สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 21 กรกฎาคม 2560

เทพศักดิ์ ฐิตะรักษา กฟน.เร่งลงทุนสายไฟใต้ดิน 200 กม.

แนวนโยบายยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครแห่งอาเซียนในขอบเขตรับผิดชอบของ “กฟน.-การไฟฟ้านครหลวง” มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ล่าสุด “เทพศักดิ์ ฐิตะรักษา” ผู้ช่วยผู้ว่าการ กฟน.ให้สัมภาษณ์แผนดำเนินการติดตั้งสายไฟฟ้าใต้ดินระยะทาง 200 กม. ในพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ

– Q : คืบหน้ามหานครอาเซียน

นโยบายลงทุนติดตั้งสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ให้บริการ กฟน. เราทำจริงจังและทำมานานมากแล้ว เสร็จไปแล้ว 41 กว่า กม. ส่วนใหญ่ติดถนนหลัก อนาคตขยายเพิ่ม 176 กม. ในเขตพื้นที่มีความสำคัญ อาทิ รอบวัง พื้นที่เศรษฐกิจและตามแนวรถไฟฟ้า เท่ากับจะมี 200 กว่า กม. ขณะที่ถนนเมนในเขตรับผิดชอบมีเป็น 1,000 กม.

ในการพิจารณาลงทุนติดตั้งสายไฟฟ้าใต้ดิน มีเกณฑ์การพิจารณาจากวัตถุประสงค์ 4 ข้อ 1.ภาระไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเขตเมือง ระบบปกติการจ่ายไฟฟ้าทำผ่านระบบสายอากาศ แต่เมื่อเมืองโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ระบบสายอากาศไม่พอจึงต้องลงใต้ดิน

2.ความน่าเชื่อ5ถือของระบบไฟฟ้า ไฟดับน้อยลง ระบบใต้ดินมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าอย่างน้อยไม่มีเสาไฟฟ้าให้ล้ม 3.ความปลอดภัย เพราะไม่มีระบบสายอากาศความปลอดภัยก็จะมากกว่า และ 4.ระบบภูมิทัศน์ ความสวยงามของบ้านเมืองเป็นประการสุดท้าย

ในแง่งบประมาณลงทุน แน่นอนว่าระบบสายไฟฟ้าใต้ดินแพงกว่าระบบสายอากาศ เฉลี่ย กม.ละ 300-400 ล้านบาท แต่สิ่งที่ได้ค่อนข้างคุ้ม ภาระไฟฟ้า จ่ายไฟเพียงพอ ได้เรื่องความสวยงาม ซึ่งเรามุ่งให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งอาเซียน เพราะเรามองว่ากรุงเทพฯ ต้องเป็นเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนสูงมาก

– Q : เร่งรัดดำเนินการอย่างไร

การดำเนินการตามแผนลงทุน เนื่องจาก กฟน.มีระบบสายอากาศมานานแล้ว แต่ก่อนทำเป็นไพล็อตโปรเจ็กต์ เป็นโครงการทดลองเมื่อ 20-30 ปีมาแล้ว เริ่มที่ถนนสายสีลมเมื่อ 40 ปีมาแล้ว ตอนนี้เริ่มเอาจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดมหานครแห่งอาเซียน 127 กม.เดิมกำหนดเป็นแผน 10 ปี ต่อมารัฐบาลให้ความสำคัญมาก ร่นเวลาทำเหลือ 5 ปี จากเดิม 30 ปีทำเสร็จเพียง 40 กม.

ในอดีตเราทำเอง กฟน.ดำเนินการเองเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ซึ่งเดิมเราศึกษาทดลองมากกว่า หาความรู้ไปเรื่อย ๆ การทำมีอุปสรรค การจ่ายไฟดี-ไม่ดียังไง เราทำเองหมดทั้งออกแบบ การก่อสร้างเราจ้างระบบใต้ดิน ส่วนการเดินสายไฟ ติดตั้งเราทำเอง

แผนร่นให้เหลือ 5 ปี เราโดนสั่งให้ทำต่อเนื่อง “แผนโครงการเปลี่ยนสายอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินรองรับมหานครแห่งอาเซียน” ปัจจุบันปี 2560-2564 ระยะทาง 200 กม.ต้องจบ จึงใช้วิธีจ้างเหมาเพราะเรารู้วิธีทำแล้ว พยายามออกบิดให้น้อย มูลค่าสัญญาจะสูง

ส่วนงานที่มีการจัดจ้าง มี 2 ส่วนคือ งานโยธา ก่อสร้างระบบ เหมือนรถไฟฟ้ามีระบบราง โครงสร้าง เดินรถ ไฟฟ้าก็เหมือนกันเรามีระบบก่อสร้างท่อ ส่วนใหญ่ผู้รับเหมาใหญ่ ๆ ในไทยและต่างประเทศ, ระบบไฟฟ้า ส่วนใหญ่ลากสาย ติดตั้งท่อ พยายามทำให้งานมูลค่าสูง ได้บริษัทใหญ่ ๆ การันตีว่าทำงานให้เราสำเร็จ ถ้าบริษัทเล็กอาจทำงานได้ไม่สำเร็จ

– Q : ความจำเป็นทำสายไฟใต้ดิน

ถ้าไม่ทำสายไฟใต้ดิน ผลกระทบประการแรกคือมีสายไฟเยอะมาก เราไม่สามารถสร้างระบบสายอากาศไปในทิศทางที่อยากได้ อาจต้องอ้อมไปไกลมาก เช่น การจ่ายไฟต้องมีแหล่งจ่ายไฟ การเดินไปจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เมืองเติบโตมาก ๆ เช่น ศูนย์การค้าต้องการพลังงานไฟฟ้าเยอะมาก แต่เส้นทางเดินไฟอาจมี 1-2 เส้น ในที่สุดอาจมีเส้นเดียว ต้องอ้อมไปไกลมาก ๆ อาจไปถึงไม่ได้หรือจ่ายไฟไม่เพียงพอ ในที่สุดต้องสร้างระบบสายไฟใต้ดินอยู่ดี

เทียบกับประเทศอื่น ๆ เป็นระบบไฟใต้ดิน ในกรุงเทพฯ เมืองเติบโตเยอะมากแต่ก่อนสร้างเมืองใหม่ ๆ จ่ายไฟยังไงก็ได้ เช่น บางกะปิ เดิมเหมือนกับไปชนบท ไม่มีอะไรเลย ปัจจุบันรถติดไปไม่ได้แล้ว ความเติบโตสูงมาก เดิมสร้างสายไฟเส้นเดียวจ่ายได้ทั้งหมู่บ้าน ตอนนี้ไม่มีทางพอ ต้องสร้างเพิ่มขึ้น ๆ ถึงจุดหนึ่งก็ต้องทำสายใต้ดิน

นี่คือสิ่งที่ต้องพยายามศึกษาตั้งแต่อดีตว่าถ้าจะจ่ายไฟใต้ดินต้องทำยังไงให้เพียงพอ

ขณะเดียวกันใต้ดินของกรุงเทพฯมีท่อต่างๆ มากมาย การทำสายไฟใต้ดินต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเมืองเวลาโต การสร้างอินฟราสตรักเจอร์ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่ค่อยเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว การสร้างสิ่งเหล่านี้จึงค่อนข้างสะเปะสะปะเล็กน้อย

ถนนสายหลักมีท่อของประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ เวลาขุดลงไปเจอเยอะแยะ ตอนหลัง ๆ เจอระบบไอที สื่อสาร ทุกคนวางหมด ปัจจุบัน กฟน.พบว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของเรา ได้มีการเสนอให้จัดตั้งคณะอำนวยการนำสายไฟลงใต้ดิน มี รมว.มหาดไทยเป็นประธาน เรียกหน่วยงานเกี่ยวข้องทุกระบบมาบูรณาการ ทำทุกอย่างพร้อมกัน

เป้าหมายเพื่อ 1.ทำให้ระบบมีระเบียบ 2.ประหยัดงบประมาณเพราะทำพร้อม ๆ กัน ตอนนี้ประชุมแล้วหลายครั้ง มีการมอบหมายชัดเจน ให้ยึดแผน กฟน. 5 ปีเป็นหลัก ดำเนินการไปได้ดีอยู่ แต่คงไม่ทันทีทันใดเพราะเมืองเราเก่า 200 กว่าปี มีระบบเก่าข้างล่าง

ระบบไฟฟ้ามีหลายระดับ เสาก็มีหลายระดับ บางอย่างอยู่บนพื้นผิว ใต้พื้นผิวจราจร บนฟุตปาท บนพื้นผิวจราจรก็ปัญหาเยอะ ฟุตปาทก็ปัญหาเยอะ เราพยายามจัดระเบียบกันอยู่

– Q : เปรียบเทียบต้นทุน

ตอนนี้การนำสายไฟใต้ดินการลงทุนมีต้นทุนสูงกว่าระบบสายอากาศ ประชาชนได้รับผลกระทบต่อค่าไฟเล็กน้อย ภาพรวมเพิ่มต้นทุนนิดเดียว ผลกระทบต่อค่าไฟอาจเปรียบไม่ได้เพราะค่าไฟคิดจากโอเวอร์ออลของประเทศ ไม่ว่า กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) กฟภ. (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และ กฟน. จะมีหลักในการคิดคำนวณ

อย่างที่ผมบอก เราทำ 200 กม.จากพื้นที่ให้บริการไฟฟ้ามีเป็น 1,000 กม. ระบบการลงทุนของเรายังมีอย่างอื่นเยอะมาก เช่น สร้างระบบเพิ่มปกติซึ่งมีมูลค่าสูงอยู่แล้ว ไม่ได้กระทบรุนแรงมากมาย มีผลกระทบแน่นอนแต่ไม่ถึงกับเดือดร้อน

เปรียบเทียบงบลงทุนไฟฟ้าใต้ดิน กม.ละ 300-400 ล้านบาท ระบบสายอากาศ 10 กว่าล้านบาท แต่ต้องดูระบบในภาพรวม เพราะการลงทุนมีหลายอย่าง เช่น สายไฟแรงสูง แรงกลาง แรงต่ำ ต้องนำมาถัวเฉลี่ยกัน เราเคยจัดทำข้อมูลไว้

– Q : สายสื่อสารไม่เป็นระเบียบ

ประเด็นสายสื่อสารระโยงระยางที่บิล เกตส์อัพข้อมูลในโซเชียล เป็นเหตุผลทำให้การทำสายไฟใต้ดินร่นจาก 10 เหลือ 5 ปี นายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าทำให้ประเทศเราเสียชื่อ ทำอะไรได้ก็ให้รีบทำ

ผมอยากจะบอกว่า “รูปเดียวเปลี่ยนชีวิต” กฟน.ต้องมาวางแผนทำยังไงจาก 10 ปีให้เหลือ 5 ปี ไม่ใช่ง่าย เราต้องจ้างเหมามากขึ้น และอาจต้องทำให้ผลกระทบต่อประชาชนมีทันที ผมคำนวณคร่าว ๆ ในปี 2561-2562 จะเริ่มการก่อสร้างบนถนนหลายเส้น

อยากให้ประชาชนเข้าใจ เวลาเราเจอรถไฟฟ้ารู้ได้ว่ามีรถไฟฟ้า ความรู้สึกอีกแบบ อนาคตจะสบาย ๆ ขึ้น แต่ กฟน.ประชาชนนึกไม่ออกว่ามีสายไฟใต้ดิน อยากให้รู้นิดหนึ่งว่าถึงแม้มีไฟฟ้าใช้วันนี้ แต่ถ้า กฟน.ไม่ทำอะไร ในอนาคตไฟฟ้าที่เคยมั่นคง ปลอดภัย คุณภาพอาจลดลง อาจมีไฟดับไฟตกบ้าง กฟน.จึงต้องมีหน้าที่สร้างระบบให้มากขึ้น ทำให้มีผลกระทบกับชีวิตบ้าง มองไม่เห็นเหมือนรถไฟฟ้า แต่เราสร้างเพื่อสร้างอนาคตของประชาชนเช่นเดียวกัน

ที่มา prachachat.net


MQDC ลงทุนระบบต้าน CO2 ย้ำแบรนด์ผู้นำอสังหารักสุขภาพ

MQDC ย้ำแบรนด์ผู้นำบ้านรักสุขภาพ เปิดตัว Home Intelligence System for Well-Being นำร่องคอนโดฯวิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ ต่อยอดแผนลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรม 6,000 ล้าน

นายทรงพล พลรัฐ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า DTGO ให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย โดยจัดสรรงบฯลงทุนด้านนี้รวม 6,000 ล้านบาท ล่าสุด ได้เปิดตัวระบบบ้านอัจฉริยะ (Home Intelligent System)

“เรามั่นใจว่าเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ติดตั้งระบบพัฒนาคุณภาพอากาศภายในอาคาร IAQ-Indoor Air Quality เทคโนโลยีนวัตกรรมที่จะนำมาติดตั้งในคอนโดมิเนียมแบรนด์วิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ ตามแผนคาดว่าก่อสร้างเสร็จและส่งมอบภายในไตรมาส 3/61”

ดร.จิตพัต ฉอเรืองวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนทางนวัตกรรม (RISC) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC บริษัทลูกในกลุ่ม DTGO กล่าวว่า ไฮไลต์นวัตกรรมอยู่ที่ตัว ERV (Energy Recoverty Ventilation) ตรวจวัดคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2 ในห้องนอนกับห้องนั่งเล่น หากตรวจพบค่า CO2 เกินมาตรฐานจะมีการเติมอากาศจากด้านนอกเข้ามาหมุนเวียน เพื่อทำให้ปริมาณ CO2 ลดลงจนเหมาะกับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ

“ค่า CO2 มาตรฐานไม่เกิน 1,000 ppm หรือ 1,000 ในล้านส่วน งานวิจัยชิ้นนี้มาจากพฤติกรรมการพักอาศัยคนเมืองเฉลี่ย 90% ใช้ชีวิตอยู่ในอาคาร โดยเฉพาะการอยู่ในห้องแอร์แทบจะตลอดเวลาทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน ในห้องนอน ห้องที่ใช้แอร์ส่วนใหญ่ไม่มีระบบอากาศหมุนเวียน ทำให้เรารับก๊าซ CO2 สะสมทุกวัน ซึ่งมีผลในระยะยาว เช่น เกิดโรคสมองเสื่อมในผู้สูงวัย หรือสมองพัฒนาการล่าช้าในวัยเด็ก นวัตกรรม ERV จึงพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ในการแก้ปัญหานี้โดยตรง”

นายพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอโบตรอนส์ คอร์ปอเรชัน จำกัด กล่าวว่า บทบาทบริษัทนำผลงานนวัตกรรมมาผลิตให้เป็นรูปธรรม เริ่มต้นเปิดตัวกันด้วยระบบบ้านอัจฉริยะ โฟกัสปัญหาคาร์บอนไดออกไซด์ ภัยร้ายในห้อง ในอนาคตมีการร่วมวิจัยค้นคว้าออกแบบระบบและนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

นางศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น กล่าวตอนท้ายว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในยุคนี้ ต้องคำนึงถึงพฤติกรรมการเลือกซื้ออสังหาฯของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญการเลือกซื้อโครงการจัดสรรที่มีเหตุผล ไม่ใช่แค่ซื้อคุณภาพชีวิต แต่เป็นการเลือกซื้อคุณภาพสุขภาพที่ดีในการพักอาศัย มั่นใจว่าระบบบ้านอัจฉริยะตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด และเป็นรายแรกของประเทศไทยที่นำเสนอโครงการอสังหาฯแนวรักสุขภาพ

ที่มา prachachat.net


ทำความรู้จักกับวัสดุปูพื้นบ้าน กระเบื้องแบบไหนควรใช้งานกับส่วนใด

ทำความรู้จักกับวัสดุปูพื้นบ้าน กระเบื้องแบบไหนควรใช้งานกับส่วนใด

ใครที่คิดกำลังจะตกแต่งบ้าน หรือสร้างบ้าน สิ่งหนึ่งที่จะช่วยสร้างมิติให้กับบ้านคงหนีไม่พ้นวัสดุปูพื้น ที่มีให้เลือกหลายหลายวัสดุ และสามารถช่วยให้บ้านดูมีพื้นผิวสัมผัสที่สวยงามและน่าอยู่อาศัยยิ่งขึ้น โดยส่วนใหญ่พื้นที่ใช้ปูบ้านทั่วไปจะแบ่งออกเป็นสามวัสดุด้วยกัน คือ พื้นกระเบื้อง พื้นไม้ และพื้นหินธรรมชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน ตามลักษณะงาน สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกพื้นแบบไหนให้เหมาะสมกับบ้าน ลองมาทำความเข้าใจและศึกษากันก่อนว่าวัสดุพื้นแต่ละชนิดนั้นเป็นอย่างไร แบบไหนเหมาะกับการปูพื้นห้องอะไร โดยจะแบ่งออกเป็น

วัสดุปูพื้นไม้

พื้นไม้ถือเป็นวัสดุปูพื้นสำหรับคนที่ต้องการให้บ้านดูอบอุ่น มีผิวสัมผัสที่นุ่มนวล เหมาะกับคนที่ต้องการให้บ้านดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะแตกออกเป็นวัสดุไม้จริงไปจนถึงไม้สังเคราะห์ ซึ่งจะมีราคาแตกต่างกันพอสมควร โดยแบ่งออกเป็น

ไม้จริง

tulon-3-strip-parawood-large

ภาพ via jbestfloor.com

ไม้จริงถือว่าเป็นหนึ่งวัสดุที่ได้รับความนิยมสำหรับบ้านระดับ Luxury เพราะเป็นวัสดุที่มีความทนทาน และหรูหรามีราคา เนื่องจากปัจจุบันเป็นวัสดุที่หาได้ยาก ซึ่งไม้ที่นิยมใช้ในการตกแต่งพื้นบ้านจะเป็น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้โอ๊ค ไม้มะฮอกกานี เป็นต้น ขนาดพื้นไม้ที่นิยมใช้งานปูพื้นทั่วไปจะมีความหนาที่ 1 นิ้ว หน้ากว้าง 4-6 นิ้ว และมีความยาวไม้มาตรฐานตั้งแต่ 40, 60 ,75, 100, 120 และ 150 ซม. ซึ่งความหนาระดับดังกล่าวจะช่วยป้องกันการชำรุดได้ง่าย รวมไปถึงความกว้างที่เมื่อนำมาปูพื้นจะเน้นให้มีรอยต่อน้อยที่สุด ส่วนใหญ่ผู้ที่เลือกใช้พื้นไม้จริงจะทำการเคลือบไม้ทุกๆ 3-5 ปี

ไม้ลามิเนต

vx

ภาพ via tj-interior.com

ไม้ลามิเนตคือวัสดุปูพื้นยอดฮิตสำหรับคอนโดมิเนียม เป็นพื้นที่นำวัสดุ MDF และ HDF (แผ่นใยไม้อัดที่มีความหนาแน่นสูง มีความหนาตั้งแต่ 2.5 มม. – 25 มม.) มารองพื้นชั้นล่าง แล้วปิดผิวจริงสไลด์บางๆ หรือแผ่นฟิล์มพิมพ์ลายไม้ เคลือบผิวด้วยเมลามีนเรซิน เป็นสารเคลือบเพื่อป้องกันรอยขูดขีด แต่ลักษณะการใช้งานจะคงทนน้อยกว่าไม้จริง ส่วนใหญ่จะใช้ปูพื้นภายในบ้าน ในห้องหรือบริเวณที่ห่างจากความชื้นสูง

ไม้สังเคราะห์

LITE--2

ภาพ via siamwoodmall.com

พื้นไม้สังเคราะห์หรือไม้เทียมเป็นผลิตภัณฑ์ที่สังเคราะห์ขึ้นมาทดแทนไม้จริง จึงมีราคาถูกกว่า แต่มีความแข็งแรงทนทานจากการผลิตออกมาจากโรงงานและมีความหนาถึง 25 มม. แต่พื้นผิวอาจจะไม่เนียนนุ่มสัมผัสเท่ากับไม้จริง ส่วนใหญ่จะมีระยะ 30 ซม. สำหรับหน้ากว้าง 6 นิ้ว และ 25 ซม. สำหรับหน้ากว้าง 4 นิ้ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวัสดุไม้ที่นิยมในการปูพื้นสำหรับคนที่อยากรักษาธรรมชาติภายในบ้าน และอยากลดต้นทุน เพราะมีความทนทานต่อสภาวะอากาศและการกัดกินของปลวก

วัสดุปูพื้นกระเบื้อง

พื้นกระเบื้องถือเป็นวัสดุที่ใช้งานได้หลากหลายที่สุด เนื่องจากมีให้เลือกหลายแบบ หลายราคา ตลอดจนสีสันลวดลาย และขนาด จึงใช้ได้ทั้งงานพื้นและงานผนัง โดยกระเบื้องปูผนังส่วนใหญ่จะเป็นกระเบื้องโมเสค และกระเบื้องเซรามิกที่มีลวดลายจากการตกแต่งกระเบื้องชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกัน และเทคโนโลยีพิมพ์ลาย แต่ในส่วนของกระเบื้องปูพื้นจะมีสีสันไม่ค่อยหวือหวามาก มักเน้นความเรียบหรู และมีคุณสมบัติที่ทนทาน ดูดซึมน้ำได้ดี ไม่ทำปฏิกิริยากับกรดและด่าง โดยกระเบื้องที่นิยมใช้กันแบ่งออกเป็น

Marmo Granito

ภาพ via http://www.dueemmemarmi.com/https://th2-cdn.pgimgs.com/cms/im_link/graniti.original.jpg

าพ via dueemmemarmi.com

Marmo Granito เป็นกระเบื้องที่ให้ผิวสัมผัสใกล้เคียงกับหินธรรมชาติ เพราะลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นลายริ้วหินแทรกอยู่ตลอดทั้งแผ่น และมีการดูดซึมน้ำดีกว่ากระเบื้องอื่นๆ ที่ 0.1% (กระเบื้องทั่วไปจะอยู่ที่ 5-7%) และยังทำความสะอาดได้ง่าย พร้อมทั้งยังไม่ขึ้นราเหมือนหินธรรมชาติ

กระเบื้องเซรามิก

seramic floor qwe

ภาพ via bangkok-today.com

หนึ่งในวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะมีจุดเด่นตรงความสวยงาม มีรูปแบบให้เลือกมากมาย และมีความทนทาน รวมไปถึงความสามารถในการทำความสะอาดได้ง่าย นิยมนำไปใช้กับพื้นระเบียง พื้นห้องน้ำ พื้นที่ซักล้าง โดยมีให้เลือกชนิดผิวหน้าที่โดนน้ำแล้วไม่ลื่นด้วย

กระเบื้องเกลซพอร์ซเลนหรือกระเบื้องเนื้อพอร์ซเลน

HTB1FxSZLVXXXXaUXpXXq6xXFXXX7

ภาพ via g03.s.alicdn.com

กระเบื้องพอร์ซเลน คือ กระเบื้องที่มีกระบวนการเคลือบสีและตกแต่งลวดลายได้ออกมาคล้ายหินธรรมชาติมาก ด้วยคุณลักษณะที่เป็นกระเบื้องเนื้อเดียว จึงมีความแข็งแกร่งสูง และมีขนาดใหญ่กว่ากระเบื้องเซรามิก ข้อดีก็คือทำให้พื้นผิวบ้านมีรอยต่อน้อย ไม่โก่งงอ รวมไปถึงมีค่าการดูดซึมน้ำต่ำมาก

กระเบื้องแกรนิโต้

granitonero-395c395granito

ภาพ via 1.bp.blogspot.com

เป็นกระเบื้องเนื้อเดียว จัดอยู่ในกระเบื้องพอร์ซเลนชนิดหนึ่ง แต่มีหินเป็นส่วนผสม ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ที่ประมาณ 60×60 ซม. นิยมปูพื้นและเว้นรอยต่อ 1-2 มม. เหมาะกับบ้านที่ต้องการความพื้นที่มีความเรียบต่อเนื่องกันทั้งชั้น ดังนั้นการปูกระเบื้องแกรนิโต้ที่มีขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญ จึงจะออกมาราบเรียบสวยงาม และพื้นผิวไม่เสียหาย โครงการบ้านจัดสรรนิยมนำไปใช้เพราะมีราคาไม่แพงมาก และวัสดุมีคุณภาพ

วัสดุปูพื้นหินธรรมชาติ

หินธรรมชาติถือเป็นวัสดุที่ให้ความเป็นธรรมชาติบวกกับความเรียบหรูสไตล์เมืองนอก มีให้เลือกทั้งแบบที่ผลิตในไทยและต่างประเทศ สามารถใช้กระเบื้องหินธรรมชาตินี้กรุผนัง ปูพื้นได้ตามความเหมาะสม ซึ่งตัวหินเองจะมีหลายเกรด ดั้งนั้นหากอยากได้งานที่เรียบร้อยควรใช้ช่างปูหินโดยเฉพาะในการปูพื้นบ้าน

หินอ่อน

รีโนเวทบ้านแบบหินอ่อน-04-min

ภาพ via renovate.in.th/

หินอ่อนมีจุดเด่นที่ลวดลายที่สวยงาม มีหลายชนิด สีสันแตกต่างกันไปส่วนใหญ่นิยมเอาไปทำพื้น ผนัง และท็อปเคาท์เตอร์ครัว ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ต้องใช้งานหนัก เพราะหินอ่อนเป็นหินที่มีรูพรุนเล็กๆ ในเนื้อหิน จะไม่แข็งแรงมากนัก รวมไปดึงมีผลข้างเคียงกับกรดและด่าง พื้นหินอ่อนจึงไม่เหมาะกับ ห้องน้ำ ห้องครัว หรืองานภายนอก

หินกาบ

luxury-two-story-home-design-001

ภาพ via banindy.com

หินกาบเป็นหินเนื้อละเอียดที่มีลักษณะเป็นชั้นหิน มีความแกร่งสูง มีรูพรุนน้อยกว่าหินอ่อน จึงดูดซึมน้ำได้น้อยกว่า นิยมนำมาปูพื้นหรือกรุผนังทั้งภายนอกและภายใน ส่วนใหญ่หากนำมาใช้งานควรลงน้ำยาเคลือบหินเคลือบเงาหรือขี้ผึ่ง เพื่อป้องกันการดูดซึมสิ่งสกปรก ช่วยให้มีผิวมันเงา และสีเข้มขึ้นด้วย

หินแกรนิต

granit dlfl

าพ via 1.bp.blogspot.com

วัสดุปูพื้นหินชนิดนี้เป็นหินที่มีความแข็งแรง และทนทานต่อแรงกระแทกรอยขีดข่วน และสารเคมี รวมไปถึงความชื้นด้วย สามารถอยู่ได้ในทุกสภาวะอากาศ และทำความสะอาดง่าย มีหลากหลายสีให้เลือกสรร และมีทั้งผิวมันและผิวเรียบ ประกอบไปด้วยผิวขัดเรียบมันที่นิยมใช้ปูพื้นภายในบ้าน และผิวพ่นทรายที่มีความหยาบเล็กน้อยช่วยกันลื่น มักจะนำไปใช้บริเวณโซนซักล้าง ลานจอดรถ สุดท้ายคือผิวพ่นไฟ ซึ่งมีความหยาบมากกว่าทุกพื้นผิวเหมาะกับการตกแต่งผนังบ้านสไตล์โมเดิร์น

เมื่อทราบถึงวัสดุปูพื้นต่างๆ แล้วก็อย่าลืมเช็คงบประมาณและราคา รวมไปถึงความเหมาะสมของตัวบ้านด้วย เพราะวัสดุปูพื้นมีหลากหลายชนิด หลากหลายรูปแบบ ลักษณะการใช้งานจึงต่างกันไป แต่เมื่อทราบแล้วถึงคุณสมบัติต่างๆ ก็สามารถนำไปใช้ตกแต่งพื้นหรือผนังบ้านได้อย่างถูกจุด

ที่มา ddproperty.com


พีคมาก เมื่ออินเดีย มีโครงการจะสร้างรถไฟพลังงานแสงอาทิตย์

พีคมาก เมื่ออินเดีย มีโครงการจะสร้างรถไฟพลังงานแสงอาทิตย์

ในขณะที่ต้นทุนของเทคโนโลยีโซล่าร์เซลล์ นับวันมีแต่จะราคาถูกลงเรื่อยๆ ทำให้องค์กรธุรกิจหลายแห่งเริ่มหันมาสนใจพลังงานสะอาด เพื่อลดต้นทุนของธุรกิจ เช่นเดียวกับการรถไฟแห่งประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเครือข่ายการเดินทางโดยรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ได้ทำการเปิดตัวโครงการสายรถไฟ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซล่าร์เซลล์ เพื่อแก้ปัญหามลพิษ และลดปริมาณการใช้น้ำมัน

พีคมาก เมื่ออินเดีย มีโครงการจะสร้างรถไฟพลังงานแสงอาทิตย์

โดยหน่วยงานที่ดูแลกิจการรถไฟของอินเดีย ได้เปิดตัวรถไฟแบบใหม่สู่สายตาสาธารณะชน โดยมันใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Diesel Electric Multiple Unit (DEMU) โดยหัวรถจักรที่ทำหน้าที่ลากขบวนรถไฟ ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลอยู่เช่นเดิม แต่ความแตกต่างคือ มีการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์เข้าไปบนหลังคารถไฟ และแผงโซล่าร์เซลล์จะทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อหล่อเลี้ยงระบบไฟส่องสว่าง พัดลม และแผงป้ายแสดงข้อมูลที่ติดตั้งอยู่ในขบวนรถ และแผงโซล่าร์เซลล์จะเข้ามาแทนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเดิม ที่สร้างไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ดีเซล โดยเทคโนโลยี DEMU นี้ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Noida-based Jakson Engineers ภายใต้การกำกับโดย หน่วยงานพลังงานทางเลือกสำหรับรถไฟ ของประเทศอินเดีย (Indian Railways Organization for Alternate Fuels)

การรถไฟแห่งอินเดีย ได้วางแผนจะติดตั้งเทคโนโลยี DEMU เข้ากับขบวนรถไฟทั้งหมดที่มีอยู่ โดยแต่ละขบวนจะมีการติดตั้ง 16 แผงโซล่าร์เซลล์ เพื่อทดแทนการใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบดั้งเดิมที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว โบกี้รถไฟเพียงจำนวน 6 โบกี้ที่ติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ สามารถทำให้การรถไฟของอินเดีย สามารถประหยัดน้ำมันดีเซลได้ถึง 21,000 ลิตร ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง $20,000 ต่อปี (ประมาณ 673,400 บาท) โดยการรถไฟของอินเดีย วางแผนว่าจะติดตั้งเทคโนโลยี DEMU เข้ากับขบวนรถไฟย่านชานเมืองของ New Delhi และเมื่อมีการติดตั้งเต็มระบบ เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ถึง 6 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 10 ปี (ประมาณ 2 แสน 2 พันล้านบาท)

ที่มา news.thaiware.com


35 เคล็ดลับดีๆ ของคนวัย 35 ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ

หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จ บางคนก็ไม่ได้เรียนจบปริญญามาแต่ทำไมถึงรวยได้ ก็เพราะเขามีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งนั่นเอง และนำความรู้ที่มีอยู่มาต่อยอดทำเงินได้มหาศาล​

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

  เคล็ดลับของคนวัย 35 ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ อยากรวยไว มีชีวิตสุขสบายก่อนแก่ ต้องลองอ่านเคล็ดลับสู่ความสำเร็จต่อไปนี้ แล้วรีบทำตามด่วน

เคยนึกภาพตัวเองตอนอายุ 35 กันดูไหมว่าถ้าถึงตอนนั้นแล้วชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนกันนะ ซึ่งหากใครที่กำลังบ่นว่านี่ก็อายุมากกว่า 35 แล้วนะ แต่ทำไมชีวิตทุกวันนี้ขยันทำงานมากเท่าไรก็ยังไม่รวยสมใจสักที ดังนั้นลองมาสำรวจตัวเองกันหน่อยดีไหมว่ามีนิสัยขี้เกียจอะไรอยู่นะ ถึงไม่ประสบความสำเร็จสักที

1. สำรวจความรู้ของตัวเอง
คนที่ประสบความสำเร็จรุ่นใหญ่หลายคนก็ไม่ได้เรียนจบปริญญามาแต่ทำไมถึงรวยได้ ก็เพราะเขามีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งนั่นเอง และนำความรู้ที่มีอยู่ก็ทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นเลิกตั้งคำถามให้ตัวเองสักทีได้แล้วว่าทำไมถึงไม่รวย ให้เปลี่ยนมาถามตัวเองดีกว่าว่าเราเก่งเรื่องอะไรมากที่สุด

2. รู้จุดแข็งตัวเอง
เป็นนิสัยที่ตัวเราควรคิดตกตะกอนให้เร็วที่สุดว่าเราถนัดเรื่องอะไร ซึ่งจุดแข็งนี่แหละจะเป็นคำตอบให้กับคุณเองว่าควรหันเหชีวิตไปทางไหน ดังนั้นในแต่ละวันที่ลืมตื่นขึ้นมาก็อย่าลืมถามตัวเองว่า วันนี้เราต้องพัฒนาตัวเองอะไรบ้าง

3. รู้จุดอ่อนตัวเอง
ข้อที่แล้วพูดถึงสิ่งที่คุณถนัด ในข้อนี้ลองหันกลับมามองสิ่งที่ไม่ถนัดบ้าง ซึ่งสิ่งที่ไม่ถนัดถือเป็นจุดอ่อนที่สามารถฉุดความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของคุณได้ ดังนั้นทุกครั้งที่มีการนำเสนอผลงานของตัวเอง ก็อย่าลืมขอคำติชมด้วย คุณจะได้รู้ว่าต้องปรับปรุงในเรื่องอะไร

4. เรียนรู้ที่จะเป็นตัวแทนของใคร
นิสัยในข้อนี้ฟังดูอาจร้ายกาจไปหน่อย เพราะดูเหมือนจะสอนให้เราหัดเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่นซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นซะทีเดียวนะ นิสัยข้อนี้ควรทำเพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เราขาดไปนั่นเอง เช่น หัวหน้าคุณเป็นคนทำงานเก่งมาก บริหารงานได้คล่องแคล่วไปหมด คุณก็ควรแอบจำวิชาเขามาฝึกปรือบ้าง ดีไม่ดีคุณอาจจะเหนื่อยกับงานน้อยลง เพราะรู้ทันสไตล์การทำงานของหัวหน้านั่นเอง

5. คว้าทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต
หลายคนต้องพลาดโอกาสเรื่องงานไปเพียงเพราะการต่อรองไม่ได้อย่างใจต้องการ แทนที่จะใช้โอกาสที่ได้รับนั้นแสดงความสามารถของตัวเอง ค่อยไปต่อรองให้ได้ในสิ่งที่ต้องการในทีหลัง ดังนั้นเมื่อมีคนหยิบยื่นโอกาสให้เราได้แสดงฝีมือก็อย่าเรียกร้องอะไรมากนักควรนำใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ดีกว่า

6. เลือกทำในสิ่งที่คุณรู้สึกภูมิใจ
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่จะภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างมาก เขาจะสามารถเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดจนเห็นภาพได้เลยว่างานที่เขาทำเป็นอย่างไร ดังนั้น หยุดค้นหางานที่คิดว่าน่าจะทำแก้ขัดไปก่อนได้ แต่ควรหางานที่คิดว่าคุณสามารถเต็มที่กับมันได้จะดีกว่า เพราะคุณจะมีความตั้งใจให้งานออกมาดี

7. เรียนรู้จากข้อผิดพลาด ไม่ใช่จากสิ่งที่ประสบความสำเร็จแล้ว
คนที่มีผลงงานสร้างชื่อมากมายมักจะไม่ชื่นชมกับความสำเร็จเหล่านั้นมากนัก แต่จะหันไปสนใจกับสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ เพราะพวกเขาต้องการเรียนรู้ปัญหาใหม่ ๆ นั่นเอง ดังนั้นหากสิ่งไหนที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ควรนำกลับมาทบทวนตัวเองว่า มีอะไรบ้างที่เราทำดีแล้ว และมีอะไรบ้างที่เราควรทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม

8. หาเวลาออกไปท่องเที่ยวบ้าง
การที่ขยันทำงานโดยที่เคยไม่ลาป่วย ลากิจ หรือลาพักร้อนเลย บางครั้งเจ้านายก็ไม่ได้ปลาบปลื้มใจเท่าไรนัก เพราะนั่นกำลังหมายถึงว่าพนักงานคนนี้ไม่คิดจะเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิตบ้าง ดังนั้นใช้สิทธิ์วันหยุดของตัวเองแล้วออกไปท่องโลกกว้างบ้างก็ได้ อย่างน้อยมันก็จะช่วยเติมพลังให้คุณมีไฟในการทำงาน

9. ปรับตัวเข้ากับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ประสบการณ์แย่ ๆ จากการทำงานที่เคยเจอมาอาจทำให้คุณจำฝังใจและไม่อยากเจอะเจออีกเลยในชาตินี้ เช่น ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบเจ้านาย หรือแม้แต่ไม่ชอบบรรยากาศในออฟฟิศ จนกลายเป็นว่าเมื่อไรที่คุณรู้สึก “ไม่ใช่” ขึ้นมา ก็คิดหาทางจะหนีไปหาสิ่งใหม่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกที่ก็มีปัญหาเหมือนกันหมด ดังนั้นลองปรับตัวเข้ากับสิ่งนั้นดูก่อน อาจทำให้รู้ว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

10. รับฟังคอมเม้นท์เรื่องงานอย่างเป็นกลาง
ฟีดแบ็กเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณรู้ว่าคุณเป็นที่ยอมรับมากแค่ไหนในสายตาคนอื่น ดังนั้นอย่ากลัวที่จะอ่านคอมเม้นท์จากคนอื่น เพราะคอมเม้นท์ทั้งหมดเป็นตัวสะท้อนจุดบอดที่คุณทำพลาดไป ถือเป็นข้อดีนะ เพราะเมื่อไรที่คุณก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งใหญ่ขึ้นคงไม่มีใครบอกให้รู้ตัวกันหรอก

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

11. รู้จักนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ
นิสัยในข้อนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงความเป็นผู้นำที่แฝงอยู่ในตัวคุณ ดังนั้นเมื่อไรที่คุณผุดไอเดียใหม่ ๆ ก็นำเสนอออกมาบ้าง คนอื่นจะได้เห็นว่าคุณมีความเอาใจใส่ในงานที่ทำ

12. รู้จักที่จะปฏิเสธซะบ้าง
คำว่า “ไม่” สำหรับน้องใหม่ไฟแรงอาจจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณมีงานล้นมือ คาดว่าเคลียร์ไม่ทัน ก็ควรใช้คำนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวคุณเองมีการบริหารจัดการงานของตัวเองในระดับหนึ่งนะ แต่ไม่ใช่ว่าเอะอะก็ปฏิเสธไว้ก่อนโดยที่ยังไม่ได้ดูความเป็นไปได้เลย อันนั้นก็คงดูไม่งามค่ะ

13. สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจบ้าง
การเข้าสังคมกับที่ทำงานจำเป็นอย่างมาก ถือเป็นกิจกรรมที่บ่งบอกว่าคุณก็มีตัวตนอยู่ในบริษัท แต่ก็ไม่ต้องถึงกับต้องตีซี้กับคนในออฟฟิศไปทั่วหรอก นัดกินข้าวกับคนที่คลิกกับคุณจริง ๆ เท่านั้นก็พอ อย่างน้อยเวลาเกิดปัญหาเรื่องงานก็ยังมีเพื่อน ๆ คอยให้คำปรึกษา

14. ควรมีผู้ใหญ่ไว้ปรึกษาเรื่องงาน
เบื้องหลังของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนมักจะมีกุนซือหนุนหลังกันแทบทุกคน เพราะคนที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะมักจะมองอะไรออกกว่าคนประสบการณ์น้อย ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเราเป็นเพียงพนักงานระดับปฏิบัติการตัวเล็ก ๆ ก็ควรมีผู้ใหญ่ที่พร้อมจะให้คำปรึกษาเอาไว้บ้างเพื่อคอยให้คำแนะนำ คอยเตือนว่าอะไรทำแล้วดี อะไรไม่ควรทำ

15.วางตัวให้ดีบนโซเชียลมีเดีย
แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างไร ข้อมูลก็สามารถถูกแฮคข้อมูลได้อยู่ดี ดังนั้นควรใช้พื้นที่ตรงนี้ทำแต่เรื่องดี ๆ ดีกว่า เช่น การแชร์ข่าวที่มีสาระ โพสต์เรื่องราวที่น่าติดตาม รวมถึงการใช้คำพูดสุภาพ การทำแบบนี้จะทำให้ผู้อื่น

16. รู้จักใช้ LinkedIn สร้างคอนเน็กชั่น
ลิงค์อิน (LikedIn) เป็นเว็บไซต์สื่อกลางด้านธุรกิจ ที่ส่วนใหญ่จะมีแต่คนที่โปรไฟล์เริด ๆ ใช้งานกัน ดังนั้น หากต้องการยกระดับคุณภาพตัวเอง ก็ลองใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้ดู แล้วจะพบว่ามันช่วยสร้างคอนเน็กชั่นให้คุณได้มากทีเดียว อีกทั้งยังทำให้คุณรับรู้ข่าวสารแวดวงธุรกิจก่อนใครอีกด้วย

17. อัพเดทพอร์ตงานของตัวเองเสมอ
ในบางสายงานก็จะพิจารณาจากประสบการณ์เป็นหลัก ซึ่งพอร์ตงานจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยการันตีได้ถึงความสามารถของคุณ และยังช่วยนำทางไปสู่โอกาสการงานที่รุ่งโรจน์ในเวลาต่อมา ดังนั้นควรอัพเดทผลงานของตัวเองอยู่เสมอ และเลือกเก็บผลงานเฉพาะที่คุณคิดว่าเจ๋งจริงเท่านั้นก็พอ

18. รู้วิธีขายตัวเอง
หากคุณไม่พูดโฆษณาตัวเองก็คงไม่ใครรู้ได้ว่าคุณทำอะไรเป็นบ้าง ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าจุดแข็งของเราคืออะไร ใช้สกิลตรงนี้เป็นจุดขายซะเลย ซึ่งถ้าคุณสามารถพูดเชียร์ตัวเองได้อย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด คนฟังก็จะเชื่อมั่นตามไปด้วยว่าคุณมีความสามารถจริง แต่ก็อย่าโม้เกินจริงล่ะ ถ้าเกิดทำไม่ได้อย่างที่พูดจะยุ่งเอา

19.รู้วิธีต่อรองเงินเดือนในฝัน
หลายคนอาจต้องพลาดงานที่ตัวเองอยากทำเพียงเพราะต่อรองเงินเดือนไม่เป็น ซึ่งความจริงแล้วไม่ยากเลยเพียงแค่เสนอเงินเดือนให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน หากคุณเจ๋งกว่ามาตรฐานที่เขากำหนดก็อาจเรียกเงินเดือนสูงกว่านี้นิดหน่อยได้ อย่างไรก็ตามอย่าเรียกเงินเดือนน้อยไปจนดูเหมือนเราไม่มีทางเลือก

20. ไม่ดองงาน
ไม่ว่าสไตล์การทำงานของใครจะเป็นอย่างไรก็มักจะมีปลายทางเหมือนกันคือ ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ ซึ่งบางคนอาจมีอารมณ์อินดี้ไปบ้างคือจะทำงานเมื่ออยากทำเท่านั้น ทำให้งานมากองไม่ถูกเคลียร์ไปเป็นวันต่อวัน ดังนั้นลองใช้วิธีของคนมือโปรที่เขาทำกันก็คือ รีบจัดการให้เสร็จก่อนกำหนดเวลา เผื่อเวลาเอาไว้แก้ไขนั่นเอง

21. รายงานความคืบหน้าเรื่องงานตลอด
อีเมลเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันได้ว่าคุณทำงานอะไรไปแล้วบ้าง ดังนั้นไม่ว่าระบบงานจะยืดหยุ่นแค่ไหน คุณก็ควรอีเมลแจ้งหัวหน้าเป็นรายวันว่าวันนี้คุณทำอะไรบ้าง ถึงแม้เขาจะไม่เปิดอ่านก็ตาม อย่างน้อย ๆ ถ้าใครมาหาว่าคุณไม่ทำงาน คุณก็จะได้มีหลักฐานไปงัดกับเขานะ

22. รู้วิธีแสดงความเสียใจ
ในการสมัครงานก็เหมือนการเดินเข้าสนามรบอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ดังนั้นคุณก็ควรรู้วิธีแสดงความเสียใจกับผู้แพ้อย่างถูกต้องด้วย เช่น ถ้าคุณได้ตอบรับเข้าทำงาน ในขณะที่ผู้สมัครอีกคนไม่ได้ คุณก็ควรมีคำพูดให้กำลังใจเขาสักหน่อย ดีกว่าโบกมือบาย ๆ พร้อมคำพูดว่า “เสียใจด้วย”

23. เตรียมอุปกรณ์ทำงานพร้อมใช้เสมอ 
มันคงดูไม่ดีเท่าไรนัก ถ้าคุณมาทำงานในสภาพที่หลง ๆ ลืม ๆ สิ่งของที่จำเป็นต่อการทำงาน ทำให้ต้องหยิบยืมเพื่อนข้างโต๊ะ ซึ่งบ่อยครั้งเข้าเขาต้องรู้สึกไม่ดีแน่ ดังนั้นควรทำลิสต์รายการเลยว่าในแต่ละเดือนมีอะไรบ้างที่คุณต้องใช้ทำงาน การมีอุปกรณ์ครบแบบนี้จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างไหลลื่น ไม่ต้องเสียเวลาเดินขอยืมใคร

24. รู้ข้อจำกัดในร่างกายตัวเอง
สุขภาพกับคนทำงานเป็นของคู่กัน และยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย เพราะในแต่ละวันที่คุณออกแรงทำงานก็เหมือนกับการใช้จ่ายสุขภาพไปทีละน้อยด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรหาเวลาฟิตร่างกายบ้างเพื่อให้พร้อมกับการทำงานบ้าง

25. ให้ความสำคัญกับการนอน
เรื่องงานมักจะเบียดเบียนเวลานอนของเราได้เสมอ ดังนั้นคุณก็ควรตั้งเหล็กให้กับตัวเองเลยว่าจะเข้านอนเวลาไหน และต้องนอนให้ได้กี่ชั่วโมง เพราะการนอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายมีสมาธิเพียงพอในการทำงานด้วยนะ

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

26. รู้วิธีจัดการกับความเครียด
ความเครียดเป็นตัวศัตรูตัวฉกาจสำหรับร่างกายของเรา เมื่อไรที่รู้สึกเครียดแล้ว ร่างกายแย่ลง จิตใจก็ห่อเหี่ยวไม่อยากทำอะไรตามไปด้วย ดังนั้นควรหาวิธีเฉพาะตัวสักหนึ่งอย่างเอาไว้สู้รบปรบมือกับความเครียดที่ชอบมาเยือน เช่น ออกไปเดินเล่น ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น

27. ไม่พูดขอโทษพร่ำเพรื่อ 
คำว่าขอโทษเป็นสิ่งที่คนสุภาพเขาทำกันก็จริง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ คงโดนสงสัยว่าคุณเป็นพวกติ๋ม ไม่สู้คนแน่ ดังนั้นพูดขอโทษกับเรื่องที่เราทำผิดจริงดีกว่านะ ส่วนทำผิดพลาดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ใช้คำว่า “จะแก้ไขทันทีครับ/ค่ะ” แทนแล้วกัน น่าจะเหมาะสมกว่าเนอะ

28. ไม่ขโมยไอเดียคนอื่นมาเป็นของตัวเอง
แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกก็เกิดขึ้นมาจากการลอกเลียนแบบกันไปมาทั้งนั้น แต่สำหรับเรื่องงานแล้วการลอกเลียนงานคนอื่นเป็นเรื่องน่าเกลียดอย่างมาก ควรเอามาปรับเปลี่ยนใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปบ้าง ดังนั้นถ้าหากจำเป็นต้องทำจริง ๆ ก็นำมาใช้เป็นแนวทางได้ แต่ถ้าลอกมาทั้งดุ้นก็คงไม่ไหวนะ

29. มีแผนสำรองในชีวิตเสมอ
คนที่มีประสบการณ์ในชีวิตมาในระดับหนึ่ง จะค้นพบว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องมองหาหลักประกันชีวิตในด้านอื่นเอาไว้ด้วย เช่น การทำประกันชีวิต ดังนั้นถ้าหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัวลงตัวดีแล้ว ก็อย่าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยต้องหันมาวางแผนรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เอาไว้ด้วย

30. หารายได้เสริม
รู้หรือไม่ว่างานประจำที่ทำอยู่ก็ช่วยให้เรามีรายได้เสริมได้เหมือนกันถ้าคุณรู้จักพลิกแพลงวิธีนิดหน่อย เช่น ถ้าคุณเป็นที่ปรึกษาการตลาดอยู่แล้ว ก็อาจจะลองบริหารกิจการออนไลน์เล็ก ๆ ดูบ้างดีไม่ดีอาจทำกำไรมากกว่างานประจำที่ทำอยู่ แถมยังได้ความรู้จากการลงมือทำจริงด้วย

31. วางแผนชีวิตตัวเองในวัยเกษียณ
หากคุณอยู่ในวัยเพิ่มเริ่มทำงานประจำขอแนะนำว่าให้เก็บเงินให้ได้มากที่สุด อย่าเพิ่งคิดเอาเงินไปลงทุนอะไร เพราะในช่วงการใช้ชีวิตวัยทำงานแรก ๆ ยังไม่มีภาระหนี้สินเท่าไรนัก เมื่อทำงานไปได้สัก 2-3 ปี ถึงตอนนั้นจะเอาเงินมาลงทุนก็ยังไม่สาย ส่วนใครที่มีอายุงานมากแล้วก็ขอให้วางแผนชีวิตในวัยเกษียณของตัวเอง หยุดหาหนี้สินเพิ่มได้แล้ว เพราะแก่ตัวไปจะไม่มีแรงทำงานปลดหนี้เอาน่ะสิ

32. เพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
หลายคนทำงานหนักเพราะหวังว่าอนาคตจะสบาย เลยไม่ค่อยตอบแทนรางวัลอะไรให้ตัวเองมากนัก ซึ่งหากใครที่ไม่รู้จะให้รางวัลอะไรตัวเอง ก็ลองลงทุนกับตัวเองดูด้วยการสมัครคอร์สเรียนพิเศษ เช่น เรียนภาษา เรียนทำขนม หรือเรียนงานฝีมือ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้จะทำให้เรามีรายได้เสริมทีหลัง

33. คืนกำไรสู่สังคม
ส่วนใหญ่นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะมองถึงเรื่องการคืนกำไรให้สังคม เช่น การตั้งกองทุนบริจาค เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตามค่ายต่าง ๆ เป็นต้น เพราะพวกเขาคิดว่าได้จากสังคมมามากพอแล้ว ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราก็สามารถทำได้โดยการบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยเหลือโครงการเพื่อการกุศลบ้าง

34. ค้นพบสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง 
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เราจะเห็นคนดังที่ประสบความสำเร็จแล้ว บั้นปลายชีวิตกลับผันตัวเองไปทำในสิ่งที่แทบไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่ทำแล้วมีความสุข นั่นอาจเป็นเพราะว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาลืมมองหาความสุขที่ใช่สำหรับตัวเอง ดังนั้นเราก็ใช้คติในข้อนี้มาเป็นบทเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการกำหนดเป้าหมายเอาไว้ด้วยว่าจะทำงานไปถึงเมื่อไหร่ และหลังจากนั้นจะทำอะไรต่อ เพราะมันเป็นสัจธรรมที่ว่าบทบาทในสังคมของเราย่อมมีวันหมดอายุ

35. ให้รางวัลตัวเองทุกวัน
ในแต่ละวันเราอาจไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักได้แบบเต็มเวลา แต่เราก็สามารถแบ่งเวลาไปทำในสิ่งที่เรารักได้นี่นา โดยการแบ่งเวลาสัก 2 ชั่วโมง ด้วยการดูหนังโปรดสักเรื่อง หรือกินข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละครั้ง เพื่อปลดปล่อยความเครียด เป็นการชาร์จพลังใจให้เราอยากตื่นมาทำงานในทุกวัน

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ภาษิตจีนประโยคนี้เหมาะกับคนวัยทำงานที่กำลังมองหาความสำเร็จอย่างเรา ๆ มากทีเดียวนะคะ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องจริงทีเดียวว่าก่อนที่จะทำอะไร เราย่อมต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อนว่ามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน แล้วเป้าหมายความสำเร็จของเราก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ที่มา  zazana.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 21/07/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,700.00 19,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,276.00 19,344.16 20,300.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,148.40 17,409.74 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 574.00 8,701.84 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 447.00 6,776.52 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,322.00 20,041.52 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  21/07/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55
แก๊สโซฮอล E-20 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04
แก๊สโซฮอล E-85 19.24 19.24 19.24 19.24
แก๊สโซฮอล 91 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28
เบนซิน 95 32.66 33.11 33.11 33.16 32.66 32.66 32.66
ดีเซลหมุนเร็ว 24.49 24.49 24.49 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 27.49 28.17 28.17 28.17 28.17
มีผลตั้งแต่ 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า