ปัจจัยลบไม่สะเทือน!คอนโดซูเปอร์ลักชัวรีขายดี
ปัจจัยลบไม่สะเทือน ! คอนโดซูเปอร์ลักชัวรี เศรษฐีไทย-ต่างชาติแห่ช้อป ล่าสุด โครงการ ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์มูลค่า3,000 ล้านราคาตั้งแต่ 23-190 ล้านบาท ในทำเลชิดลม-เพลินจิต ประกาศสิ้นปีนี้จะปิดการขาย
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)ร่วมกับนายฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด มองว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังทรงตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ กำลังซื้อลดลง หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ขณะที่ตลาดคอนโดระดับลักชัวรียังไปได้ดี เพราะกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง ทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ต่างจากลูกค้าระดับกลางล่าง ที่มีปัญหาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่มีมาตรการเข้มงวดขึ้น
สังเกตได้จากยอดขายของโครงการ ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์คอนโดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีสูง 29 ชั้น จำนวน 80 ยูนิตมูลค่า 3,000 ล้านบาท มีขนาดพื้นที่ 57- 387 ตร.ม. มีระดับราคาตั้งแต่ 23-190 ล้านบาท ในทำเลชิดลม-เพลินจิต ที่ผ่านมามียอดขาย 90%และมียอดโอน 40% คิดของยอดขายทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 900 ล้านบาทเฉลี่ยราคาขาย35 ล้านบาทต่อยูนิต คาดว่าสิ้นปีนี้จะปิดการขายโครงการต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด หลังเปิดขายเมื่อปี 2562 โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1,600 ล้านบาท
“กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการต้นสน วัน เป็นคนไทย 70% ต่างชาติ 30% ทั้งเอเชียและยุโรป เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ยังไม่มีคนจีนเข้ามาส่วนเพนท์เฮ้าส์ขนาด 387.5 ตารางเมตรราคา 190 ล้านบาทนั้นได้ขายให้กับนักธุรกิจชาวเยอรมันแล้ว เหลือห้องเพนท์เฮ้าส์จำนวน 3 ยูนิต ”
ปัจจุบันยอดขาย10% ที่เหลือต่อให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อทั้งหมด ยังไม่เต็มโควตาต่างชาติที่กำหนดไว้49% สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนซื้อคอนโดลักชัวรีในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นคนไทยไม่ใช่ต่างชาติ และเป็นกลุ่มที่ยังคงมีความต้องการคอนโดระดับลักชัวรีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด -19 ซึ่งทางโครงการไม่ได้ลดราคาลงมาเพื่อขาย ล่าสุดได้ปรับราคาขายขึ้น 10% หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตร.ม.ละ350,000 บาท
สำหรับโครงการ ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น ประกอบด้วยห้องชุดพักอยู่อาศัยแบบส่วนตัวจำนวน 80 ห้อง โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 1 ถึง 3 ห้องนอน และมีขนาดใช้สอยตั้งแต่ 57 ตร.ม. ถึง 387.5 ตร.ม. ทุกห้องชุดมีโถงทางเดินหน้าลิฟท์ส่วนตัวและภายในมีวิวเปิดกว้างทั้งสองฝั่ง โครงการมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัย ได้แก่ พื้นที่รับรองพร้อมบริการผู้ช่วยส่วนตัว, ห้องประชุมงาน, ห้องจัดเลี้ยงพร้อมอุปกรณ์ชุดครัวติดตั้งครบครัน, สระว่ายน้ำขนาด 25 เมตรและอ่างจากุซซี่, ห้องออกกำลังกาย
และห้องสตูดิโอสำหรับโยคะและพิลาทิสแบบส่วนตัว โครงการมีระบบที่จอดรถแบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถรองรับรถได้มากถึง 117 คันและถูกออกแบบมาให้รองรับรถซูเปอร์คาร์และรถตู้แบบครอบครัวได้ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ให้บริการช่วยจอดรถและดูแลรักษาระบบตลอดการใช้งาน
โครงการตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าชิดลมเพียง 300 เมตร และสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิตเพียง 350 เมตร แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าที่สำคัญ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม สถานดูแลสุขภาพที่มีเชื่อเสียง เช่น สวนลุมพินี และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รวมถึงสถาบันการศึกษาที่สำคัญอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโรงเรียนมาร์แตเดอีวิทยาลัยอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คราฟเวิร์คผุดบ้านแฝดโซนกรุงเทพฯตะวันออกนำร่องโครงการ“ละไม”หทัยราษฎร์39
คราฟเวิร์คสยายปีกผุดบ้านแฝดทำเลกรุงเทพฯตะวันออกอยู่ในผังสีเขียว นำร่องโครงการ“ละไม หทัยราษฎร์ 39”เจาะกลุ่มคนในพื้นที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่ คาดสิ้นปียอดขาย200ล้าน พร้อมเตรียมนำแลนด์แบงก์มูลค่าหมื่นล้านพัฒนาโครงการอสังหาฯมูลค่า3หมื่นล้านก่อนเข้าตลาดฯปี2570
นายเฉลิมพล โขนแจ่ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คราฟเวิร์ค จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์มากว่า 30 ปีในการะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด บ้านเดี่ยว และคอนโดทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดที่มีศักยภาพในพื้นที่อีอีซี ในจ.ชลบุรี และระยอง
อาทิ โครงการ อารมณ์ วงศ์มาตย์ และอารมณ์ จอมเทียน เป็นต้น แต่ทว่ามองเห็นโอกาสหในการขยายธุรกิจอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับกับความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง
ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาโครงการแนวราบทำเลกรุงเทพฯตะวันออก ซึ่งอยู่ในผังสีเขียวไม่สามารถทำทาวน์เฮ้าส์ได้จึงพัฒนาโครงการ“ละไม หทัยราษฎร์ 39” บนเนื้อที่กว่า 35 ไร่เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่น ในรูปแบบของโครงการบ้านแฝดจำนวน 144 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 5-9 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ได้แก่
แบบ ARUN มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 153 ตารางเมตร มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว1 ห้องอเนกประสงค์ และจอดรถได้ 2 คัน แบบ TIWA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 160 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว 1 ห้องพระ 1 ห้องอเนกประสงค์
และจอดรถได้ 2 คัน และแบบ SURI ขนาดพื้นที่ใช้สอย 216 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ครัวไทย 1 ห้องอเนกประสงค์ และจอดรถได้ 3 คัน ทั้งนี้เพื่อรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ซึ่งต้องการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนอีกกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บางกะปิ มีนบุรี ลาดพร้าว เป็นต้น
นายเฉลิมพล กล่าวต่อว่า บริษัทมีที่ดินในทำเลนี้จำนวน 80 ไร่ แบ่งมา 35 ไร่เพื่อพัฒนาโครงการบ้านแฝดและคอมมูนิตี้มอลล์หน้าโครงการ ที่มีพื้นที่2ไร่ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดโครงการและรอผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้ใน1-2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570 โดยปัจจุบันมีBacklog อยู่ในมือคิดเป็นมูล5,000 ล้านบาทซึ่งอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างการบริหารงานภายใน คาดว่าในปี 2567 บริษัทจะมีรายได้จากโครงการแนวราบและอาคารสูง 5,000 ล้านบาทมาจากคอนโด3,000 ล้านบาทและแนวราบ2,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 18ส.ค. ที่ระดับ 35.48 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุระดับ 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ ส่วนหนึ่งมาจากแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออก วันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีกเดือนก.ค.
