สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 24 เมษายน 2561

จ่อใช้ “ราคาประเมิน” รายไตรมาส ปั่นที่ดินพุ่งจ่ายภาษี-ค่าโอนอ่วม

ธนารักษ์รื้อราคาประเมินที่ดิน 2 ปี/ครั้ง จากเดิมรอบละ 4 ปี ออกเกณฑ์ใหม่ใช้ราคาซื้อขาย-จดทะเบียนนิติกรรมเป็นฐานคำนวณ ตั้งเป้าปรับทุกรายไตรมาสสะท้อนราคาตลาด หนุนรัฐจัดเก็บรายได้เพิ่ม อสังหาฯ-แลนด์ลอร์ดจุกอก ที่ดินแพงต้องจ่ายค่าธรรมเนียม-ภาษีสูงขึ้น

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ได้ปรับลดรอบการประเมินมูลค่าที่ดินจากรอบละ 4 ปี เหลือเพียง 2 ปี มีผลตั้งแต่ต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ดังนั้นการประกาศราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศรอบถัดไป จะเป็นวันที่ 1 ม.ค. 2563 แทนที่จะเป็นวันที่ 1 ม.ค. 2565 (บัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินฉบับปัจจุบันปี 2559-2562) ทั้งนี้ เป็นการปรับภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่ใช้การปรับระเบียบภายในได้ทันที ขณะนี้ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ทั่วประเทศรับไปดำเนินการแล้ว
ปรับราคาประเมินรอบละ 2 ปี
“เจตนาเรา คืออยากให้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินเป็นปัจจุบันมากที่สุด เพราะเมื่อมีการทำนิติกรรม ราคาก็ควรสะท้อนทันทีเลย ซึ่งเมื่อปรับลดรอบการประเมิน ตอนนี้ก็ต้องเร่งทำงานแล้ว จากปกติรอบ 4 ปี ก็ปรับเป็นรอบละ 2 ปี เดิมอาจออกสำรวจและประเมินราคาที่ดินปีละ 25% ของจำนวนแปลงที่ดินทั่วประเทศ ก็ต้องปรับมาทำปีละ 50% โดยนำราคาที่มีการซื้อขาย หรือจดทะเบียนนิติกรรมมาเป็นฐานในการกำหนดราคาประเมิน”
อย่างไรก็ดี แม้จะปรับเหลือ 2 ปี แต่กรมธนารักษ์ยังต้องการให้การประเมินราคาที่ดินทำได้เร็วกว่านั้นอีก อย่างน้อยเหลือเป็นรายไตรมาส (3 เดือน) เพื่อให้ใกล้เคียงกับธุรกรรมที่เกิดขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดทุจริต เช่น แจ้งซื้อขายที่ดินราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และมีผลทางอ้อมให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีการทำธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างผลักดันเป็นกฎหมาย
ร่าง กม.ใหม่รื้อราคารายไตรมาส
ขณะเดียวกัน ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. …. ที่เป็นการปรับโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินให้ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันงานการประเมินมูลค่าที่ดินอยู่กับกรมธนารักษ์ จากอดีตที่อยู่กับกรมที่ดิน และปัจจุบันยังอิงกับโครงสร้างกฎหมายที่ดินอยู่ จึงต้องเสนอกฎหมายใหม่
“โดยหลักการประเมิน ราคาประเมินต้องใกล้เคียงกับราคาที่ทำนิติกรรม หรือราคาที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ภายใต้กฎหมายใหม่ เพิ่มรอบประเมิน เป็นรายไตรมาส”
เช่าที่ราชพัสดุไม่ต้องเข้า PPP
นายพชรกล่าวอีกว่า กฎหมายอีกฉบับที่ ครม.ให้ความเห็นชอบ ก็คือ ร่าง พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. ….ซึ่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเดิมที่บังคับใช้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี 2518 และปรับปรุงให้กระบวนการทำงานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับโครงสร้างส่วนราชการในปัจจุบัน
สาระสำคัญ อาทิ การกำหนดให้โครงการลงทุนของรัฐที่ใช้ที่ราชพัสดุ เป็นการ “เช่าที่” ทั้งหมด ไม่มีการ “ร่วมลงทุน” จากปัจจุบันโครงการลงทุนของรัฐโครงการไหนมูลค่ารวมค่าที่ดินเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องทำตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ.PPP) ทั้งหมด
ทั้งนี้ กฎหมายที่แก้ไข หากมีโครงการร่วมลงทุน เพียงแต่นำมูลค่าค่าเช่าที่ดินไปรวมเป็นต้นทุนของโครงการเท่านั้น เวลาทำสัญญาเช่าที่ดิน เอกชนกับหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องร่วมกันทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ และมีบทเฉพาะกาล กำหนดให้โครงการที่มีการเดินหน้าตาม พ.ร.บ.PPP มาแล้ว เดินหน้าต่อไป
ขีดเส้นมูลค่าโครงการ 5 พันล้าน
ทั้งนี้ โครงการเช่าที่ราชพัสดุที่มีลักษณะการร่วมลงทุนแบบ PPP อยู่ด้วยนั้น จะออกกฎหมายลูกภายใน 180 วัน เป็นแนวปฏิบัติ เพิ่มองค์ประกอบกรรมการดึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วม ไม่ใช่พิจารณากลั่นกรองโดยกรมธนารักษ์หน่วยงานเดียว จะกำหนดมูลค่าโครงการไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ให้เดินตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ โครงการเกิน 5,000 ล้านบาท ต้องเข้าคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ที่ รมว.คลังเป็นประธาน และเสนอ ครม.เห็นชอบ
ที่ดินในเมืองวาละ 1.7-3 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาวะราคาที่ดินทำเลใจกลางเมืองล่าสุดในปี 2561 มีสถิติราคาซื้อขายจริงสูงลิ่วถึงตารางวาละ 1.7-3 ล้านบาท โดยแปลงที่แพงที่สุดในขณะนี้ราคา 3.1 ล้านบาท/ตารางวา ทำเลซอยหลังสวน อยู่ด้านหลังห้างเมอร์คิวรี่ โดยผู้ซื้อคือกลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น
ขณะเดียวกันทำเลซีบีดี (ย่านศูนย์กลางธุรกิจ) ประกอบด้วยสีลม สาทร สุขุมวิท พบว่า โซนสาทรที่เพิ่งปิดดีลซื้อขายสถานทูตออสเตรเลียเฉลี่ย 1.45 ล้านบาท/ตารางวา ในขณะที่ราคาสูงสุดของทำเลอยู่ที่ 1.7 ล้านบาท/ตารางวา โซนสุขุมวิทไม่น้อยหน้า มีการปิดดีลซื้อขายตารางวาละ 2 ล้านบาทแบบยกแผง อาทิ ทำเลซอยทองหล่อดันราคาจาก 2.5 ล้านขึ้นไปถึง 2.8 ล้านบาท/ตารางวา ขนาด 2 ไร่ใกล้บีทีเอสทองหล่อ 200-300 เมตร อีกแปลงขนาด 5 ไร่หัวมุมซอยสุขุมวิท 6 เฉลี่ยตารางวาละ 2.6 ล้านบาท

http://www.bkkcitismart.com


เปิดโผท็อปไฟฟ์สถานีบีทีเอส “สยาม-อโศก-หมอชิต” ทะลุแสนคน

นับตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2542 ถึงขณะนี้ “บีทีเอส” รถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทยของเจ้าสัวคีรี กาญจนพาสน์ เปิดให้บริการเป็นปีที่ 19 แล้ว ปัจจุบันมีผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 8 แสนเที่ยวคนต่อวัน ไต่ระดับจากเปิดบริการวันแรกจาก 1.5 แสนที่ยวคนจนมาแตะระดับ 7-8 แสนเที่ยวคน
ส่วนอัตราค่าโดยสารมีการปรับเพิ่มขึ้น 3 ครั้ง จากวันแรกเก็บ 10-42 บาท ได้ปรับครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2549 เป็น 15-40 บาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2556 เป็น 15-42 บาท ล่าสุดครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็น 16-44 บาท
ถึงค่าโดยสารจะสูง แต่ยังมีคนใช้บริการไม่ขาดสาย ด้วยแนวเส้นทางพาดผ่านใจกลางเมือง ศูนย์กลางธุรกิจ ย่านช็อปปิ้ง จึงครองใจผู้ใช้ทางอย่างต่อเนื่อง ยิ่งอนาคตมีการเปิดส่วนต่อขยายจาก “แบริ่ง-สมุทรปราการ” และ “หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต” จะยิ่งทำให้ผู้โดยสารชานเมืองมาใช้บริการมากยิ่งขึ้น
ถามว่าสถานีไหนที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุด “สุรพงษ์ เลาหะอัญญา” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มี 5 สถานีที่ยอดฮิตและมีผู้โดยสารมาใช้บริการจำนวนมาก ประกอบด้วย 1.สถานีสยาม มีผู้ใช้บริการ 148,000 เที่ยวคนต่อวัน 2.สถานีอโศกมีผู้ใช้บริการ 135,000 เที่ยวคนต่อวัน 3.สถานีหมอชิต มีผู้ใช้บริการ 118,000 เที่ยวคนต่อวัน 4.สถานีศาลาแดง มีผู้ใช้บริการ 88,000 เที่ยวคนต่อวัน และ 5.สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้มาใช้บริการ 87,000 เที่ยวคนต่อวัน
“ทั้ง 5 สถานี มีเดสติเนชั่นหรือจุดหมายถึงทำให้คนมาใช้บริการมากที่สุด เช่น เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง ใกล้ศูนย์การค้า ระบบขนส่งสาธารณะ หรือจุดต้นทาง”
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สำรวจ 5 สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสขั้นแท่นท็อป 5 คนใช้บริการสูงสุด เริ่มจาก “สถานีสยาม” เป็นจุดเชื่อมต่อกับบีทีเอส สายสีลมตากสิน-บางหว้า กับสายสุขุมวิทที่มุ่งหน้าไปอ่อนนุช-แบริ่ง-สำโรง
อีกทั้งยังเป็นเป็นสถานีที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพฯ ไม่ว่าย่านราชประสงค์ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ใกล้กับแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมา
และเป็น “ช็อปปิ้ง เดสติเนชั่น” ทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามสแควร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามสแควร์วัน เกษรพลาซ่า โรงภาพยนตร์ลิโด้-สกาล่า มาบุญครอง มีสกายวอล์กเป็นทางเดินเชื่อม ต่อไปยังจุดหมายทางต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
ขณะที่ “สถานีอโศก” จะเชื่อมกับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสุขุมวิท และยังอยู่ติดกับศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 รายล้อมด้วยโรงแรม ชื่อดังอย่าง เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, พูลแมน กรุงเทพฯ และอาคารสำนักงานหลายแห่งเช่น อาคารแกรมมี่ อาคารชิโนไทย ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
ส่วน “สถานีหมอชิต” เป็นสถานีต้นทางของการเดินทางจากคนชานเมืองไม่ว่าปทุมธานี-นนทบุรี เพื่อเข้าไปทำงานในเมือง รวมถึงเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่จะเชื่อมกับสายสีม่วงบางใหญ่ – บางซื่อ และมีแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต “ตลาดนัดจตุจักรและเจเจกรีน”
มาดูที่ “สถานีศาลาแดง” นับเป็นสถานีหนึ่งเดียวของสายสีลมที่ติดอันดับ เนื่องจากตั้งอยู่บนถนนสายเศรษฐกิจ อย่างถนนพระราม 4 ยังอยู่ใกล้กับที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทใหญ่ของประเทศและโรงแรมชื่อดัง อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ธนาคารกรุงเทพ โรงแรมดุสิตธานี สีลมคอมเพล็กซ์ สวนลุมพินี และยังเป็นจุดเชื่อมกับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสีลมอีกด้วย
สุดท้าย “สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เป็นสถานีที่อยู่บริเวณจุดเชื่อมต่อการเดินทางขนส่งโดยสารสาธารณะจุดใหญ่ของกรุงเทพฯ ทั้งรถเมล์และรถตู้ เสมือนเป็นจุดตั้งต้นการเดินทางอีกจุดหนึ่ง ยังแวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาลสำคัญ เช่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี

http://www.bkkcitismart.com


ส่งออก มี.ค.ขยายตัว 7.1%

“พาณิชย์” เผยส่งออก มี.ค.ขยายตัว 7.1% ไตรมาสแรกขยายตัว 11.3% สูงสุดรอบ 7 ปี จับตามาตรการกีดกันทางการค้า

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รางานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยประจำเดือนมีนาคม 2561 การส่งออกมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 22,363 ล้านดอลลาร์ อัตราขยายตัว 7.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยการส่งออกขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะตลาดอินเดีย อาเซียน5 CLMV และสหรัฐฯ มีการขยายตัวในระดับสูง สำหรับการส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 โดยสินค้าที่มีการขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวครั้งแรกในรอบ 16 เดือนที่ 3.3% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของยางพารา และน้ำตาลทราย ขณะที่สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป

สำหรับ การส่งออกไทยในไตรมาสที่ 1 ขยายตัว 11.3% หรือคิดเป็นมูลค่า 62,829 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงได้แก่ อินเดีย เอเชียใต้ ญี่ปุ่น รัสเซีย และกลุ่มประเทศ CIS สำหรับแนวโน้มการส่งออกไทยในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 15 ไตรมาส และดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกที่อยู่ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยสินค้าสำคัญที่คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำตาลทราย และผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง

การส่งออกในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในเกณฑ์ดี และมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยเศรษฐกิจสหรัฐ และกลุ่มประเทศยูโรโซนขยายตัวได้ดีจากการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่น จีน และหลายภูมิภาคในเอเชีย ขยายตัวได้ดีจากการส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอยู่เหนือระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามอุปสงค์โลก และการขยายข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มผู้ผลิต OPEC และ Non-OPEC (จากเดิมที่ทำข้อตกลงรายปีไปเป็นข้อตกลงระยะยาว) จะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลดีต่อมูลค่าการส่งออก

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาท และมาตรการกีดกันทางการค้า ที่นอกจากจะกระทบต่อการส่งออกไปยังตลาดที่เป็นคู่ขัดแย้งแล้ว ยังอาจส่งผลในวงกว้างไปยังตลาดอื่นๆ ที่เป็นตลาดรองรับการส่งออกสินค้าที่ถูกกีดกันในตลาดคู่ขัดแย้งอีกด้วย ดังนั้นผู้ส่งออกต้องเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยง กระจายสินค้าไปยังตลาดใหม่ ทำประกันความเสี่ยงในหลากหลายรูปแบบเพื่อลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ

http://www.bangkokbiznews.com


ครั้งแรกในธุรกิจอสังหาฯ กับการซื้อบ้านผ่าน QR Code

ครั้งแรกในธุรกิจอสังหาฯ กับการซื้อบ้านผ่าน QR Code

 ถือเป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกธุรกิจอสังหาฯ กับการเปิดตัว QR Code Payment ใช้เทคโนโลยีสแกนจ่ายในการซื้อบ้านทำให้เพียงแค่ปี๊ปเดียว คุณก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านราคาหลักล้านได้

     บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนเมือง จับมือธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวบริการ CASHLESS PAYMENT ครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการใช้เทคโนโลยี ‘QR Code’ เพื่อจองซื้อบ้าน โดยระบบจะสร้าง “คิวอาร์โค้ดเฉพาะบุคคล(Personal QR Code) ให้ลูกค้าชำระค่าจองซื้อบ้านเอพี ผ่าน คิวอาร์ โค้ด เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างแท้จริง เริ่มใช้จองบ้านครั้งแรก ณ โครงการต้นแบบ “พลีโน่ ปิ่นเกล้าจรัญฯ” และ “บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์- รัตนาธิเบศร์” ก่อนขยายให้ครอบคลุมทุกโครงการของเอพี


     นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม กล่าวว่า “เอพีเป็นผู้นำรายแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำอย่างธนาคารกสิกรไทยในการนำแนวคิด CASHLESS PAYMENT เข้ามาเสริมให้การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาฯ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการอำนวยความสะดวก และไม่ต้องใช้เงินสด หรือเตรียมเช็คเมื่อต้องจองซื้อบ้านในโครงการต่างๆ ของเอพี เราตระหนักว่าปัจจุบันมีผู้ซื้อสินค้าและบริการบนระบบออนไลน์เป็นสัดส่วนมากถึง 61% จากประชากรโลกทั้งหมดกว่า 1,660 ล้านคน และการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินในระบบออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในหลากหลายรูปแบบ เอพีจึงมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ครอบคลุมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างครบวงจร”

AdvertisementReplay Ad

     นายอมร สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ธนาคารรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เอพีได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ภายใต้แคมเปญ ‘ปิ๊ปจัง’ ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของธนาคารและเอพี ไทยแลนด์ที่นำเทคโนโลยี QR Code Payment ประเภท “คิวอาร์โค้ดเฉพาะบุคคล” (Personal QR Code)  มาประยุกต์ใช้จริงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังสอดคล้องกับการเดินหน้า สู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ตามนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาล”

https://www.sanook.com


อย. ยันยังไม่มีการถอด ‘กัญชา’ ออกจากบัญชียาเสพติด

อย. ยันปัจจุบันยังไม่มีการเสนอให้ถอดกัญชา ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และยังไม่มีการขึ้นทะเบียนยาจากกัญชาเป็นยาสมุนไพร – ยาควบคุมเพื่อใช้รักษามะเร็ง

จากกรณีที่มีกระแสข่าวคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษตามที่ อย. เสนอ โดยให้ถอด “กัญชา” ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษในประเภท5ที่ห้ามครอบครองมาเป็นยาสมุนไพรหรือ ยาควบคุมให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อใช้รักษามะเร็งนั้น

นายแพทย์บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เปิดเผยว่า อย. ขอชี้แจงว่าปัจจุบันกัญชายังจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ ประเภท5ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะอนุญาตโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และ อย.

“ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการรับรองให้ใช้กัญชาหรือรับขึ้นทะเบียนยาจากกัญชาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยทางวิชาการในคนเพียงพอ ที่จะยืนยันว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้”นายแพทย์บุญชัย กล่าว

นายแพทย์บุญชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันในต่างประเทศมีการใช้ยา ที่ได้จากสารสกัดของกัญชาและที่เป็นสารสังเคราะห์ โดยมีข้อบ่งใช้ของยา ได้แก่ เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการใช้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยโรคเอดส์ รักษาภาวะปวดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง รักษาอาการปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็ง

นายแพทย์บุญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการนำกัญชามาใช้ในการรักษาโรคนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย เช่น การศึกษาวิจัยในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ เป็นต้น ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา

“ดังนั้นในปัจจุบัน ยังไม่มีการรับรองให้มีการนำพืชกัญชามาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในคนเพียงพอ ที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยฆ” นายแพทย์บุญชัย กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2561 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Arthit Ourairat” มีข้อความว่า “คณบดีและคณาจารย์นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้นำยาสเปรย์ Cannabis กัญชา บรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียน จากการรักษาทางเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอจดทะเบียน อย.ให้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้ต่อไป”

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 24/04/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,750.00 19,850.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,279.00 19,389.64 20,350.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,151.10 17,450.68 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 576.00 8,732.16 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 448.00 6,791.68 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,325.00 20,087.00 n/a
 
ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  24/04/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
28.15
แก๊สโซฮอล E-20 25.64 25.64 25.64 25.64 25.64 25.64 25.64 25.64 25.64
แก๊สโซฮอล E-85 20.44 20.44 20.44 20.44
แก๊สโซฮอล 91 27.88 27.88 27.98 27.88 27.88 27.88 27.88 27.88 27.88 27.88
เบนซิน 95 35.26 35.71 35.76 35.26 35.26 35.26
ดีเซลหมุนเร็ว 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49 27.49
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.49 30.49 30.49 30.49 30.49
มีผลตั้งแต่ 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00 21 Apr 05:00

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า