สาระน่ารู้ประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2566

5ปีพื้นที่ค้าปลีกโตเท่าตัว 8 ล้านตร.ม. มิกซ์ยูสมาแรง! แจ้งเกิด 16 โปรเจกต์

งานสัมมนาอสังหาริมทรัพย์โดย REIC ชี้ค้าปลีกไทยยังโต 5 ปี พื้นที่เพิ่มเท่าตัว 8 ล้านตร.ม. โครงการมิกซ์ยูส มาแรงในตลาด ทำเลปทุมวันนำโด่งโครงการใหม่พุ่ง ชี้โอกาสสำคัญกับการพัฒนาทำเลทองรอบรถไฟฟ้า-สถานีขนส่งมวลชนในรูปแบบ TOD สร้างแรงกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดสัมมนาวิชาการ “Mixed Use Projects กับการขับเคลื่อน TOD” กับภาคเอกชนไทยและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อระดมความคิดเห็นแนวทางพัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูส ( Mixed Use Projects) บริเวณพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD-Transit Oriented Development) ขนาดใหญ่ของประเทศไทย เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้ประเทศ และส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

สิทธิเพ็ญ สิทธัตถพงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า โครงการ Mixed-use ที่เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นที่อาคารตั้งแต่ 10,000 ตร.ม. ขึ้นไป มีการใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 2 ประเภท อาจมีทั้งอาคารชุดที่พักอาศัย ศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และโรงแรม เป็นต้น 

ทั้งนี้จากการสำรวจ พบว่า ปัจจุบันมีโครงการ Mixed-use ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 126 โครงการ พื้นที่อาคารรวม 15.31 ล้าน ตร.ม. ในครึ่งปีแรกของปี 2566 มีจำนวน 110 โครงการ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างก่อสร้างและยังไม่เสร็จอีก 6 โครงการ

ประเมินว่ามีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและยังไม่เสร็จต่อเนื่องระหว่างปี 2566-2570 รวม 16 โครงการ พื้นที่ประมาณ 3.85 ล้าน ตร.ม. อาทิ One Bangkok, The Forestias และโครงการขนาดกลางอื่นๆ 

ทั้งนี้ โครงการที่จะก่อสร้างเสร็จในอนาคตจนถึงปี 2570 เป็นโครงการที่มีการก่อสร้าง (อุปทาน) อยู่ในโซน “ปทุมวัน” มากที่สุด จำนวน 1.71 ล้าน ตร.ม. คิดเป็น 14.9% ของโครงการที่จะสร้างเสร็จในปัจจุบัน มาจากโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ได้แก่ One Bangkok,  Central Embassy เฟส2 และ Aman Nai Lert Bangkok

รองลงมา โซน “สีลม-สาทร-บางรัก” เป็นทำเลที่มีการเติบโตสูง และมีโครงการที่ประกาศแล้วเสร็จในปี 2570 รวม 7.32 แสน ตร.ม. คิดเป็น 6.4% ของโครงการที่สร้างเสร็จในปัจจุบัน มาจากโครงการขนาดใหญ่ทั้ง ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค, ศุภาลัย ไอคอน สาธร, พาร์ค สีลม และ แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยท์ ลุมพินี

อาคารสำนักงาน มีโครงการ Mixed-use ทั้งหมด 4.62 ล้านตร.ม. อัตราการเช่าเฉลี่ย 76% และโครงการอนาคตจนถึงปี 2570 รวม 1.51 ล้าน ตร.ม. พื้นที่ค้าปลีก ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้รวม 3.62 ล้าน ตร.ม. อัตราการเช่าเฉลี่ย 85% และโครงการในอนาคตที่จะเกิดขึ้น รวม 1.11 ล้าน ตร.ม. ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ปทุมวัน อาคารชุดพักอาศัย Mixed-use ในครึ่งปีแรก มี 27,534 หน่วย ขายได้สะสม 23,946 หน่วย คาดในอนาคตจนถึงปี 2570 มีเพิ่มขึ้น 7,099 หน่วย

โรงแรม มีโครงการ Mixed-use ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ 14,232 ห้อง และมีโครงการที่จะสร้างเสร็จในอนาคต อีก 4,341 ห้อง โดยทำเลริมน้ำ ทำราคาได้สูงสุด ตามด้วยทำเลเพลินจิต/วิทยุ สยาม/ชิดลม และสีลม/สุรวงศ์ 

สำหรับ เซอร์วิส อพาร์ตเม้นต์ โครงการ Mixed-use ในครึ่งแรกของปีนี้มี 3 โครงการ รวม 774 ห้อง ในอนาคตมี โครงการ One Bangkok จำนวน 400 ห้อง ส่วนอัตราการเข้าพักสูงกว่า 70% นับตั้งแต่กลางปี 2565

อย่างไรก็ตาม Mixed-use ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่สร้างเสร็จสะสมและเปิดให้เช่าหรือขายในครึ่งปีแรก ทำเลที่ตั้งอยู่ในโซนปทุมวันมากสุด 23.3% ของพื้นที่ก่อสร้างเสร็จทั้งหมด รองลงมา โซนสีลม-สาทร-บางรัก  17.9% ของพื้นที่ก่อสร้างเสร็จ และ โซนห้วยขวาง-จตุจัตร-ดินแดง 17.5% ส่วนใหญ่อยู่ในรัศมี 500 เมตรจากรถไฟฟ้า สัดส่วนมากถึง 85.3% รองลงมา 11% อยู่ห่างจากรถไฟฟ้าในระยะ 500-1,000 เมตร และ 3.7% ห่างสถานีรถไฟฟ้ามากกว่า 1,000 เมตร

ธนินท์รัฐ ภักดีภิญโญ อดีตผู้บริหารระดับสูง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ใน 5 ปีข้างหน้า (2566-2570) จะมีโครงการเปิดใหม่ที่จะสร้างพื้นที่ค้าปลีกใหม่ 8 ล้าน ตร.ม. จากปัจจุบันมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 8 ล้าน ตร.ม. ทั้งหมดจะเข้ามาร่วมพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยจากการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศ

ทั้งจาก เซ็นทรัลพัฒนา, เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น, กลุ่มเดอะมอลล์, กลุ่มทีซีซี และกลุ่มซีพี เป็นต้น  ซึ่งหากมีความร่วมมือพัฒนาโครงการใหม่ๆ แบบ Mixed-use ในแนวรถไฟฟ้าสู่พื้นที่ค้าปลีก จะยิ่งสร้างศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างมาก

หนุนร่างกฎหมาย TOD เอื้อพัฒนาพื้นที่สร้างมูลค่าเพิ่ม

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า การผลักดันโครงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ ของประเทศไทย สามารถนำพื้นที่มาพัฒนาสู่โครงการใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สร้างมูลค่ามหาศาลต่อเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว

“แต่โครงการ TOD ของประเทศไทยยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะต้องมีการปรับแก้ไขกฎหมายหลายส่วนๆ โดยเฉพาะกฎหมายหลักอย่าง พรบ.เวนคืนที่ดิน เพื่อนำพื้นที่โดยรอบระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ไปสร้างประโยชน์และพัฒนาโครงการใหม่ในหลายด้าน และเห็นด้วยที่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะมีร่างกฎหมาย TOD ขึ้นมาโดยเฉพาะ”

กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำว่า การผลักดันโครงการ TOD  จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากหลายส่วน เพื่อทำให้เกิดขึ้นได้จริง จึงต้องมีการปรับแก้ไขกฎหมายในส่วนนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

เริงศักดิ์ ทองสม ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบการขนส่งและจราจร รักษาการในตำแหน่ง นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า สนข. อยู่ระหว่างการร่างกฎหมาย TOD และอยู่ในขั้นตอนที่จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้จะนำผลการศึกษาเรื่องการพัฒนาโครงการ TOD เสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ

ทั้งนี้จากผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า ต้นแบบการพัฒนา TOD รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง 3 แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงพัทยา สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงขอนแก่น และ สถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ที่เมื่อมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ จะสร้างโอกาสและเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เอสซี แอสเสท แจงข้อเท็จจริงกรณีครอบครัวรัตนพันธ์พาดพิง

เอสซี แอสเสท ส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีครอบครัวรัตนพันธ์พาดพิงผ่านรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2566 ไม่เป็นความจริง ศาลไม่เคยมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ต้องชดใช้เงินจำนวน 1,503 ล้านบาทแก่ครอบครัวรัตนพันธ์ ยันทำธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล


เอสซี แอสเสท ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับครอบครัวรัตนพันธ์ ที่มีการพาดพิงถึงบริษัท SC Asset ผ่านรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 เนื้อหาดังนี้


1. SC Asset ทำผิดเงื่อนไขกรณีรวบรวมที่ดิน บริเวณถนนรัชดา-รามอินทรา เพื่อนำเสนอขาย ทำให้ครอบครัวรัตนพันธ์ สูญเสียบ้านและที่ดินกว่า 200 ล้านบาท [ไม่เป็นความจริง]
2. ศาลมีคำสั่งให้ SC Asset ต้องชดใช้เงินจำนวน 1,503 ล้านบาท ให้แก่ครอบครัวรัตนพันธ์ [ไม่เป็นความจริง ศาลไม่เคยมีคำสั่งหรือคำพิพากษานี้]
3. ความจริง คือ SC Asset เป็นโจทก์ ฟ้องนายศรายุทธ รัตนพันธ์ และบุตรสาว ทั้งหมด 2 คดี ได้แก่
a. คดีแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ พ.881/2566
คดีอยู่ในขั้นตอนการสืบพยานจำเลย
b. คดีอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.2986/2563 ความผิดฐานหมิ่นประมาทและบุกรุก
คดีมีมูล อยู่ในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์
บริษัท SC Asset ประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใส ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี ตลอดมา ไม่เคยกระทำผิดกฎหมาย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30ส.ค. ที่ระดับ 35.03 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทในช่วงนี้ คาดแนวรับไว้แถว 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่แนวต้าน อาจยังอยู่ในช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 30ส.ค.2566 ที่ระดับ  35.03 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.13 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น ได้ช่วยชะลอแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าลงไปบ้าง แต่ทว่า โฟลว์ธุรกรรมในช่วงปลายเดือน ซึ่งเป็นฝั่งซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อสกุลเงินอื่น โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังค่าเงินเยนญี่ปุ่น อ่อนค่าลงพอสมควรเมื่อเทียบกับเงินบาท ก็อาจชะลอการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินบาทในระยะสั้นนี้ได้

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ เงินบาทอาจยังคงผันผวนในกรอบ sideway จนกว่าเราจะเห็นการกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติที่ชัดเจนและต่อเนื่อง (ล่าสุด ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน โดย แม้ว่าในฝั่งหุ้นจะเป็นการซื้อสุทธิ แต่กลับเป็นการขายสุทธิในฝั่งบอนด์)

ในส่วนของแนวรับ-แนวต้านค่าเงินบาทในระยะสั้น เราประเมินโซนแนวรับของเงินบาทในช่วงนี้ ไว้แถว 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ถึงจะเห็นการกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนของเงินบาท

ขณะที่โซนแนวต้าน อาจยังอยู่ในช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์ เว้นว่า ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทจะกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ตลาดมองเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อเกิน 60% อีกครั้ง ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส หรือ ดีกว่าคาด

อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.15 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 34.98-35.24 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งแม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่า ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence)

และยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) แต่เงินบาทก็สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น

ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 8.827 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อและ

โอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ปรับตัวขึ้นแรง (Tesla +7.7%, Nvidia +4.2%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.74% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.45%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว +0.97% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH +1.4%) รวมถึงกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto +1.7%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Shell +1.2%) หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวสูงขึ้น

ในฝั่งตลาดบอนด์ การปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานของผู้เล่นในตลาด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.13%

อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงผันผวน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้ เรายังคงแนะนำ ทยอยเข้าลงทุนบอนด์ระยะยาวในจังหวะย่อตัวหรือในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นอาจจำกัดอยู่ใกล้โซนจุดสูงล่าสุดแถว 4.30% ขณะที่ Risk-Reward ของการถือบอนด์ระยะยาวก็ยังมีความคุ้มค่า

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด หลังค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้ปรับตัวอ่อนค่าหนักสู่ระดับ 147.30 เยนต่อดอลลาร์ ก่อนที่เงินดอลลาร์จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด ซึ่งทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 103.6 จุด (กรอบ 103.4-104.4 จุด) ทั้งนี้ เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ sideway เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์

ในส่วนของราคาทองคำ การทยอยปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้าน 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ซึ่งในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นนั้น อาจมีผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 (คาดการณ์ครั้งที่ 2) และยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ลูกยางสาวไทยประเดิมศึกชิงแชมป์เอเชีย ชมสถิติ ไทย – ออสเตรเลีย, เวลา, ช่องถ่ายทอดสด

การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2023 ทีมไทย อันดับที่ 17 ของโลก พบ ออสเตรเลีย อันดับ 53 วันนี้เป็นนัดแรกของทีมชาติไทยกับการลงสนามในฐานะเจ้าภาพ พร้อมมีคะแนนสะสมอันดับโลกเป็นเดิมพัน ในการไต่อันดับขึ้นไปอีกครั้ง

โดย สถิติการพบกันระหว่าง ไทย – ออสเตรเลีย (5 ครั้ง)

2022/08/22 ไทย ชนะ 3-0 เซต (25-9, 27-25, 25-13)

2020/01/09 ไทย ชนะ 3-0 เซต (25-12, 27-15, 25-13)

2018/09/19 ไทย ชนะ 3-0 เซต (25-20, 27-21, 25-13)

2013/09/14 ไทย ชนะ 3-0 เซต (25-16, 27-17, 25-18)

2013/09/04 ไทย ชนะ 3-0 เซต (25-17, 27-15, 25-17)

ทั้งนี้การวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2023 วันที่ 30 สิงหาคม 66  ทีมชาติไทย จะลงสนามพบกับ ออสเตรเลีย ที่ สนามชาติชาย ฮอลล์ จ.นครราชสีมา
แข่งขันในเวลา 18.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง PPTV HD36

รายชื่อ 14 นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดลุยศึกชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ปี 2023
เซตเตอร์
พรพรรณ เกิดปราชญ์
สิริมา มานะกิจ

ตัวรับอิสระ
ปิยะนุช แป้นน้อย
สุพัตรา ไพโรจน์

บอลเร็ว
จรัสพร บรรดาศักดิ์
ทัดดาว นึกแจ้ง
วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์
หัตถยา บำรุงสุข

หัวเสา
ชัชชุอร โมกศรี
วิภาวี ศรีทอง
ศศิภาพร จันทรวิสูตร
อัจฉราพร คงยศ
พิมพิชยา ก๊กรัมย์
ธนัชชา สุขสด

เจ้าหน้าที่ทีม
สมชาย ดอนไพรยอด : ผู้จัดการทีม
ดนัย ศรีวัชรเมธากุล : หัวหน้าผู้ฝึกสอน
ชำนาญ ดอกไม้ : ผู้ฝึกสอน
วรรณา บัวแก้ว : ผู้ฝึกสอน
นุศรา ต้อมคำ : ผู้ฝึกสอน
ธีรศักดิ์ นาคประสงค์ : ผู้ฝึกสอน
ทิพย์รัตน์ แก้วใส : นักกายภาพบำบัด
ประวิทย์ เปรมธีรสมบูรณ์ : แพทย์ประจำทีม
ภีมวัจน์ บุญจันทร์ : เทรนเนอร์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 โรคอันตรายที่มากับ “ฝน”

ช่วงที่ฝนตกหนักทุกวันแบบนี้ ระวังโรคที่มากับฝนเหล่านี้ด้วย

อ. นพ.วศิน เลาหวินิจ แพทย์ประจำฝ่ายเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุถึงโรคที่มักพบในหน้าฝนที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนี้

5 โรคอันตรายที่มากับ “ฝน”

  1. ไข้หวัด

เป็นโรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งเกิดได้หลายชนิด ผู้ป่วยมักมีไข้ต่ำๆ น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นได้เองภายใน 2-3 วัน

  1. ไข้หวัดใหญ่

เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ไอและมีน้ำมูก ปวดศีรษะ

  1. ไข้เลือดออก

เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูง 2-7 วัน ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ พบจุดจ้ำเลือดที่ผิวหนังและกระเพาะอาหารได้

  1. โรคฉี่หนู

เกิดขึ้นในพื้นที่น้ำท่วมขัง จะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้สูงเฉียบพลัน ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะ บริเวณหลัง น่อง และ ต้นคอ ควรหลีกเลี่ยงการเดินในพื้นที่น้ำขัง หรือมีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

  1. โรคติดต่อที่เกี่ยวกับดวงตา

เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก สัมผัสดวงตาจากการขยี้ตา หรือการกระเด็นทำให้เกิดอาการคัน หรือตาแดง

วิธีป้องกันโรคในหน้าฝน

  1. พยายามไม่ตากฝน ไม่โดนละอองฝน
  2. หากโดนฝน หรือเปียกฝนจริงๆ ไม่ควรปล่อยให้ตัวเปียกๆ นานๆ หรือระหว่างที่ตัวเปียกๆ ไม่ควรเข้าไปในสถานที่ที่มีอากาศเย็นจัด เช่น ห้องแอร์ อาจทำให้เป็นหวัดได้ง่ายขึ้น
  3. ไม่มีความจำเป็นต้องกินยาพาราเซตามอล หรือยาแก้แพ้ใดๆ หากไม่มีอาการ
  4. รวมถึง หากคิดว่าในอนาคตจะต้องเจอฝนแน่นอน ไม่ควรกินยาดัก เพราะในทางปฏิบัติจริงแล้ว ไม่สามารถช่วยได้
  5. ระหว่างที่ตัวเปียกฝน พยายามไม่เอามือมาสัมผัสหน้าตา
  6. เมื่อตัวเปียกฝนแล้ว ควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำสระผม ปล่อยไดร์ผมให้ผมแห้งตัวแห้งทันทีที่ถึงบ้าน
  7. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คำศัพท์และสำนวนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความตาย

At peace

ตาย (เป็นการกล่าวว่าใครตายแล้วอย่างสุภาพและอ่อนโยนขึ้น)

Be as dead as a doornail

ตายอย่างสนิท, ตายอย่างไม่ต้องสงสัย ( doornail หมายถึงตะปูที่ใช้ตรึงประตูหรือถ้าเป็นของก็คือเสียชนิดที่ซ่อมไม่ได้)

Be on your deathbed

กำลังจะตาย

Death (n.)

การตาย

Depart this life

ตายจากไปแล้ว

Die (v.)

ตาย

Dropping like flies 

ล้มตายจำนวนมาก (ตรงนี้แสดงถึงการตายในจำนวนเยอะมาก จนเหมือนฝูงแมลง)

Extinction (n.)

การสูญพันธุ์

Gone to glory 

ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว, จากไปแล้ว, ตาย (คำว่า glory แสดงถึงความงดงาม หรือแนวสวรรค์)

Food for worms/worm food 

ตายและถูกฝังไปแล้ว (แปลตามตรงคือตายจนกลายเป็นอาหารของหนอนไปแล้ว)

Let nature take its course

ปล่อย/ยอมให้ (บางคน) ได้ตายอย่างธรรมชาติ
(ถ้าจะยื้อก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดหรือไม่งั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า)

Mortality (n.)

อัตราการตาย

Six feet under 

ตายและถูกฝังไปแล้ว (ลึกลงไป 6 ฟุต เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าอยู่ในดินแล้ว เท่ากับถูกฝัง)

Stone-dead

ตาย (แข็งจนกลายเป็นหินแล้ว)

To be on one’s last legs 

เข้าใกล้ความตายมากแล้ว (เหมือนกับเหลือขาข้างเดียว ไม่มั่นคงมากพอ)

To have one foot in the grave

ไม้ใกล้ฝัง สภาวะที่ใกล้ตาย (มีอายุมากหรือป่วยหนักมาก จวนจะไม่ไหวเหมือนกับมีเท้าหนึ่งข้างก้าวเข้าไปในสุสานแล้ว)

To kick the bucket

ตาย
(สมัยก่อนจะมีการแขวนสัตว์ไว้แล้วให้ยืนบนถัง พอถึงเวลาก็เตะถังออก ถือเป็นคำไม่สุภาพ ห้ามใช้เพื่อพูดกับผู้อื่น)

Wiped out 

กวาดล้าง, สูญพันธุ์ (จริงๆคำนี้เราน่าจะคุ้นกับที่แปลว่า เช็ดถู อันนี้ก็เหมือนกัย เช็ดถูออกไปจนหมด ไม่เหลืออะไรเลย)

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


นานาชาติเร่งสำรวจดวงจันทร์ หวังไขแหล่งน้ำ-ตั้งถิ่นฐานถาวรในอนาคต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหล่าประเทศมหาอำนาจ ทั้ง สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ต่างพยายามเดินหน้าโครงการสำรวจดวงจันทร์ของตน แต่ทุกประเทศก็ต้องเผชิญความล้มเหลว อย่างเช่น ญี่ปุ่นที่ไม่สามารถลงจอดบนดวงจันทร์ได้เมื่อปีที่แล้ว และอิสราเอลที่ไม่สามารถบรรลุภารกิจของตนได้ในปี 2019 ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์

ในฐานะผู้เคยมีบทบาทสำคัญในความพยายามสำรวจดวงจันทร์มาเมื่อหลายสิบปีก่อน รัสเซียเดินหน้าพยายามสร้างชื่อให้ตนอีกครั้งด้วยการส่งยานอวกาศลูนา-25 (Luna-25) ไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นภารกิจครั้งแรกในรอบเกือบ 50 ปีที่มาพร้อมกับความหวังว่า ตนจะเป็นประเทศแรกในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดยเฉพาะเรื่องแหล่งน้ำที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน

ปัจจุบัน การสำรวจดวงจันทร์นั้นมุ่งเน้นไปยังบริเวณขั้วใต้ของดาวบริวารดวงนี้ ซึ่งเป็นจุดที่ยังไม่เคยมีประเทศใดเข้าถึงมาก่อน

ความจริงที่ว่า การนำยานลงจอดในบริเวณเป็นเรื่องที่ยากมากไม่ได้ทำให้ความฝันที่จะเป็นผู้คว้ารางวัลใหญ่ระดับประวัติศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ดูยากเย็นเกินไปเลย เพราะเหล่านักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า น้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นที่ตรงนี้อยู่อาจนำไปสกัดเป็นเชื้อเพลิง ออกซิเจน และน้ำดื่มได้

ในส่วนของรัสเซียนั้น อาซีฟ ซิดดีกิ อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham University) ในรัฐนิวยอร์ก บอกกับ วีโอเอ ว่า ความใฝ่ฝันของรัฐบาลเครมลินที่จะพิชิตดวงจันทร์นั้นมีที่มาจากหลายเหตุผล

ศาสตราจารย์ซิดดีกิ กล่าวว่า มีการคาดการณ์มาโดยตลอดว่า บนดวงจันทร์นั้นมีแหล่งน้ำอยู่และสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญหากมนุษย์ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรที่นั่น และว่า การที่รัสเซียพยายามมุ่งสำรวจขั้วใต้ของดวงจันทร์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะประเทศนี้ต้องการเป็นผู้นำในการศึกษาประเด็นนี้

นักดาราศาสตร์ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแหล่งน้ำบนดวงจันทร์มานานหลายศตวรรษ เพราะการสำรวจศึกษาก่อนหน้านี้ชี้ว่า ดาวดวงนี้มีภาวะแห้งแล้งยิ่งกว่าทะเลทรายซาฮาราถึง 100 เท่า

แต่ในปี 2020 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า ออกมายืนยันว่า มีแหล่งน้ำอยู่บนดวงจันทร์

นอกจากรัสเซียแล้ว อินเดียคืออีกประเทศที่เดินหน้าภารกิจสำรวจพื้นที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์

และแม้ว่าอินเดียจะประสบความล้มเหลวกับภารกิจส่งยานจันทรายาน-2 ในปี 2019 รัฐบาลนิวเดลีก็ไม่ย่อท้อและส่งยาน จันทรายาน-3 ขึ้นไปอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมของปีนี้

ขณะที่ ภารกิจการสำรวจของทั้งรัสเซียและอินเดียจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังศึกษาพื้นที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ ไม่ต่างกัน แต่เชื่อว่ายานสำรวจของทั้งสองประเทศจะลงจอดในพื้นที่ห่างกัน และจะไม่ปฏิบัติภารกิจที่ทับซ้อนกัน

ศาสตราจารย์ซิดดีกิ ให้ความเห็นว่า “ก่อนอื่นผมคิดว่ามันคือการแสดงศักยภาพของประเทศในเวทีระดับโลก” และว่า เหตุผลหนึ่งที่รัสเซียต้องการไปดวงจันทร์ ก็คือเพื่อแสดงความเป็นประเทศมหาอำนาจ หลังเห็นว่า จีนได้ประกาศแผนที่จะส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ ส่วนสหรัฐฯ อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการสำรวจดวงจันทร์ Artemis

ดังนั้น แม้รัสเซียจะอยู่ในช่วงที่เผชิญมาตรการลงโทษด้านเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ เนื่องมาจากสงครามรัสเซียรุกรานยูเครน ซึ่งทำให้รัสเซียไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีจากโลกตะวันตกได้อย่างที่เคย มอสโกได้หันไปกระชับความแน่นแฟ้นกับพันธมิตรอย่างจีน ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า รัสเซียอาจกำลังพยายามเกาะจีนเพื่อไต่กลับไปให้ถึงจุดสุดยอดของความฝันนี้ให้ได้ภายใน 10-15 ปีจากนี้

อย่างไรก็ดี ความมุ่งมั่นครั้งล่าสุดของรัสเซียก็ต้องจบด้วยความล้มเหลวอีกครั้ง หลังยานลูนา-25 ประสบเหตุทางเทคนิคและสูญเสียการควบคุมขณะบินเข้าวงโคจรดวงจันทร์ ก่อนจะตกลงบนพื้นดาวโดยยังไปไม่ถึงจุดหมายที่ขั้วใต้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“แอสปาร์แตม” น้ำตาลเทียม ที่มาพร้อมความเสี่ยงสุขภาพ

หลายคนน่าจะรู้กันแล้วว่าน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาว หากกินมากเกินปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือประมาณ 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ หลายคนจึงเลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือเลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ระบุว่า “ไม่มีน้ำตาล” แทน ซึ่งสารให้ความหวานที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ประเภทไม่มีน้ำตาล หรือคนมักซื้อมาเติมความหวานให้อาหารและเครื่องดื่ม ก็คือ แอสปาร์แตม หรือน้ำตาลเทียม ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน และสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คุณคิด


แอสปาร์แตม คืออะไร?

แอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่นิยมนำมาให้เป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่ม และสามารถพบได้บ่อยที่สุดในท้องตลาด ทำมาจากกรดแอสปาร์ติก (Aspartic Acid) และฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนตามธรรมชาติผสมกับเมทิลเอสเทอร์ (Methyl Ester) โดยกรดแอสปาร์ติกนั้นเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ ส่วนฟีนิลอะลานีนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น แอสปาร์แตมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะย่อยสลายเป็นเมทานอล (Methanol) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเผยว่า หากร่างกายได้รับเมทานอลในปริมาณมากเกินไปก็อาจเป็นพิษได้ เนื่องจากเมทานอลอาจเปลี่ยนเป็นสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ


การบริโภคแอสปาร์แตม มีผลข้างเคียงอะไรไหม?

จากข้อมูลของสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) เผยว่า แอสปาร์แตมนั้นหวานกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 200 เท่า ฉะนั้น ร่างกายจึงควรได้รับในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยปริมาณที่แนะนำต่อวัน ได้แก่

องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administratio หรือ FDA) แนะนำว่า ไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority หรือ EFSA) แนะนำว่า ไม่ควรเกิน 40 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

แม้หน่วยงานส่วนใหญ่จะระบุว่า คนส่วนใหญ่สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้อย่างปลอดภัย หากไม่เกินปริมาณที่แนะนำ แต่จากรายงานเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากการบริโภควัตถุเจือปนอาหารขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ผู้บริโภคบางราย มีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ มีอาการชา กล้ามเนื้อกระตุก ผื่นคัน น้ำหนักขึ้น อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจลำบาก ปวดข้อ สูญเสียการรับรส และหากเราใส่แอสปาร์แตมในอาหารที่ร้อนจัด ความร้อนก็จะไปทำลายโครงสร้างของน้ำตาล จนอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งได้ด้วย

จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ของแอสปาร์แตมโดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ก็พบว่าผู้ที่มีโรคเรื้อรังบางประการ อาจต้องเลี่ยงแอสปาร์แตม เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว หรือ ทำให้อาการแย่ลงได้


โรคเรื้อรังที่ควรเลี่ยงแอสปาร์แตม

  • เนื้องอกในสมอง
  • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอ็มเอส (Multiple Sclerosis)
  • โรคลมชัก
  • กลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • โรคพาร์กินสัน
  • โรคอัลไซเมอร์
  • ภาวะปัญญาอ่อน
  • โรคเบาหวาน
  • โรคฟินิลคีโตนูเรีย ยิ่งต้องห้ามบริโภคแอสปาร์แตม หรือน้ำตาลเทียมนี่เด็ดขาด เพราะร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญฟีนิลอะลานีนซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของแอสปาร์แตมได้


อาหาร “Sugar-free” ก็อาจมีแอสปาร์แตม

อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดที่ระบุว่า “Sugar-free” หรือ “ไม่มีน้ำตาล” นั่นหมายถึง อาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ ไม่ได้เติมน้ำตาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เติมสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ และแอสปาร์แตมก็เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่นิยมนำมาใช้ คุณจึงสามารถพบแอสปาร์แตมได้ในอาหารและเครื่องดื่มแบบไม่มีน้ำตาลต่างๆ มากมาย เช่น

  • น้ำอัดลมแบบไดเอท
  • ไอศกรีมแบบไม่มีน้ำตาล
  • น้ำผลไม้แคลอรี่ต่ำ
  • หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล
  • โยเกิร์ตไม่เติมน้ำตาล
  • ลูกอมไม่มีน้ำตาล

นอกจากจะหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ระบุว่ามีส่วนผสมของแอสปาร์แตมแล้ว คุณก็ควรสังเกตคำว่า “ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)” บนผลิตภัณฑ์ด้วย เพราะบางครั้งแอสปาร์แตมก็อาจใช้ชื่อนี้แทน และนอกจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้แล้ว คุณก็อาจจะพบแอสปาร์แตมในรูปแบบเดียวกับน้ำตาลซอง หรือน้ำตาลก้อนได้ด้วย


ติดหวาน ใช้อะไรแทนแอสปาร์แตมดี

หากคุณอยากเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทาน เราแนะนำให้คุณใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานจากธรรมชาติเหล่านี้ แทนแอสปาร์แตม

  • น้ำผึ้ง
  • น้ำเชื่อมเมเปิ้ล หรือเมเปิ้ลไซรัป
  • น้ำผลไม้คั้นสด
  • หญ้าหวาน
  • แบล็กสแตรป
  • โมลาส (Blackstrap molasses) หรือกากน้ำตาลที่มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 50-60%


แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นความหวานจากธรรมชาติ แต่คุณก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย เช่น น้ำผึ้ง ควรกินวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ รวมแล้วต้องไม่เกิน 5 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาลเกิน และน้ำหนักเกิน เนื่องจากสารให้ความหวานส่วนใหญ่มักมีปริมาณแคลอรี่สูง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 30/08/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,000.0032,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,073.0031,426.6832,600.00
ทองรูปพรรณ 90%1,865.7028,284.01n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,658.4025,141.34n/a
ทองรูปพรรณ 50%933.0014,144.28n/a
ทองรูปพรรณ 40%726.0011,006.16n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,148.0032,563.68n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/08/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9540.0540.0540.9540.0540.0540.0540.0540.0540.0540.05
แก๊สโซฮอล์ 9139.7839.7840.8839.7839.7839.7839.7839.7839.7839.78
แก๊สโซฮอล์ E2037.7437.7438.7437.7437.7437.7437.7437.7437.74
แก๊สโซฮอล์ E8538.1938.1938.19
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.3449.0449.8449.0445.34
เบนซิน 9547.8449.0148.3447.9947.84
ดีเซล B731.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม42.2443.6449.4443.6443.6442.24
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า