สาระน่ารู้ประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2566

วีบียอนด์ ทรานฟอร์ม สู่ “ศูนย์ค้าส่งอสังหาฯ” ปั้นยอด 8 หมื่นล้าน

เจาะมุมมอง นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ เจ้าของแพลตฟอร์มอสังหาฯ อัจริยะ “Property Mall” กับก้าวสำคัญ การทรานฟอร์มบริษัท สู่ “ศูนย์ค้าส่งอสังหาฯ” ปั้นยอด 8 หมื่นล้าน ภายใน 5 ปี

ท่ามกลาง การคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2566 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ที่ประเมินว่า ตลาดปีนี้ มีความเสี่ยงสูง จาก ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้ง ภาวะหนี้ครัวเรือนทรงตัวสูงเกือบ 90%ของ จีดีพี ทำให้ผู้มีรายได้น้อย – ปานกลาง ยังคงถูกสถาบันการเงินปฎิเสธการเข้าถึงสินเชื่อ กระทบความสามารถการซื้อและกู้ลดลง มีผลต่อยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

โดยต้นทุนใหม่ที่ส่อแววปรับขึ้นทั้งแผง ยังพาให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมลดความเชื่อมั่นลง คาดปีนี้ การเปิดตัวโครงการเปิดใหม่จะชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา เหลือ แค่ 98,132 หน่วย ลดลงถึง 10.5% หรือ อาจหายไปมากกว่า 19% หากเจอวิกฤติเชิงซ้อนภายในประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ข้างต้น ได้กลายเป็นก้าวสำคัญของ กลุ่มบริษัทที่เป็นตัวกลางซื้อ-ขาย ระหว่างผู้พัฒนาและผู้บริโภคในระบบ พบมีความเคลื่อนไหวในเชิงกลยุทธ์และการทำการตลาดอย่างน่าสนใจ โดยล่าสุด บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ประกาศ ความร่วมมือกับ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ (Property Tech) และ บริษัท ไอเอฟซีจี จำกัด (โบรกเกอร์อสังหาฯ) ผนึก 3 กลุ่มธุรกิจ เพื่อร่วมขยายช่องทางการขาย เจาะทั้งกลุ่มนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง โดยชูต้นทุนถูก ผลตอบแทนสูง เขย่ามิติอสังหาฯในช่วงเวลาท้าทายนี้ 

“ฐานเศรษฐกิจ” เจาะมุมมอง นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ เจ้าของแพลตฟอร์มอสังหาฯ อัจริยะ “Property Mall” ที่ถือเป็นตัวกลางที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่การขายดังกล่าว ระบุถึงทิศทางอสังหาฯไทยว่า ขณะนี้ หากประเมินปัจจัยต่างๆ จะพบว่าอสังหาฯ มีปัจจัยลบมากกว่า บวก แต่เชื่อว่า ยังประคองกำลังซื้อต่อไปได้ ภายใต้รัฐบาลยังคงไว้ซื้อมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนฯและจดจำนอง รวมถึง รอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของว่าที่รัฐบาลใหม่ ซึ่งมีนโยบาย “บ้านตั้งตัว”รัฐช่วยผ่อนบ้านหลังแรก 2,500 บาท จำนวน 1 แสนราย ในที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นต้น 

ทั้งนี้ ภายใต้ภาพตลาดไม่ได้ร้อนแรงนัก บริษัทมองเป็นโอกาสสำคัญ ของกลุ่มธุรกิจตัวกลางซื้อ-ขาย เพราะในฝั่งผู้พัฒนาฯ ไม่ได้เร่งเครื่องเปิดตัวโครงการใหม่ และ ต้องการระบายสต็อกที่ติดค้างมือเก่าออกไป แต่มีอุปสรรค การขายช้าลง ขณะฝั่งผู้บริโภค ยังอยากได้ที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงมากนัก เพราะติดปัญหา มาตรการ LTV (อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าบ้าน)
ทำให้ได้วงเงินน้อยลง สำหรับกลุ่มที่อยากจะเข้ามาลงทุนด้วย 

“วีบียอนด์”ศูนย์กลางค้าส่งอสังหาฯ

วีบียอนด์ ที่กำลังพาตัวเองเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยนับเป็นโบรกเกอร์รายเดียวและรายแรกในไทย วางเป้าหมายขึ้นเป็นเบอร์ 1 ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์ครั้งนี้ว่า เดิมดีเวลลอปเปอร์ ต้องอาศัยสินเชื่อก้อนใหญ่จากธนาคารในการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งมีดอกเบี้ยต้นทุนสูง ราคาขายต่อผู้บริโภคจึงสูงไปด้วย แต่ในความร่วมมือล่าสุด จะมีนายทุนอย่างบริษัท ไอเอฟซีจี ในอยู่ในวงการมานานถึง 14 ปี เข้าไปช้อนซื้อโครงการตั้งแต่พรีเซลแบบบิ๊กล็อต หรือราว 50%

โดยเจ้าของโครงการ ลดความเสี่ยง ขายช้า และมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการพัฒนา ขณะบริษัทจะรับช่วงต่อจาก ไอเอฟซีจี มาบริหารจัดการต่อเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยต่อไป วางตำแหน่งตัวคล้ายเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอสังหาฯ” หนุนแรงซื้อใหม่ๆ เข้ามาในระบบ จากของที่ลูกค้าจะได้รับในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าการขายทั่วไป ผนึก 3 ขา เป็นอีโคซิสเต็มอสังหาฯอีกหนึ่งรูปแบบ

ขณะ ผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. ค่าคอมมิชชั่นจากการเป็นนายหน้าขายอสังหาฯในช่วงพรีเซล และ 2. กำไรส่วนต่างจากราคาขายในส่วนของโครงการพร้อมอยู่ ซึ่งจะซื้อมาขายต่อให้กับลูกค้าในแพลตฟอร์มของบริษัท
 
เจาะเชียงใหม่-ภูเก็ต-หัวหิน

ในการคัดสรรโปรดักส์นั้น นายวรเดช เผยว่า อสังหาฯรายแรกที่เข้ามาร่วม คือ บมจ.ชาญอิสสระ ซึ่งถือเป็นบิ๊กแบรนด์ในวงการ อีกทั้งมีพอร์ตอสังหาฯหลากหลาย ตั้งแต่โครงการบ้าน คอนโดมิเนียมหรู โรงแรม และ ร้านอาหาร ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มนักลงทุน ที่แสวงหาส่วนต่างในการถือครอง ขณะกลุ่มเรียลดีมานด์ก็มีโปรดักส์ตอบโจทย์ และถือเป็นสินทรัพย์แบบใหม่ ที่มูลค่าแปรผันสูงขึ้นในอนาคต เช่น คอนโดมิเนียม บลู แซฟไฟร์ หัวหิน , โครงการ ดิ อิสสระ เชียงใหม่ อีกทั้ง พบในปีนี้ จะมีการเปิดโครงการใหม่อีก ทั้งย่านกรุงเทพกรีฑา ภูเก็ต และหัวหิน เป็นต้น ครอบคลุม 1.สินค้าดี 2.มีคาเรคเตอร์ และ 3.มีคุณภาพ /แบรนด์น่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญสูงสุด คือ ทำเลที่ตั้ง พบขณะนี้ จังหวัดเชียงใหม่ และ ภูเก็ต กำลังร้อนแรงในความต้องการ ไม่ว่าจะจากผู้ซื้อคนไทยหรือต่างชาติ ขณะหัวหินกำลังจะกลับมา ซึ่งบริษัทมีกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยจะจับคู่ โลเคชั่นกับกลุ่มลูกค้า เช่น เชียงใหม่ กับ ชาวจีน หรือ ภูเก็ต ก็จะเป็นชาวจีน บวก รัสเซีย เป็นต้น 

5 ปี ตั้งเป้า ส่วนแบ่ง 4 หมื่นล้าน

สำหรับเป้าหมายของบริษัทนั้น หลังจากเร็วๆนี้ เตรียม IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะระดมทั้งทุนและพันธมิตร จะรุกธุรกิจอย่างเต็มสูบ วางเป้าภายในระยะ 5 ปีนับหลังจากนี้ จะชิงส่วนแบ่ง ราว 4 หมื่นล้านบาทต่อตลาด ภายใต้ ตลาดที่อยู่อาศัยใหม่ มูลค่า 8 แสนล้านบาทต่อปี ขณะ ตลาดบ้านมือสอง อีก 9 แสนล้านบาทต่อปี รวม 8 หมื่นล้านบาทต่อปี 

ซึ่ง ภายใต้การนำร่องร่วมกันของ 3 บริษัทครั้งนี้ และเตรียมที่จะลงนามร่วมกับบริษัทอสังหาฯรายอื่นๆเพิ่มเติม โดยอาศัยฐานลูกค้าของทั้งวีบียอนด์ และ ไอเอฟซีจี ก็มีลูกค้านักลงทุนในมืออีกร่วม 5 หมื่นราย เน้นสร้างผลตอบแทนการลงทุนร่วมกัน 7-8% ต่อหน่วยนั้น คาดปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีของบริษัท จากการลงทุน มากกว่า 5 พันล้านบาท แต่ วางเป้าการลงทุนในแต่ละปีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท  กำไร มากกว่า 800 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ตัวขับเคลื่อนสำคัญ นอกจาก แพลตฟอร์มออนไลน์  Property Mall ที่มีโครงการต่างๆเสนอขาย-เช่า-ลงทุน ราว 300-400 โครงการ มูลค่ามากกว่า 2 หมื้่นล้านบาท ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมียอดเข้าชม และ ซื้อเพิ่มขึ้นตามลำดับ และอยู่การพัฒนาระบบ เฟส 2 ,เฟส 3 เพื่อให้ AI ทำงานได้มีประสิทธิภาพ คัดเลือกโครงการให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้งานแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่าง การพัฒนา IP โปรแกรมเพื่อการลงทุน ที่จะเชื่อมกับ ธนาคาร สถาบันการเงิน และ ตลาดหลักทรัพย์ ในอนาตอีกด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คลัง หัก กทม. เมินรื้อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยันไม่ใช่กฎหมายล้าสมัย

คลังหักกทม. ปมภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยืนกรานไม่ใช่กฎหมายล้าสมัย หลัง “ชัชชาติ” ประกาศให้รัฐบาลใหม่ ทบทวนการจัดเก็บ ส่อส่งสัญญาณ กลับไปใช้กฎหมายเก่าคาดรายได้ใกล้เคียงปี62 ที่1.5หมื่นล้าน

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างอีกครั้ง เมื่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) ประกาศให้รัฐบาลใหม่ทบทวนและดูเหมือนกำลังส่งสัญญาณ ให้กลับไปใช้ภาษีโรงเรือนและที่ดินกับภาษีบำรุงท้องที่ โดยสะท้อนตัวอย่าง สำนักงานเขตพญาไท เรียกเก็บภาษีห้างสรรพสินค้า เดิมเสียภาษี 10.7 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1.08 ล้านบาท ลดลงถึง 10 เท่า

นายชัชชาติ อ้างว่าเดิมที การคำนวณ ภาษี ห้างสรรพสินค้า จะพิจารณาที่ยอดขายและค่าเช่า โดยนำตัวเลขที่ได้มาเรียกเก็บที่ 12.5% แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกลับไม่คิดตามรายได้ แต่คำนวณ ตามมูลค่าที่ดิน แทน เช่นเดียวกับอาคารเก่าจะมีค่าเสื่อม ทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลงตามไปด้วย โดยนายชัชชาติมองว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากต้องเสียภาษีมาก แต่พบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น

คลังหักกทม. ทบทวนภาษีที่ดิน

ต่อเรื่องนี้แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีที่ผู้ว่าฯกทม.นำตัวอย่างการเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยอ้างห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานเขตพญาไทว่ารายได้ลดลงเมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งเดิมยังจัดเก็บได้สูงกว่า มองว่าผู้ว่าฯกทม.อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน

เพราะขณะนั้นยังได้รับการบรรเทาหรือแบ่งชำระ จากมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนเจ้าของที่ดิน ตั้งแต่ปี 2563-2565 หรืออาจอยู่ในช่วยลดหย่อนภาษีลง 90% ช่วงสถานการณ์โควิด ปี 2563-2564

กระทรวงการคลังเชื่อว่ากทม.จะกลับมามีรายได้ใกล้เคียงกับภาษีเก่าปี 2562 ที่ 15,000 ล้านบาทต่อปีเมื่อจัดเก็บได้ในอัตราเต็ม 100% และอ้างอิงไปตามราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 

อย่างไรตามยืนยันว่า กระทรวงการคลังไม่แก้ไขหรือทบทวนกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะมั่นใจว่า เป็นกฎหมายที่ทันสมัย และเชื่อว่า ไม่กลับไปใช้กฎหมายที่ล้าสมัยอย่างแน่นอน ที่สำคัญกว่าจะผลักดันกฎหมายบังคับใช้ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เพื่อต้องการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีรายได้โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน

 แหล่งข่าวกระทรวงการคลังอธิบายต่อว่า สาเหตุที่ภาษีที่ดินเรียกเก็บห้างสรรพสินค้า เฉพาะมูลค่าที่ดิน และโครงสร้างอาคารในอัตราพาณิชย์ 3% เพราะ ไม่ต้องการเรียกเก็บซ้ำซ้อน กับภาษีเงินได้นิติบุคคลเหมือนในอดีต ที่ต้องนำยอดรายได้มารวมในการคำนวณภาษีและในที่สุดเจ้าของห้างสรรพสินค้ารายนั้นต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลซ้ำอีก

 “มูลค่าที่ดินและโครงสร้างอาคารทำเลใจกลางเมือง ย่อมมีราคาสูง ตามการปรับขึ้นของราคาที่ดิน โดยเฉพาะราคาประเมินฯ ของกรมธนารักษ์ ที่ใช้เป็นฐานอ้างอิงในการเรียกเก็บรายได้ ต้องปรับขึ้นในทุก4 ปี เชื่อว่า รายได้กทม.จะปรับสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากเจ้าหน้าที่หมั่นตรวจสอบและลงพื้นที่ติดตาม”

ในทางกลับกัน กทม.จะได้อานิสงส์จากคอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นจำนวนมากในหลายพื้นที่เขตแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่จากการจัดเก็บรายได้จากภาษีที่ดินที่เพิ่มขึ้นรวมถึง ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์และโครงการที่อยู่อาศัยค้างสต็อก เป็นต้น ที่กฎหมายเก่าไม่เคยเรียกเก็บ

สศค.ยันภาษีที่ดินเหมาะสม

สอดคล้องนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สะท้อนข้อเท็จจริง ภาษีโรงเรือนฯ ใช้ค่ารายปี (จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ) เป็นฐานในการคำนวณภาษี ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกับการจัดเก็บภาษีเงินได้ และทำให้เกิดปัญหาในการประเมินค่ารายปี และมีการจัดเก็บภาษีในอัตราคงที่ที่สูงถึง 12.5% ของค่ารายปีสำหรับภาษีบำรุงท้องที่จะใช้ราคาปานกลางของที่ดิน

ตามที่คณะกรรมการพิจารณาราคาปานกลางของที่ดินกำหนดประจำปี พ.ศ. 2521-2524 มาใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี ซึ่งไม่สอดคล้องกับราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีการจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำ และมีอัตราภาษีมากถึง 34 ขั้น ภาษีที่ดินฯ จึงถูกนำมาใช้แทนการจัดเก็บภาษีโรงเรือนฯ และภาษีบำรุงท้องที่เมื่อปี 2563 เป็นต้นมา

เพื่อปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีฐานทรัพย์สิน โดยภาษีที่ดินฯ เป็นภาษีฐานทรัพย์สิน มีหลักการในการจัดเก็บภาษีที่พิจารณาจากความมั่งคั่งที่สะสมไว้ของบุคคลในรูปที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจัดเก็บจากเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างหรือผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์สินของรัฐ ในวันที่ 1 มกราคมของทุกปี

 โดยใช้มูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างตามราคาประเมินทุนทรัพย์เป็นฐานในการคำนวณภาษี และนำไปคูณกับอัตราภาษีในอัตราก้าวหน้าตามมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และตามการใช้ประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างแต่ละประเภท รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพก็จะถูกจัดเก็บภาษีด้วย การจัดเก็บภาษีที่ดินฯ จึงทำให้ผู้เสียภาษีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงจะต้องเสียภาษีมากกว่าผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินต่ำ และกรณีผู้เสียภาษีที่มีทรัพย์สินในลักษณะเดียวกัน ขนาดเท่ากัน และมีการใช้ประโยชน์เหมือนกันก็จะมีภาระภาษีเท่ากัน จึงเป็นระบบภาษีที่มีความเป็นธรรม

 ขณะในปี 2563-2565 ช่วงระยะ 3 ปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ มีการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ได้แก่ การยกเว้นการจัดเก็บภาษีสำหรับเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม ตามมาตรา 96 แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ) และการบรรเทาการชำระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษีที่มีภาระภาษีที่ดินฯ สูงกว่า ภาษีโรงเรือนฯ และภาษีบำรุงท้องที่ ในปี 2562 (ค่าภาษีปี 2562)

โดยให้ชำระภาษีที่ดินฯ เท่ากับค่าภาษีปี 2562 บวกด้วย 25%  50% และ 75% ของส่วนต่างของค่าภาษีปี 2562 กับค่าภาษีที่ดินฯ ในปี 2563, 2564 และ 2565 รวมถึงในปี 2563-2564 มีการลดภาษี 90% เพื่อบรรเทาภาระและผลกระทบให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

คลังเคยปฏิเสธ กทม.โขกภาษี

  ย้อนไปก่อนหน้านี้ เมื่อปลายปี 2565 นายชัชชาติ เคยทำหนังสือ หารือไปทางกระทรวงการคลังแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อขอพิจารณา ขอปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประเภทที่ดินเกษตรกรรมแยกย่อยตามโซนผังเมืองรวม ได้แก่ โซนสีแดงที่ดินประเภทพาณิชยกรรม โซนสีน้ำตาลที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก โซนสีม่วงที่ดินประเภทอุตสาหกรรม และโซนสีเม็ดมะปรางที่ดินประเภทคลังสินค้า

ในกรณีเจ้าของนำที่ดินมาปลูกกล้วย มะม่วง มะนาว เพื่อให้เข้าเกณฑ์เกษตรกรรมตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะปรับอัตราเพิ่มจากปัจจุบันเก็บในอัตรา 0.01-0.1% เป็นเก็บเต็มเพดาน 0.15% หรือจากล้านละ 100 บาท เป็นล้านละ 1,500 บาท ในเบื้องต้นไม่สามารถดำเนินการได้ หลังคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้พิจารณาว่าจะเกิดความเหลื่อมล้ำกับพื้นที่เกษตรบริเวณชานเมืองของกทม.และขัดต่อกฎหมายภาษีที่ดินรวมถึงกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1มิ.ย.ที่ระดับ 34.64 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทมีโมเมนตัมอ่อนค่าแผ่วลงมากขึ้น อาจเห็น “ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นชัดเจน-การปรับฐานแรงของราคาทองคำ -เงินหยวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องและแรงขายหุ้นและบอนด์ไทย”

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1มิ.ย.2566ที่ระดับ  34.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.80 บาทต่อดอลลาร์

 
นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ในขณะที่เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway down หรืออ่อนค่าลงเล็กน้อย

เรายังคงมองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทแผ่วลงมากขึ้น ทำให้การอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินบาทอาจต้องเห็น

1) การแข็งค่าขึ้นชัดเจนของเงินดอลลาร์ ซึ่งก็อาจเกิดพร้อมกับการปรับฐานแรงของราคาทองคำ

2) การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินหยวนจีน และ 3) แรงขายหุ้นและบอนด์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อชัดเจน

เช่น ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY กลับไปทดสอบโซน 106 จุด อาจมีไม่มาก หลังการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ก็ได้รับรู้มุมมองการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดไปมากแล้ว แต่หากตลาดปิดรับความเสี่ยงรุนแรง ก็อาจเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง


 ซึ่งแรงกดดันเงินบาทจากเงินดอลลาร์ ก็จะถูกลดทอนด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในภาวะดังกล่าว ทำให้เรามองว่า แรงกดดันเงินบาทในช่วงนี้จะอยู่ที่ ทิศทางเงินหยวนของจีน และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ

 โดยเงินหยวนของจีนมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้บ้าง ตามภาพเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้แย่กว่าคาด  ขณะที่ในส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ แม้เรายังคงเห็นแรงขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง


 ทว่า หากความกังวลต่อการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้ลดลงและทำให้บรรยากาศในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติก็อาจเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยได้บ้าง (แต่จะไม่มาก จนกว่าเห็นความชัดเจนของปัจจัยการเมืองไทย)

 ส่วนฟันด์โฟลว์ในตลาดบอนด์ก็เริ่มมีทิศทางไหลเข้า หลังจากไหลออกอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น เราจึงมองว่า โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังคงอยู่ในช่วง 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์
 
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย

 ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
 
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80 บาท/ดอลลาร์

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงโดยดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.61% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า การพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้โดยสภาคองเกรสอาจไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด

 เนื่องจากผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกันสายอนุรักษ์นิยมบางส่วนอาจโหวตไม่เห็นชอบกับร่างข้อตกลงดังกล่าว นอกจากนี้ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาสูงกว่าคาดไปมากถึง 4 แสนตำแหน่ง 

ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนกังวลว่า หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว เฟดก็มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
 
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.07% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -2.9%, Shell -2.7%) ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ

 นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ได้กดดันให้ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวลดลง (Kering -2.9%, Hermes -2.6%)
 
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่บรรยากาศในตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง

 กอปรกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา (ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 3.80%) ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว

 ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.64% ซึ่งเป็นโซนแนวรับในช่วงที่ผ่านมา โดยเราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideway ในช่วง 3.50%-3.80% 

ก่อนที่จะเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ตามภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะชะลอลงมากขึ้น และเฟดอาจไม่ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่
 
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงบ้าง 


ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงทรงตัวแถวระดับ 104.2 จุด สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideway

 เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรส และรอจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์

 ส่วนในฝั่งราคาทองคำ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ย่อตัวลงต่อเนื่อง

 ในขณะที่เงินดอลลาร์ยังคงทรงตัว ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นทดสอบระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,983 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม และไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด 

คือ การพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรส ซึ่งทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ควรมีมติผ่านร่างข้อตกลงดังกล่าว ให้ทันภายในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
 
ทางด้านฝั่งยุโรป ปัจจัยสำคัญ คือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB)  โดยตลาดมองว่า ECB อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง

 หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซน เดือนพฤษภาคม ยังคงทรงตัวที่ระดับ 7.00% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจอยู่ที่ระดับ 5.6%)

 โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ต่อเนื่องจนแตะระดับ 3.75% ได้ในปีนี้ (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3.25%)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 34.65-34.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.)  เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่ากลับมา ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนหลังจากเจ้าหน้าที่เฟดมีท่าทีชะลอการพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย (สนับสนุนการคงดอกเบี้ย) ในการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงกดดันจากแรงขายเพื่อปรับโพสิชั่น หลังจากร่างกฎหมายเพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ได้ผ่านการพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงเช้าวันนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.60-34.75  บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.จาก ADP จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตเดือนพ.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อัปเดตอาการ “อัจฉราพร” นักตบสาวไทยหลังถูกหามออกในศึกลูกยางเนชั่นส์ลีก

ความเคลื่อนไหวของ ทีมวอลเลย์บอลสาวไทย ในการแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2023 ที่อันตัลยา สปอร์ตส์ ฮอลล์, เมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี เมื่อคืนวันอังคารที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

โดยผลการแข่งขันอย่างที่รู้กันไปก่อนหน้านี้ว่า “ทัพลูกยางสาวไทย” รวมพลังสู้กันแบบสุดตัวก่อนพ่าย “แชมป์เก่า” อิตาลี ทีมอันดับ 2 ของโลก ไปแบบสูสี 2-3 เซต (26-24, 17-25, 29-27, 28-30 และ 11-15) เก็บหนึ่งแต้มมาครอง

อย่างไรก็ตามอีกหนึ่งประเด็นที่แฟนชาวไทยกังวลก็คือ อัจฉราพร คงยศ ดาวตบตัวเก่งของทีมที่มีอาการบาดเจ็บในช่วงเซตที่สี่ จนถึงขั้นต้องหามออกจากสนาม และไม่สามารถลงทำการแข่งขันต่อได้ในเซตตัดสิน

ล่าสุดมีรายงานความคืบหน้าของอาการบาดเจ็บออกมาว่า นักตบลูกยางสาววัย 27 ปี นั้นไม่ได้มีอาการหนักอย่างที่แฟนลูกยางกังวลกัน โดยเป็นเพียงแค่ตะคริวที่ขาขวาเท่านั้น สาเหตุเพราะลงเล่นต่อเนื่องในเกมยาว ซึ่งนัดหน้าพร้อมลงสนามช่วยทีมได้อย่างแน่นอน

สำหรับโปรแกรมนัดต่อไปของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย มีโปรแกรมลงสนามพบกับ แคนาดา ในวันวันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน นี้ เวลา 18.00 น. แฟนๆ สามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง ช่อง 7HD

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สูตรคำนวณ สูบบุหรี่มากเท่าไร เสี่ยงถุงลมโป่งพอง-มะเร็งปอด

ใครที่ติดบุหรี่ หรือมีคนรอบข้างติดบุหรี่งอมแงม แต่มั่นใจว่า “สูบไม่เยอะหรอก แค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรแน่นอน” อาจจะต้องลองคิดดูใหม่ เพราะเรามี สูตรคำนวณวัดปริมาณควันบุหรี่ ที่สามารถระบุได้คร่าวๆ ว่า จำนวนบุหรี่ที่คุณสูบ เพิ่มความเสี่ยงให้คุณเป็นโรคหรือไม่ ซึ่งโรคที่ว่าก็หนีไม่พ้น ความดันโลหิตสูง และมะเร็งปอดนั่นเอง

งายวิจัยปี ค.ศ. 2010 ประเทศเวียดนาม เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับความดันโลหิตสูง ซึ่งศึกษาในชาวเวียดนามจำนวน 910 คน พบว่า

คนที่สูบบุหรี่มากกว่า 20 แพ็คเยียร์ มีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง > 1.34 เท่า

จำนวนบุหรี่แพ็คเยียร์ คืออะไร?

แพ็คเยียร์ (pack-year) คือ ปริมาณบุหรี่ที่สูบบุหรี่มากน้อย หาได้จาก

แพ็คเยียร์ = จำนวนบุหรี่ที่สูบใน 1 วัน x จำนวนปีที่สูบบุหรี่
                                        20 (มวน)

เช่น ถ้าคุณสูบบุหรี่วันละ 20 มวนมานานแล้ว 5 ปี คำนวณหาแพ็คเยียร์ได้ดังนี้ 20 x 5 ÷ 20 = 5 แพ็คเยียร์ โดย 5 แพ็คเยียร์นี้อาจหมายถึง สูบบุหรี่วันละ 5 มวนนาน 20 ปี ก็ได้ เพราะความเสี่ยงในการเกิดโรคเท่ากับการสูบบุหรี่วันละ 20 มวนนาน 5 ปี
                                                                                                   

ค่าแพ็คเยียร์บอกความเสี่ยงในการเกิดโรคดังนี้

> 20 แพ็คเยียร์ = เสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
> 30 แพ็คเยียร์ = เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด

ใครที่ได้ค่าแพ็คเยียร์ต่ำกว่า 20 ก็ดีใจด้วย แต่เชื่อเถอะว่า เพียงตัดสินใจเลิกบุหรี่แค่ครั้งเดียว ชีวิตจะดีขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะลดลง เป็นผลให้โรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะตามมา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต ก็จะลดลง ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะลดลงตามไปด้วย เพราะฉะนั้นมาเลิกบุหรี่กันเถอะค่ะ เพื่อตัวคุณเอง และเพื่อคนที่คุณรัก

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อธิบายชาวต่างชาติยังไงเวลาเราไปเที่ยวงานวัด

เข้าสู่ฤดูกาลเทศกาลมากมายในสิ้นปีกันแล้ว เทศกาลที่พบเจอได้บ่อยหนึ่งในนั้นคือเทศกาลงานวัดหรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Temple Fair เป็นงานที่อาจจะคุ้นชินสำหรับพวกเราแต่ว่าคงไม่ง่ายเลยที่เราจะอธิบายสิ่งต่างๆ ภายในงานให้ชาวต่างชาติเข้าใจ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันกับศัพท์ต่างๆที่อยู่ในงานวัดกัน

ก่อนอื่นเวลาเราควรจะอธิบายว่ากับชาวต่างชาติก่อนว่างานวัดคืออะไร (What is Temple Fair?) เพราะชาวต่างชาติคงจะงงกันอย่างแน่นอนถ้าเราพูดแค่ Temple Fair

Temple fair is an annually traditional festival.

  • งานวันคืองานเทศกาลแบบท้องถิ่นที่จัดเป็นประจำปี

There is a place of religious ceremony, Thai traditional food and a local theme park. So that’s why people love it.

  • งานวัดคือสถานที่รวมของการทำบุญหรือพิธีทางศาสนาต่างๆ อาหารถิ่นดั่งเดิมของไทย และเครื่องเล่นเหมือนสวนสนุกแบบพื้นเมือง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนถึงชอบไปงานวัด

เมื่อเราอธิบายชาวต่างชาติว่างานวัดคืออะไรแล้วเราลองมาอธิบายกิจกรรมต่างๆภายในงานกันดีกว่า

พิธีทางศาสนา (Religious Ceremony)

  • การทำบุญ (Make merit)
  • บริจาค (Donate)
  • สวดมนต์ (Pray)
  • ถวายสังฆทาน (Give the offering dedicated to the monks)
  • ปิดทององค์พระพุทธรูป (Put gold leaf onto the Buddha image)
  • จุดธูป/เทียน (Light the incense sticks/candle)

เครื่องเล่น

  • ชิงช้าสวรรค์ (Ferris wheel)
  • ม้าหมุน (roundabout)
  • บ้านผีสิง (Haunted House)
  • ปาเป้า (Throw darts)
  • ยิงปืนอัดลม (Air gun shooting)
  • เพ้นเซรามิค (Ceramics painting)

ของกิน

  • ขนมหวานไทย (Thai dessert) เช่น Thai candy (ขนมหวานไทยที่ปั้นเป็นรูปทรง)
  • อาหารพื้นเมือง (Local food) เช่น Nam Ngao rice noodle (ขนมจีนน้ำเงี้ยว)
  • ข้าวโพดคั่ว (Popcorn)

คนเที่ยวงานคึกครื้น (People are very jolly) รู้คำศัพท์เหล่านี้แล้วอย่าลืมเอาไปอธิบายให้เพื่อนชาวต่างชาติกันนะ

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


เผยภาพต้นแบบของ “MagSafe” ใหม่จะมีหลากหลายสีให้เลือก

หลังจากที่มีผู้ใช้ Twitter รายหนึ่งได้เปิดเผยภาพของ MagSafe สี Starlight ออกมาซึ่งมีข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า MagSafe อาจจะมีให้เลือกถึง 8 สีในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ MacRumors ได้มีการเปิดเผยภาพต้นของ MagSafe ที่จะมีให้เลือก 8 สีได้แก่

  • Space Gray
  • Starlight
  • เขียว
  • ชมพู
  • ม่วง
  • เหลือง
  • ฟ้า
  • แดง (PRODUCT)RED

อีกข้อสังเกตจคือวงแหวนจะแสดงเป็นสีเงิน และยังมีฝาข้างใส่เป็นสีขาวและสายเคเบิลจะเป็นสีดำ เท่านั้น ซึ่งคาดว่าสีจะออกมาสัมพันธ์กับ iPhone รุ่นปัจจุบันและรวมถึงรุ่นใหม่ และรองรับมาตรฐานใหม่ Qi2 เช่นเดียวกัน ลุ้นกันต่อไปว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่กันต่อไป

ทั้งนี้อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบ MagSafe ที่เป็นสีตามเครื่องนั้นเกิดจาก MacBook Air M2 ที่มีหลากหลายสีให้เลือกนั้นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ผัก 10 ชนิดที่พบ “ยาฆ่าแมลง” ตกค้างสูงที่สุด

กรมอนามัย ห่วงกินเจเจอผักปนเปื้อนสารเคมี ย้ำเลี่ยงผักนอกฤดูกาล เสี่ยงมีสารเคมีมากกว่า เผย 10 ผักสดยังคงพบสารเคมีปนเปื้อนสูง แนะล้างผักให้สะอาดทุกครั้งก่อนกินและปรุง


กินเจ กินผัก เสี่ยงสารเคมีตกค้างในผัก

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงช่วงเทศกาลกินเจที่มีผักเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ว่าช่วงเทศกาลกินเจนี้ มีการจำหน่ายอาหารเจที่ปรุงจากผักเป็นจำนวนมาก จึงต้องเฝ้าระวังความสะอาดปลอดภัยของสารเคมีในผักให้มากขึ้น 


วิธีเลี่ยงผักที่มีสารเคมีตกค้างสูง

สำหรับผู้บริโภคที่ปรุงอาหารเจกินเองในครอบครัว ช่วงนี้ไม่ควรกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างและเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย ๆ ค่อย ๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งในระยะยาว


ผักสดที่พบสารเคมีตกค้างสูง

ผักสด 10 ชนิด ที่จำหน่ายในท้องตลาด พบว่า มีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณที่สูง ได้แก่

  1. กวางตุ้ง
  2. คะน้า
  3. ถั่วฝักยาว
  4. พริก
  5. แตงกวา
  6. กะหล่ำปลี
  7. ผักกาดขาวปลี
  8. ผักบุ้งจีน
  9. มะเขือ
  10. ผักชี

วิธีลดประมาณสารเคมีตกค้างในผัก

ก่อนกินหรือนำผักมาปรุงอาหาร ต้องล้างให้สะอาดทุกครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ให้ล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลืออัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชูอัตราส่วนครึ่งถ้วยตวงต่อน้ำ 4 ลิตร หรือน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิงโซดา) อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง สำหรับผักบางชนิดเช่น คะน้า กะหล่ำ ถั่วฝักยาว หากมีคราบขาวจับที่กาบใบหรือฝักมากเกินไปล้างน้ำหลาย ๆ ครั้ง และคลี่ใบถูหรือล้างด้วยการเปิดน้ำไหลผ่านอย่างน้อย 2 นาที เพื่อความปลอดภัยและลดการปนเปื้อนของสารเคมี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 1/06/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,150.0032,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,083.0031,578.2832,750.00
ทองรูปพรรณ 90%1,874.7028,420.45n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,666.4025,262.62n/a
ทองรูปพรรณ 50%937.0014,204.92n/a
ทองรูปพรรณ 40%729.0011,051.64n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,159.0032,730.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 1/06/2566


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.1535.1535.6435.1535.1535.1535.1535.1535.1535.15
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8835.3434.8834.8834.8834.8834.8834.8834.88
แก๊สโซฮอล์ E2032.8432.8433.2432.8432.8432.8432.8432.8432.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.2933.2933.29
เบนซิน 9542.9443.5143.4443.0942.94
ดีเซล B731.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.4431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.0641.1642.9442.3642.3641.06
แก๊ส NGV17.5917.5917.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า