สัญญาณอันตรายอสังหาฯทรุดลากยาวจี้ปลดล็อก‘แอลทีวี-เงื่อนไขขอสินเชื่อ’
- ก้าวเข้าสู่ไตรมาส 4 ไฮซีซันประจำปี แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทยังอยู่ในภาวะดิ่งเหว
- เผชิญมรสุมปัจจัยลบรอบด้าน ส่งผลให้ยอดขายและเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว “ร่วงยกแผง”
- ขณะที่ยอดเปิดตัวใหม่ นับว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากยอดขาย ยอดโอน ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยสูง ปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า จากข้อมูลล่าสุดของ ANANDA MI พบว่าไตรมาส 3 ปี 2567 ยอดขายเชิงจำนวนเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ติดลบ 30% เทียบปีต่อปี (YoY) ติดลบ 45%
หากแยกประเภทพบว่าคอนโดมิเนียมติดลบสูงสุด 60% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 26% บ้านเดี่ยว ติดลบ 26% หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียมติดลบ 42% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 15% บ้านเดี่ยว ติดลบ 17% ส่วนยอดขายเชิงมูลค่าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ติดลบ 28% เทียบปีต่อปี ติดลบ 39% หากแยกประเภท ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบสูงสุด 56% คอนโดมิเนียม ติดลบ 47% บ้านเดี่ยว ติดลบ23% แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียม ติดลบ 44% ทาวน์เฮ้าส์ ติดลบ 20% บ้านเดี่ยวติดลบ 16%
เปิดตัวใหม่ต่ำสุดในรอบ 10ปี
ขณะที่ตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาส 3 ปี2567 เชิงจำนวนภาพรวมเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เปิดตัวลดลง 48% เทียบปีต่อปี เปิดตัวลดลง 62% แยกประเภทคอนโดมิเนียม เปิดตัวลดลงถึง 79% บ้านเดี่ยว ลดลง 59% และทาวน์เฮ้าส์ เปิดตัวลดลง 50% แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส คอนโดมิเนียมเปิดตัวลดลงถึง 74% บ้านเดี่ยว ลดลง 31% ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 14%
ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงมูลค่าเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เปิดตัวลดลง 35% เทียบปีต่อปี ลดลง 47% แยกประเภทพบว่าคอนโดมิเนียม เปิดตัวลดลง 50% บ้านเดี่ยว ลดลง 32% แต่ทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 1% แต่หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส บ้านเดี่ยว เปิดตัวลดลง 60% ทาวน์เฮ้าส์ ลดลง 39% คอนโดมิเนียม เพิ่มขึ้น 1%
“เชื่อว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าภาพรวมปี 2567 ตลาดจะติดลบ 20% สูงสุดในรอบ 10 ปี แม้ว่าไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะมีคอนโดมิเนียมที่กำลังก่อสร้างทยอยสร้างเสร็จสูงถึง 86,052 ล้านบาท เทียบไตรมาสแรก สร้างเสร็จใหม่มูลค่า 35,686 ล้านบาท ไตรมาส 2 มูลค่า 20,778 ล้านบาท และไตรมาส 3 มูลค่า 33,235 ล้านบาท หากสามารถโอนคอนโดมิเนียม 86,000 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จได้จะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ครึ่งปีแรกฟื้นตัวหลังจากผ่านเพอร์เฟกต์สตรอม”
ชงธปท.ปลดล็อก LTV กระตุ้นแรงซื้อ
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จะช่วยลดภาระค่าผ่อนของคนซื้อบ้านได้ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ยังไม่พอที่จะกระตุ้นตลาด จึงอยากให้ผ่อนปรนมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV : Loan to Value) ที่บังคับให้มีเงินดาวน์ 20-30% ในการขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังที่ 2-3 อย่างน้อย 1 ปี เพื่อกระตุ้นระยะสั้นให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวได้
“ไตรมาส 4 น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้ทั้งเครื่องมือการเงินและการคลัง โดยรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องร่วมมือกันในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาฯ เพื่อให้เกิดการโอน จะทำให้ผู้ประกอบการมีเงินไปคืนเจ้าหนี้สถาบันการเงิน มิเช่นนั้นอาจเกิดโดมิโนเอฟเฟกต์เพราะผู้ประกอบการจะไม่มีเงินจ่ายเงินกู้ หรือมีเม็ดเงินลงทุนพัฒนาโครงการใหม่”
วอนธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขขอสินเชื่อ
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้มากโดยเฉพาะการผ่อนบ้าน ขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม ช่วงเศรษฐกิจดี การลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดีการขอสินเชื่อยาก ทั้งยังมีมาตรการควบคุมสินเชื่อ (LTV) จึงเป็นเรื่องยาก
ทั้งนี้ การกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว จากการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยทำให้การขอสินเชื่อจากธนาคารง่ายขึ้น รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการ LTV ชั่วคราวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้นเพื่อสามารถซื้อบ้านหลังที่ 2-3 สร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบ
“ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ กรณีเลวร้ายสุด (Worst Case) ติดลบ 10% ส่วนแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นฟื้นตัวเป็นปกติเหมือนเคย ถ้ารัฐบาลไม่สะดุดขาตัวเองปีหน้าน่าจะดีขึ้น เพราะปัจจุบันส่งออก การท่องเที่ยวดีขึ้นถือเป็นสัญญาณบวกไปถึงปี 2568”
นอกจากนี้ หากต้นปีหน้ามีการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง 0.25% ถือเป็นข่าวดี ที่น่าจะทำควบคู่ไปกับการผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมไปถึงการผ่อนปรนเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคาร
“หากมีการผ่อนปรนทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น รวมถึงช่วยต่อยอดมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ของรัฐบาล”
อย่างไรก็ดี ปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงต้องระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจ เช่น การพัฒนาโครงการใหม่ต้องเลือกทำให้ถูกที่ถูกเวลา ศึกษาข้อมูลให้ถูกต้องแม่นยำ พิจารณาทำเลนั้นๆ มีศักยภาพและดีมานด์จริง คิด วางแผน และปรึกษาธนาคารก่อนตัดสินใจซื้อที่ดิน หรือพัฒนาโครงการ
ดอกเบี้ยต่ำวงเงิน5.5หมื่นล้านช่วยได้
นายอิสระ บุญยังประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีสินเชื่อดีดีอยู่ 50,000 ล้านบาท ซึ่งไม่จำกัดราคาซื้อขาย สินเชื่อ 50,000 ล้านบาทนี้ จะออกมาแทนโฮมโลนเดิม คือราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมเป็น 100,000 ล้านบาท และมีสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ในเรื่องของการซ่อม ปรับปรุงที่อยู่อาศัย และยังมีสินเชื่อประกันสังคมอีก 10,000 ล้านบาท รวมทั้งหมดกว่า 100,000 ล้านบาท ถือว่ามีผลในการช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ได้ในช่วงปลายปีนี้
ปัจจัยสำคัญคือการที่รัฐบาลและธนาคารอาคารสงเคราะห์ขับเคลื่อนสินเชื่อออกมา ก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของธนาคารพาณิชย์อื่นๆที่จะเข้ามาแข่งขันในการให้สินเชื่อเช่นเดียวกัน แต่ภาพรวมสถาบันการเงินก็ยังคงเข้มงวดในการให้สินเชื่อซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่ยังต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสียตามมา จะกระทบต่อเศรษฐกิจยิ่งขึ้น
สำหรับ การลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในขณะนี้จะเป็นปัจจัยร่วมสนับสนุนผู้ขอสินเชื่อใหม่ และมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของผู้ประกอบการทุกธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นสัญญาณที่ดีของตลาด
ปี 2568 แม้ตลาดอสังหาฯยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบเดิมและปัจจัยลบใหม่ อาทิ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากสงครามตะวันออกกลางส่งผลต่อต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น ราคาที่ดินปรับสูงขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่คาดว่าตลาดอสังหาฯ ปีหน้าจะดีกว่าปีนี้
โฟกัสตลาดบนทำเลศักยภาพจับคนมีเงิน
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปี 2567 ยังไม่ฟื้นตัว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่มีสายป่านยาวหันไปพัฒนาโครงการจับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อแทนตลาดกลาง-ล่าง ที่มีปัญหาถูกปฎิเสธสินเชื่อสูง
“ตลาดอสังหาฯ ราคา 10-30 ล้านบาทขึ้นไป ยังไปได้แต่ไม่หวือหวาเหมือนก่อน ผู้ประกอบการต้องเลือกพัฒนาโครการในทำเลที่มีศักยภาพและมีดีมานด์ของลูกค้ากำลังซื้อสูง อย่าง พัทยา ชลบุรี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ ซึ่งหัวเมืองท่องเที่ยวหลักเหล่านี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยในพื้นที่ ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน และพำนักอาศัยในไทย (Expat)”
เอพีผุดแพลตฟอร์มรับซื้อ-ขายบ้านมือสอง
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ได้รุกขยายธุรกิจอสังหาฯ มือสอง “HOMERUN” โดยรับซื้อบ้านมือสอง และขายบ้านรีโนเวทใหม่ เพราะมองเห็นโอกาส ทั้งในมุมเจ้าของบ้านมือสองที่ไม่รู้ว่าจะสร้างมูลค่าให้กับบ้านเก่าได้อย่างไร และมุมผู้ซื้อ ที่มองหาบ้านในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน ด้วยงบประมาณจำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อบ้านมือหนึ่งมีราคาแพงขึ้นทุกปี
“ที่อยู่อาศัยมือสอง ตอบโจทย์ในเรื่องของทำเลและพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่ามือหนึ่ง เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เหมือนในญี่ปุ่น ที่พาร์ตเนอร์ มิตซูบิชิ เอสเตท มีการรีโนเวททั้งที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มียอดขายที่ดี”
ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินหายาก มีจำนวนจำกัด และราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น การปรับปรุงทรัพย์สินเดิมที่มีศักยภาพและมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในทำเลศักยภาพติดถนนใหญ่และใกล้รถไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ช่วยให้คนเมืองได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยทำเลศักยภาพ ถือเป็นช่องว่างธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต
เอสซีรุกน่านน้ำใหม่สร้างรายได้ประจำ
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในโลกยุควูก้า (VUCA World) มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งโควิด สงคราม ความผันผวน สร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ดังนั้นกลุ่มบริษัทเอสซี จึงมองยุทธศาสตร์การเติบโตโดยใช้ความหลากหลาย เพื่อรับมือความผันผวน มุ่งสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอจากธุรกิจที่มีแนวโน้มขาขึ้น มีอนาคตที่สดใส 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจออฟฟิศให้เช่า ในทำเลศักยภาพ พร้อมผสานเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนไปพร้อมกัน
“ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเติบโตของเอสซี แอสเสท มุ่งขยายทั้งเครื่องยนต์หลักธุรกิจอสังหาฯ 80% และเครื่องยนต์ใหม่ 20% ผ่านบริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจให้หลากหลาย เป็นการเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนที่เกิดขึ้นในโลก”
เสนาฯ รุกเช่าออมบ้าน
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตลาดอสังหาฯปีนี้ยากลำบาก เพราะขายได้แต่โอนไม่ได้ แม้คนซื้อยังพอมี แต่อัตราดอกเบี้ย และหนี้ครัวเรือนสูงทำให้กู้ไม่ผ่านเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นมาก จากวิจัยพบว่าจากฐานปี 2557 จนถึงปัจจุบันรายได้ประชากรเพิ่มขึ้น 12% แต่ราคาบ้านเพิ่มขึ้นถึง 67% ส่งผลให้การเข้าถึงที่อยู่อาศัยของคนไทยยากขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หันมาเช่าที่อยู่อาศัยเพราะการซื้ออสังหาฯ เป็นเรื่องยาก ประกอบกับภาพชัดเจนจากยอดปฎิเสธสินเชื่อสูง 70-80% เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างมาก
สำหรับ เสนาฯ ได้โครงการ RENT TO OWN หรือ เช่าออมบ้าน ให้ผู้ที่อยากได้ที่อยู่อาศัยมาเช่าแล้วค่อยซื้อหรือที่เรียกว่า “เช่าออมบ้าน” นำเงินค่าเช่ามาหักเงินต้นอยู่กับเสนาฯ 3 ปี เงินต้นถูกหัก 10% ทำให้ราคาบ้านถูกลง และกลายเป็นสินทรัพย์ ซึ่งได้ผลตอบรับดี ปัจจุบันมีจำนวน 600 ยูนิต จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,000 ยูนิต นับตั้งแต่เปิดตัวเดือน เม.ย. เริ่มจากโครงการคอนโดมิเนียม และขยับมาทำโครงการบ้านในเดือน ต.ค.นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ศุภาลัย ไอคอน สาทรผนึกIWG ผุดFlexible Workspaceตอบโจทย์มนุษย์ไฮบริด
บุศรินทร์ รุ่งรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขายอาคารสูง ได้ลงนามสัญญาแฟรนไชส์บริหารพื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมียม โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร ร่วมกับ บริษัท International Workplace Group (IWG) เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบ Flexible Workspace ทั้งพื้นที่สำนักงาน โคเวิร์กกิ้งสเปซ และห้องประชุม ที่ตอบโจทย์การทำงานในรูปแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการเช่าสำนักงานระยะสั้นหรือระยะยาว
สำหรับโครงการ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” เป็นโครงการแบบ Luxury Mixed – Use สร้างสรรค์อาคารสำนักงานเกรด A และพื้นที่ร้านค้า จำนวน 1 อาคาร ความสูง 14 ชั้น พื้นที่ประมาณ 24,063 ตารางเมตร นำเสนอประสบการณ์ที่เหนือระดับ ด้วยพื้นที่สำนักงาน ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการสำนักงานที่กว้างขวางและหรูหรา
โดยมีการจัดวางผังสำนักงานให้ยืดหยุ่น เพื่อรองรับความต้องการในการประกอบธุรกิจทุกรูปแบบ และมีพื้นที่ร้านค้าเชิงพาณิชย์ สำหรับธุรกิจร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ คอฟฟี่ช็อป ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ บนทำเลศักยภาพถนนสาทร สะดวกสบายทุกการเดินทาง อาทิ รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี รถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง รถโดยสารด่วนพิเศษ BRT สถานีสาทร และสามารถเชื่อมต่อด่านขึ้นลงทางด่วนพระราม 4 ด่านขึ้นลงทางด่วนสาทร
สำหรับผู้ที่สนใจกำลังมองหาสำนักงานออฟฟิศหรือพื้นที่เชิงพาณิชย์ บนทำเลใจกลางย่านสาทร ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเมือง และการทำงานแบบไฮบริดเน้นความยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ตามความต้องการ และคำนึงถึงสวัสดิภาพของพนักงานเป็นหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานและช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถปรับใช้ได้กับองค์กรทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่
ทั้งนี้เนื่องจากธุรกิจทั่วโลกต่างตระหนักว่าพื้นที่สำนักงานที่มีความยืดหยุ่นมีข้อได้เปรียบสูง ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยดึงดูดหรือรักษาพนักงานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค. “แข็งค่า”ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21ต.ค. “แข็งค่า”ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจถูกกดดันจากแรงขายหุ้นไทย หลังดัชนี SET มีความเสี่ยงที่อาจปรับฐาน ส่วนเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้21ต.ค.2567 ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์
“แข็งค่าขึ้น”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.16 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.08-33.19 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ซึ่งยังคงได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของทั้ง การเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ส่วนเงินดอลลาร์ก็เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร หลังปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ยังถูกกดดันจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่ลดลง รวมถึงการทยอยเพิ่มสถานะ Long JPY ของผู้เล่นในตลาด ที่รอจังหวะ Buy on Dip (รอเงินเยนญี่ปุ่นมีจังหวะอ่อนค่าบ้าง)
ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ก็ถูกชะลอลงบ้าง แถวโซนแนวรับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
ซึ่งเราประเมินว่า ส่วนหนึ่งก็อาจเกี่ยวกับโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบได้ หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนกลับมาใกล้ระดับช่วงสิ้นเดือนกันยายน (Brent อยู่แถวโซน 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วน WTI อยู่แถวโซน 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)
สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น แต่เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่
สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรรอติดตาม รายงานดัชนี PMI ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมรอลุ้น ผลการเลือกตั้งญี่ปุ่น และ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) เดือนตุลาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดการเงินในช่วงนี้ได้
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของอังกฤษและยูโรโซน รวมถึงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สำรวจโดย ECB (Inflation Expectations) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE มีโอกาสราว 88% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ -50bps ใน 2 การประชุมที่เหลือในปีนี้ ส่วน ECB มีโอกาส 45% ที่จะเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในเดือนธันวาคม
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของญี่ปุ่น และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคงคาดการณ์ว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ในปีหน้า
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการเลือกตั้งสภาผู้แทน (Lower House Election) ของญี่ปุ่น ในวันอาทิตย์ 27 ตุลาคม นี้ โดยจากสถิติในอดีต เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มักจะไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างชัดเจน หลังรับรู้ผลการเลือกตั้ง (เนื่องจากส่วนใหญ่ พรรค LDP มักจะครองเสียงข้างมากในสภาได้) ยกเว้น การเลือกตั้งนั้นมีแนวโน้มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการเงิน อาทิ ในปี 2009 พรรค DPJ สามารถชนะพรรค LDP ได้ หนุนให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นราว 4% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ส่วนปี 2012 พรรค LDP ภายใต้อดีตนายกฯ Shinzo Abe ชนะการเลือกตั้ง นำไปสู่นโยบายเศรษฐกิจ Abenomics ทำให้เงินเยนญี่ปุ่น อ่อนค่าลง กว่า 6% หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน
ซึ่งการเลือกตั้งสภาผู้แทนที่จะถึงนี้นั้น พรรค LDP ก็อาจยังสามารถครองเสียงข้างมากในสภา ร่วมกับพรรคพันธมิตร Komeito ตามเดิม ซึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หาก พรรค LDP สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จเพียงพรรคเดียว หรือพรรคฝ่ายค้าน CDP พลิกกลับมาชนะการเลือกตั้ง ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก
ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี จะมีการปรับลดลงหรือไม่ หลังในช่วงก่อนหน้าธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ทยอยลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลกำไรภาคอุตสาหกรรม (Industrial Profits) ของจีน ในเดือนกันยายน ว่าจะเริ่มมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้หรือไม่
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) และดุลการค้า (Trade Balance) เดือนกันยายน ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง +3.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้าก็อาจขยายตัวราว +5.5%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าอาจเกินดุลเกือบ +2 พันล้านดอลลาร์ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว
ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแรงขายสินทรัพย์ไทยดังกล่าวก็มีส่วนชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ที่ได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำพอสมควร หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำยังปรับตัวสูงขึ้นต่อ แต่เราคงมั่นใจแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท หากเงินบาทไม่ได้แข็งค่าทะลุโซน 33 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งต้องรอจับตา ทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำกับน้ำมันดิบ)
นอกเหนือจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินบาทอาจถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนแรงขายหุ้นไทย หลังดัชนี SET มีความเสี่ยงที่อาจปรับฐาน (Correction) ได้ในระยะสั้น
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility โดยแนวโน้มเงินดอลลาร์จะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนจากการเตรียมรับมือความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผู้เล่นในตลาดได้ทยอยเพิ่มโอกาส โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.85-33.45 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.25 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปลูกปัญญาทะลุชิงดำเกาะกูดคาบาน่าศึกวอลเลย์บอลอะคาเดมี่ลีก
หนุ่มนครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ ตบชนะ อาร์เอสยู วีซี 3-2 เซต ทะลุชิงไปดวล กูดคาบาน่า เอโฟร์เอส ที่เอาชนะ สโมสรพิษณุโลก วีซี 3-1 เซต
การแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล อะคาเดมี่ ลีก ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 14-21 ตุลาคม 2567 ณ ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 20 ต.ค.67 เป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ
ทีมชาย สโมสรวิทยาลัยนครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ ลงสนามพบกับ สโมสรอาร์เอสยู วีซี คู่นี้ต้องเล่นกันถึง 5 เซต ก่อนที่ ปลูกปัญญาจะเฉือนไป 3-2 เซต (23-25,25-17,16-25,25-17,15-11) ทะยานเข้าไปชิงชนะเลิศกับ สโมสรเกาะกูดคาบาน่า เอโฟร์เอส ที่เอาชนะ สโมสรพิษณุโลก วีซี 3-1 เซต (25-27,27-25,25-19, 25-17)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
เรอบ่อย หลังกินอาหาร แค่ “อาหารไม่ย่อย” หรือ “กรดไหลย้อน”
เรอบ่อย หลังกินอาหาร เป็นอาการที่ทำให้หลายคนกังวลใจว่าจะเป็นเพราะอาหารไม่ย่อย กรดเกินในกระเพาะ หรือเป็นเพราะโรคกรดไหลย้อนกันแน่
อาการเรอบ่อย เป็นสัญญาณของโรคอะไรได้บ้าง
เรอบ่อย หลังกินอาหาร อาจเกิดจากการกินอาหารเร็วเกินไป กินเยอะเกินไปจนอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้เรอบ่อย หลังกินอาหาร เสร็จอาจเป็นสัญญาณของโรค เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอย่างโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรืออาจเสียงเป็นมะเร็งในช่องท้องอย่างมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งลำไส้ เมื่อมีอาการเรอบ่อยๆ สิ่งที่ทุกคนจะคิดถึงเป็นอย่างแรกคืออาการอาหารไม่ย่อย แต่อาการอาหารไม่ย่อยก็คล้ายกับอาการของกรดไหลย้อน เรามีวิธีสังเกตความแตกต่างดังนี้
แค่อาหารไม่ย่อยหรือกรดไหลย้อน
อาการของอาหารไม่ย่อย มีดังต่อไปนี้
- มีอาการท้องอืด
- รู้สึกแน่นท้อง
- มีลมในท้อง
- เรอบ่อย
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน
- ปวดท้องส่วนบน
แต่ถ้าเรอบ่อย คลื่นไส้ อยากอาเจียน แถมยังมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย อาจหมายถึง กรดไหลย้อน
- แสบร้อนทรวงอก จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่
- เรอเปรี้ยว เนื่องจากกรดในกระเพราะอาหารมีรสเปรี้ยว หรือหายใจมีกลิ่น
- เสียงแหบ ไอเรื้อรัง หรืออาการหอบหืด เพราะกรดไหลย้อนไประคายคอหอย กล่องเสียง หรือหลอดลม
- เจ็บหน้าอก หายใจไม่สะดวก
วิธีแก้อาการเรอบ่อย ที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารไม่ย่อยมักจะมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน คือกินเยอะเกินไป กินเร็วเกินไป กินอาหารที่มีไขมันสูง กินอาหารไม่ตรงเวลา หรือดื่มน้ำอัดลม ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หากปรับพฤติกรรมการกินได้ก็จะช่วยทำให้อาการเรอบ่อยดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพียงอย่างเดียว เพียงแค่กินให้ช้าลง กินในปริมาณที่เหมาะสม และกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ก็จะช่วยทำให้อาการเรอบ่อย เนื่องจากอาหารไม่ย่อยดีขึ้นแล้ว
- การใช้ยารักษา ยาที่ใช้รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ก็เช่นยาลดกรด หรือถ้าเป็นยาปฏิชีวนะก็เช่น อะม็อกซีซิลิน (Amoxicillin) และเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เป็นยาที่ช่วยในการย่อยอาหาร ข้อควรระวังคือ ไม่ควรซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
วิธีแก้อาการเรอบ่อย ที่เกิดจากกรดไหลย้อน
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารที่เรากินในแต่ละวันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ดังนั้นวิธีการแก้อาหารเรอบ่อยเนื่องจากกรดไหลย้อน สามารถทำได้โดยปรับนิสัยการกิน คือบอกลา อาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่หวานจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด นอกจากพฤติกรรมการกินแล้ว ยังมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ที่ถ้าเลิกสูบได้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกรดไหลย้อน และลดอาการเรอบ่อยด้วย
- การใช้ยารักษา หากปรับพฤติกรรมการกินแล้วแต่อาการเรอบ่อยยังไม่ดีขึ้น ก็อาจใช้ยาเช่น ยาลดกรดในกลุ่มยายับยั้งฮิสตามีนชนิดที่ 2 (H2 Blockers) เช่น ไซเมทิดีน (Cimetidine) ยารักษาโรคกระเพาะอาหารฟาโมทิดีน (famotidine) และยาในกลุ่มยับยั้งโปรตอน ปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole) ข้อควรระวังคือ ไม่ควรซื้อยากรดไหลย้อนมากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจจะเป็นอันตรายจากผลข้างเคียงจากยาได้
เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ
- กินยาลดกรด หรือยาลดอาการแสบร้อนทรวงอกมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- มีอาการกรดไหลย้อนเป็นประจำ
- อาเจียนติดต่อกันไม่หยุด
- ปวดท้องมาก
- เจ็บหน้าอก หายใจสั้นๆ หรือมีอาการเจ็บแขนร่วมด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มือใหม่ต้องรู้! โครงสร้าง Essay พื้นฐานเรียนรู้ โครงสร้าง Essay พื้นฐาน การเขียนเรียงความ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
โครงสร้าง Essay พื้นฐาน (How to structure an essay)
โครงสร้างเรียงความ ภาษาอังกฤษ Essay ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญทั้ง 4 ส่วน ต่อไปนี้
1.) Introduction (คำนำ) ประกอบด้วย
• General Information or Fact
พูดถึงข้อมูลทั่วไป หรือ ข้อเท็จจริงของปัญหาที่เราจะเขียน
• Thesis Statement
ใจความสำคัญของเรื่องราว ที่เราจะเขียนว่า ปัญหาคืออะไร? และวิธีแก้คืออะไร? อาจใช้เป็น Keyword หรือประโยคสั้น ๆ
2.) Body Paragraph 1 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 1) ประกอบด้วย
• Topic Sentence 1
บอกว่าปัญหาข้อที่ 1 คืออะไร
• Supporting Idea
ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 1 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้ปัญหานั้นดูน่าเชื่อถือ
• Example
ยกตัวอย่างประกอบ
3.) Body Paragraph 2 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 2) ประกอบด้วย
• Topic Sentence 2
บอกวิธีแก้ปัญหาข้อที่ 2
• Supporting Idea
ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 2 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้วิธีแก้ไขปัญหาดูน่าเชื่อถือ
• Example
ยกตัวอย่างประกอบ
4.) Conclusion (สรุป) ประกอบด้วยประกอบด้วย
• Restate Thesis Statement
ย้ำใจความสำคัญของเรื่องอีกครั้ง (นำ Thesis Statement ของ Introduction มาเขียนใหม่)
• Assuring your thoughts
ย้ำถึงปัญหา และวิธีแก้อีกครั้งเพื่อให้ผู้อ่านจดจำ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
Snapdragon 8 Elite ทุบสถิติ AnTuTu! แรงกว่า A18 Pro เกือบเท่าตัว
Qualcomm เตรียมเปิดตัวชิปเซ็ตเรือธง Snapdragon 8 Elite (ชื่อเดิม Snapdragon 8 Gen 4) อย่างเป็นทางการในวันจันทร์นี้ ล่าสุดผลทดสอบประสิทธิภาพจาก AnTuTu ของ Realme GT7 Pro รุ่นต้นแบบที่ใช้ชิปเซ็ตดังกล่าว ทำคะแนนได้สูงถึง 3,025,991 คะแนน! ทุบสถิติชิปเซ็ตมือถือทั้งหมดในปัจจุบัน
คะแนนที่หลุดออกมานี้ แสดงให้เห็นว่า Snapdragon 8 Elite แรงกว่า Apple A18 Pro (ทำคะแนนได้ราว 1.65 ล้านคะแนน) และ MediaTek Dimensity 9400 (ทำคะแนนได้ราว 2.8 ล้านคะแนน) แบบขาดลอย
Snapdragon 8 Elite ลือกันว่าจะมี 2 เวอร์ชั่น
- เวอร์ชั่นพื้นฐาน: 2 คอร์ ความเร็วสูงสุด 4.09 GHz + 6 คอร์ ความเร็ว 2.78 GHz
- เวอร์ชั่นพรีเมียม: 2 คอร์ ความเร็วสูงสุด 4.32 GHz + 6 คอร์ ความเร็ว 2.78 GHz
ทั้งสองเวอร์ชั่นใช้ GPU Adreno 830 และผลิตบนสถาปัตยกรรม 3nm ของ TSMC
ก่อนหน้านี้ Snapdragon 8 Elite ก็ทำคะแนนใน Geekbench ได้อย่างน่าประทับใจ บ่งชี้ว่าชิปเซ็ตรุ่นนี้มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าเดิม และจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แต่จะได้ใช้รุ่นไหนก่อนใครคงต้องรอติตตามกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ใบบัวบก กับ 10 ประโยชน์ดีๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้ พร้อมวิธีทำน้ำใบบัวบก
“อกหักมาเหรอ ดื่มน้ำใบบัวบกสิ” ประโยคนี้อาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างตามบทละคร หรือในหมู่เพื่อนของเราเมื่อหลายปีก่อน แต่นอกจาก ใบบัวบก จะช่วยแก้ช้ำใจ เอ้ย ช้ำในแล้ว ใบบัวบกยังมีสรรพคุณดีๆ ที่ไม่ต้องรอให้อกหักก่อนถึงจะกินได้ด้วย
บัวบก ภาษาอังกฤษ คือ Gotu Kola หรือ Centella asiatica เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมและมีการใช้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในแถบเอเชีย บัวบกมีชื่อเสียงในเรื่องของสรรพคุณที่หลากหลาย เช่น การช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ การคิด และการทำงานของระบบประสาท แต่ยังมีสรรพคุณอื่นๆ และผลข้างเคียงที่ผู้ใช้ควรทราบเช่นกัน
ประเภทของใบบัวบก
- บัวบกหัว (Stephania Erecta Craib หรือ Menisapermaceae) เป็นพืชที่มักจะขึ้นบริเวณที่มีความชื้นสูง ลักษณะเด่นคือหัวอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ทางยามากที่สุด แต่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าบัวบกใบ เนื่องจากสรรพคุณในการบำรุงร่างกายน้อยกว่า
- บัวบกใบ (Centella Asiatica) เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงด้านสรรพคุณทางยามากที่สุด บัวบกใบเป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นตามบริเวณที่มีความชื้น ลักษณะใบกลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ใบมีสีเขียวสด และมักถูกนำมาใช้ในการทำยา เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
ประโยชน์ของใบบัวบก
- ใบบัวบกแก้อาการช้ำใน ลดอาการอักเสบ
- ใบบัวบกเสริมสร้าง และกระตุ้นการสร้างคอลาเจน และอิลาสติกให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง
- บำรุง และรักษาดวงตา และสายตา เพราะใบบัวบกมีวิตามินเอสูง
- บำรุงประสาท และสมอง เพิ่มความสามารถในการจำ ลดความเสี่ยงอัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม
- ลดความเครียด และคลายความกังวลได้
- แก้อาการปวด เวียนศีรษะ
- บรรเทาอาการเจ็บคอ ร้อนใน กระหายน้ำ
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด
- รักษาโรคความดันโลหิตสูง
- บำรุงโลหิต รักษาภาวะโลหิตจาง
ผลข้างเคียงของบัวบก
- อาการแพ้ผิวหนัง: บางคนอาจมีการแพ้เมื่อใช้บัวบกทาที่ผิว ทำให้เกิดอาการผื่นแดงหรือคัน ควรทดลองใช้ในบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ทั่วร่างกาย
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ: การรับประทานบัวบกในปริมาณมาก หรือใช้เป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งานหากมีปัญหาเกี่ยวกับตับ
- ปฏิกิริยาต่อยา: บัวบกอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่เกี่ยวกับระบบประสาท หรือยาที่ส่งผลต่อตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้งาน
- การใช้ในหญิงตั้งครรภ์: ควรหลีกเลี่ยงการใช้บัวบกในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อแม่และทารก
- ผลกระทบทางระบบย่อยอาหาร: การรับประทานบัวบกในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
วิธีทำน้ำใบบัวบก ดื่มเองที่บ้าน
- นำใบบัวบกทั้งต้นมาล้างน้ำให้สะอาด
- หั่นต้น และใบบัวบกเป็นท่อนๆ ราว 2-3 ท่อน
- นำใบบัวบกมาปั่นรวมกับน้ำเปล่า โดยใส่น้ำเปล่าลงไปให้ท่วมใบบัวบก
- กรองเอาแต่น้ำมาดื่ม อาจปรุงรสด้วยน้ำผึ้งได้เล็กน้อยเพื่อลดความขม
วิธีดื่มน้ำใบบัวบก ที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ
ดื่มครั้งละ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร อาจดื่มน้ำกว่านี้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 21/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 42,700.00 | 42,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,766.00 | 41,932.56 | 43,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,489.40 | 37,739.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,212.80 | 33,546.05 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,245.00 | 18,874.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 968.00 | 14,674.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,866.00 | 43,448.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 21/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 36.35 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.08 | 35.08 | 35.98 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 | 35.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.34 | 33.34 | 34.24 | 33.34 | 33.34 | – | 33.34 | 33.34 | 33.34 | 33.34 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.09 | 33.09 | – | – | – | – | – | – | – | 33.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.04 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.04 |
เบนซิน 95 | 43.64 | – | – | – | 49.81 | – | 44.14 | 43.79 | – | 43.64 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.44 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |