สาระน่ารู้ประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2566

คอนโดพร้อมอยู่ดีเกินคาด “แสนสิริ” กวาดยอดขายครึ่งปี 25,000 ล้าน

“แสนสิริ” กวาดยอดขายครึ่งปี 25,000 ล้านบาท โต 37% หลังเปิดตัวโครงการลักซ์ชัวรี-คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ เล็งเปิดตัวเศรษฐสิริ 10 โครงการใหม่ แตะ 21,900 ล้านบาท ภายในปีนี้

นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกของปี 2566 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับแสนสิริอย่างมาก จากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ดี แสนสิริ มองล่วงหน้าถึงสถานการณ์และมีความพร้อมรองรับความผันผวนของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไว้แล้ว จึงวางกลยุทธ์ต่างๆ ตามความเหมาะสม ส่งผลให้สามารถสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยในครึ่งปีแรก แสนสิริสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 25,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้โครงการเปิดตัวใหม่ ทำยอดขายดีเกินคาดในทุกโครงการ นำแชมป์ด้วยโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี อย่างนาราสิริ พหล -วัชรพล และ บูก้าน กรุงเทพกรีฑา ที่สามารถสร้างยอดขายได้ดีมาก ต่อยอดความสำเร็จจากการส่งมอบบ้านเดี่ยวในระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรีจากแสนสิริ ในโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และบูก้าน โยธินพัฒนา ซึ่ง Sold out ปิดการขายอย่างรวดเร็ว ในช่วงก่อนหน้า 

นอกจากนี้จากความต้องการบ้านในระดับลักซ์ชัวรี ที่ยังมีดีมานต์อยู่มาก ประกอบกับกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อต่อเนื่อง ทำให้ทั้ง 2 โครงการ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ เดินทางสะดวก ได้ผลตอบรับที่ดี รวมถึงโครงการเศรษฐสิริ ดอนเมือง ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสนามบินดอนเมืองและใกล้โรงเรียนนานาชาติ ฮาร์โรว์ ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดเช่นกัน

นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริได้เปิดตัว แคมปัส คอนโด ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ โครงการ ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามียอดจองแล้วถึง 80% แสดงให้เห็นว่าครึ่งแรกของปีนี้โครงการเปิดใหม่ได้รับผลตอบรับที่ดีในทุกโครงการ รวมถึงโครงการแนวราบอีกหลายโครงการ เช่น สราญสิริ ราชพฤกษ์ 345 และ อณาสิริ ศรีนครินทร์-แพรกษา เป็นต้น

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ หรือ Ready to Move เริ่มกลับมาขายดี สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมกำลังกลับมาหลังจากช่วงก่อนโควิดและหลังโควิดมีการดูดซับช้าลง ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีกับตลาดคอนโดมิเนียมเป็นอย่างมาก เนื่องจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่เป็นตัวชี้วัดที่ดีในตลาด Real Demand เพราะกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่า ไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือมีดีมานด์เทียมในยอดขายของคอนโดมิเนียมกลุ่มดังกล่าว
 

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาแสนสิริสามารถทำยอดขายได้ดี จนทำให้ยูนิตสร้างเสร็จพร้อมขาย (Stock) ของคอนโดมิเนียมลดลงเหลือเพียง 8,100 ล้านบาทจากStock ในต้นปีที่ 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าแสนสิริมี Absorption ที่ดีที่สุดในตลาด สำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ภายใต้แบรนด์ The Base, The Line, The Muve, XT, dcondo และ CondoMe เป็นต้น โดยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แสนสิริยังได้เตรียมปิดการขายอีก 12 โครงการ ในคอนโดมิเนียมกลุ่มแบรนด์นี้  

นอกจากนี้แสนสิริยังสร้างวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กระแสเงินสดเป็นเรื่องสำคัญ การมียูนิต สร้างเสร็จพร้อมขาย หรือ Stock ลดลงเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้แสนสิริสามารถชำระคืนเงินกู้ธนาคารจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ได้ 100% ซึ่งหมายถึง แสนสิริไม่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระคืนในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ซึ่งการมีวินัยทางการเงินนับเป็นปรัชญาสำคัญของแสนสิริในการดำเนินธุรกิจมาตลอดเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้แสนสิริอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ดีและมีคุณภาพ เป็นที่วางใจของธนาคารและนักลงทุนเสมอมา 

ด้านการคืนหนี้ได้เร็วกว่ากำหนดก็เท่ากับว่าแสนสิริ สามารถลดค่าใช้จ่ายทางด้านการเงินไปในตัวอีกด้วย โดยปัจจุบันแสนสิริมีสภาพคล่องอยู่กว่า 17,000 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงินมากที่สุด

“แสนสิริยังคงวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงการตอบรับความต้องการลูกค้าในทุกเซกเมนต์ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด  “YOU Are Made For Life” ซึ่งกลยุทธ์ในการเปิดตัวสินค้าในแต่ละกลุ่ม สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม โดยใช้ข้อมูลทางตลาดเป็นตัวชี้นำ ทั้งนี้ ในปีนี้แสนสิริจะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในกลุ่มลักซ์ชัวรีที่ยังคงได้ผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง” 

ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียม ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จะยิ่งส่งผลดีต่อยอดขายและผลประกอบการของบริษัทฯ ขณะที่ การจัดตั้งรัฐบาลที่เสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับการท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้าสู่ใกล้ระดับก่อนโควิดในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และนับเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้แสนสิริมั่นใจว่าเรายังคงมีผลการดำเนินงานที่ On Track ในการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับยอดขายและผลประกอบการที่ดีที่สุดของบริษัทฯ ต่อไปในปีนี้ 

สำหรับไฮไลท์แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง แสนสิริจะรุกบ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริอย่างต่อเนื่อง จากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และการตอบรับที่ดีของตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรีและซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี แสนสิริจึงเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ เพิ่มอีก 10 โครงการ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท ครอบคลุมทุกทำเล ทั้ง รามอินทรา สายไหม เสรีไทย บางนา ราชพฤกษ์ พรานนก และ พุทธมณฑล สาย 1 เป็นต้น ซึ่งนับเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยเปิดตัวใหม่อีกกว่า 10 โครงการในช่วงครึ่งหลังของปีจากสถานการณ์ดีมานด์ตลาดคอนโดมิเนียมทยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แสนสิริจึงมีโอกาสที่จะทำยอดขายได้เกินเป้า 55,000 บาท ตามแผนที่วางไว้ในช่วงต้นปี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อสังหาฯภูมิภาคสัญญาณบวก! ‘ศุภาลัย’ลุยบ้านหรู3ชั้นเจาะเศรษฐีเมืองชล

ศุลาลัย ชี้ตลาดอสังหาภูมิภาคขายดี เดินหน้าผุดบ้านหรู ระดับลักซ์ชัวรี “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา” มูลค่า 1,200 ล้านบาท เป็นครั้งแรกใน จ.ชลบุรี รับเทรนด์ตลาดใน EEC กำลังซื้อฟื้น

แนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปี 2565 โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุม 3 จังหวัด ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างชัดเจน! เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลบวกต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของประเทศ ทำให้คนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมกลับมาทำงาน มีรายได้ และมั่นใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในโซนอีอีซี

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป็นโอกาสของศุภาลัยเดินหน้ารุกตลาดภูมิภาคตอกย้ำจุดแข็งด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ โดยจะมีโครงการที่เปิดใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลำพูน ลำปาง นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี

ทั้งนี้ ยอดขายของศุภาลัยในภูมิภาคปี 2665 มีมูลค่าเกือบ 14,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 8 ปี ! ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ หรือมีสัดส่วน 42% ของยอดขายรวม โดย 5 จังหวัดแรกที่มียอดขายสูงสุด คือ  ชลบุรี 15% ตามด้วย ภูเก็ต 13% ระยอง 10% เชียงใหม่ 9% และสงขลา 8%

ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ใน จ.ชลบุรี มีสัญญาณการขยายตัวตั้งแต่กลางปี 2565 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยดีมานด์ต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมยังคงสูง! ทั้งการอยู่ในพื้นที่อีอีซีทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยของประชากรในพื้นที่และประชากรแฝง แข่งขันสูงจากดีเวลลอปเปอร์จากส่วนกลางและท้องถิ่น

“10ปี ที่ผ่านมาศุภาลัย เข้ามาพัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้น 22 โครงการ ทั้งแนวราบและคอนโด ล่าสุดปี 2565 โครงการศุภาลัยใน จ.ชลบุรี ทำยอดขายอันดับหนึ่งในตลาดภูมิภาค ด้วยมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท คงอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปี

ราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ล่าสุดได้เปิดโครงการบ้านระดับลักชัวรี “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา” มูลค่า 1,200 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมหรูสไตล์โมเดิร์น 3 ชั้น ริม ถ.อ่างศิลา จำนวน 147 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 29 ไร่ ราคา 4.5-18 ล้านบาท

โครงการมาพร้อม “Green Concept” ระบบอีวีชาร์จเจอร์รองรับรถยนต์ไฟฟ้า และโซลาร์รูฟ ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า จากความสามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ช่วยลดความร้อนของหลังคาบ้านและลดการทํางานของเครื่องปรับอากาศ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 15-16 ก.ค. นี้ มียอดขายแล้วกว่า 150 ล้านบาท 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6ก.ค. ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมา “อ่อนค่าลง” หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ควรระวัง ความผันผวนในตลาดค่าเงิน สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6ก.ค.2566 ที่ระดับ  34.98 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.88 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอลงจริง ตามที่เราคาดการณ์ไว้ และเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้างของเงินบาท หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้จริง

 นอกจากนี้ ภาวะตลาดการเงินที่ไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ก็ยังคงเป็นปัจจัยหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ทองคำก็อาจไม่ได้เป็นที่ต้องการของผู้เล่นในตลาดมากนัก เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

อย่างไรก็ดี แรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากทางรัฐสภาได้มีการกำหนดวันโหวตเลือกนายกฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ทำให้นักลงทุนต่างชาติ อาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย เพื่อรอจับตาทิศทางการเมืองไทยก่อน

 อนึ่ง เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ฝั่งสหรัฐฯ อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นตามได้บ้าง ซึ่งก็จะช่วยหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง นักลงทุนต่างชาติ ทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทยเพิ่มเติมได้

ทั้งนี้ ควรระวัง ความผันผวนในตลาดค่าเงิน ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มทยอยรายงานตั้งแต่เวลา 19.15 น. ทำให้ในช่วงการซื้อ-ขาย ระหว่างวัน เงินบาทอาจไม่ได้แกว่งตัวในกรอบกว้าง แต่อาจจะผันผวนมากขึ้นในช่วงดังกล่าว ซึ่งเราประเมินว่า โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวต้านก็อาจอยู่ในช่วง 35.15 บาทต่อดอลลาร์

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและการปรับเปลี่ยนมุมมองไปมาของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายเฟด ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.15 บาท/ดอลลาร์ 

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 34.85-35.02 บาทต่อดอลลาร์) ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำสู่ระดับ 1,924 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ต่างยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุดในช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ ได้สะท้อนจุดยืนของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ที่ต่างสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่ม Semiconductor (Intel -3.3%, Qualcomm -2.5%) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ร้อนแรงขึ้น หลังทางการจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกโลหะที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรม Semiconductor

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลดลงกว่า -0.73% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก รวมถึงความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่สดใสและอาจกดดันภาพเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนได้สะท้อนผ่านการปรับตัวลงต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ (Kering -2.9%, Anglo American -2.7%)

ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่มุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุด ได้ช่วยหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.94% ใกล้โซนแนวต้านสำคัญ 4.00% ซึ่งเรามองว่า อาจจะเป็นจุดกลับตัวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า นักลงทุนอาจทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น หรือ Buy on Dip

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ นอกจากนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดยังได้หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกด้วย ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.3 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.95-103.4 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้ระดับ 1,924 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวลงของราคาทองคำ อาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้าซื้อในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ได้

รวมถึง รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง ก่อนปิดท้ายด้วย รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) และรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) ซึ่งทุกข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ก็ล้วนมีความสำคัญต่อการตัดสินใจปรับนโยบายการเงินของเฟด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวในฝั่งที่อ่อนค่ากว่าแนว 35.00 โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.03-35.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.89 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่ากลับมา

สวนทางเงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ได้รับแรงหนุนมากขึ้น หลังจากที่บันทึกการประชุมเฟดสะท้อนท่าทีในเชิงคุมเข้มต่อเนื่อง โดยแม้เฟดมีมติยืนอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมเมื่อวันที่ 13-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ก็มองว่า จะกลับมาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจากภาพดังกล่าวทำให้ตลาดประเมินว่า อาจเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในการประชุม FOMC วันที่ 25-26 ก.ค. นี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.90-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยทางการเมือง ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการ และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนมิ.ย. รายงานตัวเลข JOLTS เดือนพ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


OFFICIAL! เปแอสเช แต่งตั้ง “เอ็นริเก้” เป็นกุนซือคนใหม่อย่างเป็นทางการ

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ประกาศแต่งตั้งให้ หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นกุนซือคนใหม่แทนที่ คริสตอฟ กัลติเยร์ ซึ่งเพิ่งถูกไล่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เอ็นริเก้ เซ็นสัญญายาวจนถึงปี 2025 เขาว่างงานตั้งแต่ออกจากทีมชาติสเปน ซึ่งตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2022 เมื่อแพ้จุดโทษให้กับ โมร็อกโก

เทรนเนอร์วัย 52 ปี เคยผ่านการคุมสโมสรอย่าง อาแอส โรม่า, เซลต้า บีโก้ และ บาร์เซโลน่า มาก่อน

สำหรับ เปแอสเช มีกุนซือ 3 คนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีก เอิง สมัยที่ 11 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค

ทั้งนี้ เอ็นริเก้ กำลังเจอกับความวุ่นวายในตลาดซัมเมอร์นี้ หลังจากกำลังสำคัญอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ เซร์คิโอ รามอส ย้ายออกไป ขณะที่ คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้ มีข่าวกับ เรอัล มาดริด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


7 ปัญหาสุขภาพของ “วัยทำงาน” ที่ควรระวัง

คนวัยทำงาน ใช้เวลาไปกับการทำงานวันละประมาณ 8 ชั่วโมง แต่หลายคนทำงานหนัก ไม่ว่าจะเนื่องจากภาระงานติดพันหรือด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องทำงานเกินเวลา ส่งผลให้คนเหล่านี้ไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพของตนเองอย่างเหมาะสม พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่มีประโยชน์ เพราะเอาเพียงอิ่มท้อง และขาดการออกกำลังกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ

เพื่อให้คนทำงานทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองมากขึ้น Tonkit360 จึงได้รวบรวมปัญหาสุขภาพ 7 อย่าง ที่คนวัยทำงานอย่างเราต้องระมัดระวังมาฝาก

  1. ออฟฟิศซินโดรม

คนทำงานกว่าร้อยละ 60 โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ มีภาวะออฟฟิศซินโดรม ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยที่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย แม้แต่ในเวลาพักก็ยังนั่งก้มหน้าอยู่กับจอโทรศัพท์เช่นกัน ทำให้เกิดอาการเกร็งและตึงกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ หลัง ไหล่ ข้อมือ นิ้วมือ ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้นานก็จะทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ เอ็นอักเสบ มีอาการปวดหลัง ปวดตึงบริเวณต้นคอไม่หาย ปวดศีรษะเรื้อรัง มือชา นิ้วล็อก เป็นต้น

วิธีแก้คือ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปรับความสูงของเก้าอี้ทำงานให้อยู่ในท่าที่นั่งสบาย นั่งให้เต็มก้นหลังพิงพนัก ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ต้องเหมาะสม รวมถึงหมั่นลุกมาเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ที่สำคัญ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนที่ตึง เพราะหากมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงขั้นหมอนรองกระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

  1. ภาวะซึมเศร้า

เป็นโรคทางจิตเวชที่คุกคามชีวิตของคนวัยทำงานจำนวนไม่น้อย โดยแนวคิดเกี่ยวกับสาเหตุของโรคซึมเศร้านั้นมาจากหลายปัจจัย ทั้งกรรมพันธุ์ สารเคมีในสมอง และลักษณะนิสัยส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ความเครียด ก็เป็นอีกปัจจัยที่มากระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน เมื่อมีความกดดันด้านจิตใจหรือความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มีผลต่อจิตใจอย่างรุนแรง ก็ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย

ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการคิดมาก จิตตก ท้อแท้หมดกำลังใจ เศร้า หดหู่ ร้องไห้บ่อย ๆ ในบางรายอาการหนัก จนจมอยู่กับความทุกข์ ไม่สามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติได้ และพยายามฆ่าตัวตาย ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน อย่ามองว่าการพบจิตแพทย์เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะแพทย์จะวินิจฉัยว่าอาการที่เป็นอยู่เป็นเพียงความเครียดสะสม หรือเป็นภาวะซึมเศร้าที่ต้องได้รับการรักษา

ควรมีคนใกล้ชิดที่สนิทในที่ทำงานไว้บ้างก็จะดี เพื่อจะได้มีคนคอยรับฟัง คอยแนะนำ รวมถึงคอยสังเกตอาการผิดปกติ เพื่อจะได้ไปรับการรักษาอย่างทันท่วงที

  1. ความดันโลหิตสูง

คนทำงานส่วนใหญ่ทำงานภายใต้แรงกดดัน ส่งผลให้เกิดอาการเครียด จนมีภาวะความดันโลหิตสูง แต่ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงบางส่วนก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้ จึงพอจะระบุสาเหตุว่าอาจเกิดจาก 2 ปัจจัยคือ พันธุกรรมและพฤติกรรม อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตน ตั้งแต่การรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัดเค็มจัด บริโภคผักและผลไม้ให้ได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ งดสุรา และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

  1. โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความเครียด การกินอาหารไม่ตรงเวลา และกินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ จนทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติ เช่น เครียดลงกระเพาะ สาเหตุมาจากระบบประสาทอัตโนมัติจะการตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดการระคายเคือง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ที่ทำให้เกิดอาการปวดหรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือหน้าท้องส่วนบน ซึ่งอาจมีอาการแทรกซ้อนอย่างเลือดออก กระเพาะอาหารทะลุ หรือกระเพาะอาหารอุดตัน

กระเพาะอาหารอักเสบ เกิดจากเยื่อบุด้านในกระเพาะอาหารอักเสบ และกรดไหลย้อน เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ได้พิถีพิถันมากเท่าที่ควร เนื่องด้วยความเร่งรีบ และไม่มีตัวเลือกอาหารให้มากนัก จึงต้องกินอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ อย่างอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารหมักดอง อาหารรสจัด ของมัน ของทอด น้ำหวาน น้ำอัดลม รวมถึงการกินอาหารไม่ตรงเวลา หรือกินอาหารก่อนนอน กินเสร็จแล้วนอนทันที ก็ทำให้เป็นกรดไหลย้อนได้เช่นกัน

  1. อ้วน

เป็นภาวะที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยงหรือเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ที่จะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม ร่างกายไม่แข็งแรง มีปัญหาเรื่องสมรรถนะการทำงาน การใช้ชีวิต จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้

สาเหตุหลักของความอ้วนมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น การทำงานที่ต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน กินอาหารมากเกินความจำเป็นของร่างกาย โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล โซเดียม และไขมันปริมาณสูง ขาดการออกกำลังกาย ซึ่งหากไม่ดูแลสุขภาพและไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อน กลายเป็นโรคเรื้อรังได้ อย่าง อ้วนลงพุง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน ตับแข็ง และโรคหัวใจ

ดังนั้น ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะพฤติกรรมการกิน หลีกเลี่ยงการกินอาหารหน้าคอมพิวเตอร์ กินแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ กินของหวาน ของมัน ของทอดมากเกินพอดี ไปเป็นกินอาหารให้น้อยลง เน้นกินอาหารที่มีประโยชน์แทน ต้องขยับร่างกายให้มากขึ้น และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

  1. โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

มีผลสืบเนื่องมาจากโรคอ้วน และพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม พักผ่อนน้อย หรือบางคนที่สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอย่างเช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ทั้งหมด ดังนั้นต้องระมัดระวังการใช้ชีวิต และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้

  1. โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง

เป็นโรคใกล้ตัวคนวัยทำงาน มีความเครียดเป็นสาเหตุหลัก เนื่องจากสมองเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกายทุกส่วน เมื่อระบบประสาทและสมองมีปัญหา ก็จะส่งผลต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกายด้วยเช่นกัน มักมีอาการแรกเริ่มคือ ตาพร่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง การคิด การทำ การพูด การทรงตัวผิดปกติ ปวดหัวไมเกรน สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะทำให้พิการ เส้นเลือดในสมองแตก สมองขาดเลือด เป็นอัมพาต ดังนั้น จึงจำเป็นมากที่จะต้องดูแลสมองของเราให้ดี เพื่อให้ทุกระบบในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คำปลอบใจเมื่อเพื่อนประสบพบเจอวันที่เลวร้าย

ชีวิตมันยาก พวกเราทุกคนเจอวันที่ดีและวันที่เลวร้าย แต่บางครั้ง (หรือหลาย ๆ ครั้ง) วันที่แย่เลวร้ายเหล่านั้นก็ทำให้เราจิตตกได้ วันนี้ครูณิชาได้นำคำพูดดี ๆ มาปลอบใจให้ใจเราฟื้น ใจเราฟูมาฝากค่ะ

หลาย ๆ ครั้งที่เราเวลาเจอวันแย่ ๆ มักจะอยากอยู่คนเดียว เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะอยากเก็บตัวเงียบ ๆ คนเดียวบ้าง นี่จะเป็นข้อความ ถ้อยคำที่ทำให้พวกเรารู้สึกดี ปลอบประโลมจิตใจได้บ้างค่ะ

1. Without the bad days, the good days wouldn’t be as great.
ถ้าไม่มีวันที่แย่เลย วันที่ดีก็คงไม่ยอดเยี่ยมขนาดนี้

2. You’re trying your best.
คุณพยายามได้ดีที่สุดแล้ว

3. Not everything is your fault, or even in your control.
ทุกสิ่งไม่ใช่ความผิดของคุณ หรือในการควบคุมของคุณได้ (ปล่อยวางซะเถอะ)

4. Just because someone is going through something worse doesn’t mean that what you’re going through doesn’t matter.
เพียงเพราะบางคนกำลังก้าวผ่านสิ่งที่แย่กว่าเดิม แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะแย่ไปด้วย

5. Somebody loves you and is thinking of you.
ใครบางคนที่รักคุณกำลังคิดถึงคุณอยู่

6. Bad days are only temporary – the worst days can only last 24 hours.
วันที่แย่ ๆ อยู่เพียงชั่วคราว แม้วันที่แย่ที่สุดอยู่เพียง 
24 ชั่วโมงเท่านั้น

7. It’s not about the destination, it’s about the journey.
ไม่เกี่ยวกับเป้าหมาย แต่เกี่ยวกับการเดินทางต่าง (การเดินทางย่อมมีอุปสรรค)

8. Don’t give up.
อย่ายอมแพ้นะ

9. Life goes on.
ชีวิตต้องเดินต่อไป

10. It’s OK to not be OK.
มันไม่เป็นไรหรอกที่จะรู้สึกไม่โอเคบ้าง

11. Cake and chocolate can (and usually do) help.
ขนมเค้กและช็อคโกแลตจะช่วยได้นะ (ขนมอร่อย ๆ มักจะช่วยได้เสมอแหละ)

12. Nobody’s perfect.
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ

13. Everything happens for a reason.
ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุผล

14. Mom and dad can make it better.
พ่อกับแม่จะทำให้มันดีขึ้นได้ (โทรหา/กลับไปหาพ่อและแม่ของคุณ)

15. There’s always a light at the end of the tunnel.
จะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เสมอ

16. Don’t let the opinions of others affect you.
อย่าปล่อยให้ความคิดเห็นคนอื่นมีผลต่อจิตใจคุณ

17. Be your own biggest cheerleader.
จงเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้กับตัวคุณเอง (เป็นกองเชียร์ให้กับตนเองเถิด)

18. Tomorrow is a fresh start.
พรุ่งนี้คือการเริ่มต้นใหม่ที่สดใส

19. Music will help.
เพลงจะช่วยได้ (เพลงจะเยียวยาคุณเอง)

20. YOU CAN DO IT!
คุณทำได้น่า

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


เติมน้ำมันตอนเช้า ได้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่าจริงหรือ?

  ในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงเช่นนี้ หลายคนต่างก็งัดเทคนิคขับรถประหยัดน้ำมันออกมาใช้เพื่อช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อแบบผิดๆ อีกหลายอย่างเกี่ยวกับการประหยัดน้ำมัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย…

     ความเชื่อ: เติมน้ำมันตอนเช้า-ตอนกลางคืน ได้ปริมาณน้ำมันเยอะกว่า
     ข้อเท็จจริง: เนื่องจากกฎหมายได้ควบคุมให้สถานีบริการน้ำมันทุกแห่งจะต้องกักเก็บน้ำมันไว้ในถังใต้ดิน และมีการควบคุมอุณหภูมิอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสภาพอากาศจึงไม่มีผลต่อการขยายตัวของน้ำมัน การเติมน้ำมันในช่วงเวลาเช้าหรือบ่ายก็ได้ปริมาณน้ำมันไม่แตกต่างกัน

     ความเชื่อ: เติมน้ำมันครึ่งถังช่วยลดการระเหย ทำให้รถไม่หนัก
     ข้อเท็จจริง: การเติมน้ำมันครึ่งถัง หรือ เต็มถัง มีความแตกต่างของน้ำหนักเพียง 10-20 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างน้อยมากในแง่ของการลดอัตราสิ้นเปลือง แต่ที่แน่ๆ คือ การเติมน้ำมันเพียงครึ่งถังก็มีความจำเป็นต้องเติมน้ำมันบ่อยขึ้นเมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันเต็มถัง ทางที่ดีควรเติมน้ำมันให้ได้ปริมาณมากกว่า 3/4 ของถัง และเติมกลับเมื่อปริมาณน้ำมันลดเหลือ 1/4 ของถัง จะช่วยป้องกันไม่ให้ปั๊มติ๊กได้รับความเสียหาย และรักษาแรงดันที่เหมาะสมภายในถัง

     ความเชื่อ: วอร์มเครื่องยนต์ก่อนขับ ช่วยประหยัดน้ำมันได้
     ข้อเท็จจริง: เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อนตลอดปี การวอร์มเครื่องยนต์จึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด เพราะยิ่งปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานนานขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเผาผลาญน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีควรใช้ความเร็วต่ำในขณะที่เครื่องยนต์เย็น จนกว่าน้ำมันเครื่องจะถูกส่งไปหล่อลื่นชิ้นส่วนได้อย่างเต็มที่ จะเป็นการถนอมเครื่องยนต์ในระยะยาว

     ทั้งนี้ วิธีขับรถประหยัดน้ำมันที่ได้ผลจริงสามารถทำได้อย่างหลากหลาย เช่น การใช้ความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงการเร่งกระชาก การเติมลมยางให้เหมาะสมตามที่ผู้ผลิตกำหนด ไม่ปล่อยให้ลมยางอ่อนจนเกินไป รวมถึงการวางแผนการเดินทางที่เหมาะสม เลี่ยงเส้นทางรถติด เหล่านี้ก็ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกเยอะแล้วล่ะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“ไข่เยี่ยวม้า” ปลอดภัย หรือปนเปื้อนสารตะกั่ว?

เพื่อนของเราคนหนึ่งเป็นคนที่ชอบทานไข่เยี่ยวม้ามากค่ะ เห็นสั่งอาหารทานทีไร ทุกเมนูจะต้องประกอบไปด้วยไข่เยี่ยวม้า ไม่ว่าจะเป็นกระเพราไข่เยี่ยวม้า ผัดฉ่าไข่เยี่ยวม้า ผัดพริกแกงไข่เยี่ยวม้า ยำไข่เยี่ยวม้า และอีกสารพัดเมนูที่ไม่เคยขาดไข่เยี่ยวม้า ทานจนเราสงสัยว่าทานไข่เยี่ยวม้าบ่อยขนาดนี้ จะเป็นอันตรายกับร่างกายหรือไม่ ไข่เยี่ยวม้าทำมาจากอะไร มีวิธีสังเกตไข่เยี่ยวม้าที่ปลอดภัยต่อร่างกายหรือไม่ Sanook! Health เลยรวบรวมข้อมูลมาฝากกันค่ะ

ไข่เยี่ยวม้า คืออะไร?

