ลดดอกเบี้ย แรงส่งรัฐบาลโด๊ปอสังหา ผ่อนLTV อีกเด้งกระชากกำลังซื้อนักลงทุน
กูรู อสังหาฯฟันธง ลดดอกเบี้ย แรงส่ง รับกระตุ้นตลาดอสังหาฯ – รัฐบาลออกมาตรการโด๊ปต่อ โค้งท้ายปี แม้ ลดไม่มากดีกว่าไม่ทำอะไร ห่วงเข้มสินเชื่อ แนะแบงก์ชาติ ผ่อนLTV อีกเด้ง ช่วยกระชากกำลังซื้อกลุ่มนักลงทุน
มติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 5 ต่อ 2 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันทีเพื่อลดภาระหนี้ประชาชน ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ของดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหา ริมทรัพย์
ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” เมื่อช่วงเดือนกันยายนว่า ปลายปีนี้หรือวันที่16ตุลาคม2567 จะได้เห็นกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 สตางค์ (0.25%) ตามธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโค้งสุดท้ายปีสร้างรายได้ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงิน
“โดยส่วนตัวมองว่า น่าจะเห็น 25 สตางค์ ภายในปลายปีนี้ เพราะเงินเฟ้อลดลง และคิดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ย เพราะเข้าโค้งสุดท้าย ช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี และ สถาบันการเงินลดต้นทุน หากลดดอกเบี้ยเพียงหนเดียวจะได้ เซนติเมนท์ คนมั่นใจอยากนำเงินออกมาซื้อถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเขาก็จะเก็บเงินต่อไป เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นกลับมาดีแล้ว”
ล่าสุดดร.วิชัยในฐานะ นักวิชาการอิสระ ระบุว่าปัจจัยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ที่ร้อยละ0.25% (วันที่ 16 ตุลาคม2567) เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งนํ้าท่วมใหญ่ ทางภาคเหนือ ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุน หากไม่ลดดอกเบี้ยย่อมมีผลต่อการขาดสภาพคล่องและเดินต่อได้ยาก รวมถึงกระแสการพร้อมใจกันของภาคเอกชนและการเมืองเรียกร้องให้ธปท.ลดดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามมองว่าการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะเป็นแรงส่งที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำแคมเปญ ต่อยอดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล จากการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
และมองว่ารัฐบาลจะฉวยจังหวะนี้ต่อยอดออกมาตรการต่างๆกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้อสังหาริมทรัพย์ ที่กำลังติดเครื่อง สามารถออกทะยานต่อได้
ขณะเดียวกันยังช่วยลดภาระผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ควักกระเป๋าจ่ายดอกเบี้ยลดลง แต่ทั้งนี้หากจะให้กำลังซื้อเติมเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ธปท.น่าจะออกมาตรการผ่อนปรน LTV ระยะสั้น ราว 6 เดือน นับจากนี้ เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้100% สำหรับบ้านหลังที่2 จะช่วยระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยได้มากระหว่างช่วงไตรมาส 4 ไปจนถึงต้นปีหน้าได้
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่าดอกเบี้ยคือหัวใจสำคัญ หากลดลงจะช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้มากโดยเฉพาะ การผ่อนบ้าน ขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการรวมถึงช่วยต่อยอดมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลอีกด้วย ขณะเดียวกันหากมีการผ่อนปรน LTV ชั่วคราวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น
สอดคล้องนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่ากรณีกนง.ลดดอกเบี้ยนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจภาพใหญ่ ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ลดภาระผู้ที่ต้องมีการออกหุ้นกู้ได้ ขณะเดียวกันอยากให้ธปท.ทบทวนนโยบาย LTV ด้วยการยกเลิกชั่วคราวเป็นปีต่อปีเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
“การลดดอกเบี้ยทุก 0.25% ทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้น 2% ส่วนผู้ประกอบการจะลดภาระได้ 3% และมีผลต่อราคาขายบ้านลดลง 0.7% นอกจากนี้ มีผลต่อการชำระคืนหนี้และเกิดการหมุนเวียนในซัพพลายเชนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และประคองตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ให้ติดลบน้อยลง โดยเมื่อดอกเบี้ยลดลงทำให้เงินบาทอ่อนค่า ทำให้ต่างชาติโอนมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าคนไทยมีกำลังซื้อเพิ่ม”
ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนว่าการลดลงของดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเรื่องที่ดี แต่มองว่าอาจมาช้าเกินไปเพราะที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯได้รับผลกระทบรอบด้านมานานจนบอบซํ้า
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยดีกว่าไม่ดำเนินการอะไรเลย ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้อานิสงส์มากที่สุดคือกลุ่มที่กำลังผ่อนบ้าน จะลดค่าใช้จ่ายลง 10% เช่นเดิม ผ่อนล้านละ 7,000 บาทจะลดเหลือ 6,300 บาทต่องวด
แต่ต้องดูด้วยว่า หากได้รับแคมเปญจากแบงก์ดอกเบี้ย ในอัตราตํ่าอยู่ก่อนแล้วและเป็นดอกเบี้ยคงที่ ก็อาจไม่ส่งผลให้แบงก์ลดดอกเบี้ยลงอีก ซึ่งขึ้นอยู่กับแบงก์พาณิชย์ ว่าจะประกาศลดดอกเบี้ยเมื่อใดเพราะดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงดอกเบี้ยแนะนำเท่านั้น และไม่ลดลงทันที หากจะลดอาจลดเพียง0.1%ก็เป็นได้ ขณะเดียวกันแบงก์ต้องการทำกำไรต่อเนื่อง
ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่จะติดปัญหาสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ โดยเฉพาะแบงก์พาณิชย์ แต่จะช่วยให้กลุ่มที่มีรายได้ตกเกณฑ์ ที่จะกู้ได้มากขึ้นเช่นจากเดิมกู้ได้3ล้านบาทเมื่อลดดอกเบี้ยที่ 0.25% จะกู้ได้ที่ 3.3ล้านบาทเป็นต้น
เช่นเดียวกับ นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ ระบุว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย ของกนง. 0.25% แม้ช่วยลดภาระเงินในกระเป๋าจากการผ่อนบ้านได้ไม่มาก แต่ดีกว่าไม่ทำอะไร ทั้งนี้จะช่วยลดดอกเบี้ยผ่อนบ้านลง 2,500 บาทสำหรับบ้านราคา1ล้านบาท (อัตราลดดอกเบี้ย 0.25% x 1 ล้านบาท = 2,500 บาท) แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าแบงก์พาณิชย์จะประกาศลดดอกเบี้ยลงมากน้อยแค่ไหนและเมื่อใด ซึ่งโดยปกติธปท.จะไม่ปรับลดลงในทันที
และปัญหาใหญ่คือความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่วนการนำมาตรการ LTV มาใช้ซึ่งเป็นข้อเสนอของภาคเอกชน มองว่าเป็นเรื่องดี แต่ เชื่อว่าเป็นเรื่องยากสำหรับธปท.
ขณะล่าสุดกระทรวงการคลังเตรียมออก มาตรการ ซื้อ-แต่ง-ซ่อม-สร้าง วงเงินรวม 55,000 ล้านบาท
ประกอบด้วย สินเชื่อซื้อ-สร้าง ดอกเบี้ยพิเศษ 5 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือคอนโดมีเนียม ปลูกสร้างบ้าน หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้ในการอยู่อาศัย วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท ด้านสินเชื่อซ่อม-แต่ง ดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นสินเชื่อเพิ่มเพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมบ้าน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย วงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กูรูชี้ BTS- BEM ลุ้นรับเม็ดเงินก้อนใหญ่ รัฐซื้อสัมปทานรถไฟฟ้ากลับ
“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” มองรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายรัฐเอาจริง แนะต้องชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าการลงทุนประชาชนได้ประโชยน์แค่ไหน พร้อมคาด BTS-BEM รับทรัพย์รัฐจ่ายเงินซื้อสัมปทานคืน
จากประเด็นนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของภาครัฐฯ นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ได้ให้มุมมองว่า ดูเหมือนว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาลค่อนข้างเอาจริงพอสมควร
จากนี้ก็ต้องรอดูว่า การจัดการแหล่งเงินทุนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะด้วยเม็ดเงินก้อนใหญ่มูลค่าหลักแสนล้านบาท ซึ่งสูงพอสมควร โดยล่าสุดภาครัฐฯ ได้ทำการศึกษาการดำเนินงาน โดยได้พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะรูปแบบการตั้งกองทุนซื้อคืนรถไฟฟ้า ที่เป็นการระดมทุนจากประชาชนทั่วไปให้เข้ามาลงทุน
รวมถึงส่วนแบ่งรายได้จาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, เงินจากองทุนอนุรักษ์พลังงาน และ งบประมาณประจำปี ตลอดจนเงินที่ได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในพื้นที่รถติดที่คาดว่าจะมีรถเข้ามาในพื้นที่สำคัญ เช่น ถนนสีลม, รัชดา และสุขุมวิท ที่รถติดกว่า 700,000 คันต่อวัน
ซึ่งคาดว่าจะจัดเก็บได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยที่กองทุนจะมีระยะเวลาลงทุน 30 ปี ขณะเดียวกันจะต้องขอความเห็นจากกฤษฎีกาในการออกกฎหมายเพื่อขอจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในพื้นที่ กทม. เพื่อนำเงินที่ได้มาซื้อสัมปทานรถไฟฟ้านำกลับมาเป็นของรัฐ และเพื่อทำให้ภาครัฐสามารถกำหนดราคาค่าโดยสารได้
แต่อย่างไรก็ดี มองว่าในตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนและยังอยู่ในกระบวนการศึกษา เบื้องต้นคาดว่ากว่าจะได้เห็นข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม อาจกินเวลาไปถึงไตรมาส 2-3 ปี 2568
ส่วนตัวมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือ เรื่องของการจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อมาสนับสนุนการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้านำกลับมาเป็นของรัฐ รัฐบาลอาจต้องไปชั่งน้ำหนักด้วยว่าการลงทุนดังกล่าวคุ้มค่าหรือไม่ ประชาชนจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับการนำเอาเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ นักลงทุนอาจมีความกังวลใจว่าเมื่อมีการดึงสัมปทานรถไฟฟ้านำกลับมาเป็นของรัฐ โมเมนตัมในเชิงของผู้ประกอบการ อย่าง บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผลออกมาอาจไม่ได้ดีนักหากจะเวนคืนรถไฟฟ้าจากเอกชนทั้งหมด เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสัมปทานอยู่นั้นเสียเปรียบ
แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้วมองว่า การดึงสัมปทานรถไฟฟ้านำกลับมาเป็นของรัฐ ถ้าทำจริงต้องเป็นการซื้อคืนจากผู้รับสัมปทานเดิม ดังนั้นแล้วทั้ง BTS และ BEM จะได้รับเงินก้อนมาจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นเงินสดหรืออะไรก็ตามแต่ อีกทั้งหลังจากคืนสัมปทานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายและการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าอีกแล้ว
ซึ่งก็คงต้องไปรอดูกันอีกว่า หลังจากที่ BTS และ BEM ได้รับเงินมาแล้วจะวางแผนนำไปบริหารจัดการต่ออย่างไร เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจ และชดเชยรายได้และกำไรในส่วนที่จะต้องสูญเสียไป ทำให้มองว่าหลังจากคืนสัมปทานแล้วจะเป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อหน้าหุ้นในระยะสั้นๆ ได้มากกว่า
“มองว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 ตลอดสายของรัฐ ค่อนข้างเอาจริงพอสมควร การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหาแหล่งเงินทุนจำนวนมหาศาล มูลค่าหลักแสนล้านบาท ภาครัฐอาจต้องชั่งน้ำหนักความสำคัญด้วยว่าประชาชนได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับการนำเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นๆ นักลงทุนอาจมองว่าจะเป็นเรื่องที่กดดัน BTS-BEM แต่ส่วนตัวมองว่า การดึงสัมปทานรถไฟฟ้ากลับ ต้องเป็นการซื้อคืน ฉะนั้น BTS-BEMจะได้รับเงินก้อนจำนวนมากบุ๊คเข้ามา ซึ่งจะดีกับหน้าหุ้นดังกล่าว”
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น BTS วันที่ 17 ต.ค.67 ณ เวลา 13.18 น. อยู่ที่ระดับ 4.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท เปลี่ยนแปลง 1.32% มีมูลค่าการซื้อขายที่ 278.62 ล้านบาท โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ที่ 59,781.08 ล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้น BEM อยู่ที่ระดับ 8.25 บาท โดยราคาหุ้น ณ ปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีมูลค่าการซื้อขายที่ 134.12 ล้านบาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 126,101.25 ล้านบาท และ P/E 33.59 เท่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้18ต.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.05-33.30 บาท/ดอลลาร์ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนของจีน รวมถึง รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้18ต.ค. 2567 ที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways 33.05-33.30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะถึงแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น
ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก ทว่า เงินบาทก็ยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากบรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมานั้น นักลงทุนต่างชาติได้ทยอยขายสินทรัพย์ไทยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจเป็นการขายทำกำไร
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง หรือ อย่างน้อยก็แกว่งตัว sideways นอกจากนี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้น ก็อาจช่วยหนุนให้เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อบรรดาสกุลเงินเอเชียได้
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา
ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.05-33.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 33.15-33.27 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ (ยอดค้าปลีกและยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน)
ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง รวมถึงการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) –25bps สู่ระดับ 3.25% ตามที่ตลาดคาด และแม้ ECB จะไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต พร้อมย้ำจุดยืน “Data Dependent”
ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB มีโอกาสราว 52% ที่จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยถึง -50bps ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ตามภาพเศรษฐกิจที่ชะลอลงต่อเนื่อง (โดยเฉพาะเศรษฐกิจเยอรมนีและฝรั่งเศส)
ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มชะลอลงเข้าสู่เป้าหมาย 2% ได้ นอกจากนี้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อ่อนค่าลงทะลุระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผสมผสานพอสมควร โดยบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor รีบาวด์ขึ้นบ้าง อาทิ Nvidia +0.9% หลัง TSMC รายงานผลประกอบการและคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาสดใส เช่น Blackstone +6.3% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดูจะถูกกดดันจากการย่อตัวลงบ้างของบรรดาหุ้นเทคฯ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.02%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.83% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาสดใส อาทิ Nordea +6.3%, Nestle +2.5%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังล่าสุด ECB ได้ลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) -25bps สู่ระดับ 3.25%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้โซน 4.10% อีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยกลับมาเก็งกำไร Trump Trades มากขึ้น ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดพนันที่เพิ่มโอกาสโดนัลด์ ทรัมป์อาจคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (จาก Polymarket โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสชนะสูงถึง 62%)
อนึ่ง เราคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตามแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางส่วนใหญ่และบอนด์ยีลด์ที่อยู่ในระดับสูงพอสมควร เมื่อเทียบกับอดีต
ทว่า เราขอเน้นย้ำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) หลังผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่ ECB อาจเร่งลดดอกเบี้ย –50bps ในการประชุมเดือนธันวาคม
ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อ่อนค่าลงทะลุโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงทยอยขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์บ้าง โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้โซน 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.4-103.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะถูกกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่าราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
รวมถึงความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ อีกทั้ง ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากบรรดาผู้เล่นสไตล์ momentum และ trend following หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุจุดสูงสุดก่อนหน้า หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์แถว 2,700-2,710 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนของจีน อาทิ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนกันยายน รวมถึง รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3
ซึ่งรายงานข้อมูลดังกล่าว จะช่วยให้ผู้เล่นในตลาดประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้ และหากข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาสดใส หรือ ดีกว่าคาด ก็อาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ส่วนเงินหยวน (CNY) ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเช่นกัน
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนกันยายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยเพิ่มความคาดหวังการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของ BOE (อาจลดดอกเบี้ยราว -40bps ในอีกสองการประชุมที่เหลือในปีนี้)
ส่วนทางฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เยาวชนไทยตบเท้าเข้ารอบหวดล่าแต้มศึกเอเชีย สัปดาห์ที่ 5
การแข่งขันเทนนิสเยาวชนเอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี เก็บคะแนนสะสมอันดับเอเชีย ระดับเกรด 2 สัปดาห์ที่ 5 รายการ LTAT Asian 14&Under C2 (5) 2024 หรือ “แอลทีเอที เอเชียน โฟร์ทีน แอนด์ อันเดอร์ 2024” ครั้งที่ 5 ที่ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เมื่อ 14 ต.ค. 2567 เป็นการแข่งขันรอบเมนดรอว์วันแรก
หลังจากเปิดฉากการแข่งขัน ปรากฎว่า มีนักเทนนิสเยาวชนไทยประเดิมชัยได้หลายคน ซึ่งในจำนวนนี้ รวมถึง พัชรญดา รังษี ซึ่งเข้ามาจากรอบคัดเลือก ได้ลงแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว เมนดรอว์ รอบแรก (32 คน) และต้องออกแรงหวดถึง 3 เซต หลังแพ้เซตแรก ก่อนพลิกกลับมาเอาชนะ คันซา อิสมาอิล ฮามีด นักเทนนิสจากมัลดีฟส์ 2-1 เซต 1-6, 6-4 และ 6-3 พัชรญดา ฉลุยรอบสอง หรือ 16 คนสุดท้าย ไปพบกับ พิมพ์พิศา วงษ์วานิชขจร มือวาง 3 ของรายการ ที่ชนะ ซารา ตินจานี ตินจานี จากอินโดนีเซีย 6-1, 6-1
ทางด้าน ธรรมะ โคศิริ นักเทนนิสไทย รองแชมป์ชายเดี่ยว “แอลทีเอที เอเชี่ยน โฟร์ทีน แอนด์ อันเดอร์ 2024” ครั้งที่ 4 ก็ประเดิมชัย ในประเภทชายเดี่ยว เมนดรอว์ รอบแรก (32 คน) หลังจากหวดเอาชนะ ปัณณพรรธน์ นิ่มนวลกุล จากไทยเช่นกัน ซึ่งเป็นมือวาง 6 ของรายการ 2-0 เซต 6-1, 6-0 ธรรมะ ผ่านเข้ารอบสอง หรือ 16 คนสุดท้าย ไปพบกับ ศิวกร ฉวยกระโทก ที่ชนะ โฮ ชุนปัก (ฮ่องกง) 6-0, 6-0
ส่วนผลการแข่งขันของนักเทนนิสเยาวชนไทยคู่อื่นๆ มีดังนี้ หญิงเดี่ยว รอบแรก พลอยเพชร ด้วงเขียว (วาง 1) ชนะ ฮันนาห์ เทย์ (สิงคโปร์) 6-0, 6-0, กัลยรัตน์ ศักดิ์ศรีทวี ชนะ นอราห์ แรดคลิฟฟ์ (สหราชอาณาจักร) 6-4, 6-3, ณชัญญา ธรรมมงคล ชนะ คลารา มา วิกตอเรีย โฮซากะ (ฟิลิปปินส์) 6-0, 6-0, เรมิ อิอูจิ ชนะ เฟธ ออดิเทอ ศรีดจาจา (วาง 5-อินโดนีเซีย) 6-1, 6-3, แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (วาง 2) ชนะ ฟรานซีน แมดเดอลีน ดู หว่อง (ฟิลิปปินส์) 6-0, 6-0, อัญวีณ์ ไพศาลภาณุวงศ์ (วาง 4) ชนะ ดาเนีย สินสวด (ฟิลิปปินส์) 6-0, 6-0
พัทธ์ธีรา ตันพิพัฒน์ (วาง 8) แพ้ ซาง เยว่หยิง (ฮ่องกง) 3-6, 1-4 Ret.(พัทธ์ธีราเจ็บขาซ้าย), รดา ฉายสว่างวงศ์ แพ้ บาตริสเซีย เอลวีนา ไซฟุล อามีร์ (วาง 7-มาเลเซีย) 2-6, 1-6, ณวรรญา ณภาสวรรณ แพ้ ลี อลิเซีย จือจิ่งฮัน (จีน) 3-6, 5-7, ธันยกานต์ ศักดิ์ศรีทวี แพ้ จิโฮะ ชิราอิ (วาง 6-ญี่ปุ่น) 0-6, 1-6, อิสริยา เตชาเศรษฐ์ แพ้ เอลิซา โอนาดี กาเบรียล คาฮากัลลา (ศรีลังกา) 0-6, 1-4 Ret. (อิสริยาปวดศีรษะ), ณธิดา คู่พงศกร แพ้ ไอชาธ คาริน ไซซาน 4-6, 2-6
ชายเดี่ยว รอบแรก ธรรม์ พันธราธร (วาง 1) ชนะ เอเลียส ธีโอดอร์ ซีร์โตลา (สิงคโปร์) 6-0, 6-0, ก้องภพ แซ่ลิ้ม ชนะ ลี่ เฉาหยวน (จีน) 0-6, 6-1 และ 6-3, ฟาโร โกวิทวัฒนชัย ชนะ แมทธิว เทย์ (วาง 3-สิงคโปร์) 6-2, 6-3, ฌาน เลาอมรพาณิชย์ (วาง 4) ชนะ อารอน เจเดน โคยิวโต (ฟิลิปปินส์) 6-0, 6-1, ลีโอ โกวิทวัฒนชัย ชนะ แอ็กเซล เฮเจ (นอร์เวย์) 7-5, 6-0, ณปราธ ละไล (วาง 8) ชนะ ธีรพัทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา 6-2, 6-2, พัชรพล หลีกุล ชนะ โซฮาอิบ อัฟซาล มาลิค (วาง 2-ปากีสถาน) 6-1, 6-0
ณธรรศ เลขะกุล แพ้ อเล็กซานเดอร์ จัสติน โคยิวโต (ฟิลิปปินส์) 0-6, 0-6, อภิวัฐ เครือวัลย์ แพ้ เนวาน กันนางระ (วาง 5-ศรีลังกา) 1-6, 0-6, กฤติธี ชาญนคร แพ้ อาเชอร์ ไรอัน สันธุ (สิงคโปร์) 1-6, 0-6 ธนันต์ภูมิ ภูอนันตานนท์ แพ้ โจนาธาน จันดรา เฉิน (ออสเตรเลีย) 5-7, 3-6, พัชรวุฒิ อานันทนะสุวงศ์ แพ้ โฮ วาน ยอง (ฮ่องกง) 1-6, 0-6
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
สำรวจ Mental Health โลกโซเชียล เปิดปัญหากระทบจิต พร้อมวิธีฮีลใจ
สำรวจ Mental Health โลกโซเชียล เปิดปัญหากระทบจิต พร้อมวิธีฮีลใจ
ในยุคปัจจุบันสังคมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างรวดเร็ว สุขภาพจิตได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของอารมณ์และความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมโดยรอบ การทำความเข้าใจถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและความสุขของทุกคนในสังคม
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตระบุว่า ในปี 2566 มีผู้ป่วยจิตเวชมารับบริการถึง 2.9 ล้านคนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพจิต สาเหตุหนึ่งมาจากการที่สังคมไทยเริ่มเปิดใจยอมรับและเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพสังคมปัจจุบันยังมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life balance) ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ รวมถึงความหลากหลายของช่วงวัย (Generation gap) ในที่ทำงานซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความเครียด
บทความนี้ใช้เครื่องมือ DXT360 ฟังเสียงผู้คนบนสังคมออนไลน์ (Social Listening) ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ผู้ให้บริการ Media Intelligence ในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดียระหว่าง 1 กันยายน – 4 ตุลาคม 2567 เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและประสบการณ์ด้านสุขภาพจิตของผู้คนในสังคม
การใช้โซเชียลมีเดียของคนไทยกับปัญหาสุขภาพจิต
จากการรวบรวมความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียพบว่าผู้คนส่วนใหญ่ 61% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่เพื่อการโพสต์ระบายความรู้สึกและแสดงตัวตน รองลงมา 22% เป็นการเล่า แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่น ซึ่งพบว่าผู้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า มักได้รับผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตด้วย
ถัดมาอีก 11% พบว่า เป็นการให้ข้อมูลและคำแนะนำ ซึ่งเป็นการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์และวิธีการดูแลรักษาสุขภาพจิตที่ดี และ 6% เป็นการให้กำลังใจ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต
ส่อง Insight เรื่องไหนกระทบใจชาวโซเชียลจนต้องระบาย
โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำหรับการระบายความรู้สึกและแชร์ประสบการณ์ เผยให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ปัจจัยภายนอก คือ สิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจโดยที่บุคคลไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง พบว่า
- ปัญหาจากการทำงาน 30% เนื่องด้วยการทำงานร่วมกับผู้คนที่มีความหลากหลาย และการขาดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน (Work life Balance) ซึ่งในขณะเดียวกันเราพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต โดยมีผู้ใช้โซเชียลจำนวนหนึ่งเลือกลาออกจากงานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตมากกว่าการทนอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญธีม “Mental health at Work” จาก World Health Organization (WHO) เนื่องในวันสุขภาพจิตโลกปี 2024 ที่รณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพจิตและการทำงาน เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และในทางกลับกันสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่ก็ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตเช่นกัน
- การรับรู้ข้อมูลมากเกินไป 18% การรับรู้ข่าวสารเรื่องของคนอื่นมากเกินไป (Over information) โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับไอดอล ศิลปิน รวมถึงข่าวสารเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ข่าวการเกิดภัยพิบัติ หรือข่าวอุบัติเหตุ
- การเรียน/การศึกษา 14% พบว่าผู้ที่อยู่ในวัยเรียนส่วนมากต่างละเลยสุขภาพในช่วงการสอบเพื่อผลคะแนนที่ดี
- ปัญหาขัดแย้งในครอบครัว 11% ปัจจัยด้านครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นต่างกันตามช่วงวัย (Generation Gap)
- ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 10% ชาวโซเชียลจำนวนหนึ่งระบุว่า ความเกรงใจและการละเลยความรู้สึก นำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์เชิงลบ เช่น คู่รัก หรือเพื่อน เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้ง และความ Toxic สะสม
- ปัญหาการดำเนินชีวิต 9% โดยเฉพาะเรื่องการจราจรติดขัดและความไม่สะดวกในการสัญจรด้วยรถสาธารณะ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีประสบการณ์เชิงลบจากการเผชิญกับพนักงานขายแบบ Hard Sell เช่น การขายประกัน หรือการขายคอร์สเสริมความงาม ซึ่งสร้างความเครียดและความอึดอัดให้กับผู้บริโภคจนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่สะสมได้
- ปัญหาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ 7% เช่น ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น
- การตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 1% เช่น โดนมิจฉาชีพแอบอ้างจนก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน
ปัจจัยภายในที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ปัจจัยภายใน มาจากพื้นฐานสภาพจิตใจ ร่างกาย ความรู้สึกนึกคิดของตัวบุคคลเอง ส่งผลต่อสุขภาพจิตของบุคคล สรุปได้ ดังนี้
- ปัญหาด้านสุขภาพกาย 42% สภาพร่างกายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ
- การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-Esteem) 28% ความรู้สึกเกี่ยวกับตนเองมีผลต่อสุขภาพจิต
- ความคาดหวังในตนเอง 23% เช่น ความคาดหวังคะแนนการสอบ หรือต้องการความสมบูรณ์แบบในการทำงาน
- ประสบการณ์และภูมิหลัง 7% ภูมิหลังส่วนตัวและประสบการณ์ฝังใจในวัยเด็กส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพจิต
พบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ
จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดีย พบวิธีการฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ผู้คนบนโซเชียลนิยมใช้ ดังนี้
1. การดูแลสุขภาพร่างกายและใส่ใจกับสุขภาพจิต (43%) โดยมีทั้งการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ชอบ รวมถึงยังพบว่าผู้คนส่วนใหญ่เปิดใจรับการปรึกษากับจิตแพทย์และรับการรักษาโดยใช้ยา
2. การเลือกรับสื่อบันเทิง (22%) ทั้งการดูหนัง ซีรีส์ รวมไปถึงการอ่านนิยายวายที่เริ่มมีบทบาทเข้ามาช่วยให้ผู้อ่านมีความบันเทิง ฟื้นฟูสุขภาพจิตได้
3. การทำ Social Detox (14%) เพื่องดหรือลดปริมาณการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย
4. การระบายความรู้สึก (9%) การพูดคุย ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนใส่กระดาษ การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว
5. การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม (8%) เช่น การย้ายที่อยู่โดยออกมาอยู่คนเดียว การย้ายที่ทำงาน การเดินทาง การท่องเที่ยว เป็นต้น
6. Pet Therapy (4%) การใช้สัตว์เลี้ยงมาช่วยฮีลใจ หรือฟื้นฟูจิตใจ
จะเห็นได้ว่าในสังคมปัจจุบัน ผู้คนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง การเลือกปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตบำบัด และนักจิตวิทยา ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตของธุรกิจในด้านการดูแลสุขภาพจิต ทั้งโรงพยาบาล คลินิกจิตเวช และศูนย์เวลเนสต่าง ๆ นอกจากนี้ ความเข้าใจและการยอมรับเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น ยังช่วยลดอคติทางสังคม ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความปลอดภัยในการเข้าถึงการรักษา และการสนับสนุนทางจิตใจ การลงทุนในบริการเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในยุคที่ผู้คนมุ่งมั่นต่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น
ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 4 ตุลาคม 2567
เกี่ยวกับ DXT360
DXT360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสต์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์ จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เขียน email สมัคร งาน ภาษา อังกฤษ อย่างไรให้ได้งาน
หลายหน่วยงานต้องการคนที่เก่งภาษาอังกฤษ การ เขียน email สมัคร งาน ภาษา อังกฤษ สามารถสร้างความประทับใจให้นายจ้างได้ มาดูวิธีการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษแบบมืออาชีพให้ได้งานกัน
การ เขียน email สมัคร งาน ภาษา อังกฤษ อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการสร้างความประทับใจแรกและเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ต้องการ การวางโครงสร้างอีเมล การนำเสนอทักษะ และการติดตามผลอย่างมืออาชีพ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ว่าจ้างสนใจและพิจารณาในการเข้าสัมภาษณ์งาน ในบทความนี้จะแนะนำวิธีการเขียนอีเมลสมัครงานที่ดีและมีประสิทธิภาพ
การ เขียน email สมัคร งาน ภาษา อังกฤษ อย่างมืออาชีพ
การเขียนอีเมลสมัครงานเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้ว่าจ้าง อีเมลสมัครงานที่ดีสามารถเพิ่มโอกาสให้เราได้รับการพิจารณาสำหรับตำแหน่งงานที่เราต้องการได้ การเขียนอีเมลสมัครงานควรเน้นความชัดเจน กระชับ และแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ
- หัวข้ออีเมลที่ชัดเจนและดึงดูด (Subject Line)
หัวข้ออีเมลเป็นส่วนแรกที่ผู้ว่าจ้างจะเห็น ดังนั้นจึงควรเขียนให้กระชับและตรงประเด็น หัวข้อที่ดีควรระบุชัดเจนว่าสนใจสมัครตำแหน่งอะไร
- Application for [Job Title] – [Your Name]
- [Job Title] Application – [Your Name]
การเริ่มต้นอีเมลด้วยคำทักทายที่ถูกต้องและสุภาพเป็นสิ่งสำคัญ คำทักทายควรเป็นทางการ โดยใช้ “Dear [ชื่อผู้ว่าจ้าง]” หากไม่ทราบชื่อ ให้ใช้ “To whom it may concern” ซึ่งจะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและความเคารพต่อผู้รับ ตัวอย่างเช่น
- Dear Mr. Johnson, Dear Mrs. Linds
- To whom it may concern
ในย่อหน้าแรก ควรเขียนอย่างชัดเจนว่าเรากำลังต้องการสมัครงานตำแหน่งใด และพบประกาศงานจากแหล่งใด ตัวอย่างเช่น
- “I am writing to apply for the [Job Title] position at [Company Name] which was advertised on [Source].”
ในย่อหน้าถัดไป ควรอธิบายเกี่ยวกับทักษะและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร ระบุถึงความสำเร็จและประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น
- With over [X years] of experience in [related field], I have developed skills in [specific skills] that I believe will contribute positively to your team.
ในย่อหน้าสุดท้ายของอีเมล ควรแสดงความสนใจในการสัมภาษณ์และขอบคุณผู้ว่าจ้างที่ให้โอกาส ตัวอย่างเช่น
- I would be delighted to further discuss how my skills and experience align with your needs. Thank you for considering my application.
การลงท้ายอีเมลควรใช้คำที่เป็นทางการ ตัวอย่างเช่น
- Sincerely
- Best regards
การเขียนนำเสนอทักษะและประสบการณ์ให้โดดเด่น
การนำเสนอทักษะและประสบการณ์เป็นประเด็นที่สำคัญที่ผู้ว่าจ้างจะใช้ในการตัดสินใจว่าผู้สมัครเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นหรือไม่ ความสำเร็จของอีเมลสมัครงานขึ้นอยู่กับการที่เราสามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท
- การอธิบายทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง (Relevant Skills)
เราต้องทำความเข้าใจถึงลักษณะของตำแหน่งงานที่ได้สมัครและสิ่งที่บริษัทต้องการจากผู้สมัคร อธิบายทักษะที่สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่สมัครให้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งงานที่สมัครเป็น Digital Marketing Manager ควรเน้นทักษะ เช่น SEO, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโซเชียลมีเดีย ตัวอย่างเช่น
- With over five years of experience in digital marketing, I have developed strong skills in SEO, social media strategy, and content marketing.
การบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาควรเน้นไปที่ผลลัพธ์หรือความสำเร็จที่ได้ทำให้กับองค์กรเดิม จะช่วยให้ผู้ว่าจ้างเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น
- In my previous role as [Job Title] at [Company Name], I successfully led a project that increased sales by 20% in six months.
การใช้ข้อมูลเชิงตัวเลขหรือสถิติ เช่น เปอร์เซ็นต์หรือจำนวนที่วัดผลได้ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับทักษะและประสบการณ์ของผู้สมัคร ตัวอย่างเช่น
- I have increased website traffic by 50% over the last year through targeted content marketing strategies.
เมื่อนำเสนอทักษะและประสบการณ์แล้ว ควรเชื่อมโยงทักษะเหล่านั้นกับสิ่งที่บริษัทกำลังมองหา เช่น หากบริษัทต้องการคนที่มีทักษะในการแก้ปัญหา ควรเน้นทักษะในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่มี โดยอธิบายว่าเคยใช้ทักษะเหล่านั้นในการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร ตัวอย่างเช่น
- My ability to solve complex problems and think critically has allowed me to overcome challenges in managing cross-functional teams.
ถึงแม้ว่าเราอาจมีประสบการณ์และทักษะมากมาย ก็ควรเลือกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานและนำเสนออย่างกระชับ เน้นทักษะหลัก ๆ 2-3 ข้อ และเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่สำคัญที่สุด
เทคนิคการลงท้ายอีเมลและการติดตามผลให้น่าประทับใจ
การลงท้ายอีเมลสมัครงานอย่างมืออาชีพและการติดตามผลอย่างสุภาพเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างความประทับใจต่อผู้ว่าจ้าง หลังจากที่ได้นำเสนอทักษะและประสบการณ์ในเนื้อหาอีเมลแล้ว การปิดท้ายอย่างเหมาะสมจะแสดงถึงความตั้งใจ ความเคารพ และทำให้เราดูมีความมุ่งมั่นและจริงจังในการสมัครงาน
- แสดงความขอบคุณและความตั้งใจ (Express Gratitude and Enthusiasm)
การแสดงความขอบคุณเป็นขั้นตอนแรกของการลงท้ายอีเมลสมัครงาน แสดงถึงความสุภาพและการให้เกียรติ ตัวอย่างเช่น
- Thank you for considering my application. I am excited about the possibility of contributing to [Company Name].
เพื่อให้ผู้ว่าจ้างทราบว่าคุณพร้อมจะก้าวสู่ขั้นตอนถัดไปของการสมัครงาน การแสดงความตั้งใจในจุดนี้จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสมัครงาน ตัวอย่างเช่น
- I would welcome the opportunity to further discuss how my skills and experience align with the needs of your team. I am available at your convenience for an interview.
การลงท้ายอีเมลควรใช้ภาษาที่เป็นทางการ คำลงท้ายที่เหมาะสมมีหลายแบบ เช่น “Sincerely,” “Best regards,” และ “Yours faithfully,” และตามด้วยชื่อของผู้สมัครอีกครั้งและข้อมูลติดต่อ เช่น หมายเลขโทรศัพท์และอีเมล ตัวอย่างเช่น
Sincerely,
John Keanan
Phone: +123 456 7890
Email: john.keanan@email.com
- การติดตามผล (Follow-Up Email)
หากยังไม่ได้รับการตอบรับภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ สามารถส่งอีเมลติดตามผลได้ เพื่อแสดงถึงความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยการติดตามสถานะการสมัครงาน อีเมลติดตามผลควรมีความสุภาพและกระชับ และไม่ควรกดดันผู้ว่าจ้างมากเกินไป การทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ว่าจ้างเห็นว่าเราสนใจงานจริงจังอีกด้วย และหากยังไม่ได้รับการตอบรับหลังจากการติดตามผลครั้งแรก ควรหยุดเพียงแค่นั้น ไม่ควรส่งอีเมลติดตามหลายครั้งเกินไป ตัวอย่างเช่น
Subject: Follow-Up on [Job Title] Application
Dear [Hiring Manager’s Name],
I hope this message finds you well. I am writing to follow up on my recent application for the [Job Title] position at [Company Name]. I remain very enthusiastic about the opportunity to join your team and would appreciate any updates regarding the status of my application.
Thank you once again for considering my application. I look forward to hearing from you.
Sincerely,[Your Name]
ตัวอย่างอีเมลสมัครงานภาษาอังกฤษอย่างมืออาชีพ
ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงถึงโครงสร้างและวิธีการเขียนอีเมลสมัครงานที่ดี ซึ่งสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์
Subject: Application for Graphic Designer – [Your Name]
Dear Ms. Smith,
I am excited to submit my application for the Graphic Designer position at ABC Creative Solutions. With a strong background in visual design and over five years of experience working on diverse projects, I believe I have the expertise required to contribute effectively to your team.
At my current position with Design House, I have created innovative visual content for both digital and print media, including brand identity, web design, and advertising materials. One of my most successful projects involved redesigning the branding for a major client, which increased their brand recognition by 30%.
I would love the opportunity to discuss how my skills can benefit your company and contribute to your creative team. Thank you for your time and consideration, and I look forward to hearing from you soon.
Best regards,[Your Name]
Phone: +123 456 7890
Email: yourname@email.com
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
การ์ทเนอร์ คาดปี 68 AI PCs แตะ114 ล้านเครื่อง โต 165.5%
การ์ทเนอร์คาดการณ์ ปี 68 ยอดการจัดส่ง AI PCs ทั่วโลกจะคิดเป็น 43% ของยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมด และ ภายในปี 69 จะเหลือเพียง Al Laptops เป็นตัวเลือกเดียวของ Laptop ที่จำหน่ายให้กับองค์กรขนาดใหญ่
นายรันจิต อัตวาล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2568 ปริมาณการจัดส่ง AI PCs ทั่วโลกจะอยู่ที่ 114 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 165.5% โดยในปีนี้ยอดการจัดส่ง AI PC จะสูงแตะ 43 ล้านยูนิต ในปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 99.8% จากปี 2566
“หัวข้อถกเถียงเรื่องสเปกพีซีว่ารุ่นใดจะมีฟังก์ชัน AI ได้เปลี่ยนไปสู่ความคาดหวังถึงความสามารถของหน่วยประมวลผล NPU AI ที่ผนวกรวมเข้ามาไว้ในเครื่องพีซีไปแล้ว และด้วยเหตุนี้ NPU จึงกลายเป็นฟีเจอร์มาตรฐานของผู้ขายพีซี”
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 ยอดการจัดส่ง AI PC จะคิดเป็นสัดส่วน 43% ของยอดจัดส่งพีซีทั้งหมด ที่เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2567 โดยคาดว่าความต้องการ AI Laptop จะสูงกว่า AI Desktop โดยมียอดจัดส่งคิดเป็น 51% ของจำนวน Laptop ทั้งหมดในปี 2568
อนาคตของ AI Laptops
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 AI Laptop จะเป็นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวขององค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 5% ในปี 2566
ขณะที่ตลาดพีซีเปลี่ยนจาก Non-AI PCs มาเป็น AI PCs ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปการครอบครองตลาดของสถาปัตยกรรม x-86 ก็จะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด AI Laptop ของกลุ่มผู้บริโภค เนื่องจาก AI Laptop ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM จะครองส่วนแบ่งมากขึ้นจาก Windows x86 AI และ Non-AI Laptop อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 AI Laptop ที่ใช้ Windows x86 จะเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจ
หลายธุรกิจต่างตระหนักถึงภูมิทัศน์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า AI และ GenAI จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในอนาคต “วันนี้ธุรกิจควรตั้งคำถามว่าจะซื้อ AI PC รุ่นใด แทนที่จะเป็นการถามว่าควรซื้อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าองค์กรไม่น่าจะยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับฟีเจอร์ AI แต่จะเลือกซื้อ AI PCs เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคตมากกว่า เนื่องจากเป็นหนทางเลือกเดียวที่จะมอบสภาพแวดล้อมการประมวลผลที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากขึ้นนั่นเอง”
การ์ทเนอร์ให้คำจำกัดความ AI PC เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีหน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ฝังอยู่และใช้เกณฑ์การจำแนกคอมพิวเตอร์ประเภทนี้กับการคาดการณ์ โดย AI PC ที่รวมถึงพีซีที่มีหน่วยประมวลผล NPU ติดตั้งมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows on Arm, macOS on Arm และ x86 บน Windows PCs
ล่าสุด บริษัท อินเทล คอร์ปอเรชัน จำกัด ประกาศเปิดตัวตระกูลโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200S series ใหม่ สำหรับ AI PC ตัวแรก ซึ่งจะขยายขีดความสามารถของ AI บนแพลตฟอร์มเดสก์ท็อป และนำเสนอตัวเลือก AI PC สำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูง นำโดยโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 9 processor 285K เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์เจเนอเรชั่นล่าสุด ประกอบด้วย 5 เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์ใหม่ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรม Performance-core (P-core) ล้ำสมัยสูงสุดถึง 8 คอร์ ซึ่งมีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยมีในเดสก์ท็อปพีซี รวมถึงสถาปัตยกรรม Efficient-core (E-core) สูงสุดถึง 16 คอร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงกว่าเจเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 14% ในเวิร์กโหลดแบบมัลติเธรด โปรเซสเซอร์ตระกูลใหม่นี้ถือเป็นโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปรุ่นแรกที่รองรับหน่วยประมวลผลข่ายประสาท (Neural Processing Unit: NPU) ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Xe GPU ภายใน และเทคโนโลยีด้านมีเดียล้ำสมัย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
4 เครื่องดื่มตัวช่วยลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่พึ่งยา
สำหรับบางคนเลือกดื่มน้ำผลไม้เพื่อลดน้ำหนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างแนะนำกันว่าการจัดการเรื่องน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือการทานอาหารที่มีความสมดุล ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แต่สำหรับบางคนพยายามลดน้ำหนักและต้องการเพิ่มน้ำผลไม้เข้าไปในมื้ออาหาร 4 น้ำผลไม้เหล่านี้อาจเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ
4 เครื่องดื่มตัวช่วยลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ
1.น้ำขิง
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำขิงอาจช่วยลดน้ำหนักได้ตามที่ Wan Na Chun นักโภชนาการจดทะเบียนและที่ปรึกษาด้านโภชนาการสำหรับ Health Insiders ซึ่งตั้งอยู่ในอินเดียแนโพลิส กล่าว Chun เน้นการทบทวนการศึกษาที่ตรวจสอบผลกระทบของการบริโภคขิงต่อการลดน้ำหนักและโปรไฟล์การเผาผลาญของผู้ที่มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วน การทบทวนพบว่าการรับประทานขิง 50 ถึง 1,000 มิลลิกรัมต่อวันช่วยลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ ลดอัตราส่วนเอวต่อสะโพก (การวัดความอ้วนหน้าท้อง) ลดน้ำตาลในเลือดและความดื้อต่ออินซูลิน และเพิ่มคอเลสเตอรอล HDL “ดี” อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าการศึกษาที่รวมอยู่ในบทวิจารณ์นั้นศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขิง ไม่ใช่ น้ำขิง
Orland Mata Cruz ผู้ปฏิบัติงานทางการพยาบาลครอบครัวและผู้ปฏิบัติงานทางการพยาบาลไตที่ได้รับการรับรองซึ่งเชี่ยวชาญด้านยาโรคอ้วนในฟลอริดา แนะนำให้รวมน้ำแครอทและน้ำขิงเพื่อเป็นทางเลือกที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีแคลอรี่ต่ำ “แครอทมีเบต้าแคโรทีนและใยอาหารสูง ในขณะที่ขิงได้รับการแสดงให้เห็นว่าเพิ่มการเผาผลาญและลดความรู้สึกหิว” Mata Cruz กล่าว การเผาผลาญหมายถึงกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่ของร่างกายซึ่งสร้างความร้อน
2.น้ำบีท
น้ำบีทเป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีหลักฐานสนับสนุนว่าอาจช่วยลดน้ำหนักได้” Danielle VenHuizen นักโภชนาการจดทะเบียนและเจ้าของ Food Sense Nutrition ในซีแอตเทิลกล่าว การทบทวนการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าการบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง เช่น ที่พบในน้ำบีท อาจช่วยให้ผู้ที่มีน้ำหนักเกินลดดัชนีมวลกาย (BMI) ได้ เธอกล่าว
สารต้านอนุมูลอิสระต่อต้านการอักเสบระบบที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนและอาจช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนักโดยส่งเสริมการสลายเซลล์ไขมันและในที่สุดก็ช่วยปรับปรุงการทำงานของเมตาบอลิซึม น้ำบีทอาจช่วยในการจัดการน้ำหนักโดยการปรับปรุงประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย VenHuizen ตั้งข้อสังเกต การศึกษาขนาดเล็กพบว่าผู้ที่มีโรคอ้วนที่ดื่มน้ำบีทที่มีไนเตรตสูงก่อนการออกกำลังกายสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้นและด้วยความเข้มข้นสูงขึ้น เธอกล่าวเพิ่มเติม
ไนเตรตอาจช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการออกกำลังกายโดยการปรับปรุงการดูดซึมออกซิเจน เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ และเพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ การศึกษา ยังชี้ให้เห็นว่าน้ำบีทอาจช่วยเพิ่มแบคทีเรีย “ดี” ในลำไส้ของเรา VenHuizen กล่าว ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ที่มีสุขภาพดีอาจมีบทบาทในการลดน้ำหนัก
“วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มน้ำบีทลงในอาหารของคุณคือการดื่มเพียงเล็กน้อยข้างๆ มื้ออาหารหรือผสมลงในสมูทตี้ที่คุณชื่นชอบ” VenHuizen แนะนำ แค่ 1/3 ถ้วยต่อวันก็อาจให้ประโยชน์ได้ แม้ว่าบางการศึกษาแนะนำให้ดื่มมากถึง 2 ถ้วยเพื่อสุขภาพโดยรวม เธอกล่าว
“อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ของคุณก่อนเสมอ ก่อนที่จะเพิ่มน้ำบีทลงในอาหารของคุณเป็นประจำ” VenHuizen แนะนำ “น้ำบีทมีปริมาณออกซาเลตสูง ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่มีนิ่วในไต
3.น้ำเชอร์รี่เปรี้ยว
น้ำเชอร์รี่เปรี้ยวอาจช่วยเผาผลาญโดยช่วยให้ผู้คนนอนหลับมากขึ้น Alyssa Pacheco นักโภชนาการจดทะเบียนที่ The PCOS Nutritionist Alyssa ในพื้นที่กรุงบอสตันกล่าว “น้ำเชอร์รี่เปรี้ยวมีเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นยานอนหลับ” เธอกล่าว “เมลาโทนินช่วยให้เราหลับและหลับได้นานขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนต่อสู้ด้วย” การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับมากขึ้นเชื่อมโยงกับการลดน้ำหนักที่มากขึ้น
Pacheco เน้นการศึกษาขนาดเล็กมากที่พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเชอร์รี่เปรี้ยวก่อนนอนเป็นเวลาเจ็ดวันมีระดับเมลาโทนินสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและนอนหลับได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคยาหลอก
แม้ว่ายังไม่ได้กำหนดปริมาณที่ได้ผล “คนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์เชิงบวกจากน้ำเชอร์รี่เปรี้ยว 8 ออนซ์ก่อนนอน” Pacheco กล่าว ซึ่งแนะนำให้จับคู่กับน้ำเชอร์รี่เปรี้ยวที่มีโปรตีนสูง เช่น คีรีชีส โยเกิร์ตกรีก หรือแคชวน้อยนิด เพื่อช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด “สิ่งสำคัญคือต้องเลือกน้ำเชอร์รี่เปรี้ยวที่ไม่หวานหรือไม่เติมน้ำตาลเพื่อประโยชน์ในการลดน้ำหนักด้วยแคลอรี่เพิ่มเติมจากน้ำตาล” เธอกล่าวเพิ่มเติม
4.น้ำผลไม้สีเขียว
“การต่อสู้กับการอักเสบเป็นกุญแจสำคัญในการลดน้ำหนัก” David Amron M.D. ศัลยแพทย์ที่ได้รับการรับรองและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไขมันในลอสแองเจลิสกล่าว “น้ำผลไม้สีเขียวสดที่สกัดจากผักใบเขียว เช่น เคล สปินาช และผักชีลาวมีสารอาหารสำคัญที่ดูดซึมได้ง่าย ช่วยเสริมสร้างการย่อยอาหารและลดการอักเสบ”
“การเลือกใช้ผักใบเขียวอย่างผักโขม บรอกโคลี และมิ้นต์ช่วยสนับสนุนสุขภาพลำไส้และภูมิคุ้มกันโดยให้วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม และแคลเซียม เพิ่มขึ้น” ตามที่ ดร. Amron กล่าว
Carmelita Lombera นักโภชนาการจดทะเบียนและที่ปรึกษาด้านโภชนาการสำหรับ Consumer Health Digest ในแคลิฟอร์เนีย แนะนำให้ทำน้ำผลไม้ที่เต็มไปด้วยโพลีฟีนอลที่มีศักยภาพโดยรวมผักและผลไม้สีเขียวและสีแดง “ผสมผักใบเขียว เช่น สปินาช เคล ไมโครกรีน และอารูโกล่ากับแครอท พริกหวาน หรือมะเขือเทศ” เธอกล่าว “เพิ่มขิงและผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาวและเกรปฟรุตเพื่อความหวาน”
ข้อสังเกตที่สำคัญ: เนื่องจากใยอาหารเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับการส่งเสริมแบคทีเรียในลำไส้ที่มีสุขภาพดี (ซึ่งช่วยลดการอักเสบ) การเลือกกินผลไม้และผักทั้งลูก แทนที่จะนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับการลดน้ำหนัก เมื่อผลิตผลถูกนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ ใยอาหารส่วนใหญ่จะถูกทิ้งไปกับกาก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,250.00 | 42,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,737.00 | 41,492.92 | 42,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,463.30 | 37,343.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,189.60 | 33,194.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,232.00 | 18,677.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 958.00 | 14,523.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,836.00 | 42,993.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 35.95 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.08 | 35.08 | 35.68 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.34 | 33.34 | 33.94 | 33.34 | 33.34 | – | 33.34 | 33.34 | 33.34 | 33.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.09 | 33.09 | – | – | – | – | – | – | – | 33.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.04 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.04 |
เบนซิน 95 | 43.64 | – | – | – | 49.81 | – | 44.14 | 43.79 | – | 43.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |