สาระน่ารู้ประจำวันที่ 2 มิถุนายน 2566

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง นั่งฟรี 3 มิ.ย.นี้ เปิดกี่โมง ปิดกี่โมง สถานีไหนเปิด

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เตรียมเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2566 เช็ครายละเอียด เปิดกี่โมง ปิดกี่โมง สถานทีไหนเปิดให้บริการ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกจะเปิดเพียงแค่ไม่กี่สถานีเท่านั้น

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) เตรียมเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2566 โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการ ซึ่งในช่วงแรกนั้น จะยังไม่เปิดให้บริการทั้งหมด แต่จะเปิดเป็นช่วงให้ประชาชนทดลองนั่งฟรีก่อน

สัปดาห์แรกเปิดแค่ 13 สถานี

ล่าสุด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งรายละเอียดว่า รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ในช่วงสัปดาห์แรกจะเปิดให้ทดลองก่อน 13 สถานี ระหว่างสถานีสำโรง ถึงสถานีหัวหมาก

จากนั้นจะทยอยเปิดให้ทดลองครบทั้ง 23 สถานี รวมระยะทาง 30.40 กม. ภายในสัปดาห์ที่ 2 ของการเปิดทดลอง โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เปิดกี่โมง ปิดกี่โมง

ระยะแรกของการทดลองจะให้บริการระหว่าง 6.00 – 21.00 น. จากนั้นจะทยอยขยายเวลาไปถึง 24.00 น.

 

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ต้องรับตั๋วไหม

สำหรับการให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการ ถือเป็นการทดสอบการเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) โดยจะมีออกตั๋วโดยสารที่เครื่องจำหน่ายอัตโนมัติจริง แต่ยังไม่ต้องชำระเงินจริง จากนั้นนำตั๋วโดยสารไปแตะผ่านประตูทางเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าต่อไป

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เก็บเงินเมื่อไหร่

สำหรับการให้บริการเชิงพาณิชย์ เริ่มเก็บค่าโดยสารสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองตามกำหนดการจะเริ่มตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป 

เบื้องต้นมีการคำนวณการคิดราคาล่าสุด จะอัตราค่าโดยสาร เริ่มต้นที่ 15 บาท สูงสุด 45 บาท (รอการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง)

เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 

เมื่อให้บริการเต็มรูปแบบแล้วจะเติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนยิ่งขึ้น เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าระบบโมโนเรล มีแนวเส้นทางผ่านย่านที่อยู่อาศัยและย่านธุรกิจสำคัญๆ

เริ่มต้นที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว วิ่งไปตามถนนลาดพร้าว จนถึงแยกบางกะปิ และเลี้ยวขวาไปตามถนนศรีนครินทร์ ผ่านแยกศรีนุช ศรีอุดม ศรีเอี่ยม จนถึงแยกศรีเทพา เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเทพารักษ์ ไปสิ้นสุดที่จุดตัดถนนสุขุมวิท ที่สถานีสำโรง

สถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทางทั้งสิ้น 30.4 กิโลเมตร รวม 23 สถานี ประกอบด้วย

  1. ลาดพร้าว
  2. ภาวนา
  3. โชคชัย 4
  4. ลาดพร้าว 71
  5. ลาดพร้าว 83
  6. มหาดไทย
  7. ลาดพร้าว 101
  8. บางกะปิ
  9. แยกลำสาลี
  10. ศรีกรีฑา
  11. หัวหมาก
  12. กลันตัน
  13. ศรีนุช
  14. ศรีนครินทร์ 38
  15. สวนหลวง ร.9
  16. ศรีอุดม
  17. ศรีเอี่ยม
  18. ศรีลาซาล
  19. ศรีแบริ่ง
  20. ศรีด่าน
  21. ศรีเทพา
  22. ทิพวัล
  23. สำโรง

ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.

สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เมื่อเปิดให้บริการแล้ว จะทำให้ทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีโครงข่ายรถไฟฟ้าเปิดให้บริการรวมแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง ระยะทางรวม 242.34 กม. จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการอยู่ 11 เส้นทาง ระยะทาง 211.94 กม. และจะทำให้ยังเหลือโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 โครงการ ระยะทางรวม 105.4 กม. ซึ่งแต่ละโครงการมีความคืบหน้าการก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนเม.ย. 66 ดังนี้

1. สายสีชมพู เส้นทางแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 30.50 กม. ความก้าวหน้าการก่อสร้างรวมร้อยละ 96.43  

2.สายสีชมพู ส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทาง 3 กม. ความคืบหน้าโครงการโดยรวมร้อยละ 20.41

3. สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี ระยะทาง 22.50 กม. งานโยธาคืบหน้าร้อยละ 99.85 

4.แอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 21.80 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรื้อย้ายสาธารณูปโภคและเวนคืนที่ดิน 

5.สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.60 กม. ความคืบหน้างานโยธาร้อยละ 10.41

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


10 สถาบันการเงินเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ SIRI คาด 1-2 และ 6 มิ.ย.นี้

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 6 เดือน และอายุ 4 ปี ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปผ่าน 10 สถาบันการเงิน กำหนดจองซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.00-4.55% ต่อปี อันดับความน่าเชื่อถือบริษัทและหุ้นกู้ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นระดับ Investment Grade

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)(SIRI)

 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้รุ่นก่อนหน้ามาโดยตลอด โดยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายครั้งนี้เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป สำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.00-4.10% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยระหว่าง 4.45-4.55% ต่อปี ผ่าน 10 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทยธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะประกาศให้ทราบในภายหลัง โดยหุ้นกู้และบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่ (Stable)” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 1-2 และ 6 มิถุนายน พ.ศ.2566 นี้ ด้วยเงินจองซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2566 แสนสิริมีรายได้รวมอยู่ที่ 8,505 ล้านบาท โตขึ้น 63% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากรายได้จากการขายโครงการที่โดดเด่นในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย นำด้วยรายได้จากการขายคอนโดมิเนียม ที่ในไตรมาสนี้เติบโตสูงสุดถึง 217% หรือโกยรายได้ 2,717 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรดักต์ โดยแชมป์รายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว ได้แก่ โครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ส่วนรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม เติบโตขึ้นถึง 104% โดยเฉพาะความสำเร็จในลักชัวรี เรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ “เดมี สาธุ 49” เป็นต้น นอกจากรายได้ที่โดดเด่นในทุกโปรดักต์แล้ว กำไรขั้นต้นจากการขายโครงการที่อยู่อาศัยยังคงสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับในไตรมาสนี้ แสนสิริมีการบันทึกกำไรจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา และการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2566 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยแสนสิริมีกำไรสุทธิ 1,582 ล้านบาท เติบโตโดดเด่นขึ้นถึง 423% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18.6% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิที่ร้อยละ 5.8 ของรายได้รวมในไตรมาสแรกของปี 2565

ขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2มิ.ย. ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทกลับมา “แข็งค่าขึ้น” หลังเงินดอลลาร์”อ่อนค่าลงชัดเจน” หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 2มิ.ย.2566 ที่ระดับ  34.58 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.78 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำและการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์

แม้ว่าเงินบาทมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง แต่จะเห็นได้ว่าการอ่อนค่านั้นไม่ได้รุนแรงมากตามที่เราได้ประเมินไว้ นอกจากนี้ โมเมนตัมเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้น หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงชัดเจน ส่วนราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 ซึ่งโซนดังกล่าวอาจมีผู้เล่นในตลาดรอทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ทองคำพอสมควร ทำให้เราคงมองว่า การอ่อนค่าของเงินบาท แม้จะพอมีอยู่บ้าง หากนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทย แต่ก็อาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระมัดระวัง ความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานสหรัฐฯ (เวลา 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งมีโอกาสที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมจะออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด หลังยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาก่อนหน้านั้น ก็ออกมาสูงกว่าคาดไปมาก

อย่างไรก็ดี เรามองว่า แม้ข้อมูลการจ้างงานจะออกมาดีกว่าคาด แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้มากนัก ยกเว้นว่า ยอดการจ้างงานจะออกมาสูงกว่าคาดมาก และอัตราการเติบโตของค่าจ้างก็เร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด (ซึ่งเรามองว่าโอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีไม่มาก)

แม้ว่าโมเมนตัมเงินบาทเริ่มกลับมาเป็นฝั่งแข็งค่าขึ้น แต่เรายังคงเห็นความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะฝั่งนำเข้า ส่วนนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงไม่รีบกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย ทำให้เรามองว่า โซนแนวรับของเงินบาทอาจยังคงอยู่ในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นกว่า +0.99% ท่ามกลางความหวังว่าร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้อาจผ่านการพิจารณาโดยสภาคองเกรสได้ โดยล่าสุด สภาผู้แทนฯ ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว และ

เหลือเพียงการพิจารณาโดยวุฒิสภา ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกเชนโดย ADP ที่มาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ระบุว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.78% ตามความหวังของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ อาจพิจารณผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนที่ชะลอตัวลงมากกว่าคาด ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกหลายครั้ง ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น (Adyen +1.5%, ASML +0.9%)

ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่พลิกกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมิถุนายน ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.60%

เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเป็นแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน หากเฟดไม่ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาแย่กว่าคาด

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ (จากเดิมที่เคยมองว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 1-2 ครั้ง) ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.5 จุด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideway เพื่อรอรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันนี้

ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าตลาดการเงินจะกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แต่มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทดสอบระดับโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,993 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลตลาดแรงงาน โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนพฤษภาคม อาจลดลงสู่ระดับ 1.8 แสนราย จากระดับกว่า 2.5 แสนราย ในเดือนก่อนหน้า

สะท้อนถึงการปรับแผนการจ้างงานของภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากทั้งอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนการผลิตสูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่โดยรวมการจ้างงานในภาคการบริการอาจยังคงดีอยู่ สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ (แม้ว่าจะเป็นการขยายตัวในอัตราชะลอลงก็ตาม)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจต่ออัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ซึ่งหากค่าจ้างยังคงขยายตัวราว +0.4%m/m หรือ ไม่น้อยกว่า 4.4%y/y ก็อาจยังเป็นปัจจัยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงช้า และหนุนให้เฟดอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ และอีกไฮไลท์สำคัญ คือ ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า วุฒิสภาสหรัฐฯ จะมีมติผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้หรือไม่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.60-34.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ต่อเนื่องสอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังข้อมูล ISM ภาคการผลิตที่อ่อนแอและท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟด กระตุ้นให้ตลาดทยอยปรับการคาดการณ์กลับมาให้น้ำหนักกับโอกาสที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมที่ 5.00-5.25% นอกจากนี้ แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ยังจำกัด เนื่องจากตลาดรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในคืนนี้ ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.50-34.75  บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ประเด็นทางการเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การพิจารณาร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ของวุฒิสภาสหรัฐฯ ตลอดจนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐฯ   

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ส่องอันดับตารางคะแนน ศึกวอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก หลังนักตบสาวไทย คว้าชัยนัดแรกสำเร็จ

หลังจากที่ทีมนักตบสาวไทย คว้าชัยนัดแรก ด้วยการไล่อัด แคนาดา 3 เซตรวด ในศึกวอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก นัดที่สอง เมื่อวานที่ผ่านมา

โดยเกมนี้ วิภาวี ศรีทอง หัวเสาทีมชาติไทยที่ถูกส่งลงมาทำหน้าที่แทน อัจฉราพร คงยศ ทำแต้มสูงสุดโดยทำไป 18 คะแนน ตามมาด้วย ชัชชุอร โมกศรี ที่ทำไปทั้งหมด 17 คะแนน

ทำให้ตอนนี้ในอันดับตารางคะแนนของการแข่งขัน ทีมชาติไทย กระโดดขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ของตารางการแข่งขัน โดยมีสถิติชนะ 1 แพ้ 1 นัด มี 4 แต้ม เท่ากับ บัลแกเรีย และ บราซิล  

ส่วนจ่าฝูงเป็น ตุรกี ชนะรวด 2 นัด เช่นเดียวกับ เยอรมนี และ โปแลนด์ ที่ต่างก็คว้าชัยได้ 2 นัด และมี 6 คะแนนเต็มด้วยกันทั้งสามทีม   

อันดับตารางคะแนนล่าสุด วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก (อัปเดตวันที่ 2 มิถุนายน เวลา 08.15 น.)

โปรแกรมนัดที่สามของทีมสาวไทย จะลงสนามพบกับ โปแลนด์ ในวันนี้ (2 มิถุนายน) เวลา 18.00 น. ช่อง 7 HD ถ่ายทอดสด

โดยสถิติการพบกันทั้งหมด ดวลกันมาแล้ว 13 ครั้ง โปแลนด์ ชนะ 10 ไทย ชนะ 3 ครั้ง 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด

ใครๆ ก็รู้ถึงอันตรายของโรคนี้ดี โดยเฉพาะคนอ้วนจะมีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อไรเราถึงจะเริ่มรู้ตัวว่าเราอาจกำลังเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด Sanook! Health มีวิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ มากฝากกันค่ะ

5 สัญญาณอันตราย ไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันได เดินขึ้นเนิน หรือออกกำลังกายเบาๆ ก็เหนื่อย

2. เวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม

3. ปวดศีรษะมาก เมื่อลุกขึ้นจากที่นอน หรือลุกนั่งเร็วๆ

4. ใจสั่น ใจเต้นเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็น

5. แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ

ลักษณะอาการโดยทั่วไปจะคล้ายๆ กับโรคหัวใจ ที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบ เพราะมีเลือดไหลเวียนในหัวใจไม่เพียงพอ เลือดจึงไม่สามารถสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ และทำให้เรามีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายนั่นเอง

ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด

1. น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน

2. ทานอาหารที่มีไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายเป็นจำนวนมากเกินไป และไม่ทานผัก

3. ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

4. อายุมาก และเพศชายมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง

5. ประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตีบ แตก หรือเบาหวาน ความดันไขมัน

6. สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

7. มีภาวะเครียดจากการทำงาน และเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยขยับร่างกายในแต่ละวัน

ปัจจัยไหนที่เราหลีกเลี่ยงได้ ขอให้ทำเป็นประจำนะคะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ควรลดไขมัน ทานผักให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ลดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส เท่านี้คุณก็ห่างไกลโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เข้าใจผิดมาตลอด! “ดอกยาง” ไม่ได้ช่วยให้รถเกาะถนนแต่อย่างใด

หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่า “ดอกยาง” มีไว้เพื่อให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอันที่จริงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอันที่จริงดอกยางมีไว้สำหรับ “รีดน้ำ” ต่างหากล่ะ!

     อันที่จริงแล้ว ยิ่งหน้ายางแนบสนิทไปกับพื้นถนนมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้รถเกาะถนนมากขึ้นเท่านั้น หากเทียบกันระหว่างยางที่มีความกว้างเท่ากัน ยางที่ไม่มีดอกยางจะสามารถยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางที่มีดอกยาง ส่งผลให้รถแข่งทางเรียบทั้งหลายมักเลือกใช้ยางไร้ดอก (Slick) ซึ่งมีพื้นผิวเรียบช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางรถบ้านทั่วไป และลดแรงต้านทานที่เกิดจากดอกยางได้อีกด้วย (แต่หากจู่ๆ เกิดฝนตกขึ้นมาระหว่างการแข่งขัน รับรองว่าไถลออกนอกสนามกันเป็นว่าเล่นอย่างแน่นอน ยิ่งใช้ความเร็วสูงมากเท่าไหร่ยิ่งไม่รอด)

     แต่รถบ้านทั่วไปที่ใช้บนถนนปกตินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีดอกยางเพื่อช่วย “รีดน้ำ” เมื่อขับผ่านแอ่งน้ำหรือระหว่างฝนตก ยิ่งดอกยางลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะมีประสิทธิภาพการรีดน้ำมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากดอกยางเริ่มสึกลงก็จะมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลงเช่นกัน

  กรณีขับรถผ่านแอ่งน้ำ ยางที่เสื่อมสภาพจนแทบไม่เหลือดอกยางนั้น จะไม่สามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ จนทำให้เกิดชั้นของน้ำแทรกกลางระหว่างหน้ายางและพื้นถนน (Hydroplaning) จึงสูญเสียประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนไป ส่งผลให้รถเสียหลักได้ในที่สุด ถึงแม้ว่ารถจะมีระบบควบคุมเสถียรภาพ (เช่น VSC, VSA, ESP, DSC,… หรืออื่นๆ ตามแต่ละผู้ผลิตรถยนต์จะเรียก) ก็แทบจะไร้ประโยชน์เนื่องจากหน้ายางไม่สัมผัสพื้นถนนไปแล้วนั่นเอง

     ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูฝน ก็ควรตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ว่ามีดอกยางเหลือมากกว่า 3 มม. ขึ้นไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั่นเองครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


9 ประโยชน์ดีๆ จาก “ถั่ววอลนัท” ลดน้ำหนัก-คอเลสเตอรอล

คอเลสเตอรอล เป็นสาเหตุหลักของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นาๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ไขมันอุดตันเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ และอื่นๆ อีกเพียบ ดังนั้นการควบคุมคอเลสเตอรอลในร่างกาย จึงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ นับสิบ

หากเราจะบอกว่า “ถั่ววอลนัท” ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ แล้วยังให้ประโยชน์ต่างๆ ต่อร่างกายอีกเพียบ ชาว Sanook! Health จะสนใจหรือเปล่า? ถ้าสนใจก็ตามมาอ่านกันต่อได้เลยค่ะ

10 ประโยชน์ดีๆ จาก “ถั่ววอลนัท”

1. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ถั่ววอลนัทเต็มไปด้วยโฟเลต วิตามินอี และไขมันชนิดดี ถึงแม้ถั่ววอลนัทจะให้พลังงานสูง แต่ไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 1 กำมือ

2. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ป้องกันเยื่อบุหลอดเลือดแดงอุดตัน

3. เป็นอาหารที่ให้พลังงาน ช่วยให้อิ่มท้อง แต่ไม่ทำให้อ้วน จึงเป็นอาหารสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ไม่อยากอ้วนลงพุง

4. มีไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายให้ดีขึ้น

5. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงสมอง หัวใจ และบำรุงผิวพรรณ

6. ป้องกันอาการความจำเสื่อม เพราะถั่ววอลนัทมีส่วนช่วยทำลายอนุมูลอิสระ และเคมีบางส่วน ต้นเหตุของโรคสมองเสื่อมได้

7. ลดความเครียด

8. ลดระดับความโลหิตที่สูง ให้กลับมาอยู่ในระดับที่สมดุลต่อร่างกาย

9. แก้อาการนอนไม่หลับ จากสารเมลาโทนินที่อยู่ในถั่ววอลนัทตามธรรมชาติ

แค่ถั่ววอลนัทวันละ 1 กำมือ ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายได้ขนาดนี้ เห็นทีวันนี้ต้องรีบวิ่งไปซื้อมาทานกันทั้งบ้านแล้วล่ะค่ะ เห็นด้วยไหม?

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 2/06/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,300.0032,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,092.0031,714.7232,900.00
ทองรูปพรรณ 90%1,882.8028,543.25n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,673.6025,371.78n/a
ทองรูปพรรณ 50%941.0014,265.56n/a
ทองรูปพรรณ 40%732.0011,097.12n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,168.0032,866.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 2/06/2566


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.6534.6535.1434.6534.6535.1534.6534.6534.6534.65
แก๊สโซฮอล์ 9134.3834.3834.8434.3834.3834.8834.3834.3834.3834.38
แก๊สโซฮอล์ E2032.3432.3432.7432.3432.3432.3432.3432.3432.34
แก๊สโซฮอล์ E8532.7932.7932.79
เบนซิน 9542.4443.0142.9442.5942.44
ดีเซล B731.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.4431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.0641.1642.9442.3642.3641.06
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า