ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,800.00 | 19,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,283.00 | 19,450.28 | 20,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,154.70 | 17,505.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 577.00 | 8,747.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 449.00 | 6,806.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,330.00 | 20,162.80 | n/a |
จับตา ‘ลีสโฮลด์’ มาแรง ‘สยามสินธร’ เร่งปั้นคอนโดใหม่หมื่นล้าน
“สยามสินธร” เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50% จับตา “ลีสโฮลด์” มาแรง
นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าระยะยาว หรือลีสโฮลด์ (Lease Hold) ระยะเวลา 30 ปี โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สารสิน หลังสวน ลุมพินี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแง่ผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการทำเลที่ดี ปล่อยเช่าง่าย และได้อัตราผลตอบแทน( yield) ที่สูง หลังจากที่ดินย่านใจกลางเมืองเหลือน้อยเต็มที และมีราคาสูงมาก ทำให้โครงการประเภทลีสโฮลด์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีสโฮลด์พร้อมเผยที่ผ่านมาผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น “จุดแข็งของลีสโฮลด์ โดยโครงการที่เจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาเอง ก็คือการดูแลรักษาสภาพอาคารให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งหากเป็นการขายขาด ภาระหน้าที่ตรงนี้จะกลายเป็นของนิติบุคคลอาคารชุดที่จัดตั้งขึ้นมา แต่หากเป็นการเช่าสิทธิระยะยาวที่มีเจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง การดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปถึงการบำรุงรักษาอาคาร จะดำเนินการโดยผู้พัฒนาโครงการ ดังนั้นมูลค่าของอาคารในระยะยาวย่อมมีมากกว่า อีกทั้งยังสามารถทำราคาเช่าได้เท่ากับที่ดินประเภทฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน คือใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า จึงเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่น่าจับตามอง”
ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการประสบความสำเร็จ จากการเปิดขายโครงการที่ 2 คือ “สินธร ต้นสน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณถนนสารสิน ตัดซอยต้นสน สูง 17 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 85-140 ตารางเมตร ราคา 19-48 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาท จำนวน 59 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายรวมกว่า 50% ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เช่นเดียวกับโครงการแรก คือ “สินธร เรสซิเดนซ์” เปิดขายไปเมื่อปี 2558 สามารถปิดการขายได้ 85% ภายในเวลา 2 ปี
“ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี มีความโดดเด่น หัวใจหลักๆเนื่องจากเพราะสวนลุมพินีเองเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ทำให้คอนโดมิเนียมที่อยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ได้ชมวิวกรุงเทพฯ ในแบบ”พาร์ควิว” ทั้งยังอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และเครือข่ายคมนาคมในย่านนี้ที่สะดวกมาก ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี ถือ เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงแรมระดับ 5-6 ดาว รวมถึงอาคารสำนักงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และยังเต็มไปด้วยคอนโดระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มากมาย ดังนั้น ในย่านนี้ที่ดินแบบ ฟรีโฮลด์ จึงค่อนข้างหายาก และมีราคาสูง ทำให้ราคาอสังหาฯโดยรอบย่านมีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นพื้นที่ไข่แดงใจกลางเมือง”
นายขจรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เตรียมเปิดโครงการ “สินธร หลังสวน” ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ บนที่ดินในย่านหลังสวน พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ แบบลีสโฮลด์ เช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และได้รับสิทธิ์ต่ออายุอีก 30 ปี สูง 33 ชั้น โดยจุดเด่นออกแบบให้แต่ละยูนิต มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ขนาดห้องตั้งแต่ 98 – 480 ตารางเมตร รวมถึงมีการออกแบบห้องให้มีความโปร่งสบาย ระยะพื้นถึงเพดานสูงถึง 3.0 เมตร มีห้อง 4 แบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮ้าส์ จำนวนรวม 225 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถมากถึง 496 คัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่ เลานจ์สำหรับผู้พักอาศัย ที่ชั้น 30 พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ล็อคเกอร์ กับเซาวน่า และห้องสตรีม เป็นต้น โดยกำหนดเปิดขายในเดือน มิ.ย. นี้
สำหรับโครงการ สินธร วิลเลจ เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 56 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบริเวณหลังสวน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้แนวคิด “Living in the Park” จัดสรรพื้นที่กว่า 14 ไร่ เป็นสวนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยให้ร่มรื่น น่าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมรอบด้านอีกด้วย
http://www.bangkokbiznews.com
เผยประเด็นร้อนตลาดอสังหาฯ ไตรมาสแรกปี 61 ทุนจีนมาแรงต่อเนื่อง
เน็กซัส ชี้ตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ไตรมาสแรก ปรับตัวรับการลงทุนของกลุ่ม ทุนต่างชาติ ผู้ประกอบการรายกลางและรายใหม่ตบเท้าเข้าตลาดเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่มองหาการลงทุนในตลาดเช่าเพื่อบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้ในระยะยาว ส่วนครึ่งปีหลังคาดตลาดคอนโดมิเนียม ระดับ Luxury กลางเมืองยังคงเติบโตต่อเนื่อง
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญในตลาดที่น่าจับตามองอยู่หลายประเด็น ทั้งในแง่ของการลงทุน ราคาที่ดิน แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง และปีหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเด็นที่ 1: ไตรมาสแรกปี 2561 มีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ จำนวน 14,094 หน่วย จาก 31 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด อยู่ที่ 564,000 หน่วย และจากการที่ที่ดินในใจกลางเมืองมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม สัดส่วนห้องชุดที่เกิดใหม่จึงเกิดขึ้นบริเวณ โซนสุขุมวิทตอนปลาย (29%) โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 (23%) โซนตากสิน เพชรเกษม (17%) เป็นหลัก
ตลาดคอนโดมิเนียม ไตรมาสแรกปี 2561
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น จากแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซูรี่กลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดจะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก
ประเด็นที่ 2: ในช่วงไตรมาสแรก ผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่ เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งผู้พัฒนาจากต่างชาติด้วย โดยมีผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เปิดตัวโครงการประมาณ 38% ของจำนวนห้องชุดใหม่ในตลาด ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าตลาดยังน่าดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางหลายรายยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 – 2 ปีนี้
ขณะเดียวกันแผนธุรกิจและการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ กลับมาให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง โดยเพิ่มพัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมหรืออาคารสำนักงาน และเริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้นด้วย
ทำเลการเติบโตตลาดคอนโดมิเนียม รอบกรุงเทพฯ
ประเด็นที่ 3: ทุนต่างชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีบริษัททุนขนาดใหญ่จากจีนเข้าร่วมทุนถึง 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในตลาดกรุงเทพฯ และเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย สำหรับต่างชาติที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ปีนี้ทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4 – 5 โครงการ
ประเด็นที่ 4: นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลักมาจากราคาอสังหาฯ ถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ อีกทั้งนักลงทุนจากประเทศจีน ยังต้องการย้ายเงินลงทุนมายังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ในประเทศเองก็ออกไปนำเสนอสินค้าในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนี่อง มีการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการไปเปิดสำนักงานย่อยเพื่อบริการลูกค้า จึงทำให้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อีกส่วนที่น่าจับตามองคือ ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามามองหาซื้อห้องชุดในโควต้าต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมันว่ามีผู้ซื้อรายย่อยในประเทศต่างๆ ยังคงมองหาคอนโดมิเนียมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดนี้ก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อไป
ประเด็นที่ 5 : สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่มีเงินทุนจากธุรกิจครอบครัว รุ่นพ่อแม่เริ่มจับมือกันมาร่วมทุน เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักอาศัยระดับหรู โดยกลุ่มนี้ ก็เหมือน Startup ในธุรกิจอื่นๆ มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ มีความคล่องตัวสูง บางกลุ่มก็มีตลาดรองรับสินค้า ที่พัฒนาอย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของธุรกิจหลัก และไม่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังรวมไปถึง โรงแรมแนวใหม่ อพาร์ทเมนท์ Co-working space หรือ Lifestyle retail ต่างๆ
ประเด็นที่ 6 : โครงการอสังหาริมทรัพย์ดึงเทคโนโลยี ตอบสนองLifestyle คนไทยที่เปลียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาเพิ่มเป็นจุดขายในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบสั่งการหรือการให้บริการผ่าน Mobile Application ต่างๆ Smart Robot หรือ Smart Locker เป็นต้น ซึ่งแน่นอนก็จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โอกาสในตลาดสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัยแล้วที่จะมี Platform ที่สามารถตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยเดิม น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ Smart Locker หรือระบบการบริการต่างๆ ที่เพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายใน การใช้ชีวิตมากขึ้น
ประเด็นที่ 7 : โอกาสทางการตลาดสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ ในขณะที่ราคาก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น คอนโดมิเนียม 7 – 8 ชั้นขนาดโครงการเล็กลง จาก ผู้พัฒนารายใหม่ ยังคงเห็นต่อเนื่อง รวมถึงบ้านลักซูรี่ระดับราคาสูงก็ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และยังมีผู้ให้ความสนใจ ทำเลการพัฒนาโครงการ ถ้าเป็นโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น สุขุมวิท 31 – 49 ก็เริ่มเข้าไปในซอยที่ลึกขึ้น
เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีต่างชาติเข้ามาซื้อและมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุนรวมทั้งค่าเงินของประเทศเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน
https://www.ddproperty.com
‘สงกรานต์’ ดันท่องเที่ยว สร้างรายได้ 3.5 หมื่นล้าน
“สงกรานต์” ดันรายได้ท่องเที่ยวสะพัด 3.5 หมื่นล้าน เผยคนไทยมั่นใจเศรษฐกิจ แห่เที่ยวนอก 2.8 แสนคน ใช้จ่ายทะลุ 8 พันล้าน ชี้ไตรมาสแรกยอดรายได้สะสมต่างชาติเที่ยวไทย 5.73แสนล้าน
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 12-16 เม.ย. พบว่าชาวไทยและต่างประเทศเดินทางภายในไทย และชาวไทยเดินทางต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก มีรายได้รวมของทั้งประเทศในช่วงดังกล่าว 3.51 หมื่นล้านบาท เติบโต 12.1% เมื่อเทียบกับเทศกาลปีที่แล้ว แบ่งเป็นรายได้จากชาวต่างชาติ 2.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น16.2% จากปริมาณการเดินทาง 5.06 แสนคน เพิ่มขึ้น 6.2% ส่วนคนไทยสร้างรายได้ 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.5% ด้วยจำนวนการเดินทาง 3.1 ล้านคน-ครั้งเติบโต 12.4%
ทั้งนี้ สำหรับการใช้จ่ายของชาวต่างชาติใช้วิธีคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 4.87 หมื่นบาท/ทริป แม้บางคนอาจจะเพิ่งเดินทางเข้ามาไทยในช่วงวันที่ 16 เม.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์แต่ยังอยู่ในไทยต่อเนื่อง
ส่วนคนไทยคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,366 บาท/ทริป ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวยังนิยมไปเยือนเมืองหลักมากที่สุดด้วยจำนวน 1.9 ล้านคน-ครั้ง คิดเป็นเงินประมาณ 8,000 ล้านบาท ส่วนเมืองรองมีคนไปเที่ยว 1.16 ล้านคน-ครั้ง คิดเป็นเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตลาดเอาท์บาวด์ หรือคนไทยเที่ยวต่างประเทศ พบว่าเพิ่มขึ้นถึง 31.4% เป็น 2.83 แสนคน มีการใช้จ่าย 8,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.3% โดยปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตดังกล่าวมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้คนมั่นใจในการใช้จ่าย อีกทั้งยังเป็นผลมาจากเงินบาทแข็งค่า และการเป็นวันหยุดยาว
“เชื่อว่าไม่ได้เป็นการไปเที่ยวอย่างฟุ่มเฟือย แต่เป็นการออกไปประสบการณ์ใหม่ๆ ต่างแดน เป็นธรรมดาเมื่อประเทศเจริญมากขึ้นคนก็นิยมเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น”
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ด้านสถานการณ์ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10.608 ล้านคน ขยายตัว 15.35% สร้างรายได้ 5.73 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.01% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนไทยเที่ยวไทยเฉพาะ 2 เดือนแรกทำรายได้ 1.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.45% ทำให้รวมรายได้ไตรมาส 1 อยู่ที่ 7.54 แสนล้านบาทเติบโต 17.63% คิดเป็น 19% ของจีดีพี
รายได้ดังกล่าวส่งผลต่อจ้างงานสร้างรายได้ให้กับภาครัฐ และเอกชนตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดใหญ่ไปจนถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งนี้รายได้ 2.11 แสนล้านบาทหรือ 28% เป็นรายได้ที่เกิดจากการช้อปปิ้ง, รายได้ 1.72 แสนล้านบาทหรือ 22.8% เป็นรายได้จากที่พักโรงแรม, รายได้ 1.04 แสนบ้านบาทหรือสัดส่วน 13.8% เป็นรายได้ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, รายได้ 6.8 หมื่นล้านบาทหรือ 9% เป็นรายได้ที่เกิดจากค่ายานพาหนะค่าขนส่ง และรายได้ 1.99 แสนล้านบาทหรือ 26.4% เป็นรายได้ที่เกิดจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ขณะที่ เดือน มี.ค. เดือนเดียวมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 3.49 ล้านคน ส่วนตลาดเที่ยวไทย เดือน ก.พ. มีจำนวน 12.57 ล้านคน-ครั้ง ขยายตัว 9.24% มีการใช้จ่าย 8.92 หมื่นล้านบาทเติบโต 15.80%
นอกจากนี้ ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง หรือจังหวัดท่องเที่ยวขนาดเล็กตามนโยบายของรัฐบาลนั้นจากการเก็บข้อมูลพบว่าในเดือน ก.พ. มีคนเดินทางไปเที่ยวกระจายยัง 55 จังหวัดเพิ่มขึ้นอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 68% เติบโต 4.3%
http://www.bangkokbiznews.com
ชงรัฐอุ้มผู้สูงอายุ ! หัก VAT 1% เป็นเงินออมหลังเกษียณ
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ผุดไอเดีย รับมือสังคมผู้สูงอายุ ดึงเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% หักเป็นเงินออมหลังเกษียณ หวังแก้ปัญหาคนไทยออมเงินน้อย
วันที่ 15 เมษายน 2561 นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” กับกรณีที่ประเทศกำลังจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” ในปี 2564 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ว่า การลดลงของวัยแรงงาน อาจส่งผลต่อรายได้ภาครัฐที่จะนำมาพัฒนาประเทศ และการจัดสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในกลุ่มผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้น แต่กลับพบว่า สังคมไทยพูดถึงการออมน้อยมาก จึงเป็นปัญหาได้เมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิต และมีการออมอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตในวัยสูงอายุ ซึ่งพบว่า ผู้สูงอายุ 24% ไม่มีเงินออม ทำให้รัฐต้องจัดสรรงบประมาณประจำปี 2560 ถึง 241,149.1 ล้านบาท หรือ 8.8% ของเงินงบประมาณทั้งหมด ใช้ไปในการดูแลผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องมีการส่งเสริมการออมให้กับคนในประเทศ
สำหรับการส่งเสริมการออมมี 2 อย่าง คือ ออมภาคสมัครใจ ผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 20 ล้านคน แต่ทำให้เพียง 6-7 แสนคนเท่านั้น อีกวิธีคือ การออมภาคบังคับ โดยกระทรวงการคลังกำลังคิดว่าจะมีมาตรการอย่างไร เบื้องต้นอาจใช้วิธีหักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% เก็บไว้ในธนาคาร เมื่อถึงอายุ 60 ปีแล้ว ค่อยนำเงินตรงนี้ไปใช้ได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีเงินออม 30% ของรายได้สุดท้าย เมื่อคำนวณจาก VAT ที่รัฐเก็บได้ในปีงบประมาณ 2560 จำนวน 751,819 ล้านบาท ถ้าหักออกมา 1% ก็จะได้เงินประมาณ 107,402 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้สูงอายุในแต่ละปี
ขณะเดียวกันคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ก็ได้เสนอ 4 แนวทางให้รัฐบาลเพื่อรองรับ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” ได้แก่
1. ขยายเกษียณอายุราชการ จาก 60 ปี เป็น 63 ปี
2. การกำหนดนโยบายช่วยเหลือผู้สูงอายุ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำ
3. แก้ไขบทบัญญัติของกฎหมาย ที่ให้ผู้สูงอายุสามารถรับงานเป็นชิ้นงาน โดยไม่ต้องทำงานเต็มเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน
4. ขับเคลื่อนคลังปัญญาผู้สูงอายุและโรงเรียนผู้สูงอายุ เช่น ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต โรงเรียนผู้สูงอายุ ส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ และจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุมีเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุราว 20% ของประชากรทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับวัยเด็กและวัยแรงงานที่มีสัดส่วนลดลง โดยวัยเด็กมีสัดส่วนคิดเป็น 16% วัยแรงงานอยู่ที่ 64% ขณะที่ในปี 2579 สังคมไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึง 30% และมีวัยเด็กลดเหลือ 14% วัยแรงงานเหลือ 56%
https://money.kapook.com
‘ดอกมะลิ’ จากตำรับยาไทยสู่การใช้ในธุรกิจสปา ช่วยสดชื่นหน้าร้อน
เปิดสรรพคุณ “ดอกมะลิ” มีดีกว่าที่คิด จากเครื่องยาไทยโบราณ ผันเข้าสู่ธุรกิจสปาทั่วโลก แถมมีสรรพคุณดับร้อนช่วยให้สดชื่น
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ประเทศไทยมักเจอกับสภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัด พบว่าอุณภูมิในบางพื้นที่สูง 40-41 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจของคนที่ต้องปะทะกับไอร้อนดังกล่าว เช่น การเสียเหงื่อ รู้สึกทรมานจากอากาศที่ร้อนจัด จิตใจไม่สบาย หงุดหงิด และหากร่างกายอ่อนเพลียอาจทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายดังนั้นวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงอากาศร้อนมากๆนี้ตามหลักการแพทย์แผนไทย คนสมัยโบราณมักจะใช้เครื่องหอมต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาวะที่สมดุล บรรเทาภาวะที่ร้อนระอุ และช่วยให้จิตใจสงบสบายขึ้นจากเครื่องหอมไทย เช่น แป้งร่ำ แป้งหอม แป้งจากเกสรดอกไม้ ซึ่งจะมีดอกมะลิเป็นส่วนประกอบ รวมถึงแป้งดินสอพอง นำมาผสมกับน้ำลอยดอกมะลิที่มีกลิ่นหอม ใช้ทาผิวหน้า ผิวตัว จะช่วยให้สดชื่น นอกจากนี้จะนิยมนำดอกมะลิมาใช้ทำน้ำลอยดอกมะลิดื่มเพื่อความสดชื่น หรือเป็นน้ำในข้าวแช่อาหารขึ้นชื่อหน้าร้อน และชาดอกมะลิ
ดอกมะลิมีความสำคัญมากกว่าการมีกลิ่นหอมเพราะในเชิงสรรพคุณทางยา ดอกมะลินับว่าเป็นเครื่องยาเด่นตัวหนึ่งในตำรับยาไทยหลายตำรับ มะลิ มีรสหอมเย็น สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้จิตใจชุ่มชื่น บำรุงครรภ์ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดไว้เป็นตัวยาชนิดหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง 5 เกสรทั้ง 7 และเกสรทั้ง 9 มะลิ เป็นส่วนผสมหลักของ ยาหอมเทพจิตร ซึ่งมีสรรพคุณแก้วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย ช่วยให้จิตใจสงบ ปรับสมดุลในร่างกายให้ ผ่อนคลาย ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้ประชาชนได้รู้จักประโยชน์ของมะลิในมิติของยาไทยและได้รับรู้ถึงสรรพคุณของสมุนไพรใกล้ตัวปลูกได้เอง ปรุงใช้ได้เองง่ายๆ ซึ่งในปัจจุบันดอกมะลิถูกนำมาสกัดเป็นเครื่องหอมใช้ในธุรกิจสปาทั่วโลกรวมถึงสุคนธบำบัดมีการใช้มะลิแต่งกลิ่นในเครื่องสำอางหลายชนิด เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ของดอกมะลิทั้งสิ้น
ดังนั้น หากต้องการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ อย่าลืมนึกถึงการปลูกมะลิไว้เพื่อใช้ประโยชน์กัน มะลิเป็นไม้ชอบแสงแดด การดูแลไม่ยาก หากดอกออกจำนวนมาก สามารถเก็บตากแดดให้แห้ง ชงเป็นชามะลิดื่มเองง่าย ๆ ได้ทั้งร้อนและเย็น
http://www.bangkokbiznews.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 20/04/2561
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 |
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
แก๊สโซฮอล E-20 | 25.94 | 25.94 | 25.94 | 25.44 | 25.94 | – | 25.94 | 25.94 | 25.94 | 25.94 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 20.44 | 20.44 | – | – | – | – | – | 20.44 | 20.44 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 28.18 | 28.18 | 28.28 | 27.68 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 | 28.18 |
เบนซิน 95 | 35.56 | – | – | – | 36.01 | – | 36.06 | 35.56 | 35.56 | 35.56 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 | 27.79 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 30.79 | 31.66 | 31.66 | 31.16 | 31.66 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 | 18 Apr 05:00 |