คอนโดนิคมฯชลบุรีฟื้น!แรงงานแฝงหนุนดีมานด์ซื้อ-เช่าเพิ่ม
ความร้อนแรงของนิคมอุตสาหกรรมจากการย้ายฐานผลิตของต่างชาติมายังไทยเพื่อลดความเสี่ยงกลายเป็น ‘โอกาส’ของตลาดคอนโดในนิคมฯ ล่าสุด แอล.พี.เอ็น. เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์แบรนด์’ เอิร์น’มูลค่า 2,124 ล้านรองรับแรงงานแฝงหนุนดีมานด์ซื้อ-เช่าเพิ่มรวมทั้งนักลงทุน
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่าจากงานวิจัย บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด พบว่าตลาดอสังหาฯในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มีผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการจำนวนมากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวโครงการ และอยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, อมตะซิตี้ ชลบุรี อ.เมืองชลบุรีและอ.ศรีราชา – แหลมฉบัง จ.ชลบุรี รวม 9,495 หน่วย มูลค่า 35,000 ล้านบาท
จากผลการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อในทำเลนี้ เป็นทั้งกลุ่มนักลงทุนและพนักงานที่ทำงานอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม ที่มีรายได้เฉลี่ย 20,000 – 50,000 บาทต่อเดือนนอกจากนี้ยังพบว่าแต่ละปี มีแรงงานแฝงเข้ามาในนิคมฯ จ.ชลบุรี 100,000 คน โดยประมาณ 10% หรือ 10,000 คนอยู่ในนิคมฯ อมตะ
ขณะที่การซื้อเพื่อการลงทุนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5-6 % โดยค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย สำหรับห้องชุดขนาด 26 – 30 ตร.ม.โดยความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในทำเล EEC สูง อัตราการเช่าอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ มีสัดส่วนเฉลี่ย 80-90% สะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัย จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อเพื่อการลงทุนและปล่อยเช่า
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าวบริษัทจึงพัฒนาโครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่า 2,124 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 25-30 ปีที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเรื่องของการทำงาน และการใช้ชีวิต รวมถึงกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นลงทุนในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ และรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาทำงานในนิคมฯ มีสัดส่วน50:50
โดยนำโมเดลการลงทุนของโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 มาให้บริการแก่นักลงทุนเป็นแพกเกจหาผู้เช่าพร้อมปล่อยเช่าในโครงการเอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ใกล้นิคมอมตะซิตี้ บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคาร โดยมีจำนวนรวม 1,810 ยูนิต ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ จำนวน 1,796 ยูนิต แบ่งเป็น แบบสตูดิโอ, 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพลัส ขนาดเริ่มต้น 24- 36ตร.ม. และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.1- 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2567
“ในรอบ VVIP ที่ผ่านมามียอดขาย 100 ล้านบาท คาดว่า เฟสแรกที่พรีเซลล์เดือน ก.ย.นี้จะมียอดขาย 200-300 ล้านบาท”
นอกจากนี้ปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการที่ จ.อยุธยา พร้อมกับแตกแบรนด์ใหม่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มนักศึกษา ในทำเลใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อขยายฐานลูกค้า ที่ต้องการลงทุนปล่อยเช่า นอกเหนือจากทำเลในนิคมต่างๆทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มนักลงทุน เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ จึงไม่มีปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อเพียงแต่ว่าต้องพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่า
โอภาสกล่าวว่าปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขาย 13,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้แล้ว 7,000 ล้านบาท เกินกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปี
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 12 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการด้านยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ ตั้งเป้า 7,000 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. มียอดขายรอโอน (Backlog) 2,750 ล้านบาทมาจากโครงการคอนโด จำนวน 2,360 ล้านบาท คิดเป็น 85% และมาจากโครงการแนวราบ จำนวน 390 ล้านบาท คิดเป็น 15% ของยอดขายรอโอน ทั้งหมด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายในปี 2566 และ 2567
“ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น หลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว โดยปัญหาเร่งด่วนที่น่าจะให้ความสำคัญในการแก้ไขก่อน คือ 1. การท่องเที่ยว ซึ่งทำได้ง่าย เร็ว และเห็นผลทันที 2. ภาคการส่งออก และ 3. ภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นเครื่องจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการต่างๆ น่าจะเริ่มเห็นตั้งแต่เดือน ต.ค. หรือ พ.ย.นี้เป็นต้นไป” โอภาส กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แสนสิริเขย่าตลาดบ้านAffordable เปิดอณาสิริ8โครงการมูลค่าหมื่นล้าน
แสนสิริเขย่าตลาดAffordable ลุยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมแบรนด์อณาสิริ 8 โครงการมูลค่า 10,700 ล้าน ในระดับราคา 2 – 7 ล้านชูกลยุทธ์ Music Marketing รีเฟรชแบรนด์เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หวังผลักดันยอดขายแนวราบทะลุ 33,000 ล้าน
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 50,700 ล้านบาท ครอบคลุมทุกความต้องการ ภายใต้แนวคิด “YOU Are Made For Life” ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่หลากหลายของ”คุณ” เป็นศูนย์กลางและแรงบันดาลใจในการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการพัฒนาโครงการที่หลากหลายทั้งในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายจนถึงโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ เพื่อตอบรับความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า แสนสิริ จึงรุกพัฒนาแบรนด์ “อณาสิริ” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบและรองรับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการบาลานซ์ชีวิตทุกด้านให้ลงตัว ให้ทุกคนได้พบความพอดี ตามแบบฉบับของตัวเองได้ในทุกๆ วัน
สำหรับจุดเด่นของแบรนด์ อณาสิริ คือ โครงการบ้านจากแสนสิริ ในระดับราคา 2 – 7 ล้านบาท ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เพื่อตอบโจทย์ความชอบหลากหลายรูปแบบ ภายใต้แนวคิดแบรนด์ “Feel Just Right ความพอดีที่ลงตัว” ที่คิดอย่างเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ที่มองหาความพอดีในทุกด้านของชีวิต ต้องการบาลานซ์ระหว่างชีวิตทำงาน และชีวิตครอบครัว
ซึ่งอณาสิริก็พร้อมรองรับด้วยพื้นที่ภายในบ้าน และฟังก์ชันที่คิดมาเพื่อความสุขของทุกคนในทุกๆ วัน ซึ่งแนวคิดความพอดีที่ลงตัวของอณาสิริ ถูกสะท้อนออกมาเป็นความพอดีใน 5 มุมการใช้ชีวิต ที่มีดีไซน์และฟังก์ชัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างพอดี ได้แก่
Work Just Right บาลานซ์ชีวิตทำงานให้พอดี ค้นหาไอเดียรอบตัว กับฟังก์ชัน Bay Window ปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ ทั้งมุมพักผ่อน อ่านหนังสือ
หรือมุมทำงาน ที่พักสายตาผ่อนคลายมองความร่มรื่นของต้นไม้ด้านนอกได้ด้วย
Love Just Right รักที่พอดี ในปริมาณที่ใช่ กับพื้นที่ฉันและพื้นที่เรา กับConnecting Space พื้นที่เชื่อมระหว่างห้องครัว ห้องทานอาหาร และห้องนั่งเล่นทำกิจกรรมโปรดของแต่ละสมาชิกครอบครัว และ Good Community ที่มอบสังคมเพื่อนบ้านที่ดีให้กับลูกบ้าน ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม
Play Just Right พื้นที่ครอบครัวที่พอดี เล่นสนุกได้ทุกเวลา พร้อมให้ลูกบ้านได้มาใช้เวลาว่างในการออกกำลังกาย หรือสนุกกับครอบครัวได้เต็มที่
Eat Just Right กินให้พอดี ต้องไม่มี สารเคมีมากวนใจ ที่ Sansiri Backyard แสนสิริคัดพันธุ์ไม้ พืชผักสวนครัว สำหรับลูกบ้านนำไปใช้ทำอาหารมื้อพิเศษ
Live Just Right ชีวิตที่พอดี เริ่มจากบ้านที่อุ่นใจ กับ Sansiri Security System ปลอดภัยกว่าเมื่อคนและเทคโนโลยี LIV-24 และ Sustainability Living ความยั่นยืนในรูปแบบของการอยู่อาศัย และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในปีนี้ แสนสิริวางแผนเปิดตัวอณาสิริ จำนวน 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 10,700 ล้านบาท อาทิ โครงการ อณาสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี 2 และอณาสิริ ศรีนครินทร์ – แพรกษา ที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดี โดยในครึ่งปีหลัง แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวอณาสิริในทำเลต่างๆ ที่ครอบคลุมทั้ง 4 ดีไซน์ ได้แก่
Lagom: อณาสิริ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน 2
Modern Japanese: อณาสิริ รังสิต – คลอง 3
Mediterranean: อณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน และ อณาสิริ เวสต์เกต
Modern Barn House: อณาสิริ ปิ่นเกล้า – กาญจนา และ อณาสิริ พายัพ เชียงใหม่ ที่เป็นดีไซน์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย
ในปีนี้ แสนสิริยังใช้กลยุทธ์ของ Music Marketing ในการรีเฟรชแบรนด์ “อณาสิริ” ให้จับใจกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ยิ่งขึ้น โดยจับกับกระแสของ T-Pop ที่กำลังมาแรงและกลับมาเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน จากการสร้างปรากฏการณ์ดังไกลไปถึงต่างประเทศ หรือเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์อยู่เสมอ ซึ่งแสนสิริได้เลือกศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Bonnadol (บอนซ์ ณดล ล้ำประเสริฐ) เจ้าของปรากฏการณ์เพลงสุดไวรัลในโซเชียลอย่างเพลง ฉลามชอบงับคุณ และเพลงหัวใจปลาดาว มาร่วมผลิตผลงานเพลง “น่ารักจนใจเจ็บ (Feel Just Right)” ที่ถ่ายทอดความพอดีที่ลงตัวเมื่อเราได้ใช้ชีวิต หรือได้อยู่กับคนที่เรารักโดยใช้ภาษาที่เป็นคำฮิตในหมู่วัยรุ่นอย่าง “น่ารักจนใจเจ็บ” เข้ามาใช้ด้วย
โดยเนื้อเพลงนั้นจะพูดถึงการใช้ชีวิตในบ้านคนเดียวแบบเหงาๆ แต่เมื่อมีใครอีกคนที่พอดีกับใจเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน บ้านหลังเดิมก็กลายเป็นสดใสและชีวิตของเราก็มีความสุขมากขึ้น ซึ่ง Music Video ของเพลงนี้ถ่ายทำที่โครงการอณาสิริ เพื่อให้คนดูได้เห็นถึงบรรยากาศของบ้าน และการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ภายใต้โจทย์ “ความพอดีที่ลงตัว”
สามารถฟังเพลง “น่ารักจนใจเจ็บ ” (Feel Just Right)ได้แล้ว บนมิวสิกสตรีมมิ่งทุกแพลตฟอร์มทั้ง Spotify, JOOX, YouTube Music, Apple Music ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการปล่อยท่าเต้นน่ารักๆ ออกมาเพื่อรองรับกระแสไวรัลบน TikTok ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
“การรุกแบรนด์ อณาสิริในปีนี้ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การรุกแบรนด์แนวราบที่เติมเต็มความต้องการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและส่งผลให้แสนสิริสามารถสร้างยอดขายโครงการแนวราบได้ตามเป้าหมาย 33,000 ล้านบาท ที่วางไว้” นายอาณัติกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1ก.ย “ทรงตัว”. ที่ระดับ 35.01 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจเคลื่อนไหว sideway มีจังหวะอ่อนค่าบ้าง ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และการลดลงของราคาทองคำ หลังบรรยากาศตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ไฮไลท์วันนี้จะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน และดัชนีISM PMI ของสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1ก.ย.2566 ที่ระดับ 35.01 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ในช่วงก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เงินบาทอาจเคลื่อนไหว sideway ในกรอบไม่ต่างจากช่วงวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ
โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นยังมีความไม่แน่นอน (มีการซื้อสุทธิ สลับกับการขายสุทธิในช่วงที่ผ่านมา) ทำให้เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทย หลังดัชนี SET และ SET50 ได้รีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญ แม้ว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง
แต่เรามองว่า เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่อยากปรับสถานะถือครองไปมากนัก ก่อนรับรู้ข้อมูลดังกล่าว โดยเราประเมินว่า โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังอยู่ในช่วง 35.10-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงก่อนและหลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเราคาดว่า ธีมหลักของตลาดในช่วงนี้ ยังคงเป็น “Bad data is Good news for the market” หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด หรือ
สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น จะส่งผลให้ตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าว อาจลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น ดังนั้น หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ และ
อัตราการเติบโตของค่าจ้าง รวมถึง ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ ชะลอลงตามที่ตลาดคาด หรือ ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ
ในทางกลับกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด เงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแรง เช่น ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY อาจปรับตัวขึ้นกลับไปสู่ระดับสูงกว่า 104 จุด ได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้
ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.10 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ
และประเมินกรอบเงินบาท ในช่วง 34.80-35.30 บาท/ดอลลาร์ หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ
ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.92-35.04 บาทต่อดอลลาร์) ตามทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ก่อนรับรู้รายงานยอดการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันนี้ อย่างไรก็ดี รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ล่าสุดที่ชะลอลงตามคาดและสอดคล้องกับรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนหน้า ก็พอช่วยพยุงบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมได้ ทำให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด ลดลงเพียง -0.16%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อ -0.20% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อล่าสุดของยูโรโซนออกมาอยู่ในระดับที่สูงถึง 5.3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมองว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -2.7%, Hermes -1.6%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 4.12% ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ และมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองเดิมว่า แม้บอนด์ยีลด์ระยะยาวอาจพลิกกลับมาปรับตัวขึ้น แต่ก็จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจมีการปรับสถานะบางส่วนก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในวันนี้ นอกจากนี้ ภาพตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัวก็มีส่วนทำให้เงินดอลลาร์ยังมีความน่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 103.6 จุด (กรอบ 103.4-103.8 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรของผู้เล่นบางส่วน ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงจังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และ
เงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงสู่ระดับ 1,966 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน (ทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) และรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ในช่วงเวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย
ในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนสิงหาคมนั้น นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจเพิ่มขึ้น 168,000 ราย ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ส่วนอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ก็อาจชะลอลงสู่ระดับ +0.3%m/m หรือ +4.3%y/y
ขณะที่อัตราการว่างงานอาจทรงตัวที่ระดับ 3.5% เรามองว่า หากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาตามที่นักวิเคราะห์ประเมิน อาจไม่ได้หนุนให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่อาจทำให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน จนกว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงมากขึ้น (เรายังคงมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปลายปี-ต้นปีหน้า) และ
ในส่วนของรายงาน ดัชนี ISM Manufacturing PMI เดือนสิงหาคม นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 47 จุด สะท้อนว่าภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังคงหดตัวอยู่ (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) และเป็นการหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมในปีก่อนหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KASIKORN Research Center Company Limited: KResearch) ระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.00-35.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.20น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทแกว่งตัวเป็นกรอบ เพราะแม้เงินดอลลาร์ฯ จะมีปัจจัยบวกจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังคงขยับขึ้นในเดือนก.ค. (ดัชนี PCE Price Index +3.3% YoY ส่วนดัชนี Core PCE Price Index +4.2% YoY) แต่กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัด
เพราะยังมีปัจจัยหนุนจากทิศทางเงินหยวน หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) ส่งสัญญาณดูแลค่าเงินหยวน โดยได้ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองสำหรับสกุลเงินตราต่างประเทศ และประกาศอัตราอ้างอิงเงินหยวนประจำวันแข็งค่ากว่าระดับที่ตลาดประเมินไว้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.95-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองของไทย ทิศทางฟันด์โฟลว์ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. ของจีน ยูโรโซน และสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ประเมินค่าเงินบาทวันนี้ 1 ก.ย.2566 เคลื่อนไหวในกรอบ 34.90-35.20 บาท/ดอลลาร์
-ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหลังตัวเลขขอรับสวัสดิการแรงงานสหรัฐปรับลดลง ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานปรับสูงขึ้นตามคาด
-ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่าเศรษฐกิจยุโรปหดตัวกว่าคาด พร้อมกับตัวเลขอัตราการว่างงานของเยอรมันที่ออกมาสูงกว่าคาด ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นจากการที่ทางการจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยของการจดจำนองที่มีอยู่ปลายกันยายนนี้
-ตลาดรอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐคืนนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 170,000 ตำแหน่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คนดูน้อยนิด คนโคราชขอพูด! “ความล้มเหลวของผู้จัด?
กระแสวิจารณ์หนักหน่วงกับการจัดการแข่งขันที่มาพร้อมกระแสดราม่า ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 22 ที่จังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งเรื่องดราม่านี้ เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางของฝ่ายจัดการแข่งขัน ที่ขายบัตรเข้าชมรายการนี้ที่แพงมากๆ
โดยในกลุ่มของทีมชาติไทย ที่ใช้สนามชาติชาย ฮอลล์ ภายในสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โซนสีแดง และสีน้ำเงิน คือโซนบัตรเหมา ราคา 3,000 บาท และ 2,500 บาท ส่วนนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่
เรื่องราวในเฟซบุ๊ก “พละชัย ครูต๊ะ ฟูเกียรติพงษ์” ที่เป็นแฟนวอลเลย์บอลที่รักทีมชาติไทย คอยตามเชียร์ ตามให้กำลังใจทีมชาติไทยมาตลอดหลายทัวร์นาเมนท์ ได้โพสต์ข้อความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“คนโคราชขอพูด คนดูน้อย คือ ความล้มเหลวของผู้จัด”
คงจะพูดได้ว่า ผมและภรรยาเป็นแฟนพันแท้ของทีมวอลเลย์บอลสาวไทยเลยทีเดียว VNL ที่กรุงเทพ ผมและภรรยาก็ซื้อตั๋วไปนั่งเชียร์ตั้งแต่วันเปิดสนาม บัตรราคาใบละ 900 บาท ไม่รวมค่าเดินทางจากโคราช ค่ากิน ค่าที่พัก บรา ๆ ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ AVC 2023 ครั้งนี้จัดที่โคราชแท้ๆ ผมกับภรรยาตกลงใจว่าจะนั่งดูอยู่หน้าจอทีวี ทำไม???
เราลองมาดูระบบการจำหน่ายบัตรที่โคราช (ตามผัง) กันนะครับ
โซนสีแดง และสีน้ำเงิน คือโซนบัตรเหมา ราคา 3,000 บาท และ 2,500 บาท ส่วนนี้แหละที่เป็นปัญหา (ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด)
1. ราคานี้บรรดาคนกินเงินเดือน คงไม่เอาด้วย
2. ถ้าคนมีเงินมากพอซื้อไป ก็คงไม่ได้มาดูทุกคู่แข่งขัน (ที่ว่างแน่นอน)
3. คนที่ต้องการดูเพียงบางคู่ ก็ซื้อบัตรโซนสีน้ำเงินและแดงไม่ได้ เพราะ บัตรรายวันคือ โซนสีเหลือง
บอกเลยครับว่า การจัดจำหน่ายบัตรแบบนี้ ได้โชว์เก้าอี้อวดชาวโลกแน่นอน ไม่ใช่เพราะฝนตก ไม่ใช่เพราะคนโคราชไม่ชอบดูวอลเลย์บอล แต่เพราะความสิ้นคิดของผู้จัดนี่แหละครับ
ครูต๊ะ
31/8/2566
นี่คือข้อความทางเฟซบุ๊คครูต๊ะ ที่สะท้อนผ่านไปถึงฝ่ายจัดการแข่งขัน ที่ต้องหันกลับมามองกลุ่มแฟนกีฬาต่างจังหวัดที่พวกเขาไม่ได้มีกำลังทางการเงินที่จะเข้าไปดูด้วยราคาที่แพงขนาดนั้น
ดังนั้นในโลกโซเชียล ต่างตั้งคำถามถึงฝ่ายจัดว่า ราคาที่ตั้งไว้แบบนี้ คงเป็นเรื่องยากที่แฟนกีฬาจะเข้าไปเต็มความจุ
ทั้งนี้ทีมวอลเลย์บอลสาวไทย เตรียมลงสนามนัดที่สอง พบกับทีมชาติมองโกเลีย ในวันนี้ (1 กันยายน) เวลา 18.00 น. ถ่ายทอดสดทาง ช่อง PPTV HD36
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เจ็บคอเรื้อรัง ทำอย่างไร เมื่อไม่หายเสียที
อาการเจ็บคอเรื้อรัง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย อาการนี้เป็นที่น่ารำคาญแก่ผู้ป่วย และอาจทำให้ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์หลายคนบ่อย ๆ เนื่องจากไม่หายเสียที ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ
หลายชนิดเป็นระยะเวลานาน สิ่งสำคัญในการรักษา คือต้องหาสาเหตุของอาการเจ็บคอเรื้อรังให้พบ และรักษาตามสาเหตุ อาการผู้ป่วยถึงจะหาย และมีโอกาสน้อยที่จะกลับมาเป็นอีก การวินิจฉัยสาเหตุของอาการเจ็บคอเรื้อรัง จำเป็นต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย และทำการตรวจจมูก ไซนัส ช่องคออย่างละเอียด ส่วนใหญ่แพทย์จะทำการส่องกล้องตรวจจมูก ไซนัส ช่องคอ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยสาเหตุของอาการเจ็บคอเรื้อรังที่ถูกต้อง
สาเหตุของอาการเจ็บคอเรื้อรัง
1.โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และโรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้
โรคนี้เกิดจากเยื่อบุจมูกไวผิดปกติ เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นทำให้เยื่อบุจมูกบวม ทำให้คัดจมูกเรื้อรัง ต้องอ้าปากหายใจ ทำให้เยื่อบุลำคอแห้ง มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้ นอกจากนี้โรคนี้ยังทำให้มีน้ำมูกไหลลงคอ ระคายคอตลอดเวลา ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้เช่นกัน
2.โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง
โรคนี้จะทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุจมูกเรื้อรัง ทำให้เยื่อบุจมูกบวม มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง ทำให้ต้องหายใจทางปากตลอด เกิดเยื่อบุลำคอแห้ง มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้ นอกจากนั้นสารคัดหลั่งจากไซนัสและจมูกที่อักเสบที่ไหลลงคอ จะทำให้มีอาการอักเสบ ระคายเคืองของผนังคอ ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้เช่นกัน
3.การติดเชื้อของลำคอ และ/หรือต่อมทอนซิลเรื้อรัง
เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งดื้อต่อยาต้านจุลชีพที่รับประทาน หรือเกิดจากผู้ป่วยรับประทานยาต้านจุลชีพไม่ครบตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น หรือมีแหล่งของเชื้อโรคอยู่ในช่องปาก เช่น มีฟันผุ หรือโรคเหงือก นอกจากนั้นการติดเชื้อบางชนิดอาจทำให้เจ็บคอเรื้อรังได้ เช่น การติดเชื้อราบางชนิด,เชื้อวัณโรค,เชื้อโรคเรื้อน หรือเชื้อซิฟิลิส อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อดังกล่าวนี้พบได้น้อย
4.โรคผนังช่องคอ และ/หรือสายเสียงอักเสบเรื้อรัง
จากการระคายเคืองจากการสัมผัสกับฝุ่น ควันบุหรี่ อาหารรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด หรือเกิดจากการใช้เสียงผิดวิธี หรือเกิดจากการไอเรื้อรัง ทำให้มีการกระแทกกันของสายเสียง และมีการใช้กล้ามเนื้อของผนังคอมากเกินไป
5.โรคกรดไหลย้อน
ซึ่งกรดอาจไหลย้อนขึ้นมาที่ผนังคอ ทำให้เยื่อบุและกล้ามเนื้อของผนังคอมีการอักเสบ ทำให้มีอาการเจ็บคอเป็น ๆ หาย ๆได้ นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการเสียงแหบ กลืนติด กลืนลำบาก มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลาร่วมด้วย
6.โรคเนื้องอกของคอและกล่องเสียง
เนื้องอกอาจไปกดเบียดเส้นประสาท ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังได้ นอกจากนั้นผู้ป่วยมักมีอาการ กลืนลำบาก น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อาจมีเสมหะปนเลือด หรือปวดร้าวไปที่หูได้
7.โรคของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณคอ (neuralgia)
เช่น เส้นประสาทสมองคู่ที่ 9(glossopharyngeal nerve)ซึ่งอาจมีการกระตุ้น หรือการระคายเคืองของเส้นประสาทดังกล่าว ทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆได้อาการปวดมักจะเริ่มจากผนังคอ แล้วร้าวไปยังหู คอ และศีรษะนานเป็นวินาที มักกระตุ้นโดยการกลืน การหาวนอน การเคี้ยว และการไอ
8.สิ่งแปลกปลอม
เช่น ก้างปลา กระดูกชิ้นเล็กที่คาอยู่ในผนังลำคอ ต่อมทอนซิล หรือโคนลิ้น เป็นระยะเวลานาน จะทำให้บริเวณดังกล่าวอักเสบเกิดการติดเชื้อ ทำให้เจ็บคอเรื้อรังได้ อย่างไรก็ตามสาเหตุนี้พบได้น้อย
การรักษาอาการเจ็บคอเรื้อรัง
รักษาตามสาเหตุ ควรปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและเหมาะสม เช่น ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊กหรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดหรือรสจัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก,น้ำเกลืออุ่น ๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เนื่องจากการที่ไม่รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี อาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ ทำให้เจ็บคอมากขึ้นได้
จะเห็นได้ว่าอาการเจ็บคอเรื้อรัง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นโรคของจมูก ไซนัส ลำคอ กล่องเสียง หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร และพยาธิสภาพ เป็นได้ตั้งแต่โรคธรรมดาที่ไม่อันตราย เช่น โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง จนถึงโรคที่อันตราย เช่น เนื้องอกของคอและกล่องเสียง ดังนั้น อย่านิ่งดูดาย ถ้ามีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก เพื่อหาสาเหตุของอาการดังกล่าว
ที่มา : รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ภาพประกอบจาก istockphoto
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แนะนำประโยคคุยโทรศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับพนักงานออฟฟิศ
โทรออก
สำหรับโทรติดต่อ ง่ายๆเลยคือเริ่มจากการกล่าวทักทาย จากนั้นจึงค่อยแนะนำตัว
– Hello / Good morning / Good afternoon…
– This is…(ชื่อตัวเอง) speaking.
และเราควรบอกข้อมูลเพิ่มเติมได้ ปลายสายจะได้ไม่งงยังไงล่ะ เช่น โทรจากไหน หรือโทรในนามของใคร
– I’m calling from Tokyo / Paris / New York / Sydney…
– I’m calling on behalf of Mr…(ชื่อเจ้านาย/หัวหน้า)…
จากนั้นก็ขอสายคนที่เราต้องการติดต่อได้เลย
– Could I speak to …please?
– I’d like to speak to….
– I’m trying to contact…
รับสาย
แต่ถ้าในกรณีที่เราเป็นคนรับโทรศัพท์ล่ะ? อย่าตกใจไปค่ะ เพียงแค่กล่าวทักทายแล้วแนะนำตัวว่าใครเป็นคนรับ (อย่างตัวอย่างข้างต้น) แล้วจึงค่อยถามว่าเรากำลังคุยสายกับใครอยู่ด้วยประโยคที่ว่า
– Who’s calling please?
– Who’s speaking?
หรืออาจจะถามว่าโทรจากไหน
– Where are you calling from?
กรณีต้องการเช็คให้แน่ใจว่าปลายสายต่อเบอร์ถูกหรือเปล่า
– Are you sure you have the right number / name?
ในระหว่างที่เราต้องใช้เวลาตรวจสอบและอยากให้คนในสายรอสักครู่ เราจะใช้คำพูดแบบนี้ค่ะ
– Please hold the line.
– Could you hold on please?
– Just a moment please.
โอนสาย
เอาล่ะ ทักทาย แนะนำตัว ได้ข้อมูลเสร็จสรรพแล้ว ได้เวลาโอนสายให้คนที่ปลายสายต้องการจะคุยด้วยแล้ว บอกเขาสักนิดว่าเรากำลังจะโอนสายให้นะ
– Thank you for holding.
– The line’s free now … I’ll put you through.
– I’ll connect you now / I’m connecting you now.
แล้วถ้าคนที่ปลายสายอยากคุยด้วยไม่ว่าง หรือยังไม่อยู่ล่ะ ทำยังไงดี? ลองใช้ประโยคเหล่านี้ดูค่ะ
– I’m afraid the line’s engaged. Could you call back later?
– I’m afraid he’s in a meeting at the moment.
– I’m sorry. He’s out of the office today.
– He isn’t in at the moment.
เราสามารถบอกว่าปลายสายโทรผิดเบอร์แบบสุภาพๆโดยประโยคเหล่านี้
– I’m afraid we don’t have a Mr. /Mrs. /Ms. / here.
– I’m sorry. There’s nobody here by that name.
– Sorry. I think you’ve dialed the wrong number.
– I’m afraid you’ve got the wrong number.
และถ้าหากมีปัญหากับสัญญาณ หรือฟังไม่ชัด เราสามารถบอกปลายสายได้เลยว่า
– The line is very bad … Could you speak up please?
– Could you repeat that please?
– I’m afraid I can’t hear you.
– Sorry, I didn’t catch that. Could you say it again please?
ประโยคอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีประโยคที่มีสามารถนำไปใช้เพิ่มเติมได้ตามกรณีต่างๆ เช่น
ถามว่าปลายสายอยากฝากข้อความหรือเปล่า
– Would you like to leave a message?
ในกรณีที่เราจะฝากข้อความ
– Could you give him/her a message?
– Can I leave / take a message?
ฝากคนที่กำลังคุยด้วยบอกกับคนที่เราต้องการจะคุยให้โทรกลับหาเราหรือฝากบอกว่าเราโทรหา
– Could you ask him/her to call me back?
– Could you tell him/her that I called?
ขอชื่อคนที่เรากำลังพูดด้วย
– Could you give me your name please?
บอกให้คนที่เรากำลังคุยด้วยช่วยสะกดชื่อหรือสถานที่เพื่อความถูกต้อง
– Could you spell that please?
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ยื่นกู้ไฟแนนซ์บ่อยระวังติด “แท็กซิ่ง” ไม่รู้ตัว
ใครที่เคยมีประสบการณ์ยื่นกู้ไฟแนนซ์รถไม่ผ่าน อาจเคยได้ยินคำว่า “แท็กซิ่ง” กันมาบ้าง บางคนเหตุผลที่ไม่แนนซ์ไม่อนุมัติเพราะติดแท็กซิ่งเสียเองก็มี แล้วแท็กซิ่งที่ว่านี้คืออะไร? Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกัน
แท็กซิ่ง มาจากคำว่า Tracing
“แท็กซิ่ง” ไม่ใช่รถแท็กซี่ และไม่ใช่การติดแท็กแล้วออกไปซิ่งไหนต่อไหน แต่มาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Tracing” (ซึ่งอันที่จริงแล้วต้องออกเสียงว่า ‘เทรส-ซิ่ง’ ไม่ใช่ ‘แท็ก-ซิ่ง’ นะจ๊ะ) แปลตรงตัวหมายถึง การติดตาม, สืบเสาะ, สะกดรอย รวมไปถึง ร่องรอย, รอยทาง, รอยบันทึก เป็นต้น
ซึ่งคำว่า แท็กซิ่ง (Tracing) ในความหมายของไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงิน จะหมายถึง การที่ผู้ขอกู้มีประวัติการถูกยื่นตรวจสอบข้อมูลจากเครดิตบูโรซ้ำต่อเนื่องหลายครั้งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกว่าผู้กู้มีความร้อนรนในการยื่นกู้มากจนเกินไป สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสียในอนาคตได้
เนื่องจากทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมด้านสินเชื่อกับธนาคารหรือไฟแนนซ์ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ซื้อบ้าน, ซื้อรถ, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล ฯลฯ ธนาคารจะทำการตรวจสอบประวัติทางการเงินของผู้ยื่นกู้กับทางเครดิตบูโร (ก็คือแผ่นกระดาษที่แบงก์มักจะให้เราเซ็นยินยอมเปิดเผยข้อมูลเครดิตนั่นแหละ) โดยทุกครั้งที่มีการยื่นตรวจสอบข้อมูล ทางเครดิตบูโรก็จะลงบันทึกว่ามีสถาบันการเงินไหนบ้างมายื่นตรวจสอบข้อมูลเครดิตของคุณ
โดยหากมีการขอยื่นตรวจสอบข้อมูลซ้ำหลายครั้งเกินไป ธนาคารก็อาจให้สถานะผู้ขอกู้เป็น Tracing (หรือแท็กซิ่งตามที่ได้ยินกันบ่อยๆ) และจะไม่ได้รับการพิจารณาอนุมัติไปโดยปริยาย เนื่องจากสุ่มเสี่ยงว่าผู้ขอกู้อาจมีความเดือดร้อนด้านการเงิน ต้องกู้หนี้ก้อนใหม่ไปโปะหนี้ก้อนเก่า หรือหากเป็นการกู้ซื้อรถก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ชำระค่างวดคืนได้
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หากผู้ขอกู้มีประวัติถูกยื่นขอข้อมูลจากเครดิตบูโรบ่อยครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีบัญชีสินเชื่อใหม่ๆ ปรากฎในฐานข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเลย ยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าผู้ขอกู้ถูกปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อมาโดยตลอด ส่งผลให้โอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อริบหรี่ยิ่งกว่าแสงกะพริบจากหิ่งห้อยเสียอีก
ติด “แท็กซิ่ง” ทำอย่างไรดี?
ไม่ว่าจะเรียก แท็กซิ่ง หรือ Tracing ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเครดิตบูโรแต่อย่างใด ธนาคารหรือไฟแนนซ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายแปะสถานะ Tracing ให้กับผู้ยื่นกู้ โดยเงื่อนไขสถานะของแต่ละธนาคารก็ย่อมแตกต่างกันออกไป บางแห่งอาจกำหนดให้ยื่นได้ไม่เกิน 4 ครั้ง บางแห่ง 6 ครั้ง บางแห่งอาจอนุโลมให้ถึง 8 ครั้ง ในรอบระยะเวลาแตกต่างกันไป อาจจะ 6 เดือน หรือ 1 ปี อันนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคารแต่ละที่
ทางออกที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นการปรึกษากับตัวแทนของธนาคารหรือไฟแนนซ์แต่ละแห่งว่าจะต้องใช้ระยะเวลาเท่าใด จึงจะพ้นระยะ Tracing กับธนาคารแห่งนั้น เพราะแต่ละที่อนุโลมให้มากน้อยไม่เท่ากัน ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือ “รอ” เท่านั้น
อย่าติด “แท็กซิ่ง” แต่แรกดีที่สุด
สาเหตุของแท็กซิ่งมาจากการยื่นสินเชื่อกับสถาบันการเงินหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งโดยมากแล้วเกิดจากการที่ผู้ยื่นกู้ไม่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารที่ 1 จึงเปลี่ยนไปยื่นกู้กับธนาคารที่ 2 พอไม่ได้อีกก็เปลี่ยนไปธนาคารที่ 3 ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือบางกรณีใช้วิธีหว่านแหยื่นกู้พร้อมกันทีเดียวหลายแบงก์ก็มี โดยหวังว่าจะมีสักแห่งยอมอนุมัติสินเชื่อให้ แบบนี้ก็อาจทำให้โดนแท็กซิ่งได้
ทางที่ดีการยื่นขออนุมัติสินเชื่อ ควรยื่นกับสถาบันการเงินที่ต้องการมากที่สุดเพียงแห่งเดียวเท่านั้น (จะใช้เกณฑ์ว่าให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าที่อื่น อนุมัติง่าย หรือชอบเป็นการส่วนตัวก็ว่ากันไป) และสุดท้ายหากถูกปฏิเสธกลับมา พยายามหาคำตอบให้ได้ว่าถูกปฏิเสธเพราะอะไร จะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด มิเช่นนั้นแล้วหากผลีผลามไปยื่นธนาคารอื่นทันที ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกปฏิเสธด้วยเช่นกัน
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจยื่นสินเชื่อทุกครั้ง จะได้ไม่เกิดปัญหา “แท็กซิ่ง” ต่อไปในอนาคตนั่นเองครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 อาหารช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วย และผู้ที่กำลังเสี่ยง “เบาหวาน”
สำหรับผู้ป่วยเบาหวานแล้ว การเช็กระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เป็นประจำเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก หากระดับน้ำตาลผิดปกติ อาจทำให้เกิดหน้ามืด หมดสติ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นั่นคือ ผู้ที่มีค่าน้ำตาลในเลือดค่อนข้างสูงจนแพทย์เตือนด้วย
อาหารช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วย และผู้ที่กำลังเสี่ยงเบาหวาน
- แป้งไม่ขัดสี
แป้งขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว เป็นแป้งที่จะถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาลเข้าไปร่างกายได้มาก สารอาหารอื่นๆ น้อยกว่า ดังนั้นหากต้องการทานแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต ควรเลือกที่เป็นแป้งไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง ขนมปังโฮลวีต จะดีกว่า นอกจากน้ำตาลน้อยกว่าแล้ว ยังใช้เวลาย่อยนานกว่า อิ่มได้นานกว่า มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า และยังมีกากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย (คาร์โบไฮเดรตแบบไม่ขัดสี ควรจำกัดอยู่ในปริมาณ 45% ถึง 55% ของพลังงานที่ได้จากอาหารทั้งหมดในหนึ่งวัน)
- ผักแป้งน้อย ผลไม้รสหวานน้อย
ควรเพิ่มผักแป้งน้อย เช่น ผักสลัด คะน้า บล็อกโคลี่ ผักบุ้ง และอื่นๆ รวมถึงผลไม้ที่ดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ ฝรั่ง ชมพู่ มันแกว แอปเปิ้ล แก้วมังกร และผลไม้รสหวานน้อยอื่นๆ อีกมากมาย ในมื้ออาหารของคุณด้วย เพราะการทานผักแป้งน้อย ผลไม้รสหวานน้อยจะเป็นการเพิ่มกากใยอาหารให้กับร่างกาย ช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลงได้เป็นอย่างดี ส่วนผักผลไม้ที่มีแป้ง และน้ำตาลเยอะ ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ มันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เป็นต้น
- ธัญพืช
ธัญพืชต่างๆ ก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ค่อนข้างสูง และยังมีกากใยอาหารสูงที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เช่น ถั่ว งา เมล็ดเจีย เมล็ดแฟล็กซ์ ข้าวโอ๊ต และอื่นๆ แต่ควรเลือกทานธัญพืชที่ไม่ผสมน้ำตาล หรือน้ำผึ้ง ควรเลือกทานรสธรรมชาติจะดีที่สุด
- น้ำเปล่า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าน้ำเปล่าธรรมดาๆ นี่แหละ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เมื่อเกิดอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าน้ำตาลในเลือดกำลังสูงขึ้น เช่น กระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนจัด หรือปัสสาวะทิ้งไว้แล้วมีมดมาตอม ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นทันที
นอกจากการทานอาหารดังกล่าวแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และมีวินัยในการเช็กระดับน้ำตาลอยู่เสมอด้วย หากรู้สึกว่าอาการต่างๆ ไม่ดีขึ้น น้ำตาลในเลือดไม่ลดลง และเริ่มหน้ามืด ตาลาย จะเป็นลม ควรรีบพบแพทย์ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 1/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,050.00 | 32,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,076.00 | 31,472.16 | 32,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,868.40 | 28,324.94 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,660.80 | 25,177.73 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 934.00 | 14,159.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 727.00 | 11,021.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,151.00 | 32,609.16 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 1/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.65 | 39.65 | 40.35 | 39.65 | 39.65 | 39.65 | 39.65 | 39.65 | 39.65 | 39.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.38 | 39.38 | 40.08 | 39.38 | 39.38 | 39.38 | 39.38 | 39.38 | 39.38 | 39.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.34 | 37.34 | 38.04 | 37.34 | 37.34 | – | 37.34 | 37.34 | 37.34 | 37.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.79 | 37.79 | – | – | – | – | – | – | – | 37.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.34 | 49.04 | 49.84 | 49.04 | – | – | – | – | – | 45.34 |
เบนซิน 95 | 47.44 | – | – | – | 48.61 | – | 47.94 | 47.59 | – | 47.44 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.24 | 43.64 | 49.44 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 42.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |