เอ็นริชชี้ตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังกลุ่มลักซ์ชัวรี่ความต้องการพุ่ง
เอ็นริชชี้ตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังกลุ่มลักซ์ชัวรี่ความต้องการพุ่ง ชี้การพัฒนาโครงการต้องตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในเรื่องของทำเล คุณภาพ งานดีไซน์ และฟังก์ชันการใช้งาน
นางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ยังพบว่ามีความต้องการซื้อบ้านอย่างต่อเนื่อง และเป็นกลุ่มที่มาแรงในปีนี้ แต่การพัฒนาโครงการต้องตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในเรื่องของทำเล คุณภาพ งานดีไซน์ และฟังก์ชันการใช้งาน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากที่ได้ร่วมทุนกับ บริษัท ไซบุแก๊ส โฮลดิ้ง จำกัด (Saibu Gas Holdings Co.,Ltd.) ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากประเทศญี่ปุ่น ที่เลือกลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับคุณภาพทั่วโลก พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ราคาเริ่มต้น 30 ล้านบาทขึ้นไป สามารถปิดโครงการได้ในเวลาอันรวดเร็วแม้เปิดตัวในช่วงโควิด-19 ก็ตาม
โดยเป็นผลมาจากการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในบ้านตอบโจทย์กับการใช้งานจริง ควบคู่กับการการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมถึงยังผสานแนวคิดการจัดบ้านแบบคอนมาริ ในสไตล์ มาริเอะ คอนโดะ ร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์
นางสาวสุพิชา กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทไซบุแก๊ส ในการพัฒนา โครงการ อาร์ค สุขุมวิท 39 (ARCH Sukhumvit 39) บ้านระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่มองหาที่อยู่อาศัยในทำเลซีบีดี ซึ่งโครงการตั้งอยู่บนทำเลที่ดีบนถนนสุขุมวิทและปัจจุบันหาที่ดินมาพัฒนาโครงการได้ยากมาก สวนทางกับความต้องการอยู่อาศัยที่มีสูง เนื่องจากเป็นทำเลมีศักยภาพ มีความสมบูรณ์ของระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และเป็นทำเลใจกลางธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ
สำหรับโครงการดังกล่าวนั้น พัฒนาโครงการโดยการออกแบบเน้นรูปทรง ARCH โดยมีพื้นที่ภายในที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไป รวมถึงยังเหมือนเป็นพื้นที่ที่ถูกโอบล้อม แต่มีความเป็นส่วนตัวไม่ทึบตัน เน้นเพิ่มพื้นที่สีเขียวในทุกชั้น ทำให้ทุกห้องสามารถได้รับแสงธรรมชาติ และมีมุมมองภายในห้องที่ดี ตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน บนที่ดิน 2 ไร่ จำนวน 12 หลัง พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 535-829 ตร.ม. ขนาด 4-5 ห้องนอน และที่จอดรถ 4-6 คัน และลิฟต์ส่วนตัว ในราคาเริ่มต้น 65 ล้านบาท
นายอนวัช ฉัตรศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ กลุ่มบริษัทเอ็นริช กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้โครงการของกลุ่มบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดี เป็นเพราะมีข้อมูลอินไซต์ของกลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี่ จากการสำรวจตลาด พบว่า กลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี่จะมีความต้องการใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่
- ทำเล ต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
- ดีไซน์ พื้นที่ใช้สอยต้องมีขนาดที่เหมาะสม และมีความสวยงาม การออกแบบจากดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับ การดีไซน์นั้นยังต้องแสดงความเป็นตัวตนของลูกค้าได้อย่างชัดเจน รวมถึงการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และการก่อสร้างที่มีคุณภาพสูงด้วย
- มีความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย เพราะลูกค้าต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อกลับมาที่บ้าน
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าสำหรับตลาดบ้านกลุ่มลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปในกรุงเทพฯชั้นในและชั้นนอก พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการบ้านใหม่ในกลุ่มลักซ์ชัวรีขึ้นไปในช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2560-2562) พบว่ามีการเปิดตัวเฉลี่ย 260 หลังต่อปี ในขณะที่ช่วงที่มีการระบาดโควิด-19 (ปี 2563-2565) ตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปกลับเติบโตสวนกระแส โดยมีการเปิดตัวเฉลี่ย 645 หลังต่อปี หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 132%
เมื่อพิจารณาในด้านความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้พบว่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการขยายพื้นที่อยู่อาศัย โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปโดยรวมในตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งสูงถึง 78%
ขณะที่ยอดขายโดยรวมในปี 2565 อยู่ที่ 68% โดยทำเลที่มียอดขายสูงที่สุด คือ ทำเลใจกลางเมือง มียอดขายสูงถึง 88% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลอื่น ๆ เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าซัพพลายตลาดบ้านในทำเลนี้มีน้อยมาก เพราะที่ดินมีจำกัด
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบ้านใจกลางเมืองยังเป็นความต้องการที่มีอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยผลกระทบจากโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความต้องการในตลาดและส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมาสู่รูปแบบบ้านเพิ่มมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คุณสมบัติผู้รับโอนที่ดิน ส.ป.ก.4-01 เจ้าของเสียชีวิตใครมีสิทธิยื่นคำขอ
คุณสมบัติผู้รับโอนที่ดิน ส.ป.ก.4-01 เจ้าของที่ดินที่ได้รับกรรมสิทธิเสียชีวิต ทายาทต้องยื่นคำขอภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2566 ใครบ้างสามารถยื่นคำขอเพื่อครอบครองกรรมสิทธิที่ดิน
ความคืบหน้าจากกรณีที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการยื่น มรดกที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 กรณีเสียชีวิตก่อนวันที่ 16 กรกฏาคม 2564 โดย ทายาท ต้องยื่นคำขอในวันที่ 15 กรกฏาคม 2566 มีรายงานล่าสุดว่า เกษตรกร เสียชีวิตมากกว่า 2 แสนราย แต่ทายาทที่ได้รับสิทธิ์ มรดกที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยื่นเข้ามาเพียง 18,542 รายเท่านั้น
คุณสมบัติผู้รับโอนที่ดิน ส.ป.ก.4-01 มีดังนี้
การรับมรดกสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. สำหรับการตกทอดทางมรดกสิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อและการจัดที่ดินแทนที่เกษตรกรผู้ได้รับที่ดินซึ่งถึงแก่ความตาย
ผู้มีสิทธิยื่นคำขอรับมรดกสิทธิฯ
- เป็นทายาทโดยธรรม ได้แก่ คู่สมรส ผู้สืบสันดาน ของผู้ได้รับที่ดิน บิดามารดา ซึ่งถึงแก่ความตาย พี่น้องร่วมบิดามารดา
- พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดา ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา
- มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกร
ช่องทางยื่นคำขอ
- ส.ป.ก. จังหวัด ที่ที่ดินตั้งอยู่
- ช่องทางออนไลน์ศูนย์บริการประชาชนออนไลน์ ส.ป.ก.(https://servicecenter.alro.go.th)
เอกสารหลักฐานที่ใช้
- บัตรประชาชนผู้ยื่นคำขอ
- ทะเบียนบ้านผู้ยื่นคำขอ
- ใบมรณบัตรผู้ได้รับที่ดินซึ่งถึงแก่ความตาย
- สัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อหรือ ส.ป.ก. 4-01 (ถ้ามี)
กรณีถือว่าทายาทสละสิทธิ ไม่ขอรับมรดกสิทธิฯ
- แสดงเจตนาสละสิทธิและลงลายมือชื่อต่อเจ้าหน้าที่
หรือ
- ไม่ยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ได้รับที่ดิน ถึงแก่ความตาย.
ที่มา: สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23มิ.ย.อ่อนค่าที่ระดับ 35.13 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวเหนือระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงนี้ หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุนการแข็งค่าของเงินบาท อีกทั้งในช่วงปลายเดือนเริ่มมีโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้ามากขึ้น-กรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.20 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23มิ.ย.2566 ที่ระดับ 35.13 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่แผ่วลงชัดเจนในช่วงก่อนหน้า โดยมีจุดเปลี่ยน คือ การพลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ และทะลุโซนแนวต้านถัดไปที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
โดยปัจจัยหนุนการอ่อนค่าของเงินบาท ยังคงมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มักมาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ ทำให้เงินบาทก็ถูกกดดันจากโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ในโซน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ อาจยังพอเห็นผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ อาทิ ผู้ส่งออกบางส่วนต่างก็รอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 35 บาทต่อดอลลาร์ แต่เรามองว่า เงินบาทก็อาจเปลี่ยนโซนในการแกว่งตัว โดยเงินบาทมีโอกาสแกว่งตัวเหนือระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ได้ในช่วงนี้ หากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุนการแข็งค่าของเงินบาท อีกทั้งในช่วงปลายเดือนก็จะเริ่มมีโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้ามากขึ้น
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ของทั้งฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี PMI ของสหรัฐฯ (เวลา 20.45 น.) เนื่องจากหากข้อมูลออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ในทางกลับกัน หากข้อมูลออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ก็อาจยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งได้ ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจยิ่งหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ยอดการส่งออกและนำเข้าของไทย (10.30 น.) ก็อาจสร้างความผันผวนหรือแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ หากยอดการส่งออกหดตัวมากกว่าคาด ทำให้ดุลการค้าของไทยขาดดุลมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้
การที่เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้นั้น ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.20 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวต้าน 35.15 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะปรับตัวลดลง (ราคาทองคำลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน)
แม้ว่า บรรยากาศโดยรวมของตลาดการเงินจะถูกกดดันโดยความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทว่าในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.37% หนุนโดยแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Amazon +4.3%, Alphabet +2.2%) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ แต่อาจจะไม่ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้มากอย่างที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 2 ครั้ง
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.51% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวล ผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยล่าสุดธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% สูงกว่าที่ตลาดคาดและยังส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ
ในฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทั้งฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ต่างปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี บรรยากาศในตลาดการเงินที่ผู้เล่นยังคงระมัดระวังตัวและบางส่วนก็ยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 3.80% ที่เราเคยประเมินไว้ โดยเราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดจะใช้โอกาสที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อ สอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.20%-3.50% ในช่วงปลายปีนี้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 102.4 จุด อีกครั้ง โดยเงินดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่มียีลด์สูงในช่วงตลาดผันผวนและแรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมองว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้บ้าง
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลุดโซนแนวรับแรกแถว 1,940-1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
และลงมาแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เรามองว่าการปรับตัวลงของราคาทองคำดังกล่าว อาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าว ผ่านรายงานดัชนี PMI
โดยตลาดประเมินว่า ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี PMI ในเดือนมิถุนายน อาจยิ่งสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง โดยภาคการผลิตจะยังคงหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ระดับ 48.3 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) อย่างไรก็ดี ภาคการบริการจะยังสามารถขยายตัวได้ หนุนโดยตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว โดยดัชนี PMI ภาคการบริการ จะอยู่ที่ระดับ 54 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดคาดว่า ภาคการผลิตของทั้งยูโรโซนและอังกฤษมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง กดดันโดยต้นทุนการผลิต ต้นทุนการเงินที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ที่ชะลอตัวลง ทำให้ดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับ 44.5 จุด และ 46.8 จุด ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษที่ระดับ 54.5 จุด และ 54.8 จุด
และในฝั่งญี่ปุ่น ตลาดมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวได้ดี จากอานิสงส์การขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.1 จุด อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตอาจชะลอลงตามความต้องการสินค้าที่ลดลงจากบรรดาประเทศคู่ค้าซึ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจลดลงสู่ระดับ 50 จุด
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า โดยตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคมอาจหดตัวต่อเนื่อง -6%y/y ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ (สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตของประเทศคู่ค้าที่ปรับตัวลดลง) ส่วนยอดการนำเข้าจะหดตัวกว่า -9%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้าจะขาดดุล -390 ล้านดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.21-35.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.30 น.) ใกล้เคียงระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนครึ่งที่ 35.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ และยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องในช่วงเช้าวันนี้ท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ จากสัญญาณคุมเข้มของเฟด ซึ่งสะท้อนผ่านถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ที่ยังคงกล่าวย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวตามที่ได้คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติและทิศทางสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.00-35.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยตลาดรอติดตามทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์การเมืองของไทย และข้อมูล PMI ขั้นต้นสำหรับเดือนมิ.ย. ของสหรัฐฯ ยูโรโซนและอังกฤษ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เด็กไทยสร้างชื่อ! “จอร์จ ดวงมณี” จบ 8 อันเดอร์ฯ ดิ อเมเจอร์ แชมเปี้ยนชิพ ที่อังกฤษ
จอร์จ ดวงมณี สวิงหนุ่มวัย 21 ปี นักกอล์ฟดาวรุ่งเชื้อสายไทย จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จบสกอร์ที่ 8 อันเดอร์พาร์ ในการแข่งขัน ดิ อเมเจอร์ แชมเปี้ยนชิพ ณ สนามฮิลล์ไซด์ แอนด์ เซาท์พอร์ต แอนด์ อินส์เดล ประเทศอังกฤษ
โดยการแข่งขันรายการนี้มีผู้เล่น 288 คนในการเล่นแบบสโตรคเพลย์และแมตช์เพลย์ ผู้ชนะได้รับเชิญเข้าร่วมแข่งขันเมเจอร์ The Open และ US Open และตามธรรมเนียมแล้ว ยังได้รับเชิญให้เล่นใน Masters Tournament ด้วย
การแข่งขัน The Amateur Championship หรือที่รู้จักกันในชื่อ การแข่งขันชิงแชมป์มือสมัครเล่นหรือที่เรียกว่า British Amateur หรือ British Amateur Championship มีประวัติอันยาวนานตั้งแต่ปี 1885 เป็นการแข่งขันประจำปีในสหราชอาณาจักรนอกจากมือสมัครเล่นของสหรัฐอเมริกาแล้ว การแข่งขันนี้ยังถือเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนต์ชั้นนำสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วโลก โดยดึงดูดผู้เล่นจากสมาคมกอล์ฟ 38 แห่งจากทั้ง 6 ทวีป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 สัญญาณอันตราย ระบบย่อยอาหารพัง!
นอกจากสมอง หัวใจ และระบบไหลเวียนของโลหิตที่ว่าสำคัญกับร่างกายเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ระบบย่อยอาหารก็ถือว่าเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะทุกสิ่งที่เราทานเข้าไปต้องได้รับการย่อย และดูดซึมอย่างเป็นระบบ หากอวัยวะที่ใช้ในการย่อยอาหารเริ่มทำงานขัดข้อง จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากมาย และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
หากใครมีอาการดังต่อไปนี้ ขอให้ทราบว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เริ่มบ่งบอกว่าระบบย่อยอาหารของคุณอาจมีปัญหาค่ะ
1. ปวดท้อง
ใครๆ ก็ปวดท้องได้ อาจจะมีความผิดปกติที่เกิดขึ้น แล้วหายไป แต่ใครที่ปวดท้องที่เดิมบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหา หรือโรคร้ายอะไรบางอย่างได้
ปวดท้องด้านขวาตอนบน อาจเกิดจากโรคตับ และถุงน้ำดี
ปวดท้องบริเวณใต้ซี่โครง อาจเกิดขึ้นพร้อมกับอาการแสบกระเพาะอาหาร จึงอาจเป็นโรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ และบางครั้งโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้
ปวดท้องส่วนกลาง อาจเป็นโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ และอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ เพราะมักมีอาการปวดท้องที่บริเวณนี้ก่อน แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง
ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร ก็อาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ
ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน หรืออาการอักเสบของลำไส้
ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง หากมีอาการปวดและคลายสลับกัน พร้อมกับอาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงผนังที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือมีความผิดปกติ เช่น ถุงน้ำ หรือเนื้องอกที่รังไข่ หรือมดลูก
2. ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด
คนที่ระบบการย่อยอาหารเริ่มมีปัญหา อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียดท้องหลังรับประทานอาหาร หากมีอาการมากๆ ท้องจะเกร็ง และอาจมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เรอบ่อย เรอเหม็นเปรี้ยว ผายลมบ่อย ท้องใหญ่ขึ้น หรือท้องผูก และท้องเสียร่วมด้วย ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจะยังคงรับประทานอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักไม่ลด และส่วนมากมักมีน้ำหนักเกิน อาการเหล่านี้หากเป็นบ่อยๆ อาจสันนิษฐานว่ากระเพาะอาหาร หรือลำไส้ทำงานไม่ปกติ
3. กลืนลำบาก
อาการกลืนอาหารลำบาก อาจเกิดจากก้อนเนื้อ หรือก้อนมะเร็งในทางเดินอาการ หรือหลอดอาหารได้ แต่อาจเป็นเพราะระบบการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร หรือระบบประสาททำงานไม่ดีได้ด้วยเช่นกัน หากกลืนอาหารประเภทของแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ แล้วติด โดยเฉพาะตรงกลางอก อาจสันนิษฐานว่ามีก้อนเนื้อ หรือก้อนมะเร็งอยู่ในหลอดอาหาร หรือบริเวณใกล้เคียง แต่หากกลืนอาหารทั้งของเหลว และของแข็งได้ลำบากตั้งแต่ต้น อาจเกิดจากการบีบตัวไม่เป็นจังหวะของหลอดอาหาร อาการนี้อาจเป็นๆ หายๆ ได้เช่นกัน
4. แสบกลางอก
หากมีอาการแสบกลางอกโดยเฉพาะในตอนกลางคืน สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคกรดไหลย้อน เกิดจากหูรูดที่หลอดอาหารปิดไม่ค่อยสนิท กรดที่ไหลย้อนขึ้นมานี้อาจทำให้อักเสบ เป็นแผล หรือเลือดออกได้ อาการชัดเจนคือ แสบร้อนกลางอก และจะมีอาการดังกล่าวในเวลานอนตอนกลางคืน เวลานอนอาจจะมีอาการไอ สำลัก หอบ ซึ่งอาจทำให้นึกว่าเป็นโรคปอด โรคหัวใจ แต่ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคนที่มีอาการตอนกลางคืนต้องนึกถึงกรดไหลย้อนด้วย นอกจากนี้หลังอาหารมื้อหนัก หากยกของหนัก หรือนอนหงายกรดก็จะไหลขึ้นมาทำให้เกิดอาการแสบได้เช่นกัน
หากใครมีอาการผิดปกติดังกล่าวบ่อยๆ อาจเกิดขึ้นมากกว่า 2-3 ครั้งใน 1 อาทิตย์ หรือมีอาการไม่บ่อย แต่เป็นๆ หายๆ บ่อยๆ ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดจากแพทย์จะดีที่สุดค่ะ เพราะหากปล่อยให้อาการนี้ลามเรื่อยๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้รักษายากขึ้น และไม่หายขาดได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 อันดับ: คำศัพท์การตลาดสุดฮิต
สำหรับคำศัพท์ในวันนี้ทาง DailyEnglish ขอเอาใจเด็กการตลาดนะครับ ทุกคนที่เรียนมาทาง marketing ย่อมรู้อยู่แล้วว่ามีคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากที่เกี่ยวข้องกับการตลาด มาดู 10 อันดับคำศัพท์การตลาดยอดฮิตที่นักการตลาดต้องไม่พลาดกันครับ
1. consumer – คอน-ซิว-เมอร์ แปลว่า ผู้บริโภค
แตกต่างจาก customer (ลูกค้า) ตรงที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้า/บริการไปใช้เอง แต่ลูกค้าอาจเป็นผู้ค้าปลีก/ส่ง ที่ซื้อจากเราไปขายต่อ
2. cost – คอสท แปลว่า ต้นทุน
ในเชิงธุรกิจจะถือว่า cost คือต้นทุน แต่สามารถแปลว่า ค่าใช้จ่าย/ราคา ได้ด้วยนะ
เพิ่มเติม income = รายได้, profit = กำไร, loss = ขาดทุน
3. develop – ดี-เวล-เลิพ แปลว่า ปรับปรุง/พัฒนา
นอกจากการพัฒนาสินค้าที่มีอยู่เดิม ยังสามารถใช้กับการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอีกด้วย
4. distribution – ดิส-ทริ-บิว-เชิน แปลว่า การแจกจ่าย
ใช้กับการส่งมอบสินค้าไปยังลูกค้า หรือผู้บริโภค
5. end-user – เอนด์-ยิวเซอร์ แปลว่า ผู้บริโภค
ความหมายเหมือนกับ consumer สำหรับการตลาดแล้ว สินค้าแต่ละชนิดจะถูกออกแบบมาเพื่อ end-user โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้ายที่สินค้าจะไปถึง
6. feature – ฟี-เชอร์ แปลว่า ลักษณะ
ใช้ในการบรรยายว่าสินค้ามีลักษณะรูปร่างภายนอกเป็นยังไง รวมไปถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นต่างๆ
7. image – อิม-มีจ แปลว่า ภาพลักษณ์
ปกติแล้ว image=รูปภาพ แต่ในเชิงการตลาด คือภาพลักษณ์ของสินค้า บริษัท ทีมีต่อคนอื่น
8. launch – ลอนช แปลว่า การปล่อย
ใช้กับสินค้าหรือบริการออกใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว
9. public relations – พับบลิค-รีเลชันส์ แปลว่า งานประชาสัมพันธ์
เป็นฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า เพื่อให้เกิด image ที่ดีต่อองค์กร
10. trademark – เทร้ด-มารค์ แปลว่า เครื่องหมายการค้า
บริษัทหรือสินค้าส่วนใหญ่จะมี trademark เป็นของตนเอง แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปจดทะเบียน (register) ก่อนนะ
แอดมินมีอีก 2 คำที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์ทางการตลาด (marketing strategy) และ การสำรวจตลาด (marketing research) ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการวางแผนของนักการตลาดว่าจะสร้างกลยุทธ์ในให้สินค้าบูมสุดๆ รวมไปถึงทำการสำรวจตลาด ไม่ว่าจะเป็นแบบสอบถาม สัมภาษณ์ ดูสถิติเทียบเคียงเป็นต้น
ถึงจะไม่ได้เรียนการตลาดมาโดยตรงแต่รู้ไว้ใช่ว่า เพราะศัพท์พวกนี้มักจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารที่เกี่ยวกับธุรกิจ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
5 ของแต่งรถสุดอันตราย ติดแล้วอาจตายไม่รู้ตัว!
ปัจจุบันมีอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ให้เลือกมากมายหลายประเภท ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความชื่นชอบของแต่ละคน แต่ก็มีของแต่งรถหลายชิ้นที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น จนอาจทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ร่วมทางได้
Sanook! Auto จึงขอแนะให้เลี่ยง 5 ของแต่งรถสุดอันตรายเหล่านี้เสียดีกว่า…
ไฟหน้า-ไฟท้ายโคมดำ
การรมดำไฟหน้า-ไฟท้าย แม้ว่าจะช่วยให้รถดูดุขึ้น แต่กลับเป็นอันตรายต่อผู้ร่วมทางอย่างยิ่ง เนื่องจากประสิทธิภาพการส่องสว่างจะลดลงอย่างมาก พูดง่ายๆ คือ รถคันอื่นจะมองเห็นรถที่ติดตั้งไฟรมดำได้ลำบาก ในเวลากลางวันจะทำให้มองไม่เห็นไฟเบรก กลับกันในเวลากลางคืนก็จะทำให้มองไม่เห็นไฟท้ายด้วยเช่นกัน ถือเป็นความสวยที่แลกมาด้วยความเสี่ยงอย่างร้ายแรง!
ล้อแม็กเทียบ
ล้อเป็นอุปกรณ์แต่งรถยอดนิยมที่หาเปลี่ยนได้ง่าย ซึ่งนอกเหนือจากความสวยงามแล้ว ความทนทานเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องใส่ใจ เพราะส่งผลต่อความปลอดภัยโดยตรง หากเลือกล้อแม็กที่ไม่ได้คุณภาพ อาจเกิดการแตกหักได้เมื่อตกหลุมแรงๆ ย่อมเกิดอุบัติเหตุตามมาอย่างแน่นอน
ที่เสียบช่องเข็มขัดนิรภัย
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อมระบบเตือนรัดเข็มขัดนิรภัย หากไม่รัดเข็มขัด สัญญาณเตือนดังกล่าวก็จะดังอยู่เรื่อยๆ ดังนั้น จึงมีผู้ผลิตหัวใสนำที่เสียบช่องเข็มขัดนิรภัยแบบหลอกๆมาขาย เพื่อเสียบแทนเข็มขัดนิรภัยจริง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน
ไฟหน้าซีนอน
ไฟหน้าซีนอนไม่ได้สว่างกว่าแบบฮาโลเจนเสมอไป ยิ่งไฟซีนอนที่มีค่าอุณหภูมิสีสูงๆ (ค่า K) ยิ่งจะทำให้ความสว่างลดลง และที่สำคัญหากไม่ได้รับการติดตั้งอย่างถูกต้อง จะทำให้ไฟหน้าแยงตารถที่สวนมาจนเป็นอันตรายต่อผู้ร่วมทางได้
ไฟท้าย LED
ไฟท้ายแบบ LED ที่วางขายเป็นของแต่งรถนั้น อาจให้ความสว่างไม่มากเท่าที่ควร ทำให้รถคันหลังที่ขับตามมามองเห็นไฟเบรกหรือไฟเลี้ยวไม่ชัด เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“หน่อไม้” อาหารแสลง หรือคิดไปเอง?
“หน่อไม้” มักอยู่ในรายชื่ออาหารที่ผู้หลักผู้ใหญ่มักไม่แนะนำให้ลูกหลานรับประทาน รวมถึงตัวเองด้วย ด้วยความเชื่อว่า หน่อไม้อันตราย เป็นอาหารแสลง ก่อให้เกิดโรคอันตราย เป็นแผลก็จะยิ่งทำให้แผลแย่ลง โดยเฉพาะหลังผ่าตัด รวมถึงยังเป็นสาเหตุของโรคอันตรายอย่าง “โรคมะเร็ง” อีกด้วย
แต่อันที่จริงแล้ว ความเชื่อเหล่านี้ เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ?
>> อาหารแสลง แสลงจริงหรือแค่กลัวไปเอง?
หน่อไม้ เป็นหน่ออ่อนของไผ่ที่แตกจากเหง้าใต้ดินมีลักษณะสีเหลืองอ่อน รสสัมผัสกรุบกรอบ ราคาย่อมเยา สามารถนำมาปรุงอาหารได้อย่างหลากหลาย ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด และยังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น
หน่อไม้ อันตรายจริงหรือ?
หน่อไม้ มีทั้งประโยชน์ และโทษ หากเลือกกินอย่างเหมาะสม ก็สามารถให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ แต่หากินหน่อไม้ไม่ถูกวิธี ไม่มีความระมัดระวังในการกิน ก็อาจเป็นโทษต่อร่างกายได้จริงๆ
หน่อไม้ที่เราบริโภคกัน มีอยู่หลายประเภท
หน่อไม้ดิบ
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุว่า หน่อไม้ดิบหรือหน่อไม้ที่ยังปรุงไม่สุก อาจได้รับพิษจากสารไซยาไนด์ ซึ่งมีอยู่ในหน่อไม้ตามธรรมชาติ และทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หากเข้าสู่ร่างกายในปริมาณน้อย สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมาก สารไซยาไนด์จะจับตัวกับสารในเม็ดเลือดแดง (hemoglobin) แทนที่ออกซิเจนทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจน หมดสติและอาจทำให้เสียชีวิตได้
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคหน่อไม้ดิบ นายมงคล เจนจิตติกุล ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กล่าวว่า การบริโภคหน่อไม้ที่ต้มสุกจะทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการได้รับสารไซยาไนด์ แต่หากอุณหภูมิและระยะเวลาในการต้มไม่เหมาะสมก็ไม่สามารถลดปริมาณสารชนิดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคก่อนที่จะนำหน่อไม้ไปบริโภคควรปรุงให้สุก ด้วยการต้มหน่อไม้ในน้ำเดือดนานอย่างน้อย 10 นาที ซึ่งสามารถลดปริมาณสารไซยาไนด์ลงได้ถึงร้อยละ 90.5
หน่อไม้ดอง
หน่อไม้เป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่นิยมนำมาหมักดองเพื่อการเก็บรักษาอาหารเอาไว้ให้ได้นานยิ่งขึ้น โดยมักทำการดองเอาไว้ในปิ๊บเป็นเวลาหลายเดือน หากขั้นตอนการหมักดองไม่สะอาดเพียงพอ จะเกิดเป็นเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum เจริญเติบโตอยู่ในหน่อไม้ที่อยู่ในปี๊บ หากทำมาปรุงอาหารด้วยความร้อนที่ไม่เพียงพอ อาจได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน ท้องเสีย หากสารพิษโบทูลินเริ่มซึมจากระบบทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดและระบบประสาท อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหนังตา ลูกตา ใบหน้า การพูดการกลืนผิดปกติ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หายใจไม่ออก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากนี้ หน่อไม้ที่สะอาด และปรุงสุกด้วยความร้อน ปลอดภัยในการบริโภคก็จริง แต่ยังมีคนบางประเภทที่ไม่ควรบริโภคหน่อไม้มากจนเกินไป ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคเกาต์ เพราะหน่อไม้มีสารพิวรินสูง อาจจะทำให้กรดยูริกที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์สูงขึ้น
- ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกมากเกินไป (เช่น หน่อไม้) เพราะอาจมีปัญหาในการขับกรดยูริกส่วนเกินออกไปร่างกายไม่ได
หน่อไม้ ปลอดภัยกว่าที่คิด
แม้ว่าจะมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่ควรบริโภคหน่อไม้ แต่ในคนที่มีสุขภาพปกติดี รวมถึงผู้ป่วยเหล่านี้ สามารถรับประทานหน่อไม้ได้
- ผู้ป่วยเบาหวาน หน่อไม้ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดแต่อย่างใด
- ผู้ป่วยโรคตับ ไม่ว่าจะเป็นไวรัสตับอักเสบ หรือตับแข็ง ก็สามารถรับประทานหน่อไม้ได้ ไม่มีผลกระทบต่ออาการของโรค
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือน มีระดูขาว หน่อไม้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดระดูขาวในผู้หญิงแต่อย่างใด
- ผู้ที่มีแผล หลังผ่าคลอด หลังผ่าตัด หน่อไม้ไม่ได้มีส่วนทำให้แผลอักเสบ หายช้า หรือติดเชื้อใดๆ เช่นกัน
- หน่อไม้ ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแต่อย่างใด (ยกเว้น หน่อไม้ฝรั่ง ที่สารแอสพาราจีน (Asparagine ) ซึ่งมีอยู่ในหน่อไม้ฝรั่งและอาหารอีกหลายชนิด เป็นตัวการที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งเต้านมแพร่กระจายและเจริญเติบโตลุกลามไปทั่วร่างกายได้มากยิ่งขึ้น)
ข้อมูลทางโภชนาการของหน่อไม้
คุณค่าทางสารอาหารของหน่อไม้ ปริมาณ 100 กรัม
- แคลอรี (kcal) 27
- ไขมันทั้งหมด 0.3 g
- ไขมันอิ่มตัว 0.1 g
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 0.1 g
- กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว 0 g
- คอเลสเตอรอล 0 mg
- โซเดียม 4 mg
- โพแทสเซียม 533 mg
- คาร์โบไฮเดรต 5 g
- เส้นใยอาหาร 2.2 g
- น้ำตาล 3 g
- โปรตีน 2.6 g
- วิตามินเอ 20 IU
- วิตามินซี 4 mg
- แคลเซียม 13 mg
- เหล็ก 0.5 mg
- วิตามินดี 0 IU
- วิตามินบี 6 0.2 mg
- วิตามินบี 12 0 µg
- แมกนีเซียม 3 mg
ประโยชน์ของหน่อไม้
หน่อไม้มีกากใยอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ลดความเสี่ยงอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังมีแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถรับประทานได้ และเหมาะสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีโปรตีน โพแทสเซียม วิตามินเอ และแคลเซียมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่า หน่อไม้ที่กินแล้วมีประโยชน์ ต้องเป็นหน่อไม้ปรุงสุก หน่อไม้ดอง (ที่สะอาด) มีคุณค่าทางสารอาหารต่ำกว่า แต่ไม่ได้มีอันตรายต่อร่างกายมากอย่างที่กลัวกัน และไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรรับประทานหน่อไม้มากเกินไป ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกรับประทานอาหารอย่างหลากหลายจะดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/06/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,800.00 | 31,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,060.00 | 31,229.60 | 32,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,854.00 | 28,106.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,648.00 | 24,983.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 927.00 | 14,053.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 721.00 | 10,930.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,135.00 | 32,366.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/06/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.45 | 35.45 | 35.94 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 | 35.45 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.18 | 35.18 | 35.64 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 | 35.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.14 | 33.14 | 33.54 | 33.14 | 33.14 | – | 33.14 | 33.14 | 33.14 | 33.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.59 | 33.59 | – | – | – | – | – | – | – | 33.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.64 | 46.94 | 46.74 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 43.24 | – | – | – | 43.81 | – | 43.74 | 43.39 | – | 43.24 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.06 | 41.16 | 42.94 | 42.36 | 42.36 | – | – | – | – | 41.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |