลเซีย สถิติ ๕.๖
มีความเครียดสูงอันดับ ๖ ได้แก่ พลเมืองประเทศไต้หวัน สถิติ ๕.๕
นอกจากสถิติดังกล่าว เพิร์ดยังได้สถิติในด้านที่มีความเครียดน้อยที่สุดไว้ด้วยว่า ชาวอินเดียมีความเครียดน้อยที่สุด
หลายคนสงสัยว่า ทำไมชาวอินเดียจึงมีอารมณ์ดี เครียดน้อยที่สุด
ในปัญหานี้ น่าจะชี้แนะให้เห็นความจริงว่า ชาวอินเดียโดยทั่วไปนั้น เขาเป็นคนทะเยอทะยานน้อยที่สุด คนวรรณะต่ำสุดของอินเดีย เป็นคนที่ลำบากยากจนมากที่สุด คุ้นเคยชินชาอยู่กับความลำบากยากไร้มากที่สุด มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารการกินน้อยที่สุด อาศัยอยู่ที่อาศัยที่เป็นกระท่อมน้อย ๆ หาความสะดวกสบายได้น้อยที่สุด ได้รับอันตรายจากภัยธรรมชาติมากที่สุด สรุปว่า ย่อมรับรู้ทุกข์ความเจ็บไข้ ความผิดหวัง ความร้อน ความหนาว และการเหยียดหยามก้าวร้าวมาบ่อยทุกรูปแบบ โดยเห็นว่าทุกข์เหล่านั้นคือเพื่อนสนิทในชีวิตของเขา
ด้วยเหตุนั้น น่าจะเป็นผลทำให้เขาเครียดน้อยที่สุด ส่วนชาวไทยเรา มีความเครียดมากติดอันดับ ๓ ของเอเซีย อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่น่าเชื่อเพราะอะไร เพราะชาวไทยมีพระพุทธศาสนาประจำชาติ มีพุทธธรรม เป็นโอสถยาวิเศษที่ป้องกันบรรเทาและแก้ทุกข์ได้ร้อยแปด มีพระสงฆ์เป็นครูชั้นยอดคือ แนะนำให้ทำดี ให้หมดทุกข์ได้สิ้นเชิง
แต่เหตุไรชาวไทย จึงมีความเครียดหนักหนาเช่นนั้น คนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า เพราะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทำให้คนไทยอยู่สบาย ๆ หรือสุขสำราญอีกต่อไปไม่ได้
แต่ถ้าจะลงลึกไปอีก เราจะเห็นสาเหตุสำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็เราไม่ได้ใช้พระพุทธศาสนา เป็นเครื่องจรรโลงใจกันเลย ทั้ง ๆ ที่รู้กันดีว่า ศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ
ที่พึ่งทางกาย เรามีกันพอสมควรแล้ว คือ เรามีอาหารพอกิน เรามีเครื่องนุ่งห่มพอใช้ เรามีบ้านเรือนพออยู่ เรามียาแก้โรคทางกาย หลายต่อหลายอย่าง
แต่ที่พึ่งทางใจ เราขาดแคลนอยู่เป็นประจำ ทำไมจึงขาดแคลน ก็เพราะเราไม่ค่อยอยากใช้ธรรมะ ไม่อยากสนใจ ทางพ้นทุกข์หรือทางระงับดับความเร่าร้อนใจในชีวิต โดยเราเห็นว่า ไม่จำเป็น และไร้สาระ ช่วยอะไรไม่ได้ โดยปล่อยธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นของไร้ค่าไปเสียเฉย ๆ
ถ้าเราจะมาสนใจกันหน่อย ศึกษา และอบรมตามหลักธรรมสำคัญ ๆ ของพระพุทธศาสนา
ให้รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือวิธีทำให้สิ้นสุดความทุกข์
และหลักธรรมประกอบอื่น ๆ อีกไม่กี่ข้อ เช่น เรื่องโลกธรรม ๘ เรื่องสันโดษ เรื่องกฏแห่งกรรม เรื่องการแผ่เมตตา และเรื่องไตรลักษณ์ เป็นต้น เราก็จะไม่ต้องพ่ายแพ้แก่ความเครียด ซึ่งมันเป็นเรื่องทางกายมากกว่า
บางที เพียงเรื่องโลกธรรมเรื่องเดียว ถ้าเรารู้ซึ้งจนยอมรับไปคิดพิจารณาอยู่บ่อย ๆ เราก็สามารถระงับยับยั้งทุกข์ระทมที่โหมโรมรันเราได้สำเร็จง่าย ๆ
ในโลกธรรม ๘ นั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้ความจริง หรือธรรมชาติที่ทุกชีวิตจะต้องได้รับเสมอเหมือนกัน ไม่มีผู้วิเศษอยู่เหนืออำนาจโลกธรรม ๘ กล่าวคือ
๑. มีลาภ แล้วก็ ต้องเสื่อมลาภ
๒. มียศศักดิ์ แล้วก็ ต้องเสื่อมยศศักดิ์
๓. มีสรรเสริญ แล้วก็ ถูกนินทา
๔. มีสุข แล้วก็ ต้องมีทุกข์
– เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ลาภร่ำรวยล้นไม่หยุด
– เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่ยศศักดิ์อัครฐาน ไม่เสื่อม
– เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่คำยกย่องสดุดี ไม่ถูกด่าว่า
– เป็นไปไม่ได้ที่จะมีแต่สุขสนุกสนาน ไม่ทุกข์
อยู่ว่าง ๆ ณ ที่สงบสงัด ทำใจให้เป็นสมาธิ คิดพิจารณาตามที่ว่ามา จิตที่ผิดหวัง มีทุกข์ จะค่อย ๆ มั่นคงมีเหตุผล คลายความทุกข์ได้
พระพุทธองค์ทรงสอนชาวโลกไว้แจ่มแจ้งแล้ว แต่ผู้เครียดทั้งหลาย มิได้ใส่ใจสนใจ มิได้นำมาพินิจพิจารณา จึงต้องเครียดหนัก
ผู้ที่จะอยู่ในโลกได้อย่างสุขสบายไม่เครียด จะต้องเป็นผู้ยอมรับรู้ ยอมรับทราบ ยอมให้ตนได้รับทุกข์ โดยไม่มีการปฏิเสธ (กายจะทุกข์ก็ให้เขาทุกข์)
คล้าย ๆ ว่า แสวงหาสุขบนกองทุกข์ของตน คือ เห็นทุกข์เป็นเพื่อนคู่ชีวิต เห็นความลำบากเป็นทางแห่งเกียรติยศ เห็นความโศกสลดเป็นรสชาติของชีวิต ชีวิตที่เกรียงไกรเลิศล้ำ ต้องมีสีสัน ต้องสามารถแสดงบทบาทโลดโผนได้อย่างดี
มิใช่ชีวิตที่ล่องลอยมาสบาย ๆ ดังพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่า
“หนทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้หอมหวลยวนจิตไซร้ บ่ มี”
อาจมีคนค้านว่า “พูดหรือสอนเขานะ มันแสนยาก แต่พอจะทำเอง มันยากนักยากหนา คนสอนนะยังไม่เคย เป็นหนี้สินใครเป็นร้อย ๆ ล้าน ยังไม่เคยถูกพิษร้ายถึงขนาดบริษัทพัง ธุระกิจล่มจม ตกงาน เงินขาดมือ จึงนึกว่าจะแก้ทุกข์ได้ง่าย”
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรเครียด ไม่ควรตายอยู่ดีนั่นเอง เหตุผลก็คือ เรายังมีร่างกาย ยังมีความรู้ ยังมีความสามารถ และยังมีคุณค่าต่อสังคมมากต่อมาก
– ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสปลอดโปร่งสว่างไสวในชีวิต
– ไม่ตายเสีย ก็ยังมีโอกาสทำงานอื่น ๆ กอบกู้ฐานะได้
– ไม่ตายเสีย ก็คงจะมีเพื่อนผู้สามารถมาชี้แนะอุ้มชู
– ไม่ตายเสีย ก็คงมีโอกาสทำงานขอทุเลาหนี้ หรือใช้หนี้ได้
ถึงไม่อาจใช้หนี้หมดได้จริง เราก็ยังมีโอกาสพบผู้เห็นอกเห็นใจ ผู้เห็นคุณค่าของเราบ้างจนได้
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ความสุขไม่เที่ยงแท้ เป็นจริง เราก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า ความทุกข์ ก็ไม่อยู่กับเราตลอดไปดอก (ทุกข์ก็หมดไปได้) มีทางสว่างไสวอยู่ในความมืดแน่นอน ถ้าเราไม่ด่วนดับอนาคตของตัวเองง่าย ๆ
ที่มา fungdham.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 17/07/2560
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,600.00 | 19,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,270.00 | 19,253.20 | 20,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,143.00 | 17,327.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 572.00 | 8,671.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 445.00 | 6,746.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,316.00 | 19,950.56 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 17/07/2560
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 25.55 | 25.55 | – | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 | 25.55 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 | – | 23.04 | 23.04 | 23.04 | 23.04 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 19.24 | 19.24 | – | – | – | – | – | 19.24 | 19.24 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 | 25.28 |
เบนซิน 95 | 32.66 | – | – | 33.11 | 33.11 | – | 33.16 | 32.66 | 32.66 | 32.66 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 24.49 | 24.49 | 24.49 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 | 23.99 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 27.49 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | 28.17 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 | 05 Jul 05:00 |