สาระน่ารู้ประจำวันที่ 6 กันยายน 2566

การเคหะแห่งชาติ อัดโปรโมชันจองเริ่มต้น 1,000 บาท วันนี้ -8 ก.ย.นี้

การเคหะแห่งชาติ จัดโปรโมชัน 3 ต่อ จองเริ่มต้น 1,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ -8 กันยายน 2566 เช็คประเภทที่อยู่อาศัย-ช่องทางการจองที่นี่ง

หลังจากการเคหะแห่งชาติได้จัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้ทางการเคหะแห่งชาติได้ขยายเวลารับโปรโมชั่นสุดคุ้ม 3 ต่อ ออกไปอีก 5 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 – 8 กันยายน 2566 สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดโปรโมชันได้ที่นี่


ที่อยู่อาศัยที่เปิดให้จองมีอะไรบ้าง
มีให้เลือกในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด จำนวน 11,492 หน่วย ประกอบด้วยโครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น

  • กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย 
  • ภาคกลาง 1,008 หน่วย 
  • ภาคเหนือ 505 หน่วย 
  • ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย 
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย 
  • ภาคใต้ 1,487 หน่วย 
     

จองที่อยู่อาศัยได้ที่ไหนบ้าง 

  • สำนักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ คลองจั่น เขตบางกะปิ 
  • สำนักงานเคหะนครหลวง 
  • สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ
  • จองได้ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.

รายละเอียดโปรโมชัน
จองเริ่มต้น 1,000 บาท รวมส่วนลดสูงสุด 80,000 บาท  และโปรโมชัน 3 ต่อ

  • ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) 
  • ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท
  • ต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 40,000 บาท 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6 ก.ย. ที่ระดับ 35.47 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่า จากทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ – การปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6 ก.ย. 2566ที่ระดับ  35.47 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ จากทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งในช่วงนี้ ก็ได้แรงหนุนจากทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน

และการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ขณะเดียวกัน โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวก็มีส่วนยิ่งกดดันเงินบาทในระยะนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่องก็กลับมากดดันเงินบาทผ่านความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการค้าของไทย ในช่วงที่การส่งออกยังคงซบเซา

รวมถึง ความกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศ โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ อาจชะลอลงยาก จนทำให้เฟดต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญดังกล่าว ก็จะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านแถว 35.60-35.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก

ซึ่งเราคงมุมมองเดิมตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน ว่า โซนดังกล่าว ควรเป็นจุดที่เริ่มเห็นการชะลอตัวอ่อนค่าของเงินบาท และเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซน 35.85-36.00 บาทต่อดอลลาร์ จากการประเมิน Valuation ของเงินบาท ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยบ้างหรือไม่

โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น หลังดัชนี SET ได้ย่อตัวลงมาพอสมควร ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ ตามแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยหากนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทยบ้าง (Buy on Dip) ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้เช่นกัน

ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.40-35.60 บาท/ดอลลาร์

ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideway (แกว่งตัวในช่วง 35.43-35.49 บาทต่อดอลลาร์) ตามทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยเรามองว่า เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

ขณะเดียวกันการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาท ผ่านแนวโน้มดุลการค้าที่อาจขาดดุลมากขึ้น หากการส่งออกของไทยยังคงซบเซา ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังคงจำกัดอยู่ในโซนแนวต้าน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่า การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้และแนวโน้มที่ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงยาก ซึ่งอาจส่งผลให้เฟดยังจำเป็นต้องเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป

ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้สะท้อนผ่าน การปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดังกล่าวยังได้หนุนให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวขึ้น (Chevron +1.3%) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.42%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.23% ท่ามกลางความกังวลภาวะ Stagflation ในฝั่งยุโรป หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนล่าสุดต่างออกมาแย่กว่าคาด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อ นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนยังได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มเหมืองแร่ (Dior -3.1%, Anglo American -1.6%) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.0%, Shell +1.0%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในระยะนี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบจนกลับมาเท่ากับระดับในปีก่อนหน้า จากความกังวลภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดน้ำมันได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า บรรดาธนาคารกลางอาจเผชิญปัญหาในการควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

หรือ นานขึ้นกว่าคาด ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.26%  อีกครั้ง ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว เนื่องจากระดับยีลด์ที่สูงขึ้น มี risk/reward ที่น่าสนใจและคุ้มค่าความเสี่ยง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวนและการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.8 จุด (กรอบ 104.5-104.9 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ในตลาด และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในบางช่วง ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 1,952 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งตลาดจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 52.5 จุด

สะท้อนว่าภาคการบริการสหรัฐฯ ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องได้ (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการขยายตัวของภาคการบริการนั้นก็ชะลอลงต่อเนื่อง กดดันโดยผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงภาวะการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัวลง

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยเฟด หรือ Fed’s Beige Book (ตลาดทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) โดยเรามองว่า ผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว อาจชี้ว่า ภาคธุรกิจในหลายพื้นที่ของเฟดอาจมีความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจมากขึ้น และอาจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว

ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าว กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งอัตราเงินเฟ้อและข้อมูลตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง อาจทำให้เฟด “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และเราคงมุมมองเดิมว่า เฟดได้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ไปแล้วและอาจเป็นเรื่องยากที่เฟดจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน หากทั้งภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอตัวลงมากยิ่งขึ้นในช่วงดังกล่าว

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของ ECB

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ชมภาพสุดชื่นมื่น!!! กองเชียร์เฮสุดพลัง ,นักตบสาวไทยหลั่งน้ำตา หลังคว่ำ ญี่ปุ่น ครั้งแรกในรอบ 5 ปี

หลังจากที่ทีมนักตบสาวไทย รวมพลังพลิกกลับมาแซงชนะ ญี่ปุ่น ไปแบบสุดมัน 3-2 เซต ด้วยสกอร์ 25-23, 19-25, 20-25, 25-20, 15-11

ภาพหลังเกมในวินาทีแห่งชัยชนะ บ่งบอกว่าทีมสาวไทยกดดัน และอยากคว้าชัยในเกมนี้มากขนาดไหน

วันนี้เราได้เห็นถึงความใจสู้ของทีมชุดนี้ แฟนกีฬาสนามและทางบ้านที่ชมผ่านหน้าจอเองก็เชียร์แบบสุดพลังเช่นกัน วันนี้เราไปชมภาพการฉลองแบบสุดเหวี่ยงกันดูครับ

ทั้งนี้ ค่ำวันนี้ ทีมชาติไทย เตรียมลงสนามพบ ทีมชาติจีน ใน เวลา 18.00 น.  ถ่ายทอดสดทางช่อง PPTV 36, Youtube ช่อง PPTV HD

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“หน้ามืด” หลังตื่นนอน เป็นเพราะอะไร? อันตรายหรือไม่?

หลังตื่นนอนควรจำเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราสดชื่นแจ่มใสเพราะเราได้ชาร์ตแบตให้กับร่างกายมาเต็มๆ (ยกเว้นเพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว อาจทำให้ง่วงนอน และยังรู้สึกเพลียอยู่ เพราะยังพักผ่อนได้ไม่เต็มที่) แต่หากมั่นใจว่าตัวเองก็นอนอย่างเพียงพอมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้ว แต่ทำไมตื่นเช้ามากลับมีอาการหน้ามืดขึ้นได้ เรามาดูสาเหตุกัน


ทำไมถึงหน้ามืดหลังตื่นนอน?

อาการหน้ามืดหลังตื่นนอน เกิดขึ้นจากการที่ร่างกาย และหัวใจปรับตัวไม่ทันหลังจากลุกขึ้นจากเตียงนอนหลังตื่นนอนในทันที เหมือนกับอาการหน้ามืดที่เกิดจากการก้มตัวแล้วลุกขึ้น หรือเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน แต่อาการหน้ามืดหลังตื่นนอนจะมีโอกาสที่ผู้สูงอายุจะเป็นมากกว่าวัยหนุ่มสาว หากเรานอนราบ แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นมุม 90 องศา อาจทำให้หัวใจเราบีบตัวเร็วขึ้นเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ทัน เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่ทัน จึงมีอาการหน้ามืดเกิดขึ้นได้


หน้ามืดหลังตื่นนอน อันตรายหรือไม่?

อาการหน้ามืดหลังตื่นนอนเป็นเพียงอาการที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น หัวใจไม่สามารถสูบฉึดโลหิตไปเลี้ยงสมองได้อย่างรวดเร็วเหมือนวัยหนุ่มสาวเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายอะไรร้ายแรง เพียงแต่ว่าหากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้ว หากมีอาการหน้ามืดรุนแรงหลังตื่นนอน อาจอันตรายในแง่ของการล้มเซชนข้าวของ หรือตกบันไดบ้าน เป็นต้น


วิธีป้องกันอาการหน้ามืดหลังตื่นนอน

  1. หลังตื่นนอนในตอนเช้า ใช้เวลาในการลุกลงจากเตียงอย่างช้าๆ ค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆ เอียงตัว เอาเท้ายันพื้น มือจับหัวเตียงหรือขอบเตียง แล้วค่อยลุกขึ้นจากเตียง ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังหัวใจ เช่น เดิน วิ่ง แอโรบิค ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เพื่อให้หัวใจแข็งแรง สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมองได้เร็วขึ้น หากใครมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ได้ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  4. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

หากยังมีอาการหน้ามืดหลังตื่นนอนอยู่เรื่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ความหมายที่แท้จริงของ Venti, Grande และ Tall จาก Starbucks

ปัจจุบันไซซ์แก้วเครื่องดื่มแบบเย็นของ Starbucks มีทั้งหมด 3 ไซซ์ด้วยกันก็คือ
Tall, Grande และ Venti จัดเป็น เล็ก 12 onz. กลาง 16 onz. และใหญ่ 20 onz. ตามลำดับ

ทีนี้เรามาดูที่มาและความหมายของคำศัพท์แต่ละคำกัน

Grade 

อ่านว่า แกรน-เด หรือ กราน-เด

เป็นภาษาโรมันที่มีความหมายว่า ‘ใหญ่’ (large, big, great)

Venti 

อ่านว่า เฟวน-ติ

เป็นภาษาละตินมีความหมายว่า ‘ลม’ แน่นอนว่าภาษามักจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันไปในแต่ละภาษา เมื่อ Venti ผันมาเป็นภาษาอังกฤษจะได้คำว่า Vent ที่แปลว่า ‘ช่องลม’ เหมือน ๆ ที่สายเกมน่าจะเคยเห็นกันในเกม Among us ที่ Imposter จะต้องมุดช่องลมลงไปเพื่อแอบเพื่อน ๆ นั่นเอง  

แต่ ๆๆๆ !!

ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับ Starbucks เลย ที่เกี่ยวก็คือ Venti ในภาษาละตินดันมีอีกความหมาย นั่นก็คือ ‘20’ ซึ่ง Starbucks ได้ใช้ความหมายนี้แหละมาตั้งเป็นไซซ์แก้ว

เริ่ม ๆ จะจับประเด็นกันได้แล้วมั้ยยยย

ทีนี้กลับมาที่ Starbucks

ไซซ์ที่ Starbucks มีมาแต่เดิมแรกเริ่มมาจาก Small (เล็ก), Tall (กลาง), และ Grande (ใหญ่) ต่อมาได้มีการยกเลิกขายไซซ์ Small ไป และเพิ่มไซซ์แก้วที่ใหญ่ขึ้นมามากกว่าเดิม (มากกว่า Grade) จึงได้เพิ่มไซซ์ Venti ที่ซึ่งสามารถจุได้ถึง 20 onz. เป็นปริมาณที่มากกว่า Grade ที่มีปริมาณเพียง 16 onz. จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม Grade ที่มีความหมายว่า ใหญ่ (large) ถึงถูกจัดให้เป็นเพียงไซซ์กลางในร้าน Starbucks นั่นเอง

อีกเหตุผลที่ขอยกมาเพิ่มเติมว่าทำไม Starbucks ถึงไม่ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษง่าย ๆ มาเป็นชื่อเรียกไซซ์แก้ว ก็เพราะว่าคอนเซปของ Starbucks ได้ถูกดีไซน์รูปแบบมาให้มีความเป็นวัฒนธรรมอิตาลี ตามความชื่นชอบของเจ้าของ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นำภาษาอิตาลีเข้ามาใช้นั่นเอง

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ Starbucks ได้ทำการตัดบางไซซ์ออก และพยายามหาคำศัพท์อื่นที่ให้มีความหมายแปลว่า ‘ใหญ่’ กว่าคำเดิมที่ตัวเองมีอยู่แล้วก็เท่านั้นเองงง

แต่ถ้าเพื่อน ๆ สงสัยว่าแล้วถ้าจะอยากใช้เป็นคำภาษาอังกฤษแบบทั่วไปต้องใช้คำว่าอะไรล่ะ? เพื่อน ๆ สามารถใช้เป็น Small, Medium, และ Large ตามตัวย่อไซซ์ทั่วไป S,M, และ L ที่เราพบเห็นทั่วไปได้เลยค่า

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


Honda เตรียมยุติการจำหน่ายรถสันดาปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป

Honda ประกาศเตรียมยุติการวางจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัวในตลาดทั่วโลก

     แผนการดำเนินงานของฮอนด้าดังกล่าว ต้องการให้มียอดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ฟิวเซล (FCV) ในกลุ่มประเทศที่พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 40% ของยอดจำหน่ายทั้งหมดภายในปี 2030 จากนั้นจึงเพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2035 ก่อนจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว 100% ทั่วโลกภายในปี 2040 นี้

     เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ดังกล่าว ฮอนด้าเตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์มเฉพาะที่เรียกว่า e:Architecture โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือช่วงหลังปี 2025 เป็นต้นไป จากนั้นจึงจะขยายไปทำตลาดภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก

  นอกจากนี้ Honda ยังได้จับมือกับเครือ General Motors เพื่อพัฒนารถเอสยูวีไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวน 2 รุ่น โดยจะใช้แบตเตอรี่ Ultrium ของ GM สำหรับวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ โดยแบ่งออกเป็นแบรนด์ Honda และ Acura อย่างละ 1 รุ่น คาดว่าจะถูกเปิดตัวภายในปี 2023-2024 นี้

     ขณะที่ตลาดมาแรงอย่างประเทศจีนนั้น ฮอนด้าก็มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10 รุ่นภายในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ โดยจะเริ่มต้นที่เอสยูวีไฟฟ้าที่พัฒนาต่อมาจากรถต้นแบบ SUV e:prototype ที่เปิดตัวในงาน Auto Shanghai 2021 ที่ผ่านมา

 ส่วนรถยนต์พลังงานฟิวเซล (Fuel Cell Vehicle) ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงก็ยังคงไม่หายไปไหน เนื่องจากฮอนด้าต้องการให้มี “สังคมไฮโดรเจน” เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของพลังงานชนิดนี้ลง โดยนำขุมพลังดังกล่าวไปติดตั้งลงในรถเชิงพาณิชย์และอุปกรณ์กำเนิดไฟแบบต่างๆ

     ฮอนด้าไม่เพียงแต่ต้องการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัวเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายว่าจะต้องไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในรถยนต์ของฮอนด้าตั้งแต่ปี 2050 เป็นต้นไปด้วย โดยมีแผนติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง Advanced Driver-assistant System หรือ ADAS ในรถทุกคันที่วางจำหน่ายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป

     อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจากฮอนด้าในไทยคงอีกไม่นานเกินรอ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รู้จัก Aldagram สตาร์ทอัปญี่ปุ่น สร้างแอป “KANNA” ช่วยบริหารโครงการกว่า 10 ประเทศทั่วโลกใน 3 ปี

เพียง 3 ปีหลัง Aldagram Inc. สตาร์ทอัปสัญชาติญี่ปุ่นได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน “KANNA” เต็มรูปแบบเพื่อบริหารโครงการก่อสร้างในประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนพฤกษภาคม 2562 ล่าสุด จำนวนองค์กรผู้ใช้งานได้เพิ่มเป็น 20,000 กว่าแห่ง จาก 10 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน “KANNA” ได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศไทย

เรามารู้จักที่มาและแนวคิดของสตาร์ทอัปญี่ปุ่นที่เปิดตัวให้บริการว่าจะเข้ามาช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้อย่างไร

แก้ Pain Point ในยุคปรับตัวสู่ DX ของวงการอุตสาหกรรมญี่ปุ่น

นายฮิคารุ นากายามา หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Aldagram Inc. สตาร์ทอัปสัญชาติญี่ปุ่นผู้พัฒนา “KANNA”  กล่าวถึงที่มาของการพัฒนาแอปพลิเคชัน “KANNA” ว่า “จากประสบการณ์ที่ผมได้ทำงานในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการก่อสร้างของญี่ปุ่น เร่งปรับตัวสู่ยุค DX อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นจากหลายปัจจัย อาทิ จัดการงานเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ ที่ซับซ้อน และความล่าช้าในการประสานความต้องการของงานส่วนภาคสนามและหลังบ้าน การจัดทำรายงานตรวจสอบแต่ละขั้นตอน ความคล่องตัวของเทคโนโลยีที่เข้าถึงทุกคนในแต่ละแผนก ฯลฯ หากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ หรือ ผู้รับเหมาที่บริหารจัดการโครงการได้รวดเร็ว และคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพก็สามารถรับงานใหม่ต่อเนื่องได้ทันที

แก้ปัญหาให้ตรงจุด KANNA ตอบโจทย์คุมงานก่อสร้าง

จากขั้นตอนและความยุ่งยากในการบริหารจัดการโครงการก่อสร้าง ทีมงานพัฒนาแอป “KANNA” เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย ผ่านการสั่งงานด้วยสมาร์ทโฟนเพียงแอปเดียว และไม่ต้องเปิดหลายแอปให้ยุ่งยาก ซึ่งเป็นจุดเด่นของแอปพลิเคชัน ช่วยบริหารจัดการโครงการ และเป็นระบบที่อัพเดตข้อมูลได้ถูกต้อง และควบคุมการจัดเก็บข้อมูลพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดเพื่อปกป้องข้อมูลที่มีค่าของลูกค้าให้สามารถควบคุมการสื่อสารแบบครบวงจร

เมื่อพนักงานในทุกระดับเข้าใจและใช้งานได้สะดวก “KANNA” ช่วยประสานงานทุกขั้นตอนได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จึงคุมต้นทุน ตัดความซ้ำซ้อนและข้อผิดพลาดแบบเดิม ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทาง ช่วยให้สื่อสารและติดตามงานง่ายขึ้น ใช้งานสะดวกจากทุกที่ทุกเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้

ผลตอบรับจากลูกค้า “KANNA” บริหารจัดการได้ทั่วโลก

หลังจากเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นปี 2562 ได้รับการตอบรับอย่างดี บริษัท ฯ จึงได้พัฒนาระบบรองรับภาษาต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อขยายกลุ่มผู้ใช้งานนอกประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่ใช้งานสำหรับกลุ่มบริษัทก่อสร้างเท่านั้น ได้ขยายกลุ่มผู้ใช้ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย ทำให้ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน “KANNA” แล้วมากกว่า 20,000 บริษัท จาก 10 กว่าประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น ดูไบ อังกฤษ อินเดีย ออสเตรเลีย สเปน ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม เคนย่า และอูกันด้า

“Unlock Your Value ปลดล็อคคุณค่าในตัวคุณ” เพิ่มประสิทธิภาพคือพันธกิจ

เราตั้งใจที่จะพัฒนาแพลทฟอร์ม “KANNA” จากญี่ปุ่นนี้ให้เป็นที่รู้จักและขยายไปทั่วโลก กลุ่มเป้าหมายของเรา ไม่ได้จำกัดอยู่ที่อุตสาหกรรมการก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้กับงานอุตสาหกรรมทั่วไป เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานเฉพาะของต่ละองค์กรได้ ทำให้ปัจจุบันเรามีพนักงานมากกว่า 80 คนรวมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ

สำหรับประเทศไทย นายนากาฮามากล่าวว่า “งานภาคสนามหรือที่เรียกว่า “งานออนไซต์” ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย อุตสาหกรรมการผลิต อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม การขนส่ง และคลังสินค้าต่าง ๆ ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงานที่แข่งกับเวลาและลดต้นทุนสามารถเลือกใช้แอป “KANNA” ในการช่วยบริหารงานได้ สามารถศึกษาจากคลิปสาธิตการใช้งานได้ที่ https://youtu.be/RQ-Ap9N7jiQ    และผู้ที่สนใจทดลองใช้ด้วยตนเอง ลงทะเบียนฟรีได้ที่ https://lp.kanna4u.com/th

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 6/09/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,250.0032,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,089.0031,669.2432,850.00
ทองรูปพรรณ 90%1,880.1028,502.32n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,671.2025,335.39n/a
ทองรูปพรรณ 50%940.0014,250.40n/a
ทองรูปพรรณ 40%731.0011,081.96n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,165.0032,821.40n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 6/09/2566



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.3539.3540.0539.3539.3539.3539.3539.3539.3539.35
แก๊สโซฮอล์ 9139.0839.0839.7839.0839.0839.0839.0839.0839.0839.08
แก๊สโซฮอล์ E2037.0437.0437.7437.0437.0437.0437.0437.0437.04
แก๊สโซฮอล์ E8537.4937.4937.49
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.0449.0449.8449.0445.04
เบนซิน 9547.1448.3147.6447.2947.14
ดีเซล B731.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.4431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.4431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม42.2443.6449.4443.6443.6442.24
แก๊ส NGV17.5917.5917.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า