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 18ส.ค.2566ที่ระดับ 35.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.43 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเริ่มแผ่วลง ดังจะเห็นได้จากการที่เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุระดับ 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออก
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การเมืองไทยที่มีความวุ่นวายน้อยลงและการจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่ก็มีความชัดเจน ได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ ดังจะเห็นได้จากแรงซื้อหุ้นไทยสุทธิราว +782 ล้านบาทในวันก่อนหน้า
ทั้งนี้ แม้เราประเมินโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นแผ่วลง แต่ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ และเงินบาทก็อาจผันผวนอ่อนค่าลงต่อได้ หากสถานการณ์การเมืองไทยกลับมาวุ่นวายมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้เรายังคงประเมินแนวต้านเงินบาทในโซน 35.50-35.75 บาทต่อดอลลาร์
นอกจากนี้ หากการโหวตเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลผสมเสร็จสิ้นลง เรามองว่า เงินบาทก็อาจพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น “จบรอบการอ่อนค่าที่ผ่านมา” โดยเราประเมินแนวรับเงินบาทในระยะนี้ โซนแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับหลักที่สำคัญถัดไป
อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.25-35.55 บาท/ดอลลาร์
ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ Sideway (แกว่งตัวในช่วง 35.35-35.54 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่า ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้ง
หลังเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นได้ ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงในช่วงเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 42% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน) ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างเผชิญแรงขายต่อเนื่อง (Meta -3.1%, Netflix -3.0%) ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลง -1.17% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.77%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่องกว่า -0.90% ท่ามกลางแรงขายหุ้นเทคฯ จากความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก (SAP -2.5%, ASML -1.5%) รวมถึงแรงขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -2.7%, LVMH -2.2%) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแตะจุดสูงสุดในรอบ 15 ปี แถวระดับ 4.33% ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.28% ตามแรงซื้อบอนด์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ที่ยังคงมุมมองว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ คงไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก
หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงมากขึ้นและเฟดก็อาจไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยต่อหลายครั้ง ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำแนะนำของเราที่ยังคงมองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้ นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะย่อตัวได้ โดยที่ Risk-Reward คุ้มค่า ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 4.00% เช่นในปัจจุบัน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะเผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เงินดอลลาร์ก็ไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เพราะผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทำให้เงินดอลลาร์มีจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นและโดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวระดับ 103.4 จุด (กรอบ 103.0-103.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นทดสอบระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ทว่า การปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ในช่วงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน ได้กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การใช้จ่ายของครัวเรือนอาจได้รับผลกระทบจากทั้งภาวะเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาวะอากาศที่แปรปรวนล่าสุด ทำให้ยอดค้าปลีกอาจหดตัว -0.5% จากเดือนก่อนหน้า ชะลอลงจากที่โตกว่า +0.7% ในเดือนก่อน
ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด หลังรัฐสภาเตรียมโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้งในสัปดาห์หน้า อีกทั้งการจัดตั้งรัฐบาลผสมก็ดูมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ ซึ่งล่าสุด นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.34-35.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทแข็งค่ากลับมาตามเงินหยวนและทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย หลังจากที่ทางการจีนส่งสัญญาณดูแลค่าเงินผ่านการกำหนดอัตราอ้างอิงของเงินหยวนที่ระดับแข็งค่ากว่าที่ตลาดประเมินไว้ อย่างไรก็ดี ยังคงต้องระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างวัน ประกอบกับตลาดยังรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.30-35.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองของไทย สถานการณ์เงินหยวน และทิศทางเงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. ของยูโรโซน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
8 อาการเริ่มต้นของโรค “มะเร็ง” ที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง
“โรคมะเร็ง” มักเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นโรคที่ไม่แสดงสัญญาณอันตรายชัดเจนให้เราเห็นกันนัก หากเราไม่ได้มีอาการที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังเป็นโรคนี้ในระยะ 3 ระยะ 4 จึงอาจจะยากที่จะทราบได้ว่าเรากำลังเป็นโรคมะเร็งอยู่
แต่เรายังพอจะสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเองได้ว่า กำลังเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่หรือเปล่า โดยดูจากการอาการในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ผิดปกติไปจากเดิม ดังนี้
อาการเริ่มต้นของโรค “มะเร็ง” ที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ระบุอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งที่เราสังเกตได้ ดังนี้
- พบก้อนหนาที่ผิวหนัง เต้านม หรือส่วนใด ๆ ของร่างกาย
- มีไฝเกิดขึ้นใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของไฝเดิม เช่น ขยายขนาดโตขึ้น คัน แตกเป็นแผล เลือดออก
- มีอาการเจ็บปวดที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายที่เรื้อรัง ผ่านไปหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น
- เสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง อย่างไม่ทราบสาเหตุ
- มีความเปลี่ยนแปลงในการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะปนเลือด ถ่ายอุจจาระลำเล็กลง อุจจาระลำบาก อุจจาระปนเลือด ปวดหน่วงทวารหนักเวลาขับถ่าย
- มีความเปลี่ยนแปลงในการรับประทานอาหาร เช่น กลืนติด กลืนลำบาก กลืนเจ็บ อิ่มเร็ว คลื่นไส้อาเจียน
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เช่น น้ำหนักลดมากโดยไม่มีสาเหตุอันควร
- มีสารคัดหลั่งออกผิดปกติหรือเลือดออก เช่น ตกขาวผิดปกติ ตกขาวปนเลือด เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติภายหลังการมีเพศสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม แม้ในบางคนจะมีอาการดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคมะเร็ง ยังต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมจากแพทย์อีกครั้ง เพียงแต่หากมีอาการเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งเฉยแล้วคิดว่าเป็นเรื่องปกติเดี๋ยวก็หายไปเอง ควรรีบหาเวลาไปตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อเข้ารับการวินิจฉัย หรือรักษาอย่างทันท่วงทีจะดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะโรคอะไร หากพบก่อน รักษาได้ทัน และง่ายกว่าเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สาวไทย U21 ประเดิมพ่าย อียิปต์ ศึกวอลเลย์บอลชิงแชมป์โลก
ทีมนักตบลูกยางสาวทีมชาติไทย ทีมอันดับ 11 ของโลก ประเดิมพ่ายอียิปต์ ทีมอันดับ 8 ของโลกไป 1-3 เซ็ต 25-21, 13-25, 23-25, 19-25 ในการแข่งขันวอลเลย์บอลเยาวชนหญิงอายุต่ำกว่า 21 ปีชิงแชมป์โลก (รายการเดิมชิงแชมป์โลกรุ่น 20 ปี) ณ ประเทศเม็กซิโก เมื่อเช้าวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาไทย)
ทีมสาวไทยซึ่งจบอันดับ 14 ในการแข่งขันครั้งที่แล้วจะลงสนามนัดต่อไปพบกับเจ้าภาพ เม็กซิโก ในเช้าวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม เวลา 09.00 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เคลียร์ให้ชัด การใช้ A vs The
อย่างที่เรารู้กันว่า A กับ the คือ “article” ซึ่งมักจะใช้กับคำนามเพื่อระบุประเภทของที่มาของคำนามโดยเราสามารถแบ่งมันได้หลักๆ 2 แบบ คือแบบ
Definite และ Indefinite.
ถ้าเอาตามหลักการที่เราเข้าใจแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน “a” จะไม่สามารถตามด้วยคำนามพหูพจน์ได้ และเอาไว้กล่าวถึงรวมๆ แต่ถ้าเป็น “The” จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่เป็นคำนามเฉพาะ จะเติม s ก็ได้ แต่ทีนี้มันมีอะไรบางอย่างลึกไปมากกว่านั้น มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
Articles
แบบ Definite แบบ Indefinite
the a, an
อย่างแรกเลยก่อนที่เราจะไปไกล “the” เราจะใช้พูดถึงคำนามที่เฉพาะเจาะจง ด้วยตัวของมันเองจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ใช้ได้ทั้งกับคำนามนับได้และนามนับไม่ได้ หรือจะเป็นคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์
เราสามารถใช้ “the” นำหน้าคำนามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่จะต้องเป็นคำนามที่เฉพาะเจาะจง ทีนี้เรามาดูกันว่าอะไรล่ะที่มันเฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น มานะมานี กำลังพูดถึงหมาตัวหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นทั้งสองสามารถเรียกหมาตัวนั้นได้ว่า “the dog” เพราะหมาที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นมีหนึ่งเดียวมีตัวเดียว คือหมาที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้หมายถึงหมาทั่วๆไป
2. เอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีการพูดถึงเป็นครั้งที่ 2 หรือ 3 ในกรณีที่มีการกล่าวถึงคำนั้นก่อนหน้านี้แล้ว
ตัวอย่างเช่น
- My mom has cat. The cat is so cute.
แม่ของฉันมีแมว และแมวตัวนั้นมันน่ารักมากๆ
3. เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีหนึ่งเดียวในโลก
ตัวอย่างเช่น
- The moon, the sun, the earth
4. ใช้นำหน้าคำนามที่มีการใช้คำ adj. ขั้นสูงสุด
อย่างเช่น
- the most handsome boy, the fastest car เป็นต้น
5. ใช้นำหน้าพวกตัวเลข Ordinal หรือตัวเลขที่เป็นลำดับ
อย่างเช่น
- the first, the second, the third
ต่อมาคือแบบ Indefinite นั่นก็คือพวก “a,an” ซึ่งต้องบอกก่อนว่า Article เหล่านี้จะเอาไว้นำหน้าคำนามที่ไม่เฉพาะเจาะจงเลย นั่นหมายถึงการที่เราพูดกว้างๆไม่ได้เจาะจงสิ่งหนึ่งสิ่งใด
“A”
เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มันมีเสียงต้นเป็นเสียงพยัญชนะ อย่างเช่น
- a toy, a bathroom, a bed, a cat, a toilet เป็นต้น
“An”
เราจะเอาไว้ใช้นำหน้าคำนามที่มีเสียงต้นเป็นเสียงสระ ทีนี้ก็มาดูว่าสระมันมีอะไรบ้างล่ะในภาษาอังกฤษ มันมี A,E,I,O,U ใช่ไหมคะ
ก็นั่นแหละคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงเหล่านี้จะนับเป็นคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ แต่ก็ต้องระวังให้ดีนะเพราะบางคำมันมีการออกเสียง silent
อย่างเช่นคำว่า hour ที่แปลว่าชั่วโมง
เห็นมันขึ้นด้วยตัว -h ที่เป็นพยัญชนะ แต่คำนี้จะออกเสียง silent -h ดังนั้นตัว -h นี้จึงไม่ออกเสียง จึงทำให้มีการออกเสียงของตัวถัดไปนั่นก็คือ “o” ดังนั้นมันจึงต้องเป็น “an hour” ไม่ใช่ “a hour”
ทีนี้มาเข้าเรื่องของการใช้ a,an กันเลยดีกว่า
1. มันสามารถนำหน้าคำนามที่นับได้เท่านั้นและจะต้องเป็นเอกพจน์
(ห้ามเป็นคำนามที่เติม -s เด็ดขาดดดด ถ้าไปเจอในข้อสอบเติม article แล้วมีคำนามที่เติม -s ต้องรู้ไว้เลยนะว่าจะต้องตัดช้อยส์ article -a) ตัวอย่างเช่น Elle will bring a small gift to Sophie’s party. แอลจะนำของขวัญเล็กๆน้อยๆมาที่งานเลี้ยงของโซฟี (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของขวัญชิ้นไหน แค่บอกว้างๆว่าจะเอาของขวัญมานะ)
2 เอาไว้นำหน้าคำนามที่เรากล่าวถึงมันเป็นครั้งแรก
ตัวอย่างเช่น
- I like reading a book.
ฉันชอบอ่านหนังสือนะ (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นหนังสือเล่มไหน แค่บอกว่าชอบอ่านนะ)
3. เอาไว้นำหน้าหน่วยการวัดหรือหน่วยบอกเวลา
ตัวอย่างเช่น
- wait a minute
รอแป๊บนึงนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ทำแบบนี้ก็ได้เนอะ X ปรับลดความเร็วลิงก์ในเว็บไซต์บน Platform ตู่แข่ง
ปกติ Social Network เป็นแหล่งที่คนสามารถแชร์เนื้อหาอะไรได้เยอะมากมายรวมถึงลิงก์เว็บไซต์ หรือ Social Network อื่นๆ ก็ตามแต่ล่าสุดมีการจับได้ว่า X แอบมีการปรับอะไรสักอย่างขึ้นมา
โดยการรายงานของ Hacker News ได้เผยว่าเมื่อมีการใส่ลิงก์บางเว็บไซต์เช่นเว็บข่าว NYTimes.com จาก Threads ไปแชร์ใน Twitter หรือ X ในปัจจุบัน พบว่าเว็บไซต์โหลดช้าไป 5 วินาที ต่อมาได้มีการนำเว็บไซต์ The Washington Post มาลงลักษณะเดียวก็พบว่าช้า ซึ่งหลายเว็บก็เป็นปัญหานี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านตัวแทนของ The New York Times ได้ออกมายอมรับว่ามีปัญหาดังกล่าวและได้ติดต่อ X เพื่อแก้ไขแต่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด คงต้องรอดูกันต่อไปว่าปัญหานี้จะจบอย่างไร
ย้อนกลับไปเล็กน้อยจริงๆ สำนักข่าวดังกล่าว ก็มีประเด็นดกับ Elon Musk ในเรื่องไม่ตัดสินใจจ่ายเงินบริการ Premium อย่าง X Premium ทำให้ Elon Musk ออกมาโจมตีและเหน็บๆ ว่าก็เว็บข่าวของคุณยังต้องสมัครสมาชิกเลย ทำไมคุณจะไม่สมัครของเรา อะไรทำนองนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“น้ำเซเลอรี่” กับประโยชน์-โทษที่ควรทราบก่อนดื่ม
“น้ำเซเลอรี่” หรือน้ำขึ้นฉ่ายคั้นสดกำลังเป็นที่นิยมของสายเฮลธ์ตี้ทั้งหลายในขณะนี้ โดยได้รับการแนะนำต่อๆ กันมา รวมถึงโฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ให้พลังงานต่ำ และสารอาหารสูง จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนัก แต่ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มาก ก็ยังมีโทษที่ควรทราบก่อนซื้อมาดื่มกันด้วย
ประโยชน์ของน้ำเซเลอรี่
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าจากกระแสการดื่มน้ำเซเลอรี่ หรือ น้ำขึ้นฉ่ายฝรั่งที่กำลังได้รับความนิยมจากคนรักสุขภาพ เพราะมีประโยชน์ดังนี้
- ขึ้นฉ่าย เป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ แต่มีสารอาหารสูง จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- ขึ้นฉ่ายมีปริมาณโพแทสเซียมสูง ที่มีฤทธิ์อ่อนในการขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำ
- ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะหัวใจ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวขาดเลือดได้
- ช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่สมดุลโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
- หากเลือกกินขึ้นฉ่ายแบบสดๆ จะทำให้ได้รับวิตามินซีสูงที่ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานแบคทีเรีย และไวรัสที่จะทำให้เกิดโรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคเลือดออกตามไรฟัน
อันตรายจากน้ำเซเลอรี่
เนื่องจากขึ้นฉ่ายมีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตจึงควรกินอย่างระมัดระวัง เพราะหากกินในปริมาณมากอาจทำให้ได้รับปริมาณโพแทสเซียมจากเซเลอรี่ที่มากเกินไป
คำแนะนำในการดื่มน้ำเซเลอรี่
- สามารถดื่มน้ำเซเลอรี่ได้ แต่ไม่ควรดื่มบ่อยในปริมาณที่มากเกินไป
- ควรปั่นน้ำเซเลอรี่ผสมกับผัก และผลไม้อื่นเพื่อให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่เหมาะสม เพราะการกินอาหารซ้ำๆ จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากอาหารเพียงชนิดเดียว จึงควรสลับหมุนเวียนเมนูกับอาหารชนิดอื่นด้วย
- นอกจากการนำมาปั่นแล้วสามารถนำมาปรุงประกอบอาหารต่างๆ ได้ด้วย เช่น หั่นเป็นแว่นใส่สลัดหรือต้มเป็นซุป ก็จะทำให้กินได้ง่ายขึ้น
- ก่อนนำเซเลอรี่มาปั่นหรือปรุงประกอบอาหารควรล้างด้วยน้ำไหล โดยแช่ในน้ำนาน 15 นาที จากนั้นเปิดน้ำไหลผ่านและคลี่ใบผักถูไปมานาน 2 นาทีให้สะอาด สามารถลดสารเคมีตกค้างในผักได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/08/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,700.00 | 31,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,053.00 | 31,123.48 | 32,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,847.70 | 28,011.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,642.40 | 24,898.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 924.00 | 14,007.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 719.00 | 10,900.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,127.00 | 32,245.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/08/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.55 | 39.55 | 40.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.28 | 39.28 | 40.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.24 | 37.24 | 38.24 | 37.24 | 37.24 | – | 37.24 | 37.24 | 37.24 | 37.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.69 | 37.69 | – | – | – | – | – | – | – | 37.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 48.54 | 48.94 | 48.94 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 47.34 | – | – | – | 48.51 | – | 47.84 | 47.49 | – | 47.34 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.74 | 43.14 | 47.94 | 43.54 | 43.54 | – | – | – | – | 41.74 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |