สาระน่ารู้ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2566

วีบียอนด์ หวังรัฐออกมาตรการใหม่กระตุ้นตลาดอสังหาฯ

ซีอีโอ วีบียอนด์ กล่าวในเวทีสัมมนาฐานเศรษฐกิจ แนะรัฐยกเลิกมาตรการ LTV ให้หาวิธีควบคุมสินเชื่อรูปแบบใหม่ และออกมาตรการใหม่กระตุ้นตลาดอสังหาฯ ประคับประคองเศรษฐกิจไทย

นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีบียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา Property Insight : โจทย์ใหญ่ฟื้นอสังหาริมทรัพย์ เรื่อง โอกาส และ ความท้าทาย ฟื้นอสังหาไทย จัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า ภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาฯ ยังคงต้องการมาตรการจากภาครัฐมาช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวต่อไปได้ และจะให้ดีคือต้องยกเลิกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย หรือ มาตรการ LTV

นายวรเดช กล่าวว่า ความคิดเห็นส่วนตัวมีเรื่องที่อยากจะส่งไปถึงภาครัฐตัดสินใจเรื่อง มาตรการ LTV ต้องเลิกใช้ เพราะไม่ใช่มาตรการที่เอามาชื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อ และไม่ใช่มาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเมื่อออก LTV มายังไงยอดขายก็แตะเบรก จึงอยากให้หาวิธีควบคุมสินเชื่อรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อไปคุมสินเชื่อที่ด้อยคุณภาพ และทำให้แผนจัดการทางการเงินให้ดีขึ้น

โดยมีข้อเสนอว่า ในวิธีการควบคุมคุณภาพของสินเชื่อนั้นสามารถดำเนินการได้ผ่านวิธีเช่น การขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระค่าที่อยู่อาศัยจาก 30 ปี เป็น 40 ปี หรือ 50 ปี หรือทำให้เป็นสินเชื่อฐานแรกที่มีราคาต่ำลง เช่นเดียวกับการเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาสม รวมทั้งการหาทางผ่อนปรนการชำระสินเชื่อง่ายขึ้น ช่วยคนที่มีรายได้น้อยได้ได้หายใจง่ายขึ้น หรือจะรวมภาระทั้งหมดเข้าด้วยกันไปอยู่ที่สินเชื่อบ้าน

“จริง ๆ มีมาตรการในการแก้ไขที่อยากจะเสนอแนะมากมายไม่ใช่วิธีการออก LTV แน่นอนว่าถ้าออกมาตรการนี้แล้วกระทบยอดขายสะดุด ซึ่งภาคอสังหาฯ ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ จะกระทบทั้งระบบ ตั้งแต่อิฐ หิน ปูน ทราย ลูกหนี้ธนาคาร จะกลายเป็นวิกฤตที่น่ากลัวที่สุด โดยเรื่องนี้หากใช้ยาผิดจะเกิดปัญหาได้”

ทั้งนี้มองว่า ในการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯให้ขยายตัวต่อไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยระบบสินเชื่อ เพราะปัจจุบันนี้ธุรกิจอสังหามีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ Fintech เกิดขึ้นจำนวนมากผ่านแพลตฟอร์มให้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ และตอนนี้ภาคธุรกิจก็เริ่มหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ผ่านระบบนวัตกรรมของสินเชื่อเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาฯ

นายวรเดช ยอมรับว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้เปลี่ยนไปจากเดิม โดยหันมาใช้สินเชื่อทางเลือกมากขึ้น เช่น การเช่าซื้อ การเช่า และการลงทุนอสังหาฯ ผ่านนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เช่นเดียวกับการมีแพลตฟอร์มการซื้อ-ขายอสังหาฯ ผ่านเทคโนโลยี Block Chain ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกในการซื้อขขายอสังหาได้สะดวกขึ้น

“ในอนาคตจะแบ่งเป็นโลกของผู้ลงทุนในอสังหาฯ ใช้เงินแค่ 2 แสน หรือ 5 แสนบาท ก็เป้นเจ้าของอสังหาฯ เมื่อเบื่อก็ขายตัวนั้นออก เป็นเหรียญ TOKEN หรือแลกเปลี่ยนใหม่เป็นประเภทอื่นแทน คนจะไม่นิยมแบบการซื้อขาดแต่เป็นแบบเช่าซื้อมากขึ้น ส่วนสิ่งที่อยากให้มี มองว่าตอนนี้อยากให้มีรัฐบาลโดยเร็วด้วย” นายวรเดช ระบุ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


WHART แนะโอกาสลงทุนอสังหาฯ ในกอง REIT ช่วงกราฟขาลง

WHART แนะโอกาสลงทุนอสังหาฯ ในกอง REIT ช่วงกราฟขาลง พร้อมแชร์ 6 เทคนิคต้องคำนึงก่อนตัดสินใจลงทุน ชี้ต้องดูงบการเงินย้อนหลัง 5-10 ปี-รายละเอียดการลงทุน

นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกลองทรัสต์ WHART กล่าวเสวนาหัวข้อ “อสังหาฯ โอกาสลงทุนในกอง REIT” ในงานสัมมนาโจทย์ใหญ่ฟื้นอสังหาริมทรัพย์ จัดโดย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การลงทุนในกอง REIT (รีทส์) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์นั้น มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มออฟฟิศ โรงแรม ที่อยู่อาศัย และสนามบิน เป็นต้น 

โดยการลงทุนในกอง REIT ของประเทศไทยก็มีนโยบายในการลงทุนสินทรัพย์เหล่านี้แตกต่างกัน และผลตอบแทนแต่ละกองก็แตกต่างกันด้วย หากถามว่าทำไมต้องเป็นการลงทุนในกอง REIT อสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ โดย 6 เดือนที่ผ่านมากราฟอยู่ในขาลงมาโดยตลอด แปลว่าราคาลดลงมาค่อนข้างเยอะ และหากมองไป 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับที่ต่ำมาก เชื่อว่าหากทุกท่านมีความรู้ และเข้าใจคาแรกเตอร์ของแต่ละกอง REIT ได้ ก็เป็นโอกาสลงทุนในกอง REIT 

“หากหากอง REIT ที่มีความมั่นคงได้ ซึ่งมีโอกาสทำให้การลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น เพราะด้วยราคาที่ลดลงมาขนาดนี้ จะทำให้ฐานการลงทุนน้อยลง มีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น และได้เงินปันผลอีกทางหนึ่ง”

ทั้งนี้ การที่จะลงทุนในกอง REIT จะต้องพิจารณาใน 6 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. Market Sentiment โดยสิ่งที่นักลงทุนควรจะรู้ คือ ข้อมูลอะไรบ้างที่อิมแพคการลงทุนนั้นๆ ทั้งในด้านโอเปอเรชั่น และการเงิน ซึ่งเราอยู่ในช่วงภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง และบอนด์ยีลสูง อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ฉะนั้น ต้องทราบว่าการที่จะลงทุนในกอง REIT ข้อมูลเหล่านี้มีผลอย่างไร เพื่อให้ลงทุนได้ดีขึ้น

จากนั้นต้องดูว่า 2. Sector/Investment Policy ที่ลงทุนเป็นอย่างไร เนื่องจากแต่ละกลุ่มมีการลงทุนที่แตกต่างกัน เช่น โรงแรม ออฟฟิศ และคลังสินค้า มีความเสี่ยง และปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน จะต้องศึกษาให้ดี

3. Fundamentals จะต้องดูว่ากอง REIT ที่สนใจแต่ละกองทีไซส์เป็นอย่างไร ซึ่งหากเป็นกอง REIT ที่มีขนาดใหญ่ก็หมายความว่ามีการกระจายความเสี่ยงที่สูงกว่ากองที่มีขนาดเล็ก และถือว่ามีความน่าสนใจกับนักลงทุนประเภทต่างๆ รวมทั้งกลุ่มที่ลงทุนในกอง REIT นั้นๆ ก็ต้องมีการพิจารณาว่าการที่มีนักลงทุนลงทุนในกองนั้นๆ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร จะทำให้เราเข้าใจใน REITที่จะลงทุนมากยิ่งขึ้น

หลังจากได้กองที่จะลงทุนแล้ว จากนั้นจะต้องดูว่า 4. Asset Invesed เป็นอย่างไร เพราะสินทรัพย์แต่ละกลุ่มมีปัจจัยต่างๆที่ไม่เหมือนกัน เช่น คลังสินค้า หรือโรงงาน ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน และตั้งอยู่คนละที่ด้วย จึงต้องพิจารณาให้ดี เช่น โลเคชั่นที่กอง REITเข้าไปลงทุนน่าสจในหรือไม่ มีแวลูหรือไม่  ซึ่งอาจมีผลต่อดีมานด์ และรายได้ รวมทั้งตัวผู้เช่าว่ามีกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มไหน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของรายได้ และแปรผันเป็นผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ในอนาคต

ทั้งนี้ เมื่อทราบรายละเอียดสินทรัพย์ในการลงทุนแล้ว ถัดมาจะเป็นเรื่อง 5. Historical Performance ซึ่งควรจะมองอย่างน้อย 5-10 ปีย้อนหลัง เนื่องจากช่วง 5 ปีทีผ่านมาเราเจอโควิดไปแล้ว 3 ปีกว่า ฉะนั้น หากดูงบการเงิน REIT กองใดกองหนึ่งช่วงปัจจุบันเยอะ 10-15% แต่จะดูว่าที่โตมาจากฐานที่ต่ำในช่วงโควิดหรือไม่ และจะต้องดูการจ่ายผลตอบแทนด้วยว่าในช่วงมีวิกฤตต่างๆ นั้น มีการจ่ายผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ เป็นต้น

“เวลาลงทุนในกอง REIT จะต้องดูงบการเงิน 10 ปีย้อนหลัง เพราะเป็นระยะเวลาย้อนหลังมีทั้งช่วงขาขั้นและขาลง จะทำให้เห็นว่าการลงทุนในกองREITนั้น ดีหรือไม่ดี”

และ 6. Financial Management ต้องดูว่ากองREITนั้นมีการจัดการการเงินอย่างไรบ้าง มีหนี้อย่างไร และจะต้องดูสัดส่วนไส้ในด้วย เช่น เป็นหนี้ประเภทหุ้นกู้ หรือหนี้ประเภทเงินกู้ ซึ่งมีความต่าง เพราะในช่วงที่ดอกเบี้ยสูงหากมีเงินกู้เยอะก็อาจจะมีประเด็นในเรื่องดอกเบี้ยลอยตัว แต่หากมีหุ้นกู้เยอะ แม้ดอกเบี้ยปรับขึ้นเยอะ หนี้ก็อยู่ระดับเดิม เพราะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 27ก.ค. ที่ระดับ 34.21 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังผันผวนสูงตลาดการเงินจากปัจจัยการเมืองไทย-ไฮไลท์สำคัญวันนี้อยู่ที่ “การตอบรับของตลาดจากผลประชุมธนาคารกลางยุโรป -เฟด” คาดกรอบเงินบาทว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม ECB

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ก.ค.2566 ที่ระดับ  34.21 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทในวันก่อนหน้า อาจเริ่มถูกชะลอลงด้วยท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ยังไม่มั่นใจว่า เฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยได้จริงหรือไม่ (เราคงมุมมองเดิมว่า เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายไปแล้วในการประชุมวันนี้)

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศก็จะยังคงส่งผลให้ นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง ทำให้เงินบาทยังขาดแรงหนุนฝั่งแข็งค่าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน เราเริ่มเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้นำเข้า ทำให้เงินบาทอาจไม่แข็งค่าหลุดโซนแนวรับสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (หากแข็งค่าหลุดโซนดังกล่าวก็อาจแข็งค่าทดสอบระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ได้)

อนึ่ง ควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดค่าเงินในช่วงผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB เพราะในช่วงนี้ ปัจจัยหนุนเงินยูโร (EUR) อย่าง ตลาดหุ้นยุโรปก็เริ่มส่งสัญญาณผันผวน/ย่อตัวลง ทำให้เงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นต่อได้ ต้องอาศัยความชัดเจนของประธาน ECB ที่จะย้ำจุดยืนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ

ทั้งนี้ เงินยูโรอาจพอได้แรงหนุนจากการรีบาลานซ์สถานะ hedging ของนักลงทุนสถาบัน รวมถึงแรงซื้อเงินยูโรของบรรดาบริษัทเอกชนในช่วงปลายเดือน ซึ่งอาจจะพอช่วยหนุนค่าเงินยูโรไม่ให้อ่อนค่าแรง หาก ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจน พร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อ

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงนี้ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.30 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม ECB

และคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-34.40 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนลักษณะ sideway down หรือทยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 34.16-34.32 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าหลุดแนวรับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ หลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ก่อนที่จะเงินบาทจะกลับอ่อนค่าลงเล็กน้อย ในช่วงที่เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง หลังถ้อยแถลงประธานเฟดยังสะท้อนว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้

ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก กดดันโดยแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft -3.4% หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัท นอกจากนี้ ท่าทีของประธานเฟดที่แบ่งรับแบ่งสู้ในประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าฟันธงว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย (จาก CME FedWatch Tool ตลาดยังให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งราว 36%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.02%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาลดลง -0.53% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH -5.2%, Dior -4.0%) หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่าผลประกอบการของบริษัทกลุ่มดังกล่าวอาจออกมาไม่สดใสนัก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม ECB ในวันนี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก แต่ท่าทีของประธานเฟดที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดพร้อมหยุดการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้ง ECB และ BOJ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 3.88% อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 3.85%-3.91% ในช่วงคืนก่อนหน้า)

ทั้งนี้ เราคงแนะนำให้ นักลงทุนรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อ หลังสัญญาณเศรษฐกิจของบรรดาประเทศหลักๆ ต่างสะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น และทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางก็ใกล้ถึงจุดจบดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นแล้ว

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย +25bps ตามคาด สู่ระดับ 5.25-5.50% ทำให้เงินดอลลาร์เผชิญแรงขายลักษณะ sell on fact อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง หลังประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ หากข้อมูลเศรษฐกิจ/ตลาดการเงิน สะท้อนถึงความจำเป็นในการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย

ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 101 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 100.9-101.3 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา) ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าฟันธงว่าบรรดาธนาคารกลางจะถึงจุดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งสะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในลักษณะ sideway/sideway down (สำหรับเงินดอลลาร์)

ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,972 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม ECB ซึ่งหากไม่มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย และบอนด์ยีลด์ระยะยาวเริ่มปรับตัวลดลง ภาพดังกล่าวก็อาจหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า ECB จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) +25bps สู่ระดับ 3.75% ทั้งนี้ ตลาดจะรอลุ้นว่า ECB จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องหรือไม่ในการประชุมครั้งถัดไป หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงมาก แม้ว่าจะชะลอลงต่อเนื่องก็ตาม

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และนอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ในช่วงนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวที่ระดับประมาณ 34.07-34.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ 10.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียแข็งค่าขึ้น

ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ไม่ได้รับแรงหนุนมากนักหลังการประชุมเฟด (ซึ่งเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ไปอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี) เนื่องจากผลการประชุมเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาด ขณะที่ตลาดยังคงให้น้ำหนักกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีไม่มาก แม้ท่าทีของประธานเฟดจะยังคงเปิดโอกาสสำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกในระยะข้างหน้าเพื่อสกัดแรงกดดันเงินเฟ้อก็ตาม 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.10-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่การตอบรับของตลาดต่อผลการประชุมเฟด สถานการณ์การเมืองของไทย รวมถึงผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เดือนมิ.ย. และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/66 (adv.) 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บาส-ปอป้อ” ปราบคู่เดนมาร์ก ลิ่วรอบสองขนไก่ เจแปน โอเพ่น

“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่ผสมมืออันดับ 3 ของโลก และมือวางอันดับ 2 ของรายการ สยบคู่เดนมาร์ก ผ่านเข้ารอบสองการแข่งขันแบดมินตัน “ไดฮัทสุ เจแปน โอเพ่น” ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม
 
“บาส-ปอป้อ” ลงสนามรอบแรกพบกับ แมเธียส คริสเตียนเซ่น-อเล็กซานดร้า บอจ์ มืออันดับ 11 ของโลกจากเดนมาร์ก ที่ปีนี้คว้ามาแล้ว 2 แชมป์
 
สำหรับสถิติที่พบกันมา 4 ครั้งที่เป็นการเจอกันในปีนี้ทั้งหมด ผลัดกันแพ้ชนะคนละ 2 ครั้ง โดยล่าสุดในศึก “สิงคโปร์ โอเพ่น” เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บาส-ปอป้อแพ้ไปอย่างสูสีทั้งสองเกม 24-26, 20-22
 
เกมนี้ ปรากฏว่า บาส-ปอป้อใช้ความเร็วและความเด็ดขาดเอาชนะไปสองเกมรวด 21-15, 21-18 ด้วยเวลา 40 นาที ผ่านเข้ารอบสอง(16 คู่) ไปพบผู้ชนะระหว่าง เคียวเฮอิ ยามาชิตะ-นารุ ชิโนย่า มืออันดับ 15 ของโลกจากญี่ปุ่น กับ เดจัน เฟอร์ดินันสยาห์-กลอเรีย เอมานูเอล วิดจาย่า มืออันดับ 17 ของโลกจากอินโดนีเซีย

ด้านชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 3 ของโลก และมือวางอันดับ 3 ชนะ หวัง จือ เว่ย มืออันดับ 28 ของโลกจากไต้หวัน 2-0 เกม 21-5, 21-16 เข้ารอบไปพบกับ เคนตะ นิชิโมโตะ มืออันดับ 11 ของโลกจากญี่ปุ่น
 
หญิงเดี่ยว “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 7 ของโลก และมือวางอันดับ 6 ชนะ เหวิน ชิ ซู มืออันดับ 20 ของโลกจากไต้หวัน 2-0 เกม 21-9, 21-13 ผ่านเข้ารอบสองไปเจอกับ “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 16 ของโลก ที่เอาชนะ ซาเอนะ คาวากามิ มืออันดับ 31 ของโลกจากญี่ปุ่น 2-0 เกม 22-20, 21-17
 
หญิงคู่ “อันนา-มูนา” นันทน์กาญจน์-เบญญาภา เอี่ยมสอาด มืออันดับ 10 ของโลก ชนะ เซตยาน่า มาปาซ่า-แอนจีล่า หยู มืออันดับ 84 ของโลกจากออสเตรเลีย 2-1 เกม 14-21, 21-8, 21-2

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ขี้ลืมมากแค่ไหน ถึงเป็นสัญญาณเสี่ยงโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

บางครั้งในวัยรุ่น หรือวัยทำงานอย่างเราๆ ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน หรืออาจจะนอนดึกจนเพลีย ก็อาจเป็นสาเหตุให้เราหลงๆ ลืมๆ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง เช่น ลืมมือถือ กุญแจบ้าน ไม่แน่ใจว่าล็อครถหรือยัง เป็นต้น

แต่หากขี้หลงขี้ลืมมากเกินไป ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้ ต้องลงลืมถึงขั้นไหน อย่างไร Sanook! Health มีข้อมูลมาให้เช็คตัวเอง และคนที่คุณรักกันค่ะ

10 สัญญาณเตือนภัย โรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

1. ลืมแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ถามย้ำซ้ำๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะรับทราบข้อมูลไปไม่นาน ลืมนัด ลืมทำธุระต่างๆ เป็นต้น

2. งาน หรือกิจกรรมที่เคยทำอยู่เป้รประจำ เริ่มจะทำได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากจำขั้นตอนไม่ได้ หรือลืมบางส่วนของการทำไป เช่น ทำอาหารลืมใส่เครื่องปรุง ลืมว่าใส่เครื่องปรุงไปแล้ว จึงใส่เพิ่ม เป็นต้น

3. เริ่มมีปัญหาด้านการพูด การใช้ภาษา พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน ต้องคิดก่อนพูดนานขึ้น เรียงลำดับในการใช้คำผิด เป็นต้น

4. สับสนเรื่องวัน เวลา และหนทาง โดยไม่สามารถจำวัน เวลาได้ และทางไปสถานที่ที่คุ้นเคยได้

5. มีความสับสนในความสัมพันธ์ของภาพ สี เสียง ระยะทาง จนอาจทำให้มีปัญหาในการขับรถ

6. สติปัญหาด้อยลง เคยทำสิ่งใดได้ดีก็เริ่มทำไม่ได้เหมือนเดิม ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่ได้

7. วางสิ่งของผิดที่ผิดทาง และยังคงใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติ เช่น เก็บรีโมตทีวีไว้ในตู้เย็น

8. อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย และรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ

9. บุคลิกโดยรวมเปลี่ยนไปจากเดิม เคยร่าเริงสดใส อาจกลายเป็นคนซึมเศร้า เคยพูดเก่ง แต่กลายเป็นคนเงียบขรึม หรือบางครั้งอาจกลายเป็นคนที่มีบุคลิกคล้ายเด็กเล็กๆ

10. เริ่มแยกตัวออกจากสังคม ไม่อยากพบปะผู้คน เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เฉื่อยชา ไม่สนใจ และกระตือรือร้น หรือตื่นเต้นต่อสิ่งรอบข้าง

หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์โดยทันที แต่หากยังรู้สึกว่าไม่ได้ขี้หลงขี้ลืมจนถึงขั้นนั้น แต่มีความรู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มหลงๆ ลืมๆ มากยิ่งขึ้น ลองทานอาหารบำรุงสมองดังต่อไปนี้ดูนะคะ

อาหารบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

1. ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า 3, 6 และ 9 เช่น ปลาทะเล ถั่วเหลือง ผักโขม เป็นต้น

2. โปรตีน เช่น โปรตีนจากเนื้อปลา ไม่ว่าจะปลาทะเล หรือปลาน้ำจืดก็ได้ แต่อย่าลืมทำให้สุกก่อนทาน เพื่อป้องกับพยาธิ และแบคทีเรียต่างๆ

3. วิตามินบี พบมากในถั่ว งา ข้าวโพด ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชต่างๆ รวมไปถึงนมด้วย

4. โคลีน พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโพด โดยเฉพาะส่วนของจมูกข้าวโพด หรือส่วนที่ใกล้ๆ ซังข้าวโพด และไข่แดง แต่หากใครที่มีปัญหาคอลเสเตอรอลสูง ควรทานไข่แดงน้อยๆ

5. สารเคอร์คูมิน พบได้ในขมิ้น ช่วยต้านการอักเสบ และลดการเสื่อมของสมองจากโรคอัลไซเมอร์ได้

สิ่งสำคัญคือ ทานอาหารให้หลากหลายสลับกันไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ หลักๆ 3 ข้อนี้ ก็ช่วยให้คุณสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


10 ประโยคง่ายๆ สำหรับการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติ

หลายคนอาจจะยกมือขอผ่าน หากต้องพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างประเทศ บอกเลยว่าน่าเสียดายมากๆ หากคุณละทิ้งโอกาสที่จะได้ฝึกสกิลภาษา หรือผูกมิตรกับคนในบริษัท  เอ๋ แล้วแบบนี้เราจะเริ่มต้นยังไงดี ถ้าอยากจะคุย หรือต้องพูดคุย ทำงานรวมกับชาวต่างนะ ?

มาพิชิตความกลัว ทลายกำแพงภาษา กับ วอลล์สตรีทอิงลิช ด้วย 10 ประโยคง่ายๆ สำหรับคุยกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติดีกว่า

1. Sorry to bother (disturb) you, but… (ขอโทษที่รบกวนนะ แต่…)

หากคุณต้องการขอความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องงานที่ต้องรบกวนอีกฝ่าย ลองเริ่มต้นด้วยประโยคขอโทษที่รบกวน ตามด้วยเรื่องที่ต้องการจะให้ช่วยดูสิ เช่น

Sorry to bother you, but could you check this report for me? (ขอโทษที่รบกวนนะ แต่คุณช่วยตรวจสอบรายงานนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม ?)

Sorry to disturb you, but can I borrow the stapler? (ขอโทษที่รบกวนนะ แต่ฉันขอยืมที่เย็บกระดาษหน่อยได้ไหม ? )

2. Do you have a minute? (ว่างคุยซักนิดไหม ? / มีเวลาซักเดี๋ยวไหม ?)

ถ้าให้แปลตรงๆ จะแปลว่า มีเวลาซักนาทีมั้ย ประโยคเหล่านี้ มักจะใช้ในเวลาเราอยากกวนเวลาใครสั้นๆ อาจจะเป็นการถามงานสัก 2 – 3 นาที  หรือถ้าใครเบื่อประโยคเดิมๆ จะลองใช้ประโยคต่อไปนี้ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ เพราะให้ความหมายที่ไม่แตกต่างกันเลย

“Can I have a word with you?”

“Can I talk to you for a minute/a second ?”

3. Can I speak to + ชื่อคน/ชื่อตำแหน่ง ? (ขอสายคุณ…หน่อยได้ไหมคะ/ครับ)

ประโยคข้างต้น เป็นประโยคที่เหมาะกับใคร ที่ต้องติดต่องานทางโทรศัพท์กับชาวต่างชาติมากๆ หรือจะใช้ติดต่อสื่อสาร ขอพบ หรือขอพูดคุยก็ได้ เช่น ไปถึงโต๊ะเลขาหน้าห้อง แล้วอยากขอคุยกับเจ้านายหน่อยก็ได้เหมือนกันนะ

4. When (What time) can I call you back ? (ฉันโทรกลับหาคุณได้เมื่อไร)

ไหนๆ ประโยคก่อนหน้านี้ก็เป็นการขอพูดคุย ขอพูดสายด้วยแล้ว ประโยคนี้จะเป็นประโยคต่อเนื่องกัน เมื่ออีกฝ่าย หรือคนที่เราต้องการคุยด้วบ ยังไม่ว่างคุย ณ ตอนนั้น  

โดยปรกติแล้ว ประโยคนี้ หากเราถามกลับไปได้ ส่วนมากคำตอบส่วนมากอีกฝ่าย (หรืออาจจะตัวเราเอง) ก็จะบอกช่วงเวลา หรือระยะเวลากลับมา เพื่อเป็นการนัดหมายในการโทรครั้งต่อไปนั่นเอง

5. Can you join the meeting on + วันที่ + at + เวลา? (คุณเข้าร่วมประชุมวันที่…เวลา…ได้ไหม ?)

เรื่องการนัดหมายประชุม หรือมีตติ้ง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการทำงานบริษัท แต่ถ้าใครที่ยังงงๆ ลองดูประโยคเต็มๆ นี้ ได้ เช่น “Can you join the meeting on Friday at 10 a.m.?” (คุณสามารถเข้าร่วมประชุมวันศุกร์ เวลา 10 โมงเช้าได้ไหม?)

หรือใช้ประโยคนี้ก็ได้ “Are you available for the meeting on Friday at 10 a.m.?” (คุณว่างสำหรับการประชุมวันศุกร์ เวลา 10 โมงเช้าไหม ?)

6. Would you mind helping me with … ? (รังเกียจไหม ถ้าจะช่วยฉันเกี่ยวกับ…)

อีกหนึ่งรูปแบบประโยค ที่ใช้เวลาต้องการขอความช่วยเหลือ ที่แตกต่างจากประโญคก่อนหน้านี้คือ นี่เป็นประโยคแบบสุภาพมากๆ โดยใจความหลักของประโยคนี้ เหมือนถามรวมๆ ว่า ช่วยฉันเรื่องนี้ได้มั้ย ถ้าอยากจะขอความช่วยเหลือเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ก็เอาศัพท์มาต่อท้ายได้เลย เช่น

“Would you mind helping me with this document ?” (รังเกียจไหม ? ถ้าจะช่วยฉันเกี่ยวกับเอกสารนี้)

“Would you mind helping me with the project ?” (รังเกียจไหม ? ถ้าจะช่วยฉันเกี่ยวกับโปรเจคนี้)

หรือถ้าอยากจะลดระดับความสุภาพลง เพราะบางคนคงนึกจั๊กจี้ไม่น้อย ถ้าต้องคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิท คุณอาจจะเปลี่ยนใช้คำว่า  “Can you help me with + N.?”  ก็ได้เหมือนกัน จะดูเป็นกันเองมากกว่า

7. Would you mind if + ประโยค  (จะเป็นอะไรมั้ยถ้า…)

เอ๋ ? แลวประโญคนี้ แตกต่างจากประโยคก่อนหน้ายังไงนะ ? เพราะทั้งคู่เล่นใช้คำว่า “Would you mind…” ทั้งคู่เลย ? เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ประโยคดั่งกล่าว สามารถ “จะเป็นอะไรไหม ?” ได้ด้วย  ส่วนมากประโยคนี้ จะเน้นใช้โยนหินถามทาง (สังเกตได้จากคำว่า if ตามด้วยสิ่งที่ต้องการจะทำ) เช่น

“Would you mind if I skip the meeting?” (จะเป็นอะไรไหม ? ถ้าฉันจะขอไม่เข้าประชุม)

“Would you mind if I postpone the deadline?” (จะเป็นอะไรไหม ? ถ้าฉันจะขอเลื่อนกำหนดส่งงาน)

8. Can I take + วันที่อยากลา off? (ฉันขอลาในวัน…ได้ไหม?)

เรื่องป่วย ลา เป็นเรื่องปรกติมากๆ แหม ก็มนุษย์นี่น่า ต่อให้แข็งแรงมากแค่ไหน ก็ต้องมีบ้างทีต้องลาป่วย หรือติดธุระอื่นๆ จนต้องลาได้ โดยการลา คุณอาจจะบอกเพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านาย ได้ว่า

Can I take Monday off? (ฉันขอลาวันจันทร์ได้มั้ย)

Can I take this Friday off? (ฉันขอลาวันศุกร์นี้ได้มั้ย)

หรือถ้าอยากถามก่อนว่าขอลาสักวันได้ไหม (แต่ยังไม่รู้ว่าวันไหน) ก็ใช้ประโยคว่า “Can I take a day off?” (ฉันขอลาซักวันได้ไหม ?) ก็ได้เช่นกัน

9. Did you catch the news today? (คุณอ่านข่าววันนี้หรือยัง)

พูดถึงเรื่องงานกันมาก็มากแล้ว สำหรับใครที่อยากจะลองผูกมิตรกับเพื่อนร่วมงานที่มาใหม่ หรืออยากจะเริ่มต้นบทสนทนาใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องงานบ้าง ลองชวนเขาคุยในเรื่องสัพเพเหระทั่วไป เริ่มง่ายๆ อย่างเรื่องข่าวสักข่าว ในเช้าวันนี้สิ! แต่ก่อนจะทักอะไร อย่าลืมเช็กด้วยล่ะ ว่าเพื่อนร่วมงานต่างชาติของคุณสนใจไปในทิศทางเดียวกับคุณบ้างไหมด้วยนะ

10. I’d like you to meet someone (ฉันอยากจะแนะนำให้คุณรู้จักกับใครบางคน)

ประโยคนี้ นอกจากจะเป็นประโยคง่ายๆ สำหรับแนะนำเพื่อนใหม่ของเราให้กับรู้จักกับคนอื่นๆ แล้ว คุณยังสามารถใช้ประโยคดังกล่าวได้ในที่ทำงาน ในกรณีที่ มีพนักงานใหม่เข้ามา และคุณต้องการจะแนะนำให้กับคนอื่นๆ ในแผนก ในที่ทำงาน  หรืออาจจะเป็นการแนะนำลูกค้าให้รู้จักกับคนในทีม ก็สามารถทำได้เช่นกันนะ

ภาษาอังกฤษในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องยาก อย่าอายที่จะใช้ภาษาอังกฤษ ครั้งแรกอาจจะไม่ได้ดี สมบูรณ์แบบไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าถ้าหมั่นใช้ หมั่นฝึกฝนเองบ่อยๆ ภาษาของคุณต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!  

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


ซัมซุง เปิดตัว Galaxy Z Flip5-Galaxy Z Fold5 สมาร์ทโฟนหน้าจอพับเจเนอเรชั่น 5

ซัมซุง เปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เจเนอเรชั่นที่ 5 ทั้ง Galaxy Z Flip5 – Galaxy Z Fold5 บานพับแบบ Flex Hinge ใหม่ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ของหน้าจอที่พับได้ที่ดีกว่าเดิม ปลดล็อกความสามารถพิเศษของการใช้กล้องด้วยเทคโนโลยี FlexCam พร้อมหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด

นายทีเอ็ม โรห์ ประธานธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า“ซัมซุงปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือด้วยสมาร์ทโฟนจอพับได้ โดยการสร้างมาตรฐานและปรับปรุงประสบการณ์บนสมาร์ทโฟนเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง  ทุกวันนี้คนหันมาใช้สมาร์ทโฟนจอพับได้ของซัมซุงมากขึ้นเพราะให้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากสมาร์ทโฟนอื่นใด Galaxy Z Flip5 และ Galaxy Z Fold5 คือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของซัมซุงในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า

ซัมซุงเดินหน้าพัฒนาและสร้างความลงตัวให้กับ Galaxy Z Series อย่างต่อเนื่องมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์บนหน้าจอ Flex Window ใหม่ของ Galaxy Z Flip5 ไปจนถึงการใช้งานแบบมัลติทาสกิ้งได้อย่างไหลลื่น บน Galaxy Z Fold5 ซึ่งทำให้สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ในซีรีส์นี้สามารถตอบสนองความต้องการที่พิเศษเฉพาะตัวหรือแม้กระทั่งทำได้เกินความคาดหวังของผู้ใช้

Galaxy Z Flip5 และ Galaxy Z Fold5 ยังได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจเพื่อตอบสนองความคาดหวังในเรื่องความทนทาน หน้าจอหลักมีชั้นวัสดุที่ช่วยกระจายแรงกระแทกและส่วนหลังที่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้จอแสดงผลมีความแข็งแรงแน่นหนายิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการรองรับมาตรฐาน IPX8 ตลอดจนเฟรมที่ทำจาก Armor Aluminum และกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2 ที่นำมาใช้ทั้งในส่วนของหน้าจอ Flex Window และฝาหลัง นอกเหนือจากนั้น Galaxy Z Flip5 และ Galaxy Z Fold5 ยังมอบการปกป้องชั้นยอดและเสริมให้ดียิ่งขึ้นด้วย Flex Hinge โมดูลบานพับในตัวแบบใหม่ที่มีโครงสร้างแบบรางคู่ซึ่งช่วยกระจายแรงกระทบจากภายนอกได้

Galaxy Z Flip5: ที่สุดของสมาร์ทโฟนที่พกพาง่าย

Galaxy Z Flip5 มาหน้าจอ Flex Window ใหม่ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 3.78 เท่า เพิ่มทางเลือกให้ปรับแต่งตามความต้องการได้มากขึ้น ด้วยการออกแบบและรูปลักษณ์ Galaxy Z Flip5 จึงให้ประสบการณ์ของกล้องถ่ายภาพที่มีความสามารถรอบตัวที่สุด หน้าจอ Flex Window ที่ใหญ่ขึ้นช่วยในการถ่ายภาพเซลฟี่คุณภาพสูงด้วยกล้องหลัง ด้วยการใช้ฟีเจอร์ FlexCam

นอกจากนี้ยังเรียกดูและแก้ไขภาพได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายด้วย Flex Mode ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ ปรับแต่งโทนสี หรือลบภาพทิ้งได้ง่ายๆ ด้วยฟีเจอร์ Quick View ในหน้าจอ Flex Window และเมื่อถ่ายภาพให้กับเพื่อนสักคน Dual Preview จะทำให้เพื่อนคนนั้นๆ เห็นภาพของตนเองได้บนหน้าจอ Flex Window ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้ยังได้ภาพที่สวยเนียนตาแม้ในขณะที่ต้องเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอด ด้วยระบบลดความสั่นไหวของกล้อง Super Steady ในขณะที่ Auto Framing ช่วยให้ความมั่นใจว่าไม่มีใครตกหล่นไปเพราะหลุดเฟรม

Galaxy Z Flip5 ได้ปรับปรุงความสามารถด้าน AI เพิ่มเติมให้กับประสบการณ์ในการถ่ายภาพที่ทรงพลังเพื่อให้ทุกภาพเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เติมความคิดสร้างสรรค์แม้ในสภาพแสงน้อยด้วย Nightography ที่ช่วยปรับภาพถ่ายและภาพวีดีโอให้เกิดความลงตัวที่สุดในสภาพแสงแวดล้อมแบบต่างๆ อัลกอริธึมประมวลสัญญาณภาพ (Image Signal Processing – ISP) ด้วย AI ช่วยแก้ไขนอยส์ที่มักจะลดทอนคุณภาพของภาพที่ถ่ายในสภาพแสงน้อย พร้อมกับปรับปรุงรายละเอียดและโทนสีให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ภาพยังมีความชัดเจนยิ่งขึ้นแม้ถ่ายจากระยะไกลด้วยพลังซูมดิจิทัล 10 เท่า

Galaxy Z Fold5: จอใหญ่ บางสุด แบตอึด

Galaxy Z Fold5 มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่เต็มอารมณ์และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานในตัวเครื่องที่บางเบาที่สุดเท่าที่ตระกูล Fold เคยมีมา

Galaxy Z Fold5 พลิกโฉมประสิทธิภาพในการทำงานด้วยการมอบประสบการณ์ที่ทรงพลังของหน้าจอขนาดใหญ่ วิวัฒนาการต่อเนื่องจาก Multi Window และ App Continuity สู่ฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ทั้ง Taskbar การลากและปล่อย และการพัฒนาให้ใช้งานกับแอปพลิเคชันจากผู้พัฒนาภายนอกได้อย่างเหมาะสมที่สุด นอกจากนั้นยังมี S Pen Fold Edition ที่เปิดตัวพร้อม Fold เจเนอเรชั่นที่ 3 เมื่อปี 2564 ก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มอบประสบการณ์การใช้งานให้ผู้ใช้

Galaxy Z Fold5 หน้าจอหลักขนาด 7.6 นิ้วช่วยให้ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นในขณะที่ต้องทำสิ่งอื่นๆ ไปด้วย โดยสามารถให้การรับชมที่เต็มตาและไม่ถูกรบกวน ผู้ใช้จึงสามารถเพลิดเพลินไปกับภาพยนตร์เรื่องโปรดได้ทั้งในแนวตั้งหรือแนวนอน นอกจากนี้ความสว่างสูงสุดของหน้าจอยังเพิ่มขึ้นอีกกว่า 30% เป็น 1750 nits เพื่อมอบประสบการณ์ในการรับชมที่เหมาะสมที่สุดเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือแม้กระทั่งภายใต้แสงที่สว่างจ้า

นอกจากจะมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมบนหน้าจอสมาร์ทโฟน Galaxy ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 Mobile Platform for Galaxy ยังยกระดับการแสดงผลกราฟิกและใช้ AI เพื่อช่วยให้การเล่นเกมและฟังก์ชันการใช้งานแบบหลายเกมเป็นไปอย่างคล่องตัว Galaxy Z Fold5 สามารถรับมือกับการเล่นเกมต่อเนื่องแบบมาราธอนได้อย่างสบายๆ ด้วยระบบระบายความร้อนชั้นสูงที่ช่วยกระจายความร้อนได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้นเพื่อลดอาการติดขัดล่าช้าและไม่มีการลดถอยในด้านประสิทธิภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ประโยชน์และข้อควรระวังของ “เมี่ยงคำ” อาหารไทยสมุนไพรเพียบ

“เมี่ยงคำ” เป็นอาหารไทยที่มีส่วนผสมมากมายที่เป็นสมุนไพรไทย นอกจากรสชาติอันหลากหลายภายใน 1 คำแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมายอีกด้วย

ส่วนประกอบ และประโยชน์ของเมี่ยงคำ

นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุส่วนประกอบและประโยชน์ของเมี่ยงคำเอาไว้ ดังนี้

  • มะพร้าวคั่ว บำรุงไขข้อ กระดูก
  • ถั่วลิสงคั่ว จัดเป็นสมุนไพรรสมัน ช่วยบำรุงเส้นเอ็น มีโปรตีน
  • กุ้งแห้ง บำรุงผิวหนัง มีโปรตีนและแคลเซียม
  • ใบชะพลู ขิง หัวหอม พริก รสเผ็ดร้อน ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก ป้องกันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน เสริมธาตุลมและธาตุไฟ ลดน้ำตาลในเลือด
  • มะนาวทั้งเปลือก มีรสเปรี้ยวขม ช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ ช่วยให้ชุ่มคอ เสริมธาตุน้ำในร่างกาย
  • หอมแดง แก้หวัด
  • น้ำจิ้ม มีรสหวาน รสเค็ม ช่วยบำรุงธาตุดิน บำรุงกำลัง

ข้อควรระวังในการรับประทานเมี่ยงคำ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย ให้ข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ว่า

ในเมี่ยงคำหนึ่งหน่วยบริโภค (5 คำ) ประกอบไปด้วย โปรตีน 5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 20 กรัม (7 % ของปริมาณแนะนำต่อวัน) ไขมัน 10 กรัม (15 % ของปริมาณแนะนำต่อวัน) นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี วิตามินเอ โซเดียม แคลเซี่ยม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสี โปแตสเซียม รวมทั้งใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย

เมี่ยงคำ 5 คำใน 1 มื้อ คือ ปริมาณพอดีที่นักโภชนาการแนะนำ ซึ่งจะได้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี่ เท่ากับ 10% ของความต้องการพลังงานของคนเราในหนึ่งวัน

นอกจากนี้สมุนไพร ได้แก่ ขิง หอมแดง ยังมีสรรพคุณในการขับลมในกระเพาะได้อีกด้วย เมี่ยงคำจึงเป็นอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพ ยิ่งอากาศเย็นๆรู้สึกมีน้ำมูก คัดจมูกอย่างนี้ยิ่งดี

ใครที่กินเมี่ยงคำเกินมื้อละ 5 คำ จึงควรระวังพลังงานที่ได้มากเกินไป ทั้งนี้ควรกินขิง หอมแดง มะนาว ให้ครบ ถึงจะได้ประโยชน์ที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/07/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,850.0031,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,063.0031,275.0832,450.00
ทองรูปพรรณ 90%1,856.7028,147.57n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,650.4025,020.06n/a
ทองรูปพรรณ 50%928.0014,068.48n/a
ทองรูปพรรณ 40%722.0010,945.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,138.0032,412.08n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/07/2566


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.3538.3538.8538.3538.3538.3538.3538.3538.3538.35
แก๊สโซฮอล์ 9138.0838.0838.5838.0838.0838.0838.0838.0838.0838.08
แก๊สโซฮอล์ E2036.0436.0436.5436.0436.0436.0436.0436.0436.04
แก๊สโซฮอล์ E8536.4936.4936.49
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม42.9446.7447.9446.8442.94
เบนซิน 9546.1446.9146.6446.2946.14
ดีเซล B731.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.2431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม40.4441.4445.9441.8441.8440.44
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า