ศุภาลัยพลิกเกมรุกผนึกครีเอเตอร์สร้างอิมเมจ&ยอดขายลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
ศุภาลัยพลิกเกมรุกผนึกเหล่าครีเอเตอร์ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อผู้บริโภคยุคนี้สร้างอิมเมจแบรนด์พร้อมเพิ่มยอดขายลูกค้าเฉพาะกลุ่มผ่านกลยุทธ์ Affiliate Marketing เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างครีเอเตอร์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อาชีพในฝันของคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามานำเสนอคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบน Facebook, Instagram, YouTube หรือ Tiktok จากข้อมูลของ Linktree ระบุว่า ประเทศไทยมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์ 9ล้านคนจากจำนวนประชากร 70ล้านคน ซึ่งมีทั้งทำเต็มเวลา(Full Time)และงานพิเศษ(Part Time) เฉพาะทำงานเต็มเวลามีจำนวน2ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียที่อยู่ในอันดับต้นๆ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ จึงเป็นกลุ่มคนที่ที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้บริโภคยุคนี้มากขึ้น
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้สนับสนุนงาน iCreator Conference เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากศุภาลัยเล็งเห็นว่าเป็นกิจกรรมสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของคนในวงการครีเอเตอร์ไทย ซึ่งขยายตัวเป็น คอมมูนิตี้ที่ใหญ่และเข้มแข็งขึ้นทุกปี
“ปีนี้เชื่อว่าจะได้เห็นครีเอเตอร์ทั้งรุ่นใหญ่ไปจนถึงน้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจเข้าวงการ มาสร้างสรรค์และแบ่งปันแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวตนและการทำงาน จนหาไอคอนิกของตัวเองเจอ”
การที่ศุภาลัยมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ไม่เพียงแต่เพื่อต้องการสนับสนุนคนรุ่นใหม่และยกระดับวงการครีเอเตอร์ไทยเท่านั้น แต่ยังพร้อมแชร์ประสบการณ์“ศุภาลัย”ในฐานะแบรนด์ ที่ได้ร่วมงานกับครีเอเตอร์ทั้งสายอสังหาฯ และสายอื่นๆจากหลากหลายแคมเปญ ทำให้มีองค์ความรู้และสามารถสร้าง Content Creation Workflow ที่มีประสิทธิภาพระหว่างครีเอเตอร์และแบรนด์ได้
จากเทรนด์ Affiliate Marketing ที่กำลังอยู่ในความสนใจจากแบรนด์ต่างๆในหลากหลายวงการ เช่นเดียวกับในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ศุภาลัยมองเห็นศักยภาพในการทำงานร่วมกับ Influencer และ KOLs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาด เพิ่มโอกาสทางการขาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เรายังไม่เคยเข้าถึงมาก่อน
จึงเป็นที่มาของ แคมเปญ “SUPALAI AFFILIATE ”ที่เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทุกคนสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการโปรโมทโครงการบ้านและคอนโดของศุภาลัย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน ที่การเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดไม่ได้พึ่งพาข้อมูลจากแบรนด์หรือสื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่สนใจฟังความคิดเห็นจากคนรอบข้างหรือผู้ที่มีประสบการณ์จริงมากขึ้น ล่าสุดสามารถขายคอนได้จำนวน 1 ยูนิตมูลค่ากว่า2ล้านบาท จากที่มีคนสนใจสมัครเข้ามา1,000 คน เริ่มทำรีวิวออกมา 500 รีวิวผ่านสื่อต่างๆภายในระยะเวลา1 เดือน
“ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่เขามามีบทบาทในการซื้อบ้านและคอนโดของศุภาลัย มีระดับอายุลดลง จากเดิมอายุ31-40ปี ลดลงมาเป็นกลุ่มอายุ 26-30ปี มีสัดส่วน20% แซงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นการทำตลาดต้องปรับเปลี่ยนไปให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ้นใหม่ที่เสพสื่อแตกต่างจากคนรุ่นเก่า ”
ไตรเตชะ กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารต้องเปิดใจและเปิดกว้างในการดึงกลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่เป็น Influencer และ KOLs เข้ามาร่วมงานเพื่อช่วยในการสื่อสารกลุ่มลูกค้าที่เป็น “นิวเจน” ที่มีไลฟ์สไตล์ในการเสพสื่อผ่านโซลเชียลมีเดียเป็นหลัก ซึ่งในแต่ละปีเทรนด์การเสพเปลี่ยนไปจากเดิมนิยม Facebook เป็นอันดับหนึ่ง ล่าสุดกลายเป็น Tiktok ตรงนี้ต้องอาศัยกลุ่มคนที่มีทักษะความสามารถในการสื่อสารที่มีเอกลักษณ์(Identity)ที่โดดเด่น คอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง และการยืนระยะ ที่มั่นคง
” จากประสบการณ์การใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็นเบอร์ใหญ่แต่เป็นเบอร์เล็กที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถสร้าง Brand Impact ได้มากกว่าในต้นทุนถูกกว่า เช่น การเลือกใช้ Micro Influencer ในพื้นที่นั้น ยกอย่าง ศุภาลัยขายคอนโดในหัวหิน จะเลือกใช้Micro Influencer ที่สื่อสารกับคนต่างชาติ และ คนไทยแยกจากกันแทนที่จะเลือก Influencer ที่เป็นมียอดคนตามจำนวนมากเป็นหลัก “
นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นต้องเลือกคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่เป็นสายอสังหาฯเท่านั้น อาจเป็นสายอื่นๆ เข้ามาช่วยในการสื่อสารแบรนด์ หรือจุดขายที่แตกต่าง เช่น บ้านสำหรับสัตว์ ใช้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ สายสัตว์เลี้ยง(Pet Creator) เข้ามาช่วยในการสื่อสาร เพื่อให้คนที่มีความชอบเหมือนกัน มาช่วยในการสื่อให้เห็นจุดขายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตอาจมีได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับงาน iCreator Conference 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 26 พ.ย. 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BHIRAJ HALL 1-3 & AMBER HALL 1-3) รวมถึงภายในงานยังมีบูธกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกิจกรรม SUPALAI Creator Clinic ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้พบปะพูดคุยกับครีเอเตอร์คนโปรดแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทั้งยังมีกิจกรรม Workshop ให้ค้นหาแรงบันดาลใจพร้อมเก็บเกี่ยวความรู้กลับบ้านกว่า 9 Workshops อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ระยองเนื้อหอม!อีวีจีนแห่ปักหมุดที่ดินราคาพุ่ง22.9%‘บ้านฉาง’ฮอตสุด
ระยองเนื้อหอม!อีวีจีนแห่ปักหมุดตั้งโรงงานผลิต ดันที่ดินราคาพุ่ง22.9% ทำเลฮอตสุด‘บ้านฉาง’ราคาขยับสูงขึ้น 52.5% ตอบโจทย์พัฒนาที่อยู่อาศัย รองรับแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว รองลงมาอำเภอแกลง
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่ EEC ในไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับ 281.5 จุด เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเติบโตของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ในทิศทางที่”ชะลอตัว” หากเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 ปี ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2558 – 2562มีอัตราการปรับตัวขึ้นเฉลี่ยร 14%ต่อไตรมาส เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ทั้งนี้ การที่ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่”ชะลอตัว” อาจเนื่องมาจากผู้ประกอบการฯมีความต้องการนำที่ดินมาพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับปัจจัยลบที่สำคัญที่เกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการผ่อนปรน LTV ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงเกินกว่า 90% ของ GDP ภาวะดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง 2.50 %ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นแต่ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เกิดการ”ชะลอตัว”ในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสะสมลดลง
เนื่องจากผู้ประกอบการจะต้องมีต้นทุนการถือครองที่ดินจากการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยในปี 2567 รัฐไม่มีมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อุปสงค์ของที่ดินในพื้นที่ EEC โดยรวมชะลอตัวลงด้วย และอีกทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ทางการเกษตรยังไม่เหมาะกับการนำมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ในขณะที่พื้นที่อีกส่วนเป็นพื้นที่ที่นำไปพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังพบว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่ EEC ในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากราคาที่ดินเปล่าในพื้นที่จังหวัดระยองมีค่าดัชนีเท่ากับ 230.8 จุด มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึ 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 31.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ เนื่องมาจากมีทุนจากประเทศจีนเข้ามาซื้อที่ดินสร้างโรงงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ ที่ชาร์จ ในทำเลนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยองเป็นจำนวนมาก และมีกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่จากประเทศจีน อาทิ แบรนด์บีวายดี (BYD) ฉางอาน (Changan) เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง โดยเฉพาะทำเลนิคมพัฒนาปลวกแดง
ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับขึ้นประมาณ 2.3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่เป็นปีฐาน 100 จุด และนักลงทุนนิยมลงทุนในจังหวัดระยอง มากกว่าจังหวัดชลบุรี เนื่องจากราคาที่ดินในจังหวัดระยองยังมีราคาต่ำกว่าจังหวัดชลบุรีประมาณ 30 – 40%
รองลงมาพื้นที่จังหวัดชลบุรีมีค่าดัชนีเท่ากับ 332.0 จุด มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง2.5% และ พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีค่าดัชนีเท่ากับ 203.5 จุด มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 12.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ในไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า ทำเลที่อัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดังนี้
อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินอำเภอบ้านฉาง อยู่ในจังหวัดระยอง มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้น 52.5% เป็นอำเภอที่มีระบบคมนาคมที่หลากหลายมีทั้งถนนทางหลวงผ่านหลายเส้น สามารถคมนาคมทางรถไฟสายตะวันออกได้ และมีสนามบินอู่ตะเภา อยู่ในพื้นที่ทำเลนี้ เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ผู้ประกอบการในท้องถิ่นและจากกรุงเทพมหานครจึงให้ความสนใจมีการซื้อขายที่ดินในบริเวณนี้เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชากรที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว
อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินอำเภอแกลง อยู่ในจังหวัดระยอง มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้น34.5% เป็นพื้นที่อีกอำเภอหนึ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินอำเภอบางปะกง อยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้น31% เป็นอำเภอที่ผู้ประกอบการในท้องถิ่นและจากกรุงเทพมหานครให้ความสนใจเริ่มขยายไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายเพิ่มขึ้น
เนื่องจากเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับสมุทรปราการ และสอดคล้องกับข้อมูลจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่าเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสำหรับนำมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย โดยจากข้อมูลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC พบว่า พื้นที่นี่มีโครงการที่อยู่อาศัยที่พร้อมเสนอขายในตลาดมากเป็นอันดับที่ 2 เพิ่มขึ้น184.8% รองจากพื้นที่อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา
อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินอำเภอสัตหีบ อยู่ในจังหวัดชลบุรี มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้น26.8 %
อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินทำเลอำเภอนิคมพัฒนา อยู่ในจังหวัดระยอง มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้น 17.3%
ภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้ง 5 อันดับข้างต้นได้สะท้อนว่า เป็นที่ดินที่มีบริเวณพื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาที่ดินในพื้นที่บริเวณนี้เพิ่มขึ้น
จากการนำที่ดินไปพัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เกิดแหล่งงาน และเกิดการจ้างงานมากขึ้น สนับสนุนการตัดสินใจให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการเข้ามาอยู่อาศัยของคนที่เดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่ EEC ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าทั้ง 5 อันดับได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำให้ที่ดินในพื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น จึงทำให้ราคาที่ดินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27ก.ย. “แข็งค่า”ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.25-32.35 บาทต่อดอลลาร์ได้ และแนวรับถัดไปแถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ย้ำผู้นำเข้าเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 27ก.ย. 2567ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจนทะลุโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเรานัก เนื่องจากเรามองว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังพอมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้ ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นการกลับตัวมาอ่อนค่าลงของเงินบาท
อีกทั้งในช่วงนี้ ตลาดการเงินก็ดูมีความหวังกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนพอสมควร หลังทางการจีนได้ออกมาย้ำจุดยืนพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในวันก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงการถือครองสินทรัพย์ฝั่งเอเชีย หนุนให้ในระยะสั้น สกุลเงินฝั่งเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ (เงินดอลลาร์อาจขยับมาอยู่ตรงกลางของ USD Smile Curve) และเมื่อประเมินในเชิงเทคนิคัลเพิ่มเติม การแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.25-32.35 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน โดยจะมีแนวรับถัดไปแถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรจะชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำเริ่มเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องชัดเจน อีกทั้งสัญญาณเชิงเทคนิคัล
เริ่มสะท้อนความเสี่ยงของการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ ทำให้ หากราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก็อาจช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็ไม่ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อเงินบาทนัก
โดยเฉพาะหากประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) ได้บ้าง ดังจะเห็นได้จากการที่เริ่มเห็นแรงขายบอนด์ระยะสั้นจากนักลงทุนต่างชาติออกมาบ้างในช่วงนี้
ขณะเดียวกัน การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบเพิ่มเติม รวมถึงอาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังเงินบาทแข็งค่าขึ้นพอสมควรในช่วงนี้
อนึ่ง เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 33 บาทต่อดอลลาร์ โดยเฉพาะโซนแข็งค่าเกิน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +0.5) ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 32.35-32.57 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ แถวโซน 2,685 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ก่อนที่ราคาทองคำจะเผชิญแรงขายทำกำไรและถูกกดดันเพิ่มเติมจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ดังกล่าวก็อยู่ได้ไม่นาน โดยเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามแรงขายทำกำไร (Sell on Rally) ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินโดยรวม อีกทั้งบรรดาสกุลเงินหลัก
อย่าง เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ในอีก 2 การประชุมที่เหลือของปีนี้ (ล่าสุด ตลาดมอง BOE อาจลดดอกเบี้ยอีกราว -39bps)
ซึ่งการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำอีกรอบ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด (GDP ไตรมาสที่ 2 และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก)
นอกจากนี้ บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังปรับตัวขึ้นเป็นส่วนมาก หลัง Micron Tech. +14.7% จากคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่สดใสและแข็งแกร่ง ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.60% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.40%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +1.25% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม กลุ่มเหมืองแร่ อาทิ LVMH +9.9%, Rio Tinto +3.6% ท่ามกลางความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนได้ออกมาย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้างจากหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง Shell -4.6% ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ หลังมีรายงานข่าวว่า ทางการซาอุฯ อาจยกเลิกเป้าหมายราคาน้ำมัน อีกทั้งซาอุฯ กับกลุ่ม OPEC+ ก็พร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 3.80% อีกครั้ง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมก็อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง
ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะ “Buy on Dip” หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 3.80% ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจับตาว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 3.80% ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เหนือโซนดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
กลับไปแถว 3.90%-4.00% ได้ไม่ยาก โดยมีโอกาสที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเลือกทิศทางที่ชัดเจน หลังการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ในสัปดาห์หน้า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นในช่วงแรกตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามแรงขายจากผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม
อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของทั้งเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ลงบ้าง ส่วนเงินยูโร (EUR) ก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 100.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.4-101 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ความผันผวนจากการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ก็เคลื่อนไหวผันผวนสูงเช่นกัน
โดยมีทั้งจังหวะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะปรับตัวลงแรง และรีบาวด์ขึ้นกลับสู่โซน 2,695 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยโฟลว์ธุรกรรมทองคำ ทั้งฝั่งขายทำกำไรและซื้อตอนย่อตัว ก็มีส่วนทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อ PCE และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ยังมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ตามที่ตลาดคาดหวังไว้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คอเลสเตอรอลสูง สูงแค่ไหน ถึงต้องกินยาลด
ผู้ที่มีปัญหา คอเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป จำเป็นต้องลดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาภายหลังได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เส้นเลือดตีบอุดตัน เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ยาลดคอเลสเตอรอล เป็นทางเลือกและวิธีการรักษาที่แพทย์จะพิจารณาให้กับผู้ป่วยบางรายที่มีความจำเป็นต้องลดคอเลสเตอรอลเพื่อป้องกันโรคอันตรายในอนาคต แต่ในบางรายอาจไม่จำเป็น หรือไม่สามารถใช้ยาลดคอเลสเตอรอลได้
ยาลดคอเลสเตอรอล
ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล แพทย์ฝ่ายเภสัชวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า ยากลุ่มสแตติน เป็นยาลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) และช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดแดง เป็นยาที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือสมอง
คอเลสเตอรอล สูงแค่ไหน ถึงต้องกินยาลด
ในคนที่ยังไม่เป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
- ระดับ LDL มากกว่าหรือเท่ากับ 190 mg/dL
- ระดับ LDL 70-189 mg/dL และเป็นเบาหวานร่วมด้วย
- มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันใน 10 ปี มากกว่าหรือเท่ากับ 7.5% และกลุ่มสุดท้ายที่ได้ประโยชน์แน่นอนคือ
- ในคนที่มีภาวะหลอดเลือดอุดตันแล้ว เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ
ข้อควรทราบในการใช้ยาสแตติน
- แม้ค่าไขมันจะอยู่ในระดับปกติ แต่ผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือสมองยังจำเป็นต้องได้รับยาสแตตินตลอดไป เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค
- ผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่มีไขมัน LDL สูงในเลือด และมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเท่านั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากสแตติน โดยประเมินจากระดับ LDL และ HDL ร่วมกับเพศ อายุ ประวัติการมีภาวะความดันเลือดสูง การเป็นโรคเบาหวาน และการสูบบุหรี่ เป็นต้น
- ผู้ที่ประเมินแล้วมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือสมอง (Thai CV rish score) ต่ำกว่า 10% ในระยะเวลา 10 ปี โดยทั่วไปมักไม่จำเป็นต้องได้รับสแตติน
คอเลสเตอรอลสูง ห้ามกินอะไร
- ไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันปาล์ม กะทิ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์แปรรูป
- อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่ปลา ไข่แดง ตับ ปลาหมึก
- ไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม ครีมเทียม ขนมอบที่มีไขมันสูง
- อาหารหวานและน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มชูกำลัง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทัพยกเหล็กชุดเยาวชนโลกถึงไทยวางแผนส่งดาวรุ่งสู้เวทีเอเชียต่อ
คณะนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทยชุดเยาวชนชิงแชมป์โลก เดินทางกลับถึงไทยเป็นแล้ว สมาคมฯ วางแผนต่อเนื่องส่งจอมพลังชุดเล็กและชุดกลางลุย 2 รายการใหญ่ ที่ประเทศกาตาร์
คณะนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทยชุดการแข่งขันยกน้ำหนักเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งโลก ประจำปี 2567 ที่เมืองเลออน ประเทศสเปน เดินทางกลับถึงประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ช่วยกันทำผลงานในรายการนี้รวม 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง จาก ธนพร แซ่เตีย 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน รุ่น 59 กก.หญิง, เขมิกา กำเนิดศรี 2 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง รุ่น 45 กก.หญิง และ นฤมล วงษ์หาจักร 1 เหรียญทองแดง รุ่น 49 กก.หญิง
ทั้งนี้สมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ยังวางแผนเสริมความแข็งแกร่งให้นักกีฬาอย่างต่อเนื่องด้วยการเตรียมส่งจอมพลังเข้าร่วมการแข่งขันยกน้ำหนักยุวชนและเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 19-25 ธ.ค. 2567 และการแข่งขันยกน้ำหนักกาตาร์คัพ ระหว่างวันที่ 26-31 ธ.ค. 2567 ที่สถานที่แห่งเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
ใช้ Do, Does, Did และ Done ในภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้อง
ในบทความนี้ จะทำให้รู้จักและเรียนรู้วิธีการใช้ Do, Does, Did และ Done อย่างละเอียด พร้อมทั้งยกตัวอย่างและอธิบายข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เพื่อให้ใช้งานคำเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ
ในภาษาอังกฤษ คำว่า Do, Does, Did และ Done เป็นคำกริยาช่วยที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยคทั้งในรูปแบบบอกเล่า ปฏิเสธ และคำถาม ซึ่งมีการใช้งานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกาลเวลา (tense) และรูปแบบของประโยค ผู้เรียนภาษาอังกฤษหลายคนมักสับสนกับการใช้คำเหล่านี้ เนื่องจากมีกฎและรูปแบบการใช้งานที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจถึงความหมายและวิธีการใช้ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้อย่างแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น
1. ความหมายและการใช้งานของ Do และ Does
Do และ Does เป็นกริยาช่วย (Auxiliary Verbs) ที่ใช้ในการบ่งบอกถึงความเป็นปัจจุบัน (Present Tense) เพื่อสร้างประโยคคำถาม ปฏิเสธ หรือเพื่อเน้นความหมายของประโยคบอกเล่า ทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายกันคือ “ทำ” แต่มีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับรูปแบบของประธานในประโยค โดยสามารถแบ่งการใช้งานออกได้ดังนี้
- การใช้งาน Does ใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์ เช่น He, She, It
- การใช้งาน Do ใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์ เช่น We, You, They และใช้ได้กับประธานเอกพจน์ที่เป็น “I” ในรูปปัจจุบัน
ตัวอย่างประโยคการใช้ Do และ Does
ใช้ในประโยคบอกเล่า
- She does her homework every day. (เธอทำการบ้านทุกวัน)
- We do our best to help the country. (พวกเราทำเต็มที่เพื่อช่วยเหลือประเทศ)
- I do my homework every day. (ฉันทำการบ้านทุกวัน)
ใช้ในประโยคคำถาม
- Do you like ice cream? (คุณชอบไอศครีมหรือไม่)
- Does he go to school every day? (เขาไปโรงเรียนทุกวันหรือไม่)
- Does it work properly? (มันทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่?)
ใช้ในประโยคปฏิเสธ
- She doesn’t (does not) eat meat. (เธอไม่กินเนื้อ)
- I don’t (do not) like coffee. (ฉันไม่ชอบกาแฟ)
- They do not (don’t) understand the instructions. (พวกเขาไม่เข้าใจคำแนะนำ)
ใช้ Do ขึ้นต้นประโยค ทำให้เป็นประโยคคำสั่ง
- Do your homework. (ทำการบ้านของคุณได้แล้ว)
- Do it right now. (ทำมันเดี๋ยวนี้)
- Do it again. (ทำมันอีกครั้ง)
หมายเหตุ
- การใช้ Do และ Does จะใช้ในกรณีของปัจจุบันเท่านั้น และใช้ในประโยคที่ไม่มีกริยาช่วยอื่น ๆ
- ในประโยคคำถามและปฏิเสธ คำกริยาหลักที่ตามหลัง Do จะไม่ต้องเปลี่ยนรูป (ยังคงใช้รูปกริยาช่องที่ 1) เช่น “Do you go?” ไม่ใช่ “Do you goes?”
- การใช้ Do และ Does ตามประธานในประโยคเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ประโยคมีความถูกต้อง
2. ความหมายและการใช้งานของ Did
Did เป็นรูปอดีต (Past Tense) ของ Do และ Does ใช้เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยไม่คำนึงถึงว่าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ การใช้งาน Did คล้ายกับ Do และ Does แต่เน้นที่เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมด Did สามารถใช้ได้ทั้งในประโยคคำถาม ประโยคบอกเล่า และประโยคปฏิเสธ โดยใช้งานดังนี้
การใช้ในประโยคบอกเล่า ในการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต Did จะใช้เป็นกริยาหลักที่หมายถึง “ทำ” การกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว โดยกริยาที่ตามมาจะอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 ไม่ใช่กริยาช่องที่ 2 แม้จะเป็นอดีตก็ตาม
- We did our homework yesterday. (ฉันทำการบ้านเมื่อวานนี้)
- He did his homework last night. (เขาทำการบ้านเมื่อคืน)
- I just did my nail yesterday. (ฉันเพิ่งทำเล็บมาเองเมื่อวาน)
การใช้ในประโยคคำถาม เมื่อใช้ Did ในการตั้งคำถามเพื่อถามถึงเหตุการณ์ในอดีต รูปแบบกริยาหลักที่ตามหลัง Did จะอยู่ในรูปกริยาช่องที่ 1 เสมอ (base form) ไม่ใช่กริยาช่องที่ 2 หรือรูปอดีต
- Did you go to the party last night? (เมื่อคืนคุณไปปาร์ตี้นั้นหรือ?)
- Did she finish her work? (เธอทำงานของเธอเสร็จแล้วหรือ?)
- Did my cat eat your fish? (แมวฉันกินปลาของคุณไปหรือ?)
การใช้ในประโยคปฏิเสธ เราจะใช้ Did not หรือ Didn’t ในประโยคปฏิเสธโดยกริยาหลักที่ตามมา ยังคงเป็นรูปกริยาช่องที่ 1 เช่นเดียวกับประโยคคำถาม
- I didn’t (did not) go to the meeting. (ฉันไม่ได้ไปประชุม)
- He didn’t (did not) call me. (เขาไม่ได้โทรหาฉัน)
- Her dog didn’t bite your shoes. (หมาเธอไม่ได้กัดรองเท้าของคุณ)
หมายเหตุ
- Did ใช้กับประธานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
- Did ใช้เมื่อพูดถึงอดีต ไม่ว่าประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ กริยาหลักที่ตามหลัง Did จะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 1 เสมอ
- Did จะใช้เฉพาะเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น
เพิ่มเติม: ใช้ Do Does Did ในการเน้นกริยาว่าทำสิ่งนั้นจริง ๆ
- I do love you. (ฉันรักคุณจริง ๆ)
- She does have a new luxury car. (เธอมีรถหรูคันใหม่จริง ๆ)
- I did bake this cake myself. (ฉันอบเค้กนี้เองจริง ๆ)
3. ความหมายและการใช้งานของ Done
Done เป็นคำกริยาช่องที่ 3 (Past Participle) ของคำว่า Do ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาษาอังกฤษ โดย Done มักถูกใช้ในรูปประโยคที่เป็น Perfect Tense หรือ Passive Voice เพื่อบอกถึงการกระทำที่เสร็จสิ้นไปแล้วหรือมีการกระทำต่อประธานโดยผู้อื่น การใช้งานของ Done แตกต่างจาก Do และ Did ตรงที่มันไม่ได้ใช้เป็นกริยาหลักในประโยค แต่ใช้ร่วมกับกริยาช่วย เช่น have, has, had หรือใช้ในโครงสร้าง Passive Voice โดยใช้งานดังนี้
การใช้ใน Present Perfect Tense Done จะใช้กับกริยาช่วย have หรือ has เพื่อบอกถึงการกระทำที่เสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต แต่มีผลลัพธ์มาถึงปัจจุบัน การใช้ Present Perfect Tense มักจะเน้นที่การเสร็จสมบูรณ์ของการกระทำหรือประสบการณ์
- I have done my homework. (ฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว)
- She has done her project. (เธอทำโปรเจ็กต์เสร็จแล้ว)
- You haven’t (have not) done your job. (คุณยังทำงานของคุณไม่เสร็จ)
การใช้ใน Past Perfect Tense โดยใช้คู่กับกริยาช่วย had เพื่อบอกว่าการกระทำสิ้นสุดก่อนเหตุการณ์อื่นในอดีต
- They had done the work before the deadline. (พวกเขาทำงานเสร็จก่อนกำหนด)
- She had done nothing wrong. (เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย)
- We had done homework when our parents arrived home yesterday. (เราเพิ่งทำการบ้านเสร็จ ตอนที่พ่อแม่ของเรากลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้)
การใช้ในโครงสร้าง Passive Voice
- The work is done. (งานเสร็จแล้ว)
- Everything was done by the team. (ทุกอย่างถูกทำเสร็จแล้วโดยทีม)
- Let it be done by yourself. (ทำมันด้วยตัวคุณเอง)
ในประโยคที่เป็น Idioms หรือการเน้นถึงความสมบูรณ์
- I’m done with my project. (ฉันทำโปรเจ็กต์เสร็จแล้ว)
- We are done here. (เราทำเสร็จที่นี่แล้ว)
- I’m done with you. (ฉันจะไม่ทนคุณอีกแล้ว พอกันที)
หมายเหตุ
- Done จะไม่ถูกใช้เดี่ยว ๆ ในประโยค แต่จะใช้คู่กับ has, have หรือ had เพื่อแสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว
4. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Do, Does, Did, Done
การใช้ Do, Does, Did และ Done อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารภาษาอังกฤษ เนื่องจากคำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกริยาช่วย (Auxiliary Verbs) และมีบทบาทสำคัญในการสร้างประโยคคำถาม ปฏิเสธ และเน้นย้ำการกระทำ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการใช้ในประโยคต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารหรือทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ ซึ่งหลายคนมักมักจะใช้ผิดพลาดเนื่องจากความสับสนในกฎและรูปแบบการใช้งาน ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมีดังนี้
ใช้ Does ผิด ไปใช้กับประธานพหูพจน์
- ผิด: They does go to school every day.
- ถูก: They do go to school every day.
ใช้ Did แต่ยังคงกริยาหลักในรูปอดีต
- ผิด: She did went to the store.
- ถูก: She did go to the store.
ใช้ Done ผิดในประโยคที่ไม่ใช่ Perfect Tense หรือ Passive Voice
- ผิด: I done my homework.
- ถูก: I have done my homework.
- ผิด: She done the project.
- ถูก: She has done the project.
ใช้ Do/Does ในประโยคอดีต
- ผิด: He does his homework yesterday.
- ถูก: He did his homework yesterday.
- ผิด: They do not go to the party last night.
- ถูก: They did not go to the party last night.
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
10 เกมสันทนาการกลุ่ม สร้างสัมพันธ์ เพิ่มความสนุกให้กิจกรรม
นอกจากเกมคอมพิวเตอร์ที่ได้นำเสนอแล้ว เกมอีกรูปแบบที่มักจะการจัดกิจกรรมนอกสถานที่อย่างค่ายหรือสัมมนา เป็นโอกาสดีที่เราจะได้พบปะผู้คนใหม่ๆ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กิจกรรมสันทนาการกลุ่มจึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะเติมเต็มประสบการณ์เหล่านี้ นอกจากสร้างความสนุกสนานแล้ว ยังช่วยละลายพฤติกรรม เสริมสร้างความสนิทสนม ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ กระตุ้นอารมณ์เชิงบวก
แนะ 10 เกมกิจกรรมนันทนาการกลุ่ม พร้อมกติกาและข้อควรระวัง มาแนะนำให้รู้จักกัน!
1. เกมตามหาป้ายชื่อของตัวเอง
เกมง่ายๆ ที่ช่วยให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน เพียงแค่เตรียมปากกาและป้ายชื่อก็เริ่มสนุกได้เลย
กติกา:
- เขียนชื่อตัวเองลงในป้ายชื่อ (ห้ามเขียนอะไรด้านหลัง)
- รวบรวมป้ายชื่อทั้งหมด
- ทีมงานสุ่มแจกป้ายชื่อให้ผู้เล่น (หงายด้านหลัง)
- เดินถามหาป้ายชื่อตัวเองจากคนอื่นๆ พร้อมแนะนำตัว (15-20 นาที)
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังคำพูดและการสื่อสารระหว่างแนะนำตัว
2. เกมชิงธง
เกมที่ต้องใช้ทั้งกำลังกายและความสามัคคี อุปกรณ์ก็หาง่ายๆ แค่ไม้ยาว ธง และเชือก
กติกา:
- แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ทีม (ใช้สีเสื้อหรือริบบิ้น)
- มัดธงเข้ากับไม้ยาว กำหนดฝ่ายถือธง (ฝ่ายตั้งรับ) และฝ่ายชิงธง (ฝ่ายบุก)
- ฝ่ายบุกต้องสัมผัสธงให้ได้ภายในเวลา (10-15 นาที)
ข้อควรระวัง:
- อาจเกิดการปะทะ ผู้เล่นควรมีร่างกายแข็งแรง
- ระมัดระวังการใช้แรงที่มากเกินไป
3. เกมจับผิดภาพ
เกมทดสอบสายตาและความแม่นยำ เตรียมรูปภาพ 2 รูป ที่มีความเหมือนและต่างกันหลายๆ ชุด
กติกา:
- เตรียมรูปภาพที่มีจุดต่างกัน 5 จุด
- ผู้เล่นต้องหาจุดต่างให้เจอ
- เพิ่มความสนุกด้วยการแบ่งกลุ่มแข่งขัน หรือจับเวลา
ข้อควรระวัง:
- เป็นเกมที่ใช้สายตา ควรพักสายตาเป็นระยะ
- รูปภาพควรมีขนาดใหญ่พอที่ทุกคนจะมองเห็น
4. เกมใบ้คำ
เกมสุดคลาสสิคที่ไม่มีวันตาย ใช้ทักษะการสื่อสารทั้งคำพูดและท่าทาง
กติกา:
- กำหนดผู้ใบ้คำและผู้ทายคำ
- ผู้ใบ้คำต้องสื่อสารคำศัพท์ให้ผู้ทายคำเข้าใจภายในเวลาที่กำหนด
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังคำพูดและท่าทางที่อาจไม่เหมาะสม
5. เกมส่งของและตอบคำถาม
เกมที่ช่วยให้ผู้เล่นได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านการตอบคำถาม อุปกรณ์ก็แค่กระดาษ ปากกา และภาชนะ
กติกา:
- นั่งล้อมวง
- เขียนคำถามลงในกระดาษ
- ใส่กระดาษทั้งหมดในภาชนะ ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดเพลง
- เมื่อเพลงหยุด คนที่ถือภาชนะต้องหยิบคำถามขึ้นมาตอบ
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังคำถามที่อาจไม่เหมาะสม
6. เกมทายภาพวาด
เกมที่ทดสอบความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสาร อุปกรณ์ก็แค่กระดาษ ปากกา หรือสี
กติกา:
- ต่อแถวเดียว
- คนข้างหน้าถือกระดาษรอง คนข้างหลังวาดรูปตามโจทย์ (5-10 วินาที)
- ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ
- คนสุดท้ายทายว่าภาพที่เห็นคืออะไร
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังรูปวาดที่อาจไม่เหมาะสม
7. เกมต่อความยาว
เกมที่ต้องใช้ความร่วมมือและวางแผน อุปกรณ์ก็แค่ของใช้ติดตัว หรือขวด/หลอดพลาสติก
กติกา:
- นำขวด/หลอดพลาสติกมาเรียงต่อกันให้ยาวที่สุด
- ทีมที่ต่อได้ยาวที่สุดเป็นผู้ชนะ
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังสิ่งของหล่นหรือล้มทับ
8. เกมซ่อนแอบ
เกมที่คุ้นเคยกันดี เล่นได้ทั้งแบบซ่อนคนและซ่อนของ
กติกา:
- กำหนดฝ่ายหาและฝ่ายซ่อน
- ฝ่ายหาหลับตา ฝ่ายซ่อนแอบ
- ฝ่ายหาต้องหาให้เจอภายในเวลาที่กำหนด
ข้อควรระวัง:
- กำหนดพื้นที่และเวลาให้เหมาะสม
- ไม่ควรซ่อนในสถานที่อันตราย
9. เกมตอบคำถามจากหมวดต่างๆ
เกมที่ได้ทั้งความรู้และความสนุก เล่นได้ทั้งแบบมีและไม่มีอุปกรณ์
กติกา:
- แบ่งผู้เล่นเป็น 2 ฝ่าย
- พิธีกรกำหนดหมวดคำถาม (ชื่อสัตว์ ชื่อต้นไม้ ฯลฯ)
- ผู้เล่นสลับกันตอบคำถาม (3-5 วินาที)
- หากใช้บล็อกตัวอักษร ผู้เล่นต้องหยิบบล็อกตัวอักษรมาก่อนตอบคำถาม
ข้อควรระวัง:
- กำหนดเวลาให้เหมาะสม
- ระมัดระวังคำพูดที่อาจไม่เหมาะสม
10. เกม DIY สิ่งของ
เกมสำหรับคนรักงานประดิษฐ์ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ อุปกรณ์ขึ้นอยู่กับโจทย์ที่กำหนด
กติกา:
- แบ่งกลุ่ม
- ประดิษฐ์สิ่งของตามโจทย์ (ห้ามพูดคุยกัน)
- ทีมที่สร้างสิ่งของได้เหมือนหรือคล้ายคลึงกับโจทย์ที่สุดเป็นผู้ชนะ
ข้อควรระวัง:
- ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์
ทั้ง 10 เกมสันทนาการกลุ่มนี้ จะช่วยเติมเต็มความสนุกสนานและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการจัดกิจกรรมของคุณ อย่าลืมเลือกเกมที่เหมาะสมกับอายุและความสนใจของผู้เข้าร่วม เพื่อให้ทุกคนได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด!
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ใบเหลียง” ผักพื้นบ้านภาคใต้ ช่วยต้านมะเร็ง บำรุงสายตา
ผักเหลียง หรือ ใบเหลียง หรือที่ชาวนครศรีธรรมราชเรียกว่า ผักเหมียง เป็นพืชพื้นเมืองที่พบมากในภาคใต้ตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และยังพบได้ในบางพื้นที่ของภาคตะวันตก เช่น จังหวัดกาญจนบุรี
จุดเด่นของผักเหลียงคือ รสชาติหวานมัน ไม่ขมเหมือนผักใบเขียวชนิดอื่น ทำให้เป็นที่นิยมนำมารับประทานคู่กับน้ำพริก ขนมจีน และอาหารใต้หลากหลายชนิด นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายเมนู เช่น ต้มกะทิ ผัดไฟแดง หรือผัดกับไข่ ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ประโยชน์ของใบเหลียง
- ผักเหลียงอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหาย และที่สำคัญคือเป็นสารตั้งต้นของ วิตามินเอ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสายตา การรับประทานผักเหลียงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สายตาดีขึ้น
- ผักเหลียงยังอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง การรับประทานผักเหลียงเป็นประจำจึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
- นอกจากจะช่วยบำรุงสายตาและกระดูกแล้ว ผักเหลียงยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด นอกจากนี้ ผักเหลียงยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
- สารต้านอนุมูลอิสระในผักเหลียงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็ง ทำให้ผักเหลียงเป็นหนึ่งในพืชผักที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ผักเหลียงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท การรับประทานผักเหลียงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น และช่วยป้องกันปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น อาการชาตามปลายมือปลายเท้า ที่มักเกิดจากการอักเสบของเส้นประสาท นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการบริโภคผักเหลียงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 27/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,900.00 | 41,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,649.00 | 40,158.84 | 41,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,384.10 | 36,142.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,119.20 | 32,127.07 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,192.00 | 18,070.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 927.00 | 14,053.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,745.00 | 41,614.20 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 27/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.75 | 35.75 | 36.05 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 | 35.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.38 | 35.38 | 35.68 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 | 35.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.64 | 33.64 | 33.94 | 33.64 | 33.64 | – | 33.64 | 33.64 | 33.64 | 33.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.39 | 33.39 | – | – | – | – | – | – | – | 33.39 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.34 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.34 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |