สาระน่ารู้ประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2566

RML ย้ายบ้านใหม่สู่ OCC เพลินจิต เติมความสุขพนักงาน 200 คน

RML-บมจ.ไรมอน แลนด์ ย้ายบ้านสู่ ‘OCC (One City Centre)’ อาคารสำนักงานลักเซอรี่ Grade A+ ที่สูงสุดในไทย ติด BTS เพลินจิต ชูไฮไลต์ฟังก์ชั่นพื้นที่ทำงานแ+ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตรวมอยู่ในที่เดียวกัน รองรับการทำงานของคนทุก Gen

วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา พนักงาน RML ทุกคนได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ OCC

โดยการย้ายสำนักงานใหญ่มายังอาคารแห่งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ RML ในการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะก้าวเป็นแบรนด์อันดับ 1 ด้านผู้นำอสังหาริมทรัพย์ลักเซอรี่และอัลตราลักเซอรี่

โดยออฟฟิศใหม่ ออกแบบคอนเซ็ปต์ Luxury Reimagined ซึ่งเป็น DNA ของ RML เน้นความหรูหรา เรียบง่าย แต่มีความทันสมัย พร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การทำงานที่ยืดหยุ่นและความหลากหลายของพนักงานในองค์กร

รวมทั้งนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เช่น แอปมือถือสำหรับเข้า-ออกอาคาร ระบบไร้สัมผัส ระบบเรียกลิฟท์ผ่านแอปมือถือ และระบบ Face scan เข้า-ออกออฟฟิศ เพื่อให้พนักงานใช้ชีวิตสะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น

“RML ให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคน เพราะพนักงานคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของเรา ถ้าดูแลพนักงานดีจะส่งผลให้การทำงานดี ตลอดจนสามารถส่งมอบโครงการที่มีคุณภาพ และบริการที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้าด้วย”

ปัจจุบัน RML มีพนักงาน200 คน ส่วนใหญอายุช่วง Gen Y 70% และ Gen X 20% จะเห็นได้ว่าช่วงอายุพนักงานของเราจะแตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ในเซกเมนต์อื่น

เนื่องจากตลาดลักเซอรี่ต้องการคนที่มีความชำนาญและประสบการณ์ ยังมีคนรุ่นใหม่ในพนักงานระดับปฏิบัติการ เพราะพวกเขาเป็นแรงสำคัญในการช่วยให้องค์กรปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล

Happiness Workplace เพื่อการทำงานประสิทธิภาพสูง

การย้ายสำนักงานจากอาคารรัจนาการ สู่บ้านใหม่ OCC เป็นการช่วยส่งเสริม Sense of Luxury ซึ่งเป็น Identity หลักของ RML ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพื่อรองรับการทำงานในทุกโครงการของ RML ที่เป็นโปรเจ็กต์ระดับ Iconic ออฟฟิศแห่งใหม่ของ RML ที่ OCC นอกจากการได้อยู่ในสุดยอดอาคาร Iconic แล้ว

ความน่าสนใจก็คือการออกแบบออฟฟิศ ที่สื่อความลักเซอรี่ไปพร้อมๆ กับเป็น Happy Workplace สำหรับคนทำงาน ในขณะเดียวกันก็สร้าง High Performance ของงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

RML ศึกษาข้อมูลพนักงานเป็นอย่างดีและออกแบบออฟฟิศให้เหมาะกับธรรมชาติและความต้องการของพนักงาน แทนที่จะเพียงแค่ทำออฟฟิศตามกระแส

โดย OCC มีจำนวนห้องประชุมมากกว่าออฟฟิศเดิม สามารถรองรับการคุยงานทั้งเล็กและใหญ่ ที่เป็นทางการและไม่ทางการ

ห้องประชุมแต่ละห้องตั้งชื่อจากแรงบันดาลใจด้านการท่องเที่ยว เพื่อลดความตึงเครียดเมื่อมีการจองห้องประชุม เช่น ห้องลอนดอน ปารีส เสมือนพนักงานได้ไปท่องเที่ยวเมืองดังระดับโลกทุกครั้งที่มีการประชุม

รวมทั้งพื้นที่ทำงานดีไซน์ไม่มีพาร์ทิชันปิดกั้น มีมุมเพื่อสนทนาหรือนั่งจิบกาแฟแบบตัวต่อตัวหลายจุด ทั่วทั้งออฟฟิศ เพื่อสร้างให้เกิดความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความคิด ต่อยอดไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน

ขณะเดียวกัน มีพื้นที่ส่วนตัวเพียงพอสำหรับพนักงานแต่ละคน

นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่ Flexible Working Area สามารถยกอุปกรณ์ไปนั่งทำงาน ประชุมอย่างไม่เป็นทางการ พร้อมมองวิวเมืองแบบ 360 องศาได้

อีกทั้งยังมีห้องรับประทานอาหารที่เรียกได้ว่ามีวิวหมื่นล้านให้ได้มองกันทุกเที่ยงและเย็นระหว่างอิ่มอร่อย ซึ่งช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและรีดความคิดสร้างสรรค์ออกมาได้เต็มที่

Well-being Workplace ของคนทุกเจนเนอเรชั่น

OCC ออกแบบโดยใส่ใจสุขภาวะที่ดีของพนักงานทุกคน มีพื้นที่สีเขียว 5,000 ตารางเมตรทั้งภายในและภายนอกอาคาร เพื่อความสดชื่นในการทำงาน

อีกทั้งยังส่งเสริมประสิทธิภาพต่อการทำงาน ด้วยการมีกระจก 3 ชั้น Insulated Glazing Windows กรองแสงแดด และกรองเสียงได้ ทำให้บรรยากาศในการทำงานเงียบสงบ มีสมาธิ

มีระบบ MERV14 ที่ช่วยกรองอากาศ และกรองฝุ่น PM 2.5 ให้พนักงานได้รับอากาศบริสุทธิ์ สมองโล่ง ปลอดโปร่ง

นอกจากนั้น OCC ยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ภายในอาคารมีร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ชื่อดัง และฟู้ดคอร์ทที่รวมร้านอาหารชื่อดังมากมายในราคาที่จับต้องได้มาไว้ที่นี่

อีกทั้งที่ชั้นบนสุดยังมี Sky Bar ที่ชั้น 61 และร้านอาหาร ที่ชั้น 58 ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถเติมความสุขได้ง่ายๆ ตลอดทั้งวัน

“พนักงานในโลกยุคหลังโควิด ให้ความสำคัญกับการทำงานที่ยืดหยุ่น และสภาพแวดล้อมที่ทำงานที่มีความสุขไม่แพ้ปัจจัยอื่นๆ

Work Life Balance ทำงานน้อยกว่าบริษัททั่วไป 30 นาที

นอกจากออฟฟิศที่ทำงานอย่างมีความสุขแล้ว RML ยังให้ความสำคัญกับ Work Life Balance ซึ่งเวลาทำงานของพนักงานที่ RML จะน้อยกว่าบริษัททั่วไป 30 นาที เพื่อเผื่อเวลาให้พนักงานได้กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว

นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ทุกคนสามารถออกความคิดเห็นได้ เราเปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถมีโอกาสเติบโต

ซึ่งเราหวังว่าการย้ายสำนักงานสู่ตึก OCC จะสามารถพาองค์กรสู่การเติบโตในวันข้างหน้า ภายใต้รูปแบบการทำงานที่ไม่เหมือนเดิม” นายกรณ์กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


การเคหะ อัพเดตแฟลตดินแดง D1 สร้างคืบหน้า 63% กำหนดเสร็จต้นปี 67

การเคหะฯ อัพเดตแฟลตดินแดง D1 สร้างคืบหน้า 63% กำหนดเสร็จต้นปี 2567
การเคหะแห่งชาติ ติดตามความก้าวหน้า โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 (อาคาร D1) ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย จากการเป็นชาวแฟลตให้กลายเป็นชาวคอนโดหรูบนถนนดิน

วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า โครงการเคหะชุมชนดินแดง หรือ “แฟลตดินแดง” ทาง กคช.ดูแลบริหารจัดการมาอย่างยาวนานถึง 50 ปี

ปัจจุบันจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพอาคารมีความทรุดโทรม ไม่ปลอดภัยต่อการอยู่อาศัย  ล่าสุดอยู่ระหว่างดำเนินการตาม แผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (2559-2567)

ด้วยการพัฒนาพื้นที่ชุมชนดินแดง (แฟลตดินแดง) ซึ่งเดิมเป็นอาคาร 5 ชั้น 64 อาคาร

ที่ผ่านมา กคช.นำร่องฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะที่ 1 (อาคารแปลง G) มาพัฒนาเป็นอาคารสูง 28 ชั้น เปิดให้แฟลตที่ 18-22 ได้เข้าอยู่อาศัย จากนั้นก็รื้อถอนแฟลตหลังเดิมเพื่อนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นายทวีพงษ์ กล่าวต่อว่า กคช. กำลังดำเนินงานโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 2 (อาคาร D1)  อย่างเข้มข้นทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้างอาคาร

สิ่งสำคัญที่สุดคือมุ่งเน้นเรื่องการก่อสร้างที่มีคุณภาพ และใส่ใจทุกรายละเอียด ทุกขั้นตอน ทั้งเรื่องความปลอดภัย ความมั่นคงของตัวอาคาร

ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้าง 63 % เร็วกว่าแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ อยู่ระหว่างการดำเนินงานด้านสถาปัตยกรรมและงานระบบ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จต้นปี 2567

รายละเอียด อาคาร D1 เป็นอาคารพักอาศัยสูง 35 ชั้น จำนวน 612 หน่วย ขนาดห้อง 33 ตารางเมตร ดำเนินการก่อสร้างโดย บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)

สำหรับการออกแบบอาคาร D1 ได้คำนึงถึงแนวคิดด้านอารยสถาปัตยกรรม(Universal Design)
ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ทุกเพศทุกวัย ผู้สูงอายุ คนพิการ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน โดยออกแบบให้โถงและทางเดินภายในอาคาร สามารถระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ และแสงธรรมชาติส่องเข้าถึงตัวอาคาร

นอกจากในส่วนห้องพักอาศัยแล้ว ยังมีสวนและพื้นที่สีเขียวบริเวณชั้น 7 ชั้น 24 และชั้นดาดฟ้า เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

“หลังจากที่เราพัฒนาโครงการแล้ว มีการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัล ซึ่งการจะเป็น Smart Building หรือ Smart Community ไม่ใช่ Smart เพราะใช้ระบบไอที

แต่เป็นความ Smart ของการมีที่อยู่อาศัย มีเศรษฐกิจที่ดี มีสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ทุกคนมีส่วนร่วม นั่นหมายความว่าทุกคนที่อยู่ในชุมชนที่ Smart แล้ว จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกมิติ

จึงเป็นเป้าหมายสำคัญ เข้ามาปรับปรุงและฟื้นฟูชุมชนเมืองดินแดง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อย กลุ่มครัวเรือนเปราะบางได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างเท่าเทียมกัน”

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 12 ก.ค. ที่ระดับ 34.76 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซน 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ เป็นแนวรับที่ผู้นำเข้ารอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 12ก.ค.2566 ที่ระดับ  34.76 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.80 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะแข็งค่าหลุดโซนแนวรับที่เราประเมินไว้แถว 34.90 บาทต่อดอลลาร์ จนทดสอบโซน 34.75 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาด แต่โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงได้บ้างในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

โดยเราเห็นสัญญาณการทยอยขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน ก่อนรับรู้ผลการโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ นอกจากนี้ โซน 34.55-34.75 บาทต่อดอลลาร์ ก็เป็นช่วงที่ผู้เล่นในตลาด อย่าง ผู้นำเข้าต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นในตลาดที่กลับมา Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ในช่วงเงินบาทแข็งค่าขึ้นหลุดระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจทยอยขายทำกำไรได้บ้าง

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยหากอัตราเงินเฟ้อ CPI โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ไม่ได้ชะลอลงตามคาด หรือ อาจปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด ก็อาจกดดันให้ ผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่า เฟดก็มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือ

อย่างน้อย อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็อาจอยู่ในระดับสูงได้นานขึ้น (Higher For Longer) ซึ่งมุมมองดังกล่าว อาจช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ทำให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งเรามองว่า เงินบาทก็อาจอ่อนค่ามาติดโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ได้

ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด หรือ ชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ แต่อาจไม่มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างได้มองว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่า Dot Plot

ล่าสุด และในกรณีดังกล่าว เราคาดว่า หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำก็อาจรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซน 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือสูงกว่านั้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซน 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ (ซึ่งก็เป็นแนวรับที่ผู้นำเข้าต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์เช่นกัน)

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.80 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

และมองกรอบเงินบาทที่ระดับ 34.45-34.90 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทโดยรวมเคลื่อนไหว sideway ในกรอบ 34.75-34.85 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามปัจจัยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันนี้ (19.30 น.) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาสถานการณ์การเมืองไทยที่จะมีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ ในวันที่ 13 กรกฎาคม

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า เฟดอาจใกล้จะยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หลังจบการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ (ตลาดยังให้โอกาส 92% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกรกฎาคม)

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่า ผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อาจออกมาดี หลังล่าสุด นักวิเคราะห์ได้ปรับมุมมองต่อหุ้น JPM เป็น “BUY” ส่งผลให้ บรรดาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน ต่างปรับตัวขึ้น (JPM +1.6%, BofA +1.3%) ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.67%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นราว +0.72% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH +2.2%, Dior +2.2%) และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto +1.6%) ท่ามกลางความหวังว่า ทางการจีนอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้น Novo Nordisk -2.6% จากประเด็นการสืบสวน Side effects ของยาเบาหวานและยาลดน้ำหนักของบริษัท

ในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติม ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.00% (กรอบ 3.96%-4.00%) และแม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่อาจปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่เรามองว่า Risk-Reward ณ ระดับยีลด์ปัจจุบัน ก็ถือว่าน่าสนใจมาก ทำให้เราคงแนะนำ ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อได้ใกล้และยังคงเผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 101.6 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 101.5-102 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยปรับตัวอ่อนค่าลงบ้าง แต่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ หากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ใกล้โซน 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เรามองว่าผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำเพิ่มเติม ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน โดยบรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 3.1% จาก 4% ในเดือนก่อนหน้า ตามการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานและผลของฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญ อาจชะลอลงสู่ระดับ 5% ซึ่งอาจเป็นระดับที่เฟดยังคงกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อได้ ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอลงมากกว่าคาด เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มปรับลดมุมมองต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าว ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานนั้นชะลอลงกว่าคาด เงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักอื่นๆ  เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักในระยะถัดไป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับ Sentiment ของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากที่ตลาดกลับมาประเมินความเป็นไปได้ที่เฟดจะใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งทำให้จุดสนใจสำคัญจะอยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในคืนนี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.65-34.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


7 สิ่งอันตรายที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอน ไม่งั้นร่างพังแน่นอน

เพื่อนๆ คนไหนที่มีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรืออาจจะมีอาการผิดปกติกับร่างกายอย่างอื่นที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ คุณอาจกำลังทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัว Sanook! Health ขอเตือนคุณว่าสิ่งใดบ้างที่ห้ามทำก่อนเข้านอนค่ะ

7 สิ่งอันตรายที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอน

1. เล่นมือถือ อ่านหนังสือจากเครื่อง e-book reader หรือดูทีวีก่อนนอน

ไม่ว่าจะแชทไลน์บอกฝันดี ดูคลิปแต่งหน้า เลื่อนฟีดเฟซบุ๊ค หรืออ่านหนังสือเล่มโปรดผ่านเครื่องอ่านอิเล็กทรอนิกส์ แท็บเล็ต หรือ e-book reader พฤติกรรมเหล่านี้รบกวนการพักผ่อนของร่างกายโดยที่คุณไม่รู้ตัว แสงสีฟ้าจากหน้าจออิเล็คทรอนิกส์เหล่านี้มีส่วนทำให้สารเมลานินที่ช่วยให้คุณหลับสบายผลิตและทำงานได้น้อยลง ยิ่งหากคุณเป็นคนที่นอนหลับยากอยู่แล้วด้วย สมาธิ และการใช้สายตาของคุณจะทำให้ประสาทตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จนทำให้สมองตื่นตัวและไม่ยอมพักผ่อนนั่นเอง

2. ส่งข้อความคุยกับเพื่อน

เราเชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ต้องเคยแชทกับเพื่อนแล้วปิดไฟเข้านอน แต่เพื่อนตัวดีก็ยังส่งสติ๊กเกอร์หลับฝันดี จุ๊บุๆ หรือกู๊ดไนท์คิสกันอยู่ เผลอๆ ส่งสติ๊กเกอร์มาอีกหลายตัว จนโทรศัพท์ส่งเสียง ตุ้งๆๆ อยู่หลายทีกว่าจะเงียบ ไหนจะแสงจากหน้าจอที่สว่างวาบเสียจนแสบตา อย่างนี้จะให้หลับลงได้อย่างไรกัน จริงไหม

3. ทานอาหาร

ไม่ว่าจะเป็นมื้อใหญ่ มื้อเล็ก หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ มีส่วนทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานนอกเวลา มาย่อยอาหารที่คุณทานลงไป ร่างกายก็เลยไม่ได้พักผ่อนไปทุกส่วนอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะฉะนั้นก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง ควรงดทานอาหารได้แล้ว ดื่มน้ำเปล่ารองท้อง แล้วไปกินอีกทีก็มื้อเช้าของวันถัดไปเอาแล้วกัน

4. ไม่นอนในเวลาที่ควรนอน

เคยไหมคะที่คืนนี้ต้องนอนดึก หรือโต้รุ่ง เพื่อทำงานที่รีบมากเสียจนเราต้องเสียสละเวลานอนให้กับงาน การนอนในเวลาที่ไม่ปกติแบบนี้บ่อยๆ จะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผันผวน แปรปรวนจนร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน ถึงเวลาที่ควรล้มตัวลงนอนก็เลยนอนไม่หลับอย่างเคย เพราะฉะนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เปลี่ยนจากทำงานโต้รุ่ง เป็นตื่นให้เช้ากว่าเดิมแล้วทำงานต่อในช่วงเช้าจะดีกว่า


5. เช็คอีเมล

ยิ่งถ้าหากเป็นเรื่องงาน นอกจากแสงสีฟ้าจากหน้าจอที่จะทำลายสุขภาพตา และทำลายสารเมลานินที่ช่วยในการนอนหลับของคุณแล้ว สุขภาพสมองของคุณก็จะยังคงทำงานอย่างหนักจากการอ่าน ประมวลผล คิดหาคำตอบ เพื่อพิมพ์อีเมลตอบกลับไปอีก แถมนอกจากคุณจะทำร้ายสุขภาพของตัวเองแล้ว ยังทำร้ายสุขภาพของคนอื่นด้วยการส่งอีเมลไปในตอนกลางคืน ช่วงเวลาที่คนอื่นควรจะได้พักผ่อนอีกต่างหาก มีอะไรก็เอาไว้คุยกันในตอนเช้าดีกว่าค่ะ

6. ดื่มน้ำก่อนนอนมากๆ

การดื่มน้ำไม่เคยให้โทษต่อร่างกายก็จริง แต่อะไรที่มากเกินไปมักส่งผลเสียด้วยกันทั้งนั้น หากคุณดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไป คุณก็จะต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นกลางดึก เป็นช่วงเวลาที่คุณควรจะได้นอนหลับพักยาวๆ ยิ่งใครที่นอนหลับยาก การที่จะกลับไปนอนหลับสนิทได้อีก อาจเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที

7. ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง

การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเล่นคาร์ดิโอ ทำให้การเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น เร็วขึ้น เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ร่างกายทำงานอย่างเป็นสัดเป็นส่วน แต่นั่นก็หมายถึงคุณจะต้องทิ้งระยะอีกนานกว่าที่ร่างกายจะสงบ ทำงานเป็นปกติ เพื่อปรับเข้าสู่โหมดพักผ่อน ดังนั้นออกกำลังกายได้ แต่อย่าออกกำลังกายตอนช่วงใกล้นอนนะคะ


ถ้างดสิ่งเหล่านี้ได้ รับรองว่าการนอนหลับพักผ่อนของคุณจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หรือหากคุณยังมีปัญหากับการนอนหลับอีก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกวิธี ก่อนที่ร่างกายจะพักผ่อนไม่เพียงพอจนล้มป่วยไปอีกนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อยากแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ พูดยังไงดี?

เมื่อพูดถึงชีวิตการทำงาน สิ่งหนึ่งที่หลีกหนีไม่พ้นนอกจากฝนตก รถติด สแกนนิ้ว ตอกบัตร แล้วก็คือสถานการณ์การประชุมนั่นเองค่ะ หลายต่อหลายครั้งที่เราต้องเข้าร่วมการประชุม บางที่ประชุมเดือนละครั้ง บางที่ประชุมสัปดาห์ละครั้ง หรือหนักๆ หน่อยบางที่ประชุมแทบทุกวันก็มี เมื่อต้องประชุมแบบนี้ คงหนีไม่พ้นการแสดงความคิดเห็น หรือให้ความเห็นต่างๆ ในที่ประชุม มาดูกันค่ะ ว่าหากเราต้องการแสดงความคิดเห็น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือไม่แน่ใจ เราควรพูดยังไงกันบ้าง

หากรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดเห็นหรือเรื่องราวนั้นๆ สามารถใช้ประโยคต่อไปนี้ได้ค่ะ

I think you’re right.
ฉันคิดว่าคุณพูดถูกนะ

I agree with you.
ฉันเห็นด้วยกับคุณนะ

I think so too.
ฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน

So do I.
ฉันก็เห็นด้วยเหมือนกัน

หากรู้สึกเห็นด้วยมากๆ ประหนึ่งว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่เราก็คิด ก็รู้สึกเช่นกัน สามารถแสดงออกความรู้สึกเห็นด้วยแบบสุดๆ นี้ ผ่านทางประโยคเหล่านี้ได้เลยค่ะ

I couldn’t agree with you more.
ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง (แปลตรงตัวคือ ฉันไม่สามารถจะเห็นด้วยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว!)

You’re absolutely right.
เห็นด้วยกับคุณมากๆ (แปลตรงตัวคือ คุณพูดถูกต้องที่สุด!)

I agree entirely.
ฉันเห็นด้วยกับคุณทั้งหมด

I totally agree.
ฉันเห็นด้วยกับคุณทั้งหมด

I see exactly what you mean!
ฉันเห็นด้วยที่สุด(แปลตรงตัวคือ ฉันรู้อย่างแจ่มแจ้งเลยว่าคุณหมายถึงอะไร!)

You’re right. That’s good point.
คุณพูดถูกต้องตรงประเด็นดีมาก

I completely agree.
ฉันเห็นด้วยจริงๆ

หากรู้สึกเห็นด้วย แต่อยากพูดอย่างกระชับ แบบสั้นๆ ง่ายๆ สามารถใช้คำพูดดังต่อไปนี้

That’s right!
ถูกต้องเลย!

Absolutely!
ใช่เลย!

Exactly!
แน่นอนเลย!

หากรู้สึกเห็นด้วยแค่บางส่วน และอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติม สามารถใช้ประโยคดังต่อไปนี้ค่ะ

I agree up to a point, but…..
ฉันเห็นด้วยกับประเด็นนี้ แต่…..

I see your point, but…..
ฉันเข้าใจประเด็นของคุณนะ แต่…..

That’s partly true, but…..
มันก็ถูกส่วนหนึ่งนะ แต่…..

I’m not sure about that.
ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนะ

I agree with you in principle, but…..
ฉันเห็นด้วยกับทฤษฏีของคุณนะ แต่…..

I agree to some extent but…..
ฉันเห็นด้วยกับบางเรื่องนะ แต่…..

On the whole, I agree with you but…..
ทั้งหมดนี้ฉันเห็นด้วยนะ แต่…..

หากรู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ได้ยิน สามารถพูดบอกออกไปได้ด้วยประโยคดังต่อไปนี้ค่ะ

I’m not sure I agree with you.
ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะเห็นด้วยกับคุณนะ

(I’m afraid) I don’t agree.
(ฉันเกรงว่า) ฉันไม่เห็นด้วย

(I’m afraid) I disagree.
(ฉันเกรงว่า) ฉันไม่เห็นด้วย

(I’m afraid) I can’t agree with you.
(ฉันเกรงว่า) ฉันไม่สามารถเห็นด้วยกับคุณได้นะ

หากไม่เห็นด้วยมากๆ แถมรู้สึกว่าความเห็นนั้นช่างแตกต่างจากความคิดเห็นของเราเหลือเกิน ให้ใช้ประโยคเหล่านี้ค่ะ

I don’t agree at all.
ฉันไม่เห็นด้วยเลยสักนิด

I totally disagree.
ฉันไม่เห็นด้วยจริงๆ

I really can’t agree with you there.
ฉันไม่สามารถเห็นด้วยกับคุณได้จริงๆ

หากต้องการเสนอความคิดเห็นของตัวเอง ให้เริ่มต้นด้วยประโยคดังต่อไปนี้ ก่อนใส่ความคิดเห็นเข้ามาค่ะ

In my opinion…..
ในความคิดเห็นของฉันนั้น…..

Personally, I think that…..
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่า…….

If you ask me, I think that…..
ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่า…….

เพิ่มเติม หากอยู่ในสถานการณ์อยากแทรกความคิดเห็นของตัวเองขึ้นมาในขณะที่บุคคลอื่นกำลังแสดงความคิดเห็นอยู่นั้น สามารถใช้ประโยคดังต่อไปนี้ได้ค่ะ

Can I add something here?
ฉันขอเสอแนะอะไรหน่อยได้ไหม?

Is it okay if I jump in for a second?
จะเป็นอะไรไหม หากฉันขอร่วม(แสดงความคิดเห็น)ด้วยสักนิด?

หากอยากยุติการแสดงความคิดเห็นหรือจบการโต้เถียงในที่ประชุม ให้ใช้ประโยคดังต่อไปนี้ค่ะ

Let’s just move on, shall we?
เราควรไปต่อที่ประเด็นอื่นกันดีไหม?

Let’s drop it.
จบประเด็นนี้เถอะ

Whatever you say.
แล้วแต่คุณเลย (ตามใจคุณเลย)

If you say so.
ถ้าคุณว่าอย่างนั้นนะ (ว่าไงว่าตามกัน)

ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th


ลุยน้ำแล้วเครื่องยนต์ดับ ทำไมจึงห้ามสตาร์ทเครื่องซ้ำ?

 ในช่วงที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่เช่นนี้ การขับรถลุยน้ำจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงตามมาได้ แล้วถ้าเกิดขับรถลุยน้ำลึกจนกระทั่ง “รถดับ” ขึ้นมาจริงๆ จะต้องทำอย่างไร? Sanook Auto จะพาไปแนะนำวิธีแก้ไขกัน

ทำไมขับรถลุยน้ำท่วมแล้วรถดับ?

     สาเหตุที่ขับรถลุยน้ำแล้วเครื่องยนต์ดับ เกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่

     1. มีน้ำเล็ดลอดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ – ส่งผลให้ระบบจุดระเบิดได้รับความเสียหาย เนื่องจากห้องเผาไหม้ (ลูกสูบ) ของเครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซลล้วนแต่มีกำลังอัดอากาศสูงมาก เมื่อเจอกับน้ำที่เล็ดลอดเข้าไปทางท่อไอดี จึงส่งผลทำให้เครื่องยนต์เกิดอาการน็อกในทันที ยิ่งถ้าหากมีการเร่งเครื่องยนต์ให้มีรอบสูงด้วยแล้วล่ะก็ อาจถึงขั้นทำให้ก้านสูบคดเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือเครื่องยนต์พังไปเลย จำเป็นต้องยกรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเผื่อแก้ไขด้วยการผ่าเครื่องยนต์เท่านั้น

     2. กล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) ได้รับความเสียหาย – กล่องอีซียูมีหน้าที่ในการควบคุมสั่งการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง, การจุดระเบิด และอีกมากมาย หากว่ากล่องอีซียูจมน้ำ ก็จะได้รับความเสียหายจากการลัดวงจร ทำให้เครื่องยนต์ดับได้เช่นกัน และอาจยังส่งผลให้ระบบไฟฟ้าภายในรถได้รับความเสียหายอีกด้วย

หากว่าเครื่องยนต์ดับขณะลุยน้ำ ต้องทำอย่างไร?

     หากว่าโชคร้ายขับรถลุยน้ำแล้วเครื่องยนต์ดับขึ้นมาจริงๆ การพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์มักไม่ได้ผล และอาจก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมได้ ทางที่ดีควรเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนให้รถคันอื่นทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น จากนั้นออกจากรถเพื่อขอความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น การเข็นรถไปยังพื้นที่สูง จากนั้นจึงโทรเรียกรถสไลด์หรือรถลากเพื่อนำรถเข้าอู่ต่อไป

น้ำท่วมเครื่องยนต์ดับ เคลมประกันชั้น 1 ได้หรือไม่?

     การเคลมค่าสินไหมทดแทนกรณีรถน้ำท่วมจนได้รับความเสียหาย สามารถแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

     1. น้ำท่วมจากภัยพิบัติธรรมชาติ – กรณีจอดรถไว้ตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ เกิดน้ำหลากไม่สามารถย้ายรถหนีได้ทัน กรณีสามารถเคลมประกันภัยชั้น 1 ได้ตามปกติ แต่หากรถเกิดความเสียหายสิ้นเชิงไม่คุ้มที่จะซ่อม ก็จะถูกตีเป็น Total Loss และจ่ายเป็นเงินชดเชย 70-80% ตามเงื่อนไขของบริษัทประกันแต่ละแห่ง

     2. ขับรถลุยน้ำท่วม – หากขับรถลุยน้ำท่วมบนเส้นทางที่ภาครัฐมีการประกาศแจ้งเตือนว่ามีความเสี่ยงภัยน้ำท่วม แต่ยังคงขับผ่านเส้นทางนั้นจนทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถ กรณีนี้บริษัทประกันอาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้

     3. รถติดขัดขณะฝนตกหนักและมีน้ำท่วมขังโดยไม่ทราบล่วงหน้า – หากเป็นการขับรถใช้งานตามปกติแล้วเกิดรถติดพร้อมกับมีฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วม ส่งผลทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย กรณีเช่นนี้สามารถเคลมกับบริษัทประกันได้ตามปกติ

     ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีน้ำท่วมจนทำให้เครื่องยนต์ดับ มักเป็นความเสียหายที่รุนแรง มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ทางที่ดีควรประเมินความสูงของระดับน้ำก่อนลุยน้ำทุกครั้ง หากพบว่าระดับน้ำสูงเกินครึ่งล้อขึ้นไป ก็ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นเสีย หรือยอมเสียเวลาจอดรถเพื่อรอระดับน้ำลดลง ดีกว่าต้องมาปวดหัวกับค่าซ่อมราคาแพงระยับ แถมอาจไม่กลับมาดีเหมือนเดิม 100% อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ย้อนรอยงานสถาปนิก’ 66: เลือกประตูให้อยู่สบาย

ทุกการเข้าออกไม่ว่าจะเป็นบ้านหรืออาคารขนาดใหญ่เราล้วนแล้วมองหาประตูทั้งสิ้น เพราะประตูเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยป้องกันผู้อาศัยและทรัพย์สินภายในบ้านรวมทั้งเป็นปราการด่านแรกของบ้านตั้งแต่ประตูรั้วจนถึงประตูห้องต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน

และถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านหรืออาคารเดียวกันแต่การใช้งานและพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ก็อาจจำเป็นจะต้องเลือกประเภท ชนิดและขนาดของประตูที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งคุณสมบัติของประตูขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นประตูหนึ่งบานว่ามีอะไรบ้าง

  1. ประตูไม้จริง

วัสดุธรรมชาติที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรูปแบบบ้านได้หลากหลายสไตล์จากโทนสีของไม้ที่แตกต่างกัน สำหรับไม้ที่นิยมนำมาทำประตูคือ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้โอ๊ก เนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็งทำให้ประตูบ้านมีความแข็งแรงทนทาน แต่ข้อเสียสำหรับประตูไม้คือหากได้รับความชื้นประตูไม้จะหดและขยายออก หรือหากใช้งานเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการเกิดปลวกได้

  1. ประตูไม้ WPC

ประตูไม้ Wood Plastic Composite หรือ WPC ทำมาจากไม้ผสมกับพอลิเมอร์หลายชนิด เป็นการนำคุณสมบัติด้านโครงสร้างเส้นใยที่แข็งแรงของไม้มารวมกับความสามารถในการกันความชื้นและไม่ดูดซึมน้ำของพอลิเมอร์ ข้อดีของการใช้ประตูไม้ชนิดนี้คือหมดปัญหาเรื่องปลวก ทนความชื้นได้ดี ส่วนข้อด้อยคือประตูไม้ WPC จะดัดแปลงและปรับใช้งานได้ยากเนื่องจากรูปแบบของประตูที่ขึ้นรูปมาโดยเฉพาะ

  1. ประตูไม้อัด HDF

ประตูไม้อัด HDF (High Density Fiber) ทำมาจากการนำเศษไม้ขนาดเล็กมาผสมกับเรซินแล้วอัดด้วยความร้อนสูง ทำให้ประตูไม้อัดมีลักษณะเฉพาะตัวคือความเบาแต่ความหนาแน่นของประตูต่ำจึงเกิดความเสียหายจากแรงกระแทกได้ง่าย

  1. ประตูไม้เอนจิเนียร์

สำหรับประตูไม้เอนจิเนียร์ คือประตูที่ทำมาจากการขึ้นโครงสร้างไม้จริงผสมกับไม้อัดแล้วใช้ไม้วีเนียร์ในการฉาบหน้าประตู ไม้วีเนียร์คือเยื่อไม้แผ่นบาง ๆ นิยมนำมาใช้เพื่อสร้างความสวยงาม ข้อดีคือมีความแข็งแรงเท่าไม้จริงและมีลวดลายเฉพาะ

  1. ประตูไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์

ประตูไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ ทำจากแผ่นซีเมนต์บอร์ดผสมกับเยื่อของต้นไม้และทรายซิลิกา ประตูไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์มีความทนทานต่อความชื้นเนื่องจากแผ่นซีเมนต์บอร์ดมีคุณสมบัติกันความชื้น ข้อดีคือประตูประเภทนี้มีความยืดหยุ่นไม่ยืดหดตัวเมื่อได้รับความชื้นแต่ด้วยความหนาแน่นของแผ่นซีเมนต์บอร์ดต่ำอาจทำให้ประตูแตกหักง่าย

  1. ประตู PVC

ทำจากวัสดุสังเคราะห์ โดยมีโครงสร้างภายในแตกต่างกันตามแต่ละผู้ผลิต แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นเหล็กหรืออะลูมิเนียมเป็นหลักเพราะมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย แต่เพราะโครงสร้างที่กลวงจึงทำให้รับน้ำหนักได้น้อยและไม่ทนต่อความร้อน

  1. ประตู UPVC

ประตูยูพีวีซีเป็นการพัฒนามาจากประตูพีวีซีและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของโครงสร้าง โดยโครงสร้างของประตูยูพีวีซีสร้างจากไม้ WPC ที่มีความแข็งแรงมากกว่าประตูพีวีซีแต่ยังคงรับแรงกระแทกได้น้อย ซึ่งประตู UPVC มีความสามารถในการเก็บเสียงและป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ทนต่อสภาพอากาศ กันน้ำและกันชื้นได้ดี

  1. ประตูอะลูมิเนียม

ทำมาจากการขึ้นโครงประตูอะลูมิเนียมและนำกระจกมาติดบริเวณช่องว่างของโครงประตู เหมาะกับบ้านที่ต้องการความโปร่ง โล่งสบายข้อดีคือมีน้ำหนักเบาสามารถทนทานต่อสภาพอากาศ ดูแลรักษาง่าย ข้อเสียคือเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่ายเนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นกระจก

ประเภทของประตู

  1. ประตูบานเปิด

ประตูบานเปิดเป็นประตูที่นิยมใช้ทั่วไปสามารถติดตั้งได้เกือบทุกตำแหน่งของบ้านโดยไม่จำเป็นต้องปรับโครงสร้างของบ้าน หากเป็นบ้านหรือห้องภายในอาคารที่มีพื้นที่น้อยไม่ควรติดตั้งประตูบานเปิดเพราะการเปิดประตูต้องใช้พื้นที่ด้านหน้า

  1. ประตูบานเลื่อน

ลักษณะการใช้ประตูเลื่อนคือการเลื่อนไปด้านข้าง ซึ่งจะต้องติดตั้งรางสำหรับเลื่อนไว้ด้านบนหรือด้านล่างบานประตู ประตูบานเลื่อนเหมาะสมกับห้องนอนหรือบ้านที่มีพื้นที่ไม่มากนัก ดังนั้นการเลือกใช้ประตูบานเลื่อนจึงทำให้มีพื้นที่เหลือ

  1. ประตูบานสวิง

ประตูบานสวิงสามารถเปิดเข้าออกได้สองฝั่ง โดยลักษณะการเปิดจะคล้ายกับประตูบานเปิด ประตูบานสวิงเหมาะสมสำหรับห้องหรือพื้นที่ที่ห้องมีการเข้าออกบ่อยครั้ง และเหมาะสำหรับบ้านหรืออาคารที่มีพื้นที่จำนวนมาก

  1. ประตูบานเฟี้ยม

เป็นการเปิดในลักษณะการพับเข้าหากันไปด้านใดด้านหนึ่ง จุดเด่นของประตูบานเฟี้ยมคือการขยายและเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างห้อง ช่วยให้ห้องมีความกว้างมากขึ้น

เทคนิคในการเลือกประตูบ้านให้ตรงตามความต้องการ

สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือตำแหน่งที่ตั้งของประตูเพราะจะช่วยให้เราสามารถคำนวณขนาดและวัสดุของประตูได้เหมาะสมต่อการใช้งาน อย่างการเลือกประตูสำหรับภายนอกบ้านหรือนอกอาคารควรเลือกเป็นประตูที่ทนความชื้นและทนทานต่อสภาพอากาศอย่างประตู WPC

ส่วนประตูสำหรับภายในนั้นควรเลือกตามพื้นที่ภายในบ้านหรืออาคาร เช่น หากต้องการประหยัดพื้นที่ภายในบ้านควรเลือกใช้ประตูบานเลื่อน นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงห้องต่าง ๆ ด้วยว่าเหมาะกับประตูประเภทใดโดยเราจะเลือกประตูตามประเภทของห้อง เช่น ประตูห้องน้ำ ควรเลือกประตู UPVC หรือประตู PVC เนื่องจากห้องน้ำเป็นพื้นที่ส่วนที่มีความชื้นสูง ประตูห้องนอนควรเลือกประตูที่มีอายุการใช้งานในระยะยาว แข็งแรง ทนทานและสามารถป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้เพื่อให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ

และในงานสถาปนิก’ 66 นั้นมีแบรนด์ประตูชั้นนำมากมายที่ได้นำผลิตภัณฑ์มาร่วมโชว์ภายในงานนอกจากฟังก์ชันที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานแล้วในเรื่องของงานดีไซน์ก็ล้ำสมัยไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่น

GLASTEN
ISHIMOK

และเพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคุณภาพดีมาแค่ที่เดียวแต่ได้ครบจบทุกเรื่องบ้านจึงกลับมาอีกครั้งกับงานสถาปนิก’67 ที่พร้อมจะขนทัพเทคโนโลยีจากทั้งไทยและต่างประเทศมาไว้ในงานและไม่พลาดกับไฮไลท์สุดพิเศษอีกมากมาย

แล้วพบกันใหม่ปีหน้ากับงาน “สถาปนิก’67” ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://architectexpo.com/ และทาง FACEBOOK งานสถาปนิก : ASA EXPO

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/07/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,800.0031,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,060.0031,229.6032,400.00
ทองรูปพรรณ 90%1,854.0028,106.64n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,648.0024,983.68n/a
ทองรูปพรรณ 50%927.0014,053.32n/a
ทองรูปพรรณ 40%721.0010,930.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,135.0032,366.60n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/07/2566


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.0536.05
แก๊สโซฮอล์ 9135.7835.7835.7835.7835.7835.7835.7835.7835.7835.78
แก๊สโซฮอล์ E2033.7433.7433.7433.7433.7433.7433.7433.7433.74
แก๊สโซฮอล์ E8534.1934.1934.19
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม42.9446.7446.9446.8442.94
เบนซิน 9543.8444.6144.3443.9943.84
ดีเซล B731.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.2431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม38.9439.9439.9439.9439.9438.94
แก๊ส NGV17.5917.5917.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า