อนันดาฯ เปิดเอกสารชี้แจงความคืบหน้า คอนโดหรู”แอชตัน อโศก”
อนันดาฯ เปิดเอกสารชี้แจงความคืบหน้า คอนโดหรู”แอชตัน อโศก” 5 แนวทางแก้ไขปัญหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ถึงเจ้าของร่วมหรือลูกบ้าน
กรณีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดโครงการแอชตันอโศก เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด (“บริษัทฯ”) แจ้งความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการสำหรับลูกบ้านหรือเจ้าของร่วม ดังนี้
5 แนวทางแก้ไขปัญหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ
การยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โดยการซื้อ หรือหาที่ดินเพิ่มเติม
บริษัทฯ ได้หารือแนวทางการแก้ไขร่วมกับสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (สนย.) เพื่อดำเนินการให้เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 ซึ่งระบุว่าที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารขนาดใหญ่พิเศษจะต้องมีด้านใดด้านหนึ่งยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะฯ ปัจจุบันบริษัทฯ มีแนวทางในการจัดหาที่ดิน โดยได้พิจารณาทั้งการซื้อ หรือหาที่ดิน และ/หรือการได้รับสิทธิตามกฎหมายในที่ดิน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการหาที่ดินใหม่โดยเร็วที่สุด
ภายหลังการหารือ บริษัทฯ ได้ประเมินขั้นตอนการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงระยะเวลาในการแก้ไข/ ขอใบรับแจ้งก่อสร้างอาคารฯ ใหม่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- บริษัทฯ จะเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อพิจารณา และอาจต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน
- เมื่อได้รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ฉบับสมบูรณ์แล้ว บริษัทฯ จะยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารฯ ตามมาตรา 39 ทวิ สำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (สนย.) จะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาออกใบรับแจ้งการก่อสร้างอาคารฯ ตามมาตรา 39 ทวิ ประมาณ 14 วันทำการ
- เมื่อบริษัทฯ ได้รับใบรับแจ้งการก่อสร้างอาคารตามมาตรา 39 ทวิ บริษัทฯ จะดำเนินการก่อสร้างเพื่อแก้ไขทางเข้าออกโครงการใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 3 เดือน
- เมื่อบริษัทฯ ดำเนินการก่อสร้างข้างต้นเรียบร้อย สำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (สนย.) จะเข้าตรวจสอบการก่อสร้างของโครงการ และออกใบรับรองการก่อสร้างฯ (อ.5) ซึ่งสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (สนย.) จะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาออกใบรับรองการก่อสร้างฯ (อ.5) ประมาณ 14 วันทำการ
ประมาณการระยะเวลาในการดำเนินงาน ซึ่งรวมการแก้ไข และ/หรือขอใบรับแจ้งก่อสร้างอาคารฯ ใหม่ และอื่น ๆ ทั้งหมดประมาณ 6 เดือน นับจากวันที่หาที่ดินใหม่เรียบร้อย
1.2 การยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่
การยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาพิพากษาคดีใหม่ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 75 ที่กำหนดเหตุในการขอพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ ดังต่อไปนี้
- ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด หรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ
- คู่กรณีที่แท้จริงหรือบุคคลภายนอกนั้นมิได้เข้ามาในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหรือได้เข้ามาแล้วแต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกระบวนพิจารณา
- มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม
- คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ทำขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใด และต่อมาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
โดยขณะนี้บริษัทฯ กำลังพิจารณาเหตุในการยื่นคำร้องเพื่อพิจารณาคดีใหม่ข้างต้น ซึ่งมีอยู่หลายกรณี เช่น กรณีมีความคลาดเคลื่อนในการแสวงหาข้อเท็จจริง การรับฟังพยานหลักฐานในกระบวนพิจารณาของศาล และ กรณีที่ในอนาคตกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาพิพากษามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
สำหรับแนวทางดังกล่าวข้างต้น ต้องดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ทราบเหตุดังกล่าว แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษา (วันที่ 27 กรกฎาคม 2566)
1.3 ประสานเจ้าของเดิมให้ขอคืนที่ดินที่ถูกเวนคืนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
บริษัทฯ อยู่ระหว่างการประสานเจ้าของที่ดินเดิม เพื่อขอคืนที่ดินที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินฯ พ.ศ. 2562 มาตรา 53 และกฎกระทรวงการขอคืนที่ดินที่ถูกเวนคืน พ.ศ. 2564
1.4 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสนอผ่านกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อเสนอเรื่องให้รัฐสภาอนุมัติ
โดยบริษัทฯ จะเสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืน เพื่อขยายขอบเขตให้หน่วยงานภาครัฐใช้ที่ดินที่เวนคืนภายใต้วัตถุประสงค์ และสามารถใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์อื่นอย่างเหมาะสมด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องเสนอแก้ไขโดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผ่านกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อเสนอเรื่องให้รัฐสภาอนุมัติ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 1 ปี นับจากวันที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องข้างต้นยกร่างเสนอแก้ไขกฎหมาย
1.5 เสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผ่านสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร (สนย.) ไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ไปยังคณะรัฐมนตรี
โดยบริษัทฯ จะเสนอให้หน่วยงานภาครัฐแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 เพื่อแก้ไขให้เกิดความชัดเจนให้ที่ดินที่ไม่มีด้านใดด้านหนึ่งติดถนนสาธารณะ แต่มีที่ดินอื่นที่สามารถใช้ประโยชน์เป็นทางเข้าออกของรถดับเพลิงได้ ไม่น้อยกว่า 12 เมตร ให้สามารถใช้ที่ดินนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องเสนอแก้ไขโดยสำนักการโยธากรุงเทพมหานคร ไปยังกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อเสนอกระทรวงมหาดไทย ไปยังคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 3 เดือน นับจากวันที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องข้างต้นยกร่างเสนอแก้ไขกฎหมาย
- แนวทางช่วยเหลือเรื่องการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่มีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน
บริษัทฯ ได้ประสานงานกับสถาบันการเงินหลักหลายแห่งเป็นที่เรียบร้อย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการผ่อนชำระสินเชื่อของท่านเจ้าของร่วมที่ยังมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงิน โดยท่านเจ้าของร่วมสามารถยื่นขออัตราดอกเบี้ยพิเศษ(Retention) ไปยังสาขาของสถาบันการเงินที่ท่านขอสินเชื่อ หรือหากมีข้อขัดข้องประการใด สามารถติดต่อได้ที่ คุณอุมาภรณ์ แพรสมบูรณ์ (เจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลลูกค้า โครงการแอชตัน อโศก) umaporn@ananda.co.th โทร. 087-5503952 เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผลการพิจารณาจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมเคียงข้างท่านเจ้าของร่วมทุกท่าน ในการเร่งดำเนินการแสวงหาทางออกอย่างสุดความสามารถ ซึ่งในบางแนวทางนั้นจะสำเร็จตามที่คาดหวังได้ ก็จะต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างท่านเจ้าของร่วมและบริษัทฯ ควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา และหากได้รับความร่วมมือร่วมใจกันจากท่านเจ้าของร่วมทุกท่าน บริษัทฯ มั่นใจว่าการแก้ไขตามแนวทางข้างต้น จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแจ้งความคืบหน้าอันเป็นสาระสำคัญให้ท่านเจ้าของร่วมทุกท่านรับทราบอย่างต่อเนื่
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
จับสัญญาณโดมิโนเอฟเฟกต์อสังหาฯจาก ‘คันทรี การ์เดน’ สู่ ริสแลนด์
จากปัญหาการผิดนัดชำระดอกเบี้ยจากการขาดสภาพคล่องของอสังหาริมทรัพย์ในจีนเริ่มจาก “เอเวอร์แกรนด์” สร้างความหวาดวิตกให้กับดีเวลลอปเปอร์ไทยที่พึ่งพาลูกค้าจีน ล่าสุดกรณี “คันทรี การ์เดน” ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาฯ อันดับ 6 แห่งแดนมังกร ลามสู่ “ริสแลนด์ ประเทศไทย”
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า คันทรี การ์เดน ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ในประเทศจีน ที่ก่อนหน้านี้เคยขึ้นอันดับ 1 ของบริษัทอสังหาฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกช่วงปี 2563 โดยมีรายได้มากถึง 2.461 ล้านล้านบาท เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย Zero Covid ของรัฐบาลจีน จนทำให้เกิดปัญหาเรื่องของเงินทุนหมุนเวียนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา
“แม้จะมีรายได้มากขึ้น แต่รายจ่าย และต้นทุนในการพัฒนาโครงการสูงขึ้นตามไปด้วยทำให้กำไรลดลงมาโดยตลอด จนล่าสุดกลายเป็นขาดทุนกว่า 900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 31,500 ล้านบาท”
โดยทางบริษัทออกจดหมายแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่า พวกเขาอาจจะมีปัญหาในการชำระหุ้นกู้ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.พ.2569 และ ส.ค.2573 ซึ่งออกมาในแนวทางเดียวกับที่เอเวอร์แกรนด์เคยประสบมาเหมือนกัน เรื่องนี้สร้างความกังวลใจให้กับตลาดหุ้น และตลาดอสังหาฯ ของประเทศจีนมากมายยิ่งกว่าเรื่องของเอเวอร์แกรนด์ เพราะ คันทรี การ์เดน มีการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศจีนจำนวนมากกว่าเอเวอร์แกรนด์ และมีการลงทุนในต่างประเทศอีกหลายประเทศด้วย
“หากเขาไม่สามารถหาเงินมาชำระหุ้นกู้เหล่านี้ได้ก็คงเป็นยักษ์ใหญ่อีกรายในตลาดอสังหาฯ ของจีนที่ต้องเข้าสู่แผนการฟื้นฟู และมีความเป็นไปได้ที่จะประสบปัญหาเดียวกัน เพราะวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา คันทรี การ์เดน เพิ่งผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้”
สำหรับ คันทรี การ์เดน มีการลงทุนนอกประเทศจีนค่อนข้างมาก โดยใช้ชื่อบริษัท “ริสแลนด์” ในการพัฒนาโครงการนอกประเทศจีน แต่การลงทุนหรือการบริหารงาน “ไม่มี” ความเกี่ยวข้องกับบริษัทแม่ในจีนแต่อย่างใด
บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเพื่อขาย แล้วนำเงินจากการขายมาหมุนเวียนพัฒนาโครงการควบคู่กับการขอสินเชื่อธนาคารในประเทศไทย โดยมีการออกหุ้นกู้บ้างในช่วงแรกของการเปิดขายโครงการที่ 1-3 อาจมีการใช้เงินทุนจากจีน แต่เมื่อทั้ง 3 โครงการแรกใกล้ปิดการขายและใกล้โอนกรรมสิทธิ์ก็ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระดับหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้จะ “ไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่” ก็ตาม
สุรเชษฐ วิเคราะห์ว่า ปัญหาในตลาดอสังหาฯ ของประเทศจีน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเร่งเปิดขายโครงการใหม่! และการตลาดที่เน้นประชาสัมพันธ์ให้คนซื้อเพื่อการลงทุนมากกว่าซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ดังนั้น เมื่อรัฐบาลจีนควบคุมเรื่องการถือครองอสังหาฯ ของคนจีน มีการห้ามขึ้นค่าเช่ามากกว่า 5% ในหลายเมือง การควบคุมผู้ประกอบการผ่านนโยบายสินเชื่อธนาคาร การควบคุมการประมูลที่ดินในแต่ละเมืองไม่ให้เกิดการแข่งขันในเรื่องของราคามากเกินไป
รวมไปถึงควบคุมธนาคารไม่ให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการแบบรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายบริษัทมีรายได้ลดลง และการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ มากเกินไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหลายธุรกิจเพิ่งเริ่มดำเนินกิจการยังไม่มีรายได้มากพอในการดำเนินกิจการให้ต่อเนื่อง พอประสบปัญหาช่วงโควิด-19 จึงทำให้ทุกเรื่องวุ่นวาย และส่งผลกระทบต่อเนื่องกันหมดอย่างที่เกิดขึ้นกับ เอเวอร์ แกรนด์ และ คันทรี การ์เดน รวมไปถึงอีกหลายรายขนาดกลางและเล็กที่ประสบปัญหาก่อนหน้านี้
สำหรับแนวทางแก้ปัญหา “รัฐบาลจีน” คงปล่อยให้แต่ละบริษัทแก้ปัญหาเอง ไม่เข้าไปยุ่ง แต่คงดูในส่วนของผลกระทบกับประชาชนผู้ซื้อทั่วไปมากกว่า บริษัทต่างๆ ที่มีปัญหาคงต้องขายทรัพย์สินออกมาก่อนเพื่อลดภาระหนี้สิน จากนั้นจึงค่อยหาทางพลิกฟื้นกิจการ หรือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
ภายใต้ นโยบาย 3 เส้นแดง (Three red lines) ประกอบด้วย 1.อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ต้องไม่เกิน 70% 2.อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องไม่เกิน 100% และ 3.เงินสดต่อหนี้สินระยะสั้นต้องมากกว่า 1 เท่าตัว
ทั้งนี้ หากบริษัททำได้ตามเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อนโยบายดังกล่าวจะสามารถขอเครดิตสินเชื่อได้ 15% ถ้าทำได้ 2 ข้อได้ 10% ทำได้ 1 ข้อได้สินเชื่อ 5% หากไม่ได้สักข้อปีนั้นหมดสิทธิ์ขอสินเชื่อใดๆ ซึ่งรัฐบาลออกนโยบายนี้เพื่อควบคุมไม่ให้ตลาดอสังหาฯ มีปัญหา
“การมาของนโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการในการควบคุมการเติบโตของหนี้สิน การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน และยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป”
สำหรับ บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ RLTH เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง ดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภท ได้แก่ การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์ การบริหารจัดการอสังหาฯ รวมถึงการพัฒนาและบริหารโครงการสาธารณูปโภค เป็นต้น
โดยเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในปี 2560 ก่อนวิกฤติโควิด ปัจจุบันมีโครงการอสังหาฯ ภายใต้การพัฒนาจำนวน 7 โครงการ รวมมูลค่าสะสม 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ได้แก่ เลค ซีรีน พระราม 2 โครงการคอนโดมิเนียมอีก 6 โครงการ ได้แก่ อาร์ติซาน รัชดา, คลาวด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี, คลาวด์ สุขุมวิท 23, สกายไรส์ อเวนิว สุขุมวิท 64, เดอะ ลิฟวิ่ง เพชรเกษม และ เดอะ ลิฟวิ่ง รามคำแหง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23 ส.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.02 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจถูก “ชะลอการแข็งค่า”ด้วยโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศของผู้เล่นบางส่วน อาทิ ค่าเงินเยน ส่วนเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสแข็งค่าต่อหรือทรงตัว sideway หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดูดี
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23 ส.ค.2566 ที่ระดับ 35.02 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเริ่มกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังการโหวตเลือกนายกฯ เสร็จสิ้นลง ซึ่งต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า
ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยได้มากน้อยเพียงใด โดยจากสถิติในอดีตที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงหลังการโหวตเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาล หากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยสุทธิราว 3-4 หมื่นล้านบาท ก็มีโอกาสหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ราว +1%
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ไทยในช่วงที่ผ่านมา ตามทิศทางของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ก็อาจหนุนโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะทยอยเข้าซื้อบอนด์ไทยมากขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาว และหากเงินบาทเริ่มมีทิศทางแข็งค่าขึ้นชัดเจน เราคาดว่า ฟันด์โฟลว์บอนด์ระยะสั้นก็จะกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิ เพื่อสะท้อนการเพิ่มสถานะ Long THB ของผู้เล่นต่างชาติได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอด้วยโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศของผู้เล่นบางส่วน อาทิ ฝั่งผู้นำเข้า โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นพอสมควรเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น อย่าง ค่าเงินเยนญี่ปุ่น นอกจากนี้ ทิศทางเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสแข็งค่าต่อหรือทรงตัว sideway ได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดูดี
และบรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็ส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งต้องรอติดตาม ถ้อยแถลงของประธานเฟด ในงานสัมมนาวิชาการ Jackson Hole วันศุกร์นี้ อย่างใกล้ชิด อนึ่ง หลังจากที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ ทำให้เราประเมินโซนแนวต้านใหม่แถว 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ และแนวรับเงินบาทในระยะนี้ แถวโซน 34.80 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.15 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ Sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.93-35.12 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการโหวตเลือกนายกฯ โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลง ในช่วงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และการย่อตัวลงของราคาทองคำ (คาดว่ายังคงมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า) ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเงินดอลลาร์ย่อตัวลง และราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง
ถ้อยแถลงล่าสุดของ Thomas Barkin ประธานเฟดสาขา Richmond ที่ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง นอกจากนี้ แรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารภูมิภาคหลายแห่งที่เผชิญการปรับลดเครดิตเรทติ้งจากทาง S&P ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี Dowjones ปรับตัวลง -0.51% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นกว่า +0.68% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ทั้งกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Rio Tinto +1.3%, LVMH +0.8%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Semiconductor (ASML +3.3%) ท่ามกลางความหวังว่า งบของบริษัท Nvidia สหรัฐฯ ผู้ผลิต Chip ชั้นนำจะออกมาแข็งแกร่ง
ในฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขา Richmond ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่าเฟดยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดราว 45% และมีโอกาสราว 83% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยจนถึงการประชุมเดือนพฤษภาคมปีหน้า (เริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนปีหน้า)
ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแตะจุดสูงสุดใหม่ แถวระดับ 4.37% ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงมาบ้าง ตามแรงซื้อของผู้เล่นบางส่วนในตลาด ทำให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.32%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้น ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ แต่ทว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ยังเป็นไปอย่างจำกัด จากแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 103.6 จุด (กรอบ 103.1-103.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่กดดันให้ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,918-1,928 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เรายังคงเห็นความพยายามในการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งก็มาจากแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดในจังหวะย่อตัว หรือ
การทยอยปิดทำกำไรสถานะ Short ของผู้เล่นบางส่วน โดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้ต่อเนื่อง ก็อาจเริ่มเห็นโฟลว์ขายทำกำไรการรีบาวด์ของทองคำกลับมาได้เช่นกัน
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ สหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งในส่วนของฝั่งสหรัฐฯ หากรายงานข้อมูลดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงขยายตัวได้ดี ก็อาจยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยต่อ และมีโอกาสที่เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
3 วิธีแก้ง่วง หลังกินข้าวกลางวัน
คนจำนวนมากมักจะมีอาการง่วงหาวนอนในระหว่างวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรับประทานอาหารเที่ยง มารู้สาเหตุของอาการง่วงนอนในตอนกลางวันและตอนหลังอาหารเที่ยง พร้อมกับวิธีการป้องกันอาการง่วงนอนเหล่านี้จากเภสัชกรญี่ปุ่นคุณ Teruko Kawaguchi กัน
สาเหตุของการง่วงนอนในตอนกลางวัน
สาเหตุสำคัญที่อาจทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกง่วงนอนมากกว่าปกติทั้งที่เข้านอนตามเวลาปกติ คือร่างกายขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนฮีโมโกลบินในเลือด การขาดธาตุเหล็กทำให้ความสามารถในการนำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายของโปรตีนฮีโมโกลบินลดลง ส่งผลให้เกิดอาการหายใจถี่และหายใจสั่น อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดลง รู้สึกหม่นหมองในตอนกลางวัน มีปัญหาในการนอนหลับ จนเป็นเหตุให้รู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา นอกจากนี้การขาดธาตุเหล็กยังก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางซึ่งจะทำให้รู้สึกเหนื่อยง่าย วิงเวียนศีรษะและง่วงนอนด้วย
วิธีป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
วิธีการป้องกันการขาดธาตุเหล็ก คือการหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ขาดคุณค่าสารอาหาร โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักจะสูญเสียเลือดผ่านประจำเดือนควรหันมารับประทานที่มีคุณค่าสารอาหารครบ 5 หมู่ และอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ได้แก่ โยเกิร์ต ลูกพรุน ตับสัตว์ ไข่ หอยลาย ผักกาดกวางตุ้ง ผักปวยเล้ง และผลิตภัณฑ์เสริมธาตุเหล็ก เช่น โยเกิร์ตหรือเครื่องดื่มเสริมธาตุเหล็ก เป็นต้น
ทำไมเรามักจะรู้สึกง่วงนอนหลังกินข้าวกลางวัน
การรับประทานอาหารเที่ยงจะไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เซลล์สมองผลิตโปรตีนสารสื่อประสาทที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของสมองชื่อ Orexin ได้น้อยลง จึงส่งผลให้คนรู้สึกง่วงนอนหลังมื้ออาหาร
ปัจจัยสำคัญในการป้องกันอาการง่วงนอนหลังอาหารมื้อเที่ยง คือการป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำได้ดังนี้
- รับประทานอาหารอย่างช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด
การเคี้ยวอย่างช้าๆ นอกจากจะค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้าๆ แล้วยังทำให้รู้สึกอิ่มไว ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้รู้สึกง่วงนอนหลังมื้ออาหารและป้องกันไม่ให้อ้วนง่ายด้วย - รับประทานผัก เห็ดและสาหร่ายก่อน
เส้นใยอาหารที่มีอยู่ในผัก เห็ด และสาหร่ายทะเล เป็นต้น จะช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารดังกล่าวก่อนแป้งช่วยป้องกันการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี - เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นได้ง่าย
วิธีนี้ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและแป้งขัดขาว แต่เลือกรับประทานข้าวกล้อง โซบะ และเมล็ดธัญพืช ที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากเพื่อนๆ กำลังประสบปัญหาง่วงนอนตลอดวันและหลังมื้อเที่ยงก็ลองนำวิธีการไปใช้ดู แต่ทั้งนี้อีกวิธีการที่สำคัญมากในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ คือการสร้างสุขลักษณะนิสัยการนอนที่เป็นเวลาให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 กำปั้นชายไทยชุด “เอเชียนเกมส์” บินเก็บตัว อุซเบกิสถาน, เกาหลีใต้
5 กำปั้นชายไทยชุด “เอเชียนเกมส์” บินเก็บตัว อุซเบกิสถาน และ เกาหลีใต้ พร้อมมั่นใจคว้า 2 โควต้าลุยโอลิมปิกปีหน้า
“โค้ชอ้วน” ตะวัน มุ่งพิงกลาง หัวหน้าสต๊าฟโค้ชทีมมวยมากลทีมชาติไทย พร้อมด้วย 5 นักชกชาย ได้แก่ ธิติสรรค์ ปั้นโหมด รุ่น 51 กิโลกรัม, รุตชการญ์ จันทร์ตรง รุ่น 57 กิโลกรัม, บรรจง สินศิริ รุ่น 63.5 กิโลกรัม, พีรภัทร์ เยียะสูงเนิน รุ่น 71 กิโลกรัม และ วีระพล จงจอหอ รุ่น 80 กิโลกรัม
เดินทางไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
How to be polite! มาดูวิธีเกลาประโยคภาษาอังกฤษให้สุภาพกัน
1. หากเราต้องการจะบอกสิ่งที่ผู้ฟังไม่อยากได้ยิน
แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ข่าวดีแน่นอนค่ะ แต่การจะพูดอย่างตรงไปตรงมาบ้างครั้งก็อาจจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดีได้ ดังนั้นเราจึงใช้รูปประโยคว่า ‘…might… a slight…’
ยกตัวอย่างเช่น
‘She tells me that there will be heavy rain tonight’
‘She tells me that there might be a slight rain tonight’
จากประโยคแรกจะแปลว่า หล่อนบอกว่ามีฝนตกหนักมาก ในประโยคแรกคือมีการใช้คำว่า ‘heavy’ เป็นการบอกปริมาณแล้ว ซึ่งผู้ฟังอาจจะไม่มีความสุขนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เราจึงเลือกใช้รูปประโยค ‘…might… a slight…’เข้ามาช่วย แปลว่า หล่อนบอกว่าอาจจะมีฝนตกนิดหน่อย ซึ่งเวลาเราใช้คำว่าอาจจะเนี่ย จะช่วยเพิ่มความคลุมเครือให้กับประโยคเป็นอย่่างมาก ที่เหลือก็ให้ผู้ฟังไปคิดเองละกันนะ
2. ใช้คำที่แทนปริมาณไม่มาก
ส่วนมากก็ใช้วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ (Adj.) หรือแทนคำว่า ‘very’ ไปเลยในกรณีที่คำคุณศัพท์นั้นมีความหมายที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่หนัก โดยคำที่สามารถมาแทน very และช่วยทำให้ประโยคดูอ่อนโยนนุ่มนวลลงได้โดยใช้คำเหล่านี้
‘a little, a bit, a little bit, slight, slightly และ one or two(+noun)’
เรามาดูตัวอย่างกันค่ะ
‘Actual sales volume will be under forecast this month.’
เปลี่ยนเป็น ‘Actual sales volume will be slightly under forecast this month’
‘These documents have so many unreasonable points’
เปลี่ยนเป็น ‘These documents have one or two unreasonable points’
3. ประโยคออกแนวคำสั่ง
กรณีที่เราต้องการจะบอกคู่สนทนาให้ทำตามที่เราบอก บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมควรนักและจะเป็นการบังคุบฝืนใจอีกฝ่ายมากเกินไปนะคะ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้รูป ‘Negative Question’ หรือเปลี่ยนให้ประโยคกลายเป็นประโยคคำถามแทน
ยกตัวอย่างเช่น
‘We should hold this project now!’
สามารถเปลี่ยนเป็น ‘Shouldn’t we hold this project now?’
4. พูดอ้อมๆ เพื่อลดความตรงไปตรงมาของเจตนาลง
ถือเป็นเทคนิคขั้นสูงเลยก็ว่าได้ค่ะ มีจุดประสงค์เพื่อที่จะสื่อในเรื่องที่เราต้องการแต่อาจจะดูตรงเกินไปหน่อยจนเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่สบายใจ เราสามารถเปลี่ยนประโยคดังกล่าวให้เป็นรูป ’Past Continuous Tense’ หรือ ‘Subject + verbช่วยช่องที่ 2 + v.ing’ แทน เพียงเท่านี้ประโยคก็จะดูอ่อนลงค่ะ ยกตัวอย่างเช่น
‘I think you can take me to a coffee shop this weeknd’
สามารถเปลี่ยนเป็น ‘I was thinking you could take me to a coffee shop this weekng’
‘We guess she is John’s wife’
สามารถเปลี่ยนเป็น ‘We were guessing she was John’s wife
5. หลีกเลี่ยงการกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม
การกล่าวหาคนอื่นว่าทำไม่ถูกต้องเป็นเรื่องที่อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อยในบางครั้งนะคะ ยิ่งถ้าเราไม่สนิทฝ่ายตรงข้ามล่ะก็ไม่สมควรอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่เป็นไปตามที่เรากล่าวหา ความสัมพันธ์มิสิทธิ์พังทันที เราสามารถหลีกเลี่ยงการกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามได้โดยการเปลี่ยนประโยคให้เป็น Passive voice และนำประธานของประโยคออกไป ยกตัวอย่างเช่น
‘You stole my work!’ (แรงมากกกกก)
แนะนำให้เปลี่ยนเป็น Passive voice อย่างไว ‘My work was stolen’
‘I confirm your resignation effective today’
สามารถเปลี่ยนเป็น ‘It is confirmed that your resignation is effective today’
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
แอปเปิลออกมาเตือน “ทำไมไม่ควรชาร์จมือถือในเวลานอน”
การชาร์จไฟมือถือ เป็นเองปกติ เนื่องจากบางคนใช้งานเครื่องมาทั้งวันแล้วแต่อาจจะมีพลังงานเหลือไม่เพียงพอต่อการใช้งานต่อ ก็จำเป็นจะต้องเติมพลังงาน แต่ล่าสุดนี้ Apple ออกมาเตือนว่าไม่ควรชาร์จไฟในเวลานอน เพราะเป็นอันตรายและอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
ซึ่งผู้ผลิตมือถือดังได้เผยว่า การชาร์จไฟในเวลากลางคืน อาจจะทำให้เราไม่รู้ว่าการมือถือที่ชาร์จไฟนั้นเกิดความผิดพลาดเช่นไฟช็อต, หรือสายชาร์จเกิดปัญหาทำให้เกิดความร้อนสูง ส่งผลให้เกิดเพลิงไหมได้ ซึ่งอาจจะทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ, ทรัพย์สินเสียหาย รวมถึง iPhone เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม Apple ได้เปิดเผยว่าการชาร์จไฟที่ถูกต้องควรจะชาร์จไฟในจุดที่สามารถถ่ายเทอากาศได้อย่างเหมาะสม และอีกสิ่งที่คุณไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ ซุกมือถือ และอุปกรณ์ชาร์จใต้หมอนในเวลานอนหลังเพราะจะทำให้มือถือร้อนแลเกิดไฟไหม้อย่างที่หลายกรณีที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ในบันทึกความปลอดภัยของ Apple ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า “ไม่ควรวางมือถือขณะติดตั้งที่ชาร์จ (Adapter) เพื่อชาร์จไฟ หากอยู่บนผ้าห่ม, หมอน หรือร่างกายของคุณ ควรจะชาร์จไฟในพื้นที่ถ่ายเทอากาศได้ดี และควรใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษ หากตรวจจับว่าอุปกรณ์ร้อนเกินไป ”
และยังมีการบอกเรื่องของการหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟที่ไม่ได้รับมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้จริงๆ แล้วในเรื่องความปลอดภัยพื้นฐานเหล่านี้ทุกยี่ห้อมีการระบุหมดทุกอย่าง อยู่แล้วสิ่งที่ควรทำคือ การชาร์จไฟอุปกรณ์ควรจะอยู่ในสายตาของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแบบมีสายหรือไร้สายก็ตาม เพราะอุบัติเหตุ มักเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ควรจะประมาทครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 ประโยชน์ดีๆ ของ “ลูกพลับ” ที่อาจทำให้คุณอยากกินมากขึ้น
มีท่านผู้อ่านท่านใดในที่นี้เป็นแฟนคลับของลูกพลับบ้างคะ? ลูกพลับเป็นผลไม้ที่มีทั้งรสหวานและรสฝาด ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องมีเทคนิคในการเลือก หรืออาจเลือกตามสายพันธุ์ หรือแหล่งจำหน่ายที่ไว้ใจได้ เพื่อให้ได้รสชาติที่พึงพอใจ อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องของรสชาติที่อร่อยแล้ว ลูกพลับ ก็ยังให้คุณค่าทางอาหารสูงมากอีกด้วย
สารอาหารในลูกพลับ
ลูกพลับ เป็นผลไม้ที่มีดีมากกว่ารสชาติที่อร่อย เพราะจัดว่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงและให้แคลอรีต่ำ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักสุขภาพ หากคุณรับประทานลูกพลับ 1 ผล (หรือประมาณ 168 กรัม) คุณจะได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้
- พลังงาน 118 แคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 31 กรัม
- โปรตีน 1 กรัม
- ไขมัน 0.3 กรัม
- ไฟเบอร์ 6 กรัม
นอกจากนี้ลูกพลับยังให้วิตามินและแร่ธาตุสำคัญ ที่ช่วยให้สุขภาพดีอีกมากมาย ได้แก่
- วิตามินเอ
- วิตามินซี
- วิตามินอี
- วิตามินเค
- วิตามินบี 1
- วิตามินบี 6
- โพแทสเซียม
- ทองแดง
- แมงกานีส
- โฟเลต
- แมกนีเซียม
- ฟอสฟอรัส
ประโยชน์ของลูกพลับ
- ดีต่อสายตา
ในลูกพลับมีสารต้านอิสระสำคัญที่ชื่อ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองชนิดนี้เป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ป้องกันความสูญเสียทางการมองเห็น
- มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง
ลูกพลับอุดมไปด้วยสารไฟเซติน (Fisetin) ซึ่งเป็นสารอาหารในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) โดยสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อระบบเส้นประสาทและสมอง รวมถึงมีส่วนช่วยในการป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพทางสติปัญญาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าสารไฟเซตินมีส่วนช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกายอีกด้วย
- ดีต่อสุขภาพหัวใจ
ผักและผลไม้หลายชนิดมีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ ลูกพลับก็เช่นเดียวกัน เพราะในลูกพลับมีสารอาหารสำคัญต่อหัวใจนั่นคือโพแทสเซียม ซึ่งหากร่างกายได้รับโพแทสเซียมอย่างเพียงพอก็จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่นำไปสู่โรคหัวใจ วิตามินซีและโฟเลตในลูกพลับเองก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจวาย
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มสีส้มหรือสีเหลืองอย่างลูกพลับ จัดว่าเป็นกลุ่มอาหารที่ให้สารอาหารสำคัญอย่างเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมและลดอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงจึงดีต่อระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีมากขึ้น จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในลำไส้อย่างมะเร็งลำไส้ใหญ่
- มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
ไม่ใช่แค่เพียงการหมั่นออกกำลังกายและการดื่มนมเท่านั้นที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การรับประทานผักและผลไม้ต่างๆ ก็ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพกระดูกเช่นกัน โดยเฉพาะกับลูกพลับซึ่งมีสาร โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่ได้รับการค้นพบและวิจัยว่ามีส่วนช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้
วิธีเลือกลูกพลับ
- เลือกลูกพลับที่มีผลอวบ มีผิวเรียบเนียน เป็นเงาวาว ไม่มีรอยแตกหรือรอยช้ำ
- หากต้องการรับประทานลูกพลับทันที หรือกินภายใน 1-2 วัน ควรเลือกลูกพลับที่สุกแล้ว เพราะลูกพลับที่ยังไม่สุกอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน กว่าที่ลูกพลับจะสุกพร้อมรับประทาน
- หากซื้อลูกพลับที่ยังไม่สุกมา และต้องการทำให้สุก สามารถเก็บลูกพลับไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย โดยนำลูกพลับใส่ไว้ในถุงกระดาษที่ปิดมิดชิด
ข้อควรระวังในการรับประทานลูกพลับ
- โปรดแน่ใจว่าตนเองไม่มีอาการแพ้ลูกพลับ เพราะหากมีอาการแพ้ที่รุนแรงอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรืออันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ในกรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง
- หากมีอาการทางสุขภาพที่เกี่ยวกับช่องท้อง กระเพาะอาหาร หรือมีการผ่าตัดที่เกี่ยวเนื่องกับช่องท้องหรือกระเพาะอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกพลับไปก่อนจนกว่าจะหายดี เนื่องจากอาจเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาการอุดตันในลำไส้ได้
- ล้างลูกพลับก่อนนำมารับประทานเสมอ
- หากนำไปแช่ตู้เย็นควรเก็บลูกพลับให้ห่างจากอาหารประเภทอื่น เช่น เนื้อสัตว์ หรือปลา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอาหาร หรืออาจทำให้กลิ่นของอาหารผิดเพี้ยนไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/08/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,400.00 | 31,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,034.00 | 30,835.44 | 32,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,830.60 | 27,751.90 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,627.20 | 24,668.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 915.00 | 13,871.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 712.00 | 10,793.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,108.00 | 31,957.28 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/08/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.55 | 39.55 | 40.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 | 39.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.28 | 39.28 | 40.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 | 39.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.24 | 37.24 | 38.24 | 37.24 | 37.24 | – | 37.24 | 37.24 | 37.24 | 37.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.69 | 37.69 | – | – | – | – | – | – | – | 37.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 48.54 | 48.94 | 48.94 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 47.34 | – | – | – | 48.51 | – | 47.84 | 47.49 | – | 47.34 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.74 | 43.14 | 47.94 | 43.54 | 43.54 | – | – | – | – | 41.74 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |