สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 สิงหาคม 2566

“แสนสิริ”กับราคาที่ดินในซอย”ทองหล่อ”

แสนสิริกับราคาที่ดินในซอยทองหล่อ “โสภณ พรโชคชัย” กูรู ประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ ฟันธงราคาที่ดินกลางซอยทองหล่อ ราคา1.85ล้านบาทต่อตารางวา

ตามที่มีข่าวว่านายชูวิทย์แฉแสนสิริเรื่องการซื้อที่ดินในซอยทองหล่อ (สุขุมวิท55)นั้น  ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ระบุว่า ราคาที่ดินช่วงกลางซอยทองหล่อ ราคาตารางวาละ 1.85 ล้านบาท และเมื่อปี 2554 ราคาเพียงตารางวาละ 6.5 แสนบาทเท่านั้น ส่วนช่วงต้นซอยทองหล่อราคา 2.0-2.2 ล้านบาทต่อตารางวาในขณะนี้ 

ช่วงปี2559ที่บมจ.แสนสิริซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการ ได้ประเมินไว้ในราคาที่1ล้านบาทต่อตารางวา (ขนาดที่ดิน4ไร่)แต่แสนสิริซื้อ ในขณะนั้น ตารางวาละ 1.1ล้านบาท สูงกว่าที่ประเมินไว้1แสนบาท แต่เมื่อมองตามข้อเท็จจริงแล้ว แสนสิริ ซื้อมาเพียง1ไร่เศษซึ่งเป็นที่ดินแปลงเล็กมองว่าราคาตารางวาละ1.1ล้านบาท เป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ผิดปกติแต่อย่างใด 

 ที่ผ่านมาได้จัดทำราคาตลาดของที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวนหลายร้อยจุดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2566) จึงขอนำข้อมูลมานำเสนอเพื่อการใช้วิจารณญาณของผู้เกี่ยวข้องต่อไป แต่ทั้งนี้ ดร.โสภณไม่ได้มุ่งที่จะประเมินค่าที่ดินแปลงใดโดยตรง และไม่ได้ข้องเกี่ยวกับฝ่ายใดฝ่ายหนี่งโดยเฉพาะ

 สำหรับราคาที่ดินบริเวณกลางๆ ถนนหรือซอยทองหล่อนั้น จากฐานข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยพบว่า

 1. ขณะนี้มีราคาประมาณ 1.85 ล้านบาทต่อตารางวา ทั้งนี้เป็นที่ดินเหมาะสมที่จะนำไปพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยเพื่อการขายเป็นสำคัญ

 2. ส่วนตึกแถวทั่วไปในถนนทองหล่อนี้ มีราคาประมาณ 45-50 ล้านบาทต่อหน่วย และหากในกรณีที่ซื้อตึกแถวเพื่อเปิดทางออกให้กับที่ดินที่อยู่ด้านหลัง ราคาขายก็อาจสูงถึง 70-80 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งก็ยังคุ้มสำหรับการพัฒนาที่ดินเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้

 3. ในปี 2537 ที่สำรวจครั้งแรก ราคาที่ดินกลางซอยทองหล่อ น่าจะมีราคาเพียง 2 แสนบาทต่อตารางวา เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ 1.85 ล้านบาท ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นปีละ 8.0%

 4. ดร.โสภณให้ความเห็นว่าในปี 2554 ราคาที่ดินกลางซอยทองหล่อน่าจะมีราคาตารางวาละ 6.5 แสนบาท

 5. สำหรับปี 2559 ดร.โสภณประมาณการว่าราคาที่ดินกลางซอยทองหล่อน่าจะมีราคา 1 ล้านบาท ต่ำกว่าที่แสนสิริซื้อที่ 1.1 ล้านบาทเพียงเล็กน้อย แต่แปลงมาตรฐานที่ ดร.โสภณประเมินมีขนาด 4 ไร่ ในขณะที่แปลงที่ดินที่แสนสิริซื้อมีพื้นที่ราว 1 ไร่เท่านั้น จึงทำให้ราคาที่ดินที่แสนสิริซื้อมีมูลค่าสูงกว่าเล็กน้อย

 6. ณ ปี 2566 ราคาที่ดินกลางซอยทองหล่อน่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1.85 ล้านบาทต่อตารางวา แสดงว่าตลอดช่วงปี 2559 ณ 1 ล้านบาทต่อตารางวา ถึงปี 2566 ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นประมาณ 9.2% ต่อปี

 7. อย่างไรก็ตามราคาที่ดิน ณ ต้นซอยทองหล่อ น่าจะมีราคาตารางวาละ 2.0-2.2 ล้านบาท เพราะตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย

 8. สำหรับการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินรายปีสำหรับที่ดินกลางซอยทองหล่อเป็นดังนี้:

ตารางการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินรายปี

สำหรับที่ดินกลางซอยทองหล่อ

พ.ศ. บาท/ตรว. อัตราเพิ่ม

2559  1,000,000 

2560  1,100,000  10%

2561  1,250,000  14%

2562  1,450,000  16%

2563  1,600,000  10%

2564  1,700,000  6%

2565  1,780,000  5%

2566  1,850,000  4%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่า

อสังหาริมทรัพย์ไทย

บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียล

เอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th)

ดร.โสภณระบุว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์ราคาที่ดินนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในกรณีที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ของ บมจ.แสนสิริ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


SENA เผยครึ่งปีแรก รายได้เติบโต 92% รุกต่อบ้านไฟฟ้าเป็น 0-คอนโด low carbon 

SENA เผย 6 เดือนโกยรายได้ 3,840 ล้านบาท เติบโต 92% พร้อมขยายพอร์ต ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยทุกช่วงวัย ตุน Backlog 6,879  ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องอีก 4 โครงการใหม่ ทั้งเฟล็กซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์, เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง เฟส 2, เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่, เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง

วันที่ 17 สิงหาคม 2566 นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทเสนา และบริษัทย่อย ในช่วงครึ่งปีแรก  2566 มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 3,840  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท

แบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการที่พัฒนาเอง 1,111 ล้านบาท และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการร่วมทุน 2,729 ล้านบาท มียอดขาย (Presale) 6 เดือนแรก อยู่ที่ 5,383 ล้านบาท มาจากยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการที่พัฒนาเอง 1,352 ล้านบาท และยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการร่วมทุน 3,521 ล้านบาท

SENA มีรายได้รวม 4,427 ล้านบาท ได้แก่ รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,840 ล้านบาท ธุรกิจเช่าและบริการ 307 ล้านบาท และ รายได้จากธุรกิจโซลาร์ 280 ล้านบาท ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น ร้อยละ 35 และมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิร้อยละ 9.5 ซึ่งคิดเป็นกำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรก เท่ากับ 239 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

เนื่องจากปัจจัยหลักมาจากในงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อบริษัท SENX  และมีการปรับสัญญาว่าจ้างบริหารโครงการ และรับรู้รายการขายทรัพย์สินของบริษัทย่อย คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับสถานการณ์ การเงินและภาวะดอกเบี้ยของโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น

รวมถึงการเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน เพื่อให้บริษัทมีความเข้มแข็งของกระแสเงินสดเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าว  จึงมีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2566 และจะดำเนินการพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลอีกครั้งในรอบสิ้นปี 2566

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสถานะความเข้มแข็งของยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2566  ที่ยังคงเติบโต ทั้งของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็นมูลค่า 6,879  ล้านบาท

แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาเอง 868 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 6,010 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง จำนวน 4 โครงการ

ประกอบด้วย 1. เฟล็กซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ 2. เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง 2  3. เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ 4. เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ – บางบัวทอง

ส่งผลให้บริษัทมีสินค้าคงเหลือสะสมรวมทั้งสิ้น 27,224  ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าและรายได้ในอนาคต

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจใหม่ที่พัฒนาให้ครอบคลุมการดูแลผู้บริโภค  ทั้งธุรกิจบริการบริหารนิติบุคคล บริการสินเชื่อ การขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับตลาด E-COMMERCE  ในอนาคต

ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจคลังสินค้า และโลจิสติกส์  รวมถึงธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและธุรกิจปลูกป่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์เชิงรุก ที่จะเป็นมากกว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ ภายใต้ แนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner”

สำหรับแผนลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจภายใต้แนวคิด Made Form Her “คิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า”

โดยมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิตของลูกค้าในทุกช่วงอายุ และมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ

1.Convenient Living ใส่ใจเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้สอยภายในบ้านและคอนโดมิเนียม

2.Sustainable Living ใส่ใจเรื่องการใช้ชีวิตให้ยั่งยืนพร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิด Smart City มาใช้พัฒนา Feature ต่างๆ ในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนได้ง่ายๆ ได้ทุกวัน

โดยพัฒนาออกมาเป็นโครงการแนวราบ ภายใต้แนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” (บ้านไฟฟ้าเป็น 0) หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ต่อยอดมาจาก Hankyu Hanshin Properties Crop. (HHP)

บริษัทวิจัยพัฒนาสินค้าร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) เพื่อออกแบบเป็นที่อยู่อาศัย ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนไทย

จากงานวิจัยพบว่าแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38%

นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาโครงการแนวสูง หรือคอนโดมิเนียม ก็มีการนำใช้แนวคิดของ Smart City มาใช้พัฒนาเพื่อให้เกิดเป็น “คอนโด Low-Carbon”

เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเริ่มพัฒนาสินค้าและเปิดขายตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17ส.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.60 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17 ส.ค.2566 ที่ระดับ  35.50 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.38 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว แต่ทว่า เรามองว่า สถานการณ์การเมืองไทยที่เริ่มมีความวุ่นวายน้อยลง และ

แนวโน้มการโหวตเลือกนายกฯ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่ก็มีความชัดเจน ก็อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเราเริ่มเห็นแรงขายหุ้นไทยที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี แรงขายบอนด์อาจยังพอมีอยู่บ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ทว่า เรายังคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่อาจรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อ ทำให้แรงขายบอนด์ไทยอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก

เรายังคงประเมินแนวต้านเงินบาทในโซน 35.50-35.75 บาทต่อดอลลาร์ หลังการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตเลือกนายกฯ มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาด อย่าง บรรดาผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านดังกล่าว

ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทจะยังไม่กลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าการโหวตเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลผสมจะเสร็จสิ้น อย่างไรก็ดี เราประเมินแนวรับเงินบาทในระยะนี้ โซนแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับหลักที่สำคัญถัดไป

อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.60 บาท/ดอลลาร์

ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.30-35.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุด ยังคงสะท้อนว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla -3.2%, Meta -2.5%) ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุด สะท้อนว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและยังคงต้องการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อ  ทำให้โดยรวม ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -1.15% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.06% ตามการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อาทิ หุ้นธนาคาร HSBC -1.8%, Rio Tinto -0.6%, LVMH -0.2% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อาทิ กลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +1.7%

ในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลของผู้เล่นในตลาดว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเป็นมากกว่า 40% จากข้อมูล CME FedWatch Tool) หลังรับรู้รายงานการประชุมเฟดล่าสุด

 ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.27% (เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 4.18%-4.28%) ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเรา และเรากลับมองว่า เป็นเรื่องที่ดี สำหรับนักลงทุนที่รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะย่อตัว

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานการประชุมเฟด ที่ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อของเฟดมากขึ้น นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย

 ท่ามกลางตลาดการเงินที่ผันผวนและปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.5 จุด (กรอบ 102.9-103.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานดัชนี Leading Indicator ของสหรัฐฯ 

ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด หลังรัฐสภาเตรียมจัดประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เค้นฟอร์มแกร่ง! “YK Motorsports” ผงาดแชมป์ซิ่งโหด 7 ชั่วโมงปิดท้ายฤดูกาล

การแข่งขันรถยต์ทางเรียบรายการใหญ่สุดในประเทศไทย RAAT Thailand Endurance International Championship 2023 ซึ่งจัดโดย ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย (ร.ย.ส.ท.) เดินทางมาถึงสนามสุดท้ายของฤดูกาล ระเบิดศึกเกมคนแกร่ง 8 รุ่น ที่สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ยาวต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง

รอบคัดเลือกเป็นการออกสตาร์ตพร้อมกันในทุกรุ่น และปรากฏว่ารุ่นใหญ่สุดอย่าง Touring Car รถหมายเลข 14 ที่ขับโดย ณัฐนิช ลีวัฒนาวรากุล และ เดชาธร ภู่อัครวุฒิ จากทีม YK Motorsports BBR By Sunoco ทำเวลาดีที่สุด ได้ออกสตาร์ตในตำแหน่งโพลโพซิชัน

เริ่มการแข่งด้วยโรลลิงสตาร์ต ณัฐนิช ลีวัฒนาวรากุล และ เดชาธร ภู่อัครวุฒิ รถหมายเลข 14 จากทีม YK Motorsports BBR By Sunoco ทำผลงานสุดยอดพารถสุดแกร่งเข้ารับตาหมากรุกเป็นคันแรก หลังจากขับไป 211 รอบสนาม คว้าแชมป์รุ่น Touring Car สนามสุดท้าย พร้อมด้วยแชมป์ฤดูกาล (โอเวอร์ ออล) 2023 ไปครอง ส่วนรองแชมป์สนามสุดท้าย และรองแชมป์ฤดูกาลเป็นของรถหมายเลข 19 จาก Toyota Gazoo Racing Team Thailand รุ่น Touring Car ที่ขับโดย ณัฐพงศ์ ห่อทองคำ, อัครพงศ์ อัคนีนิโรธ และ กฤษฎิ์ วสุรัตน์

ตามด้วยรุ่น Compact จบการแข่งขันด้วยชัยชนะของ หมายเลข 88 จาก Tein Team Thailand คว้าแชมป์ในสนามสุดท้าย และอันดับ 5 ของฤดูกาลไปด้วยจำนวน 201 รอบสนาม

ส่วนอันดับ 2 ในรุ่น และอันดับ 6 Overall เป็นผลงานของ หมายเลข 89 จาก Tein Team Thailand จำนวน 194 รอบสนาม

ตามด้วยอันดับ 3 ในรุ่น และอันดับ 7 Overall คือ หมายเลข 56 จาก Feeliq Innovation Motorsport จำนวน 192 รอบสนาม

อันดับ 4 ในรุ่น และอันดับ 8 Overall ได้แก่ หมายเลข 91 จาก HC by Sittipol elf จำนวน 189 รอบสนาม

และสุดท้ายอันดับ 5 ในรุ่น ได้แก่ หมายเลข 12 จาก Redream Team จบการแข่งขัน Overall ไปในอันดับที่ 18 จำนวน 174 รอบสนาม

รุ่น Production บทสรุปหลังผ่าน 7 ชั่วโมงความอึด ผลงานดีสุดสนามสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 78 จาก Tein Team Thailand ครองอันดับ 1 ในรุ่น และจบ Overall ไปที่อันดับ 9 ด้วยกับจำนวน 183 รอบสนาม ส่วนอันดับ 2 ในรุ่น เป็น หมายเลข 2 จาก Perfect 1000 Racing ที่โชคไม่เข้าข้าง จบ Overall ไปด้วยอันดับ 24 จำนวน 145 รอบสนาม

รุ่น Eco ดุเดือดตลอด 7 ชั่วโมง บทสรุปหมายเลข 22 จาก Kaizo-R Motorsports Team Nexzter by Ruk Service ที่คว้าแชมป์สนาม และจบ Overall ในอันดับ 10 ด้วยจำนวน 180 รอบสนาม ส่วนอันดับ 2 ในรุ่น ได้แก่ หมายเลข 25 จาก B-Quik Racing จบอันดับ 12 Overall ที่ 179 รอบสนาม

รุ่น Vios ลุ้นสุดมันตลอดจนการแข่งขัน จนจบลงด้วยชัยชนะที่มีอันดับ 1 สนามสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 35 จาก Nexzter HGR Racing Team by VG x OTG จบ Overall อันดับ 11 จำนวน 179 รอบสนาม ส่วนอันดับ 2 สนามสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 48 จบ Overall อันดับ 13 ที่ 179 รอบเท่ากัน

รุ่น Vios Lady ดีกรีไม่ธรรมดา ก่อนได้ผลสรุปอันดับ 1 สนามสุดท้าย ได้แก่ หมายเลข 49 จาก TMC-Drive68 By Woot Bang Bon3 จบงาน Overall อันดับ 15 จำนวน 176 รอบสนาม

ท้ายสุดกับรุ่น Altis ชัยชนะหนึ่งเดียวของ หมายเลข 81 จาก TMC-Drive68 By Woot Bang Bon3 จบ Overall อันดับ 25 ด้วยจำนวน 142 รอบสนาม

ตามด้วยรุ่น Yaris อีกหนึ่งเดียวกับตำแหน่งแชมป์โดย หมายเลย 8 จาก Redream Team จบ Overall อันดับ 32 จำนวน 82 รอบสนาม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


3 วิธีรักษาโรคไตเรื้อรัง

กรมการแพทย์ห่วงผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ผู้ที่มีประวัติโรคไตเรื้อรังในครอบครัวผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นประจำ สุ่มเสี่ยงโรคไต แนะพบแพทย์แต่เนิ่นๆ หากพบอาการระยะแรก สามารถชะลอไตเสื่อมได้

นายแพทย์ธีรพล โตพันธานนท์  อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่ขจัดของเสีย รักษาสมดุลน้ำในร่างกาย เมื่อร่างกายมีน้ำมากเกินไป ไตจะขับน้ำส่วนเกินออก แต่เมื่อร่างกายขาดน้ำ ไตจะพยายามสงวนน้ำไว้ในร่างกาย รักษาสมดุล กรด ด่างและเกลือแร่ในร่างกายให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ ควบคุมความดันโลหิตผ่านการควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่บางชนิด สร้างฮอร์โมนทำให้ไม่เกิดภาวะโลหิตจาง  และควบคุมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสทำให้กระดูกแข็งแรง 

ซึ่งโรคไตอาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดไต  หลอดเลือดฝอยในไต  เนื้อเยื่อ ตลอดจนความผิดปกติของกรวยไตและท่อไต อาการที่สำคัญ คือ บวม ปัสสาวะเป็นเลือด มีลักษณะคล้ายสีน้ำล้างเนื้อ หรือเป็นเลือดสด ปัสสาวะเป็นฟอง เนื่องจากมีไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่น เนื่องจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย   ในเวลากลางคืน ปวดหลัง หากเป็นรุนแรงจะมีอาการปัสสาวะออกน้อย ซีดและอ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้จากน้ำท่วมปอด เนื่องจากภาวะน้ำและเกลือแร่เกิน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ คันตามผิวหนัง เลือดออกง่ายหยุดยาก กล้ามเนื้อกระตุก ไม่มีแรง ในรายที่เป็นมากอาจซึม ชัก  หมดสติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตได้  อาการเหล่านี้เกิดจากการคั่งของเสีย และการเสียสมดุลกรดด่างและเกลือแร่ในร่างกาย 

ผู้มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการคัดกรองโรคไตเรื้อรัง คือ ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง  โรคแพ้ภูมิตนเองที่อาจก่อให้เกิดไตผิดปกติ โรคติดเชื้อในระบบที่อาจก่อให้เกิด
โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเก๊าท์หรือระดับกรดยูริกในเลือดสูง โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบนซ้ำหลายครั้ง ผู้ที่ได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือสารพิษที่ทำลายไตเป็นประจำ ผู้ที่มีมวลเนื้อไตลดลงหรือมีไตข้างเดียว ทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือเป็นภายหลัง มีประวัติโรคไตเรื้อรังในครอบครัว ตรวจพบนิ่วในไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะ ตรวจพบถุงน้ำในไตมากกว่า 3 ตำแหน่งขึ้นไป ฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น ควรได้รับการคัดกรองหากพบในระยะแรกๆ  สามารถชะลอไตเสื่อม เพื่อไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย

การรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายโดยการทดแทนการทำงานของไตมี 3 วิธี ที่เป็นมาตรฐาน คือ

1. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม โดยทั่วไปผู้ป่วยจะได้รับการฟอกเลือดครั้งละ 4 -5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง ต้องทำที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ไตเทียม โดยมีพยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกเลือดเป็นผู้ดูแล  

2. การฟอกเลือดทางช่องท้อง ผู้ป่วยสามารถทำเองได้ที่บ้านโดยเปลี่ยนถ่ายน้ำยาวันละ 4-5 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 นาที  และควรมาพบแพทย์เป็นระยะตามความเหมาะสม เช่น 1-2 เดือนต่อครั้ง

3.การผ่าตัดปลูกถ่ายไตโดยได้รับบริจาคไตจากผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย หรือผู้ที่มีชีวิตอยู่

ทั้งนี้ การตัดสินใจเลือกวิธีรักษาโรคไตวายเรื้อรังแต่ละรายมีข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Brackets และ Parentheses เครื่องหมายวงเล็บในภาษาอังกฤษ

ความแตกต่างระหว่าง ‘bracket’ และ ‘parentheses’ อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนเล็กน้อย (ซึ่งทั้ง 2 คำนี้ภาษาไทยใช้คำว่า วงเล็บ) โดยทั่วไปแล้ว ‘parentheses’ หมายถึง วงเล็บรูปโค้งแบบที่เราคุ้นเคยกันดี คือ ( ) แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้คนนิยมใช้ ‘วงเล็บรูปโค้ง’ หรือ ‘วงเล็บรูปสี่เหลี่ยม’ มากขึ้นเรื่อยๆ 

เครื่องหมายวงเล็บ ( ) ใช้ในกรณีต่อไปน้ี เพื่อให้คำอธิบายหรือข้อความเสริม 

ในขณะที่เราใช้วงเล็บรูปโค้ง -( )-  เมื่อเราต้องการเพิ่มข้อมูลหรือความคิดเห็นเพิ่มเติม หรือเพื่อเพิ่มความคิดเห็นอื่น ๆ ที่สนับสนุนแนวคิดหลักของเราแต่ในแง่มุมที่ต่างออกไป มีหลักการใช้เหมือนกับการใช้เครื่องหมาย comma ผู้เชี่ยวชาญด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษหลายคนรู้สึกว่า สามารถใช้เครื่องหมาย comma แทนการใส่วงเล็บได้เกือบทุกกรณี

ตัวอย่างเช่น

The government’s education report (April 2005) shows that the level of literacy is rising in nearly all areas.

I visited Kathmandu (which was full of tourists) on my way to the Himalayas for a trekking expedition.

You can eat almost anything while travelling in Asia if you are careful to observe simple rules (avoiding unboiled or unbottled water is one of the main rules to be aware of.)

Thailand (formerly Siam) welcomes all visitors. She is (and has always been) highly intelligent. They studied crustaceans (shell-fish). 

เพื่อให้ข้อมูลวันที่และการอ้างอิง

John Brown (1880-1899) Crustacea (see Chapter 32)

เพื่อแสดงคำที่ไม่บังคับ (optional words) กล่าวคือสามารถเลือกว่าจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้

The minister considered the (real) difficulties of land allocation.

ในขณะที่ ‘brackets’ หมายถึง วงเล็บที่เป็นเส้นตรง คือ [ ] มักใช้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือให้คำอธิบายซึ่งไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับ โดยทั่วไปแล้ว เราใช้วงเล็บรูปสี่เหลี่ยม -[ ]- ในวัตถุประสงค์พิเศษ เช่น ในคู่มือทางเทคนิค เป็นต้น 

We have arranged a visit for you to meet with our University’s President [Associate Professor Dr Pranee Sungkatavat].

The [Dutch] East India Company has made a big investment in Thailand.

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


หลุดชิ้นส่วนของ iPhone 15 Pro ที่บอกชัดเจนว่ารองรับมาตรฐาน Thunderbolt แน่นอน

หลังจากมีข่าวเรื่องราวของ iPhone 15 ที่จะใช้ USB-C ออกมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้หลายคนตั้งตารอคอยการมาอย่างมากหลังจากใช้ Lightning มานาน ล่าสุดมีภาพหลุดจาก ChargeLAB ได้เปิดเผยออกมาและมีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับชิ้นส่วนพอร์ต USB-C ใหม่ของ iPhone 15

นั่นคือมีชิปที่บอกถึงการรองรับเทคโนโลยี Thunderbolt ที่ติดตั้งอยู่ในพอร์ตของ iPhone แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นของ iPhone รุ่นไหน แต่อย่างไรก็ตามทาง ChargeLAB ได้ออกมาบอกว่าเคโนโ,ยี Thunderbolt จะรองรับกับ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max อยู่ดี ส่วน iPhone 15 และ 15 Max ยังคงได้มาตรฐาน USB 2.0 ที่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลที่ 480Mbps เช่นเคย

แต่ทั้งหมดนี้คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กาแฟไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?

โดยปกติแล้วทุกคนคงเคยชินกับการดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ความจริงแล้วตอนนี้มี กาแฟไม่มีคาเฟอีน เกิดขึ้นมาแล้ว แต่บางคนอาจจะยังมีข้อสงสัยว่า กาแฟไม่มีคาเฟอีนนั้นแตกต่างจากกาแฟที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอย่างไร แล้วมันดีสุขภาพจริงหรือเปล่า


กาแฟไม่มีคาเฟอีนคืออะไร ?

กาแฟไม่มีคาเฟอีน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Decaf Coffee หรือชื่อเต็มๆ ว่า Decaffeinated coffee เป็นกาแฟที่มาจากเมล็ดกาแฟที่ถูกเอาคาเฟอีนออกอย่างน้อย 97% ซึ่งวิธีการเอาคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้น้ำในการทำละลายอินทรีย์หรือคาร์บอนไดออกไซด์ เมล็ดกาแฟจะถูกล้างในตัวทำละลายจนกว่าคาเฟอีนจะสกัดออกไปแล้วจึงนำตัวทำละลายออกไป

คาเฟอีนสามารถสกัดออกได้โดยการใช้คาร์บอนไดออกไซด์หรือตัวกรองถ่าน ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า กระบวนการน้ำของสวิส (Swiss Water Process) เมล็ดกาแฟถูกนำไปสกัดเอาคาเฟอีนออกก่อนที่จะถูกนำไปคั่วและบด คุณค่าของกาแฟไม่มีคาเฟอีนจะใกล้เคียงกับกาแฟทั่วไป ต่างกันเพียงปริมาณคาเฟอีนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม รสชาติและกลิ่นอาจจะรุนแรงขึ้นเล็กน้อย รวมถึงสีอาจจะเปลี่ยนไปด้วย ขึ้นอยู่กับวิธีการนำเอาไปใช้งาน โดยปกติแล้วกาแฟไม่มีคาเฟอีน มักจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ไม่ค่อยชอบรสขมและกลิ่นของกาแฟปกติ


ข้อแตกต่างระหว่าง กาแฟไม่มีคาเฟอีน กับ กาแฟปกติ

จากการศึกษาในปี 2017 กาแฟไม่มีคาเฟอีน มีความคล้ายคลึงกับกาแฟปกติ แต่อาจจะมีคาเฟอีนอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ในการนำคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ ผู้ผลิตจะนำเมล็ดกาแฟที่ยังไม่คั่วไปแช่หรืออบไอน้ำ ผสมผสานกับการสกัดด้วยสารเคมีชนิดอื่น ๆ เช่น

  • ผงถ่าน
  • คาร์บอนไดออกไซด์วิกฤตยิ่งยวด (Supercritical carbon dioxide)
  • เมธิลีนคลอไรด์ (Methylene chloride)
  • เอทิลอะซิเตท (Ethyl acetate)

การที่ผู้ผลิตใช้น้ำก็เนื่องจากคาเฟอีนเป็นสาราที่ละลายในน้ำได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้น้ำก็อาจจะลบสารประกอบอื่นๆ เช่น โปรตีนและน้ำตาลที่อยู่ในเมล็ดกาแฟออกไปด้วย

นอกจากนั้นแล้ว การใช้สารเคมีเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการช่วยเร่งกระบวนการกำจัดกาเฟอีน ก็เนื่องจากเป็นการช่วยลดการสูญเสียสารประกอบที่ไม่ใช่คาเฟอีน และช่วยรักษารสชาติกาแฟเอาไว้ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง โดยจากการศึกษาในปี 2018 ชี้ให้เห็นว่า การกำจัดคาเฟอีนมักจะเกิดขึ้นก่อนการคั่ว


กาแฟไม่มีคาเฟอีนดีต่อสุขภาพจริงหรือ

จากการศึกษาของ ดร.แวน ดาม พบว่า กาแฟไม่มีคาเฟอีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นเดียวกับกาแฟที่มีคาเฟอีน กาแฟที่สกัดเอาคาเฟอีนออกจะมีโพลีฟีนอล (Polyphenols) คลอโรจีนิก (Chlorogenic acid) และลิกแนน (Lignans) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องจากโพลีฟีนอลช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจากสารอันตราย เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเลต และเชื้อโรคบางชนิด นอกจากนั้นแล้วมันยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ อีกด้วย

ดร.แวน ดาม ยังชี้ให้เห็นว่า กาแฟทั่วไปและกาแฟไม่มีคาเฟอีน ประกอบด้วยโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งแร่ธาตุ 2 ชนิดนี้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งความจริงแล้วร่างกายไม่สามารถทำงานได้หากปราศจากโพสแทสเซียม ซึ่งใช้เพื่อทำให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างถูกต้องและควบคุมระดับของเหลวในเลือดด้วย ส่วนแมกนีเซียมสามารถทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่การรับรู้ไปจนถึงการลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) นอกจากนั้นกาแฟไม่มีคาเฟอีน ยังมีวิตามินบี 3 และไตรกลีเซอไรด์ (Trigonelline) และจากการทดลองทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกาแฟที่มีคาเฟอีนกับกาแฟไม่มีคาเฟอีน แสดงให้เห็นว่า ไม่มีผลกระทบต่อความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/08/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,800.0031,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,060.0031,229.6032,400.00
ทองรูปพรรณ 90%1,854.0028,106.64n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,648.0024,983.68n/a
ทองรูปพรรณ 50%927.0014,053.32n/a
ทองรูปพรรณ 40%721.0010,930.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,135.0032,366.60n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/08/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.5539.5540.5539.5539.5539.5539.5539.5539.5539.55
แก๊สโซฮอล์ 9139.2839.2840.2839.2839.2839.2839.2839.2839.2839.28
แก๊สโซฮอล์ E2037.2437.2438.2437.2437.2437.2437.2437.2437.24
แก๊สโซฮอล์ E8537.6937.6937.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.8448.5448.9448.9444.84
เบนซิน 9547.3448.5147.8447.4947.34
ดีเซล B731.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.7443.1447.9443.5443.5441.74
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า