ไข่เยี่ยวม้าเป็นผลผลิตจากการการถนอมอาหารประเภทไข่อย่างหนึ่ง เหมือนกับการทำไข่เค็มที่นำไปดองเกลือ แต่สำหรับไข่เยี่ยวม้า จะทำการถนอมอาหารด้วยการพอกด้วยปูนขาวผสมใบชา เกลือป่น และขี้เถ้าที่นวดด้วยน้ำเย็น หรืออีกวิธีหนึ่งคือ นำไปแช่ในน้ำที่มีส่วนผสมของสารละลายเบส ที่มีปูนขาว เกลือ โซดาแอช ชาดำ และสังกะสีออกไซด์

นอกจากสูตรดังกล่าว ผู้ผลิตบางรายอาจมีสูตรทำแตกต่างจากนี้ได้เล็กน้อย

ไข่เยี่ยวม้า อันตราย?

ปัจจุบันมีพ่อค้าแม่ค้าบางรายที่แอบใช้สารตะกั่วออกไซด์ หรือซัลไฟด์ลงในส่วนผสมที่ใช้พอกหรือแช่ เพื่อช่วยให้ไข่กลายเป็นไข่เยี่ยวม้าได้เร็ว และเห็นผลมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไข่เยี่ยวม้าที่ผลิตมีสารตะกั่วปนเปื้อนได้

อันตรายจากสารตะกั่วในไข่เยี่ยวม้า

หากเราทานอาหารที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่บ่อยๆ อาจทำให้มีอาการท้องผูก และส่งผลต่อการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ไขกระดูก ระบบประสาท ไต หรืออาจเลยไปถึงกล้ามเนื้อกระดูกข้อมือ ข้อเท้า ที่อาจเกิดอาการอัมพาต หรือสมองบวม ชัก และอาจถึงเสียชีวิตได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับสารตะกั่วปนเปื้อนในอาหารนานนับเดือน ดังนั้นหากไม่ได้ทานไข่เยี่ยวม้าที่ปนเปื้อนสารตะกั่วอยู่เป็นประจำ ก็พอจะวางใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากนัก

 

วิธีสังเกต ไข่เยี่ยวม้า ปนเปื้อนสารตะกั่วหรือไม่?

วิธีสังเกตสารตะกั่วปนเปื้อนอย่างง่ายๆ คือสังเกตที่ไข่ขาว ว่ามีสีดำมากเกินไปหรือไม่ อาจจะเป็นลักษณะสีดำขุ่น ไม่ใช่สีน้ำตาลเข้มใสๆ อย่างที่เคยเห็นกัน ถ้าผิดสังเกตแบบนี้ขอให้สันนิษฐานว่าเป็นไข่เยี่ยวม้าที่ปนเปื้อนสารตะกั่วจากขั้นตอนการทำไข่เยี่ยวม้า

ทานไข่เยี่ยวม้าอย่างไรถึงจะปลอดภัย?

เลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน และเชื่อถือได้ในเรื่องของคุณภาพ ลักษณะของไข่ไข่ขาวจะต้องเป็นสีน้ำตาลใส ไม่ดำเกินไป และไม่ขุ่น นอกจากนี้ควรเลือกทานไข่เยี่ยวม้าอยากหลายๆ ผู้ผลิต เพื่อไม่ให้ได้รับสารบางอย่างติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป และสุดท้ายถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรทานไข่เยี่ยวม้าบ่อยจนเกินไป ควรเลือกทานอาหารให้หลากหลาย ไม่ทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันนานเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 6/07/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a31,800.0031,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,060.0031,229.6032,400.00
ทองรูปพรรณ 90%1,854.0028,106.64n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,648.0024,983.68n/a
ทองรูปพรรณ 50%927.0014,053.32n/a
ทองรูปพรรณ 40%721.0010,930.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,135.0032,366.60n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 6/07/2566


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.1535.1535.1535.1535.1535.1535.1535.1535.1535.15
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8834.8834.8834.8834.8834.8834.8834.8834.88
แก๊สโซฮอล์ E2032.8432.8432.8432.8432.8432.8432.8432.8432.84
แก๊สโซฮอล์ E8533.2933.2933.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม42.5446.3446.9446.4442.54
เบนซิน 9542.9444.6143.4443.0942.94
ดีเซล B731.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.2431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.2431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม38.9439.9439.9441.7639.9438.94
แก๊ส NGV17.5917.5917.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า