อสังหาเร่งยึดทำเลทองกลางเมือง-ริมน้ำผุดคอนโดหรูเจาะเศรษฐีไทย-ต่างชาติ
บิ๊กคอร์ปอสังหาฯ รับอานิสงส์รัฐบาลใหม่การเมืองเริ่มนิ่ง ชิงโอกาสเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์-แสนสิริ-เอพี-โนเบิล” เร่งสปีดผุดคอนโดหรูทำเลทองใจกลางเมือง ริมน้ำ รับดีมานด์เศรษฐีไทย-ต่างชาติ “จีน-รัสเซีย-เมียนมา” แห่ย้ายถิ่นฐานปักหลักเมืองไทย
ประเทศไทยภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐบาลใหม่ในห้วงเวลานี้ส่งสัญญาณบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการเดินหน้าแผนธุรกิจ เปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องรับดีมานด์ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะ “คอนโดมิเนียมหรู” ยังคงเป็นตลาดศักยภาพ ภายใต้ข้อจำกัด ที่ดินและทำเลหายากขึ้น
ปัจจุบันโครงการลักชัวรีในรูปแบบฟรีโฮลด์ราคาขายเฉลี่ยสูงกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร ในย่านใจกลางเมือง ได้แก่ โซนวิทยุ โซนสุขุมวิท ส่วนโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยา เติบโตเฉลี่ย 7.9% จากปี 2565 ขณะที่ซัพพลายของตลาดลักชัวรีเหลืออยู่เพียง 19% ส่วนหนึ่งมาจากที่ดินฟรีโฮลด์ในทำเลนี้หาได้ยากและราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวรรณ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ดีเวลลอปเปอร์ต่างมุ่งพัฒนาโครงการคอนโดใจกลางเมือง เพราะเป็นทำเลที่มีศักยภาพ จากปัจจัยแวดล้อม การเกิดขึ้นของอาคารสำนักงานเกรดเอ โครงการรีเทลใหม่ ทำให้เกิดดีมานด์ที่อยู่อาศัยตามมา
ประกอบกับราคาที่ดินแพงทำให้ต้องพัฒนาเป็นคอนโดระดับลักชัวรี ซึ่งมีดีมานด์ทั้งจากโลคัลและต่างชาติ หากพัฒนาโครงการบนทำเลที่ดี นับเป็นราคาที่คุ้มค่า ทำให้ขายได้ดี โดยระดับราคากลางเมืองมีตั้งแต่ 250,000 -300,000 บาทต่อตารางเมตร อย่างโครงการต้นสนวัน ขายได้ 80%
ปัจจุบันคอนโดกลางเมืองส่วนใหญ่เป็นแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ส่วนฟรีโฮลด์ ( Freehold ) หรือการซื้อขายขาดมีน้อย และช่วงโควิด-19 หรือ 3 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีการเปิดตัวคอนโดใจกลางเมือง รวมถึงทำเลริมน้ำ ทำให้ไม่มีซัพพลายใหม่มากนัก การเปิดตัวส่วนใหญ่ของคอนโดช่วงโควิดเน้นชานเมือง (Suburban) มากกว่า
“กลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง กล่าวคือ มีวงเงินในการซื้อคอนโดระดับราคา 15-30 ล้านบาทขึ้นไปในทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะย่านธุรกิจอย่างวิทยุ สีลม สาทร ลุมพินี สุขุมวิท ปทุมวัน และทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่ออยู่อาศัย”
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมามีลูกค้าชาวเมียนมา สิงคโปร์ และไทยหลายรายเข้าทำสัญญาซื้อขายโครงการตั้งแต่ 5 ล้านบาท จนถึงมากกว่า 100 ล้านบาท เน้นคอนโดลักชัวรีขนาด 2 ห้องนอน ราคา 15-30 ล้านบาทบนทำเลลุมพินีและสุขุมวิท
ปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติ
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลังมีสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดทั้งในและต่างประเทศ แม้ว่าลูกค้าต่างชาติจากประเทศจีนยังเข้ามาไม่เต็มที่ก็ตาม
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และเมียนมา เป็นต้น
“เวลานี้พฤติกรรมการซื้ออสังหาฯ ของลูกค้าชาวต่างชาติเปลี่ยนไป เน้นซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน”
ดังนั้นช่วงไตรมาส 4 นี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ “เอ็มบาสซี่ ไวร์เลส” มูลค่าโครงการ 9,900 ล้านบาท บนถนนวิทยุ เป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร “ฮ่องกงแลนด์”
ลุยนิวคอนโดลักชัวรีทำเลศักยภาพ
นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งหลังปี 2566 แสนสิริมุ่งพัฒนา “New Luxury Condominium” บนทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบน
“คอนโดลักชัวรียังมีซัพพลายน้อย ลูกค้าที่มีกำลังซื้อต้องการทำเลใจกลางกรุงเทพฯ อย่าง อารีย์ และ ราชเทวี ถือเป็นทำเลหาที่ดินยากมาก”
ล่าสุดบริษัทเตรียมที่เปิดตัวโครงการ “เวีย อารีย์” มูลค่า 2,300 ล้านบาท ที่มีเพียง 114 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7.99 ล้านบาท นับเป็นการกลับมาในรอบ 11 ปี ของ “เวีย’ แบรนด์บูทีคคอนโดของแสนสิริ
นอกจากนี้เตรียมเปิดตัวโครงการ “ชูช์ ราชเทวี” มูลค่า 5,200 ล้านบาท คอนโดสไตล์ลอฟต์ เพดานสูง 4.5 เมตร เกือบ 100% ของทั้งโครงการ เจาะกลุ่มนักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงกลุ่มรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้น 8.99 ล้านบาท เปิดขายเดือนต.ค.นี้
ลูกค้าพร้อมจ่าย’คอนโดหรู-ดีลดี’
นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัวคอนโด 2 โครงการ ได้แก่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” พื้นที่เริ่มต้น 35 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 8.29 ล้านบาท และโครงการ “RHYTHM เจริญนคร” มูลค่า 4,500 ล้านบาท บนที่ดิน 4 ไร่ ทำเลริมถนนเจริญนคร ตรงข้ามไอคอนสยาม ราคาเฉลี่ย 170,000-180,000 บาทต่อตารางเมตร ขนาดห้องเริ่มต้น 35 ตารางเมตร ราคา 7.7 ล้านบาท
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ตลาดคอนโดระดับลักชัวรีมีสัญญาณที่ดีตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทบริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนต้นปีหน้า
“ทุกวิกฤติตลาดบนจะกลับมาก่อน เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีเงินอยู่แล้วไม่ต้องรอเศรษฐกิจดีก็สามารถซื้อได้ ถ้ารู้สึกมั่นใจ หรือรู้สึกว่าคุ้มค่า ดีลดี ลูกค้าพร้อมซื้อ เป็นวงจรปกติของตลาดกลุ่มนี้”
ต่างชาติแห่ซื้ออสังหาฯ ไทย
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด เครือออริจิ้น กล่าวว่า ไตรมาส 4 นี้ ตลาดลักชัวรีจะขยายตัวอย่างมาก จากการฟื้นตัวของชาวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยมากขึ้นทำให้ดีมานด์ลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
“เมียนมาเข้ามามากขึ้น แต่คนจีนยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 นอกจากนี้มีกลุ่มไต้หวัน ฮ่องกง ซื้อในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ทำเลหลักยังคงเป็นสุขุมวิท ทองหล่อ รัชดา พระราม 9 หัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา ที่คนต่างชาติคุ้นเคย”
ก่อนหน้านี้ นายชัยยุทธ ชินมหาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดริมน้ำ เปิดตัวในไตรมาส 4 รองรับกำลังซื้อคนไทยในย่านนั้น รวมทั้งกลุ่มคนที่ต้องการซื้อคอนโดริมน้ำเป็นเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะเป็นโครงการที่ขายง่ายกว่าคอนโดในทำเลทั่วไป
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ผ่ากลยุทธ์‘แสนสิริ’โตสวนตลาด!ดันยอดโอนคอนโดพุ่ง1หมื่นล้าน
บิ๊กคอร์ป “แสนสิริ” เผยตัวเลขครึ่งปีแรกโตสวนกระแสด้วยยอดโอนคอนโดพุ่ง1หมื่นล้านประกาศปรับเป้าโอนปีนี้เพิ่มเป็น 1.2หมื่นล้าน!พร้อมเทหน้าตักครึ่งหลังผุด10โครงการกระจายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ตั้งแต่ลักชัวรียันAffordableดันยอดขายทะลุ2.2หมื่นล้าน
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่ตัวเลขจีดีพียังไม่โตตามหลายฝ่ายคาดหวังมากนัก ทั้งยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 90% ของจีดีพี แถมยังมีมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ แอลทีวี (LTV : Loan-to- Ratio) ฉุดกำลังซื้อ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ คอนโดมิเนียม “หดตัว” แต่บิ๊กคอร์ป “แสนสิริ” กลับโตสวนกระแส ด้วยยอดโอนคอนโดพุ่ง 10,000 ล้านบาท นำสู่การปรับเป้าโอนปีนี้เพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาท!
องอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน แสนสิริ มีสต็อกคอนโดพร้อมอยู่ มูลค่า 7,300 ล้านบาท และมีสต็อกที่เพิ่มขึ้นจากโครงการแล้วเสร็จพร้อมอยู่ช่วงต้นปีเข้ามาอีก 1,000 ล้านบาทลดลงมาเหลือ 6,300 ล้านบาท มีรายได้จากการขาย 4,300 ล้านบาท สต็อกลดลง 43% ในเดือน ส.ค.จากเดิมที่มีอยู่ 11,000 ล้านบาท ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่การเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้น จำนวน 22 โครงการ มูลค่า 24,300 ล้านบาทจากปีก่อน 151% โดยมีเป้าหมายยอดขาย 22,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 40%
โดยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 13,000 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 60% ของเป้าหมายทั้งปี ซึ่งยอดขายดังกล่าวมีอัตราเติบโต 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันสามารถทำยอดโอนกรรมสิทธิ์แล้ว 10,000 ล้านบาท
บริษัทจึงได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมปีนี้เป็น 12,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่ 10,500 ล้านบาท เพราะมั่นใจว่าเป้าหมายของยอดโอนกรรมสิทธิ์ใหม่สามารถทำได้แน่นอน!
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือที่จะทยอยส่งมอบในปีนี้ 1,500 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีสินค้าพร้อมโอน (Stock) ในมือมูลค่ารวม 7,300 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาสินค้าประเภทพร้อมอยู่ (Ready to Move) ได้รับการตอบรับที่ดี
องอาจ กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดกว่า 10 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทเป็นไปตามแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่า 24,300 ล้านบาท กระจายครอบคลุมไปทุกเซ็กเมนต์ เริ่มจากการเปิดตัวโครงการคอนโดลักชัวรี ได้แก่ โครงการ เวีย อารีย์ มูลค่า 2,300 ล้านบาท และโครงการ ชูช์ ราชเทวี มูลค่า 5,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ เนีย บาย แสนสิริ มูลค่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านหลังแรก
พร้อมกันนั้น จะขยายไปยังกลุ่ม “แคมปัสคอนโด” และกลุ่มคอนโดราคาเข้าถึงง่าย(Affordable Condo ) ในทำเลที่มีชุมชนขนาดใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงานที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการ ดีคอนโด แอร์ ลาดกระบัง มูลค่า 1,100 ล้านบาท และโครงการ ดีคอนโด ชายน์ รังสิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท
รวมทั้งการขยายตลาดคอนโดในต่างจังหวัดและ “เมืองท่องเที่ยว” รองรับการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวไทย และการเติบโตของดีมานด์ต่างชาติ! โดยในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิดตัวโครงการ เดอะ เบส ภูเก็ต มูลค่า 1,500 ล้านบาท โครงการกาบานาส หัวหิน มูลค่า 1,500 ล้านบาท และโครงการ เวย์ อยุธยา มูลค่า 800 ล้านบาท
“ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังนี้ไปจนถึงปีหน้า แสนสิริ เตรียมพร้อมพัฒนาโครงการคอนโดอย่างต่อเนื่อง ทั้งคอนโดลักชัวรี แคมปัสคอนโด และกลุ่มคอนโดราคาเข้าถึงง่าย บนทำเลศักยภาพ ครอบคลุมครอบคลุมย่านใจกลางเมือง ชุมชนขนาดใหญ่ ใกล้สถานศึกษา ใกล้แหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด รวมทั้งเมืองท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและดีมานด์ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเพิ่มขึ้น จากอานิสงส์ของการเติบโตเศรษฐกิจประเทศในภาพรวม”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7ก.ย. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.57 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าแถว 35.60 บาทต่อดอลลาร์ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 7 ก.ย.2566ที่ระดับ 35.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ซึ่งหลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เราประเมินว่า เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าต่อทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าแถว 35.60 บาทต่อดอลลาร์
แต่จากการประเมินแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกที่น่าจะทยอยขายเงินดอลลาร์ไปสมควรแล้วในวันก่อนหน้า ทำให้มีความเสี่ยงที่เงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุ 35.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปทดสอบโซนสำคัญ 35.75 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
เนื่องจาก เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจยังไม่ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้ในเร็วนี้ (คาดว่าปัจจัยสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวนและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง
ในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยในช่วงนี้ โดยเฉพาะในฝั่งบอนด์จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ทว่า ในส่วนของหุ้นนั้น
เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติอาจรอจังหวะการปรับฐานของหุ้นไทยใกล้โซนแนวรับ ในการทยอยกลับเข้าซื้อได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่า นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนการบริโภคและการท่องเที่ยว
อนึ่ง ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.49-35.60 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานดัชนี ISM Services PMI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้และเฟดก็อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งเรามองว่าโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทในช่วงนี้เช่นกัน
แม้ว่าดัชนี ISM PMI ภาคการบริการสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด แต่ข้อมูลดังกล่าวกลับทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นต่อได้ หรือ เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้า เนื่องจากดัชนี PMI ภาคการบริการในส่วนราคา และ
การจ้างงานต่างก็ปรับตัวขึ้นพอสมควร ซึ่งความกังวลต่อแนวโน้มการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟดได้กดดันให้ หุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลดลง ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.70%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.57% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงหนัก ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจในระยะนี้ที่ออกมาแย่กว่าคาด
นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนยังคงส่งผลให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวลดลงต่อ (LVMH -3.6%) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Shell +0.8%)
ในฝั่งตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางราคาน้ำมันดิบล่าสุด อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้ากว่าคาด ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้ระดับ 4.30% อีกครั้ง
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการทยอยซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว เนื่องจากระดับยีลด์ที่สูงขึ้น มี risk/reward ที่น่าสนใจและเรามองว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ ก็อาจปรับตัวขึ้นไม่ได้มาก ยกเว้นว่าเฟดจะส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ซึ่งเราคงประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวยังต่ำอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวนและการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.9 จุด (กรอบ 104.6-105 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงสู่ระดับ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงาน และรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดว่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีกหรือไม่
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียง 1 ครั้ง เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation ได้
ทางฝั่งเอเชีย รายงานยอดการส่งออก (Exports) และยอดการนำเข้า (Imports) ของจีนในเดือนสิงหาคม ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.55-35.57 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.25 น.) อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับสกุลเงินเอเชีย และค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังขึ้นต่อ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลข ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดยังคงส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.50-35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินหยวน ตัวเลขการส่งออกเดือนส.ค.ของจีน และข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เวลาแข่งเป็นใจกองเชียร์ชาวไทย!!! โปรแกรมวอลเลย์บอล โอลิมปิกเกมส์ 2024 รอบคัดเลือก
หลังจากทีมวอลเลย์บอลทีมสาวไทยคว้าแชมป์เอเชีย ได้เมื่อวานที่ผ่านมา และพวกเขาเตรียมลงแข่งขันรายการต่อไปที่เป็นรายการสุดสำคัญ นั่นคือรายการ แข่งขันวอลเลย์บอลโอลิมปิกเกมส์ 2024 รอบคัดเลือก ระหว่างวันที่ 16-24 กันยายน 2566 จะแข่งขันที่ประเทศโปแลนด์
การแข่งขันเพื่อคว้าโควต้าในรายการนี้ ถือว่าเป็นรายการที่หนักมากๆ มีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 24 ทีม แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ทีม แต่ละกลุ่ม แข่งขันแบบพบกันหมด เพื่อคัดเอาแค่ทีมอันดับ 1-2 ที่มีผลงานดีที่สุดเท่านั้น ที่จะได้ตั๋วเข้าไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส
ทั้งนี้ทีมชาติไทย ถูกจับสลากไปอยู่ในกลุ่ม ซี มีทีมร่วมกลุ่มอย่าง เจ้าภาพ โปแลนด์, สหรัฐอเมริกา แชมป์เก่าในโอลิมปิกเกมส์ที่ญี่ปุ่น , อิตาลี แชมป์เนชั่นส์ลีก ปี 2022, เยอรมนี, เกาหลีใต้ , สโลวีเนีย และ โคลอมเบีย
โปรแกรมแข่งขันของทีมทีมชาติไทย (ตามเวลาประเทศไทย)
วันที่ 16 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ เยอรมนี
วันที่ 17 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ สหรัฐอเมริกา
วันที่ 19 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ อิตาลี
วันที่ 20 กันยายน 2566
22.30 น. ไทย พบ โปแลนด์
วันที่ 22 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ สโลวีเนีย
วันที่ 23 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ เกาหลีใต้
วันที่ 24 กันยายน 2566
19.30 น. ไทย พบ โคลอมเบีย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สุขภาพดีขึ้นทันตา เมื่อดื่มน้ำ “ถูกปริมาณ ถูกเวลา”
ร่างกายของมนุษย์เรานั้นมีองค์ประกอบของน้ำ 50-70% ไม่ว่าจะเป็นภายในเซลล์ ตามอวัยวะต่างๆ ระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมด หรือเลือดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ทั้งยังเป็นสารอาหารที่สำคัญของมนุษย์ในการดำรงชีวิตในทุกช่วงทุกวัย การดื่มน้ำบ่อยนั้นก็เป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี แต่ก็ควรมีระยะเวลาในการดื่มน้ำ และวิธีดื่มน้ำตามที่ร่างกายของมนุษย์สมควรได้รับ
ดื่มน้ำอย่างไร ให้สุขภาพดี
– ตื่นนอนตอนเช้าควรจะดื่มน้ำอุ่น เพราะน้ำอุ่นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย จึงไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเป็นน้ำที่อุณหภูมิห้องก็ได้ ควรดื่ม 1-3 แก้วให้ได้อย่างต่ำ 500-750 มิลลิลิตร ช่วงเวลาหลังตื่นนอนเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายและเลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ และเพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย
– 15 นาทีก่อนอาหาร ระหว่างทานอาหาร และหลังทานอาหาร 30 นาที ทั้ง 3 เวลานี้ ดื่มน้ำรวมกันทั้งหมดไม่ควรเกินครึ่งแก้ว เพราะหากดื่มน้ำมากเกินไประหว่างทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารร่างกายย่อยอาหารได้ไม่ดี
– ช่วงเวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า ควรดื่มน้ำให้ได้ 2 แก้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป
– ตลอดทั้งวัน ดื่มน้ำทีละนิด แบบจิบทีละ 2 – 3 อึก จิบบ่อยๆ ดีกว่าการดื่มน้ำครั้งละมากๆ เพราะเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย
– ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1-2 แก้ว ให้มากกว่า 250 มิลลิลิตร เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของการดื่มน้ำ
1. ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ดีขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันเรื่องริ้วรอยและผิวแห้งกร้าน
2. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
3. ปรับสมดุลให้แก่ร่างกาย
4. ช่วยให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดทำงานได้ดีขึ้น
5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
6. ข้อต่อต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น
7. ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
8. ช่วยให้อวัยวะภายในร่างกายต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หัวใจ ไต เป็นต้น
9. ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำคือสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการมากที่สุด เป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และป้องกันโรคภัยต่างๆ เราจึงควรหันมาใส่ใจกับการดื่มน้ำให้มากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพักผ่อน การทานอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีการใช้ “Such” & “So” ในภาษาอังกฤษ
หัวใจหลักในการจำ:
SUCH + NOUN/ NOUN PHRASE (คำนาม/ นามวลี)
SO + ADJECTIVE/ADVERB (คำคุณศัพท์/ คำกริยาวิเศษณ์)
ตัวอย่างประโยค:
You are such a genius.
= คุณช่างเป็นคนอัจฉริยะอะไรเช่นนี้ (มากๆ) (“genius” เป็นคำนาม)
You are so smart.
= คุณฉลาดมากๆ (“smart” เป็นคำคุณศัพท์)
ในประโยคความรวม: (compound sentences)
Such + noun/ noun phrase + that
ตัวอย่างประโยค:
Pamela has such big head that she can’t find a hat her size.
= พาเมล่ามีศีรษะที่ใหญ่มากจนเธอไม่สามารถหาหมวกไซส์ของเธอใส่ได้
So + adjective/adverb + that
ตัวอย่างประโยค:
Pamela’s head is so big that she can’t find a hat her size.
= ศีรษะของพาเมล่าใหญ่มากจนเธอไม่สามารถหาหมวกไซส์ของเธอใส่ได้
NOTE: So … that และ such … that ถูกใช้เพื่ออธิบายถึงเหตุผลและผลลัพธ์
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
รู้แบบนี้ทำนานแล้ว! ขั้นตอนง่ายๆ ในการปิดกั้นไม่ให้ Facebook นำข้อมูลส่วนตัวให้ AI เรียนรู้
ในปัจจุบันมีการเปิดให้ AI เข้ามาศึกษาและเรียนรู้กันมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงแพลตฟอร์มดังๆ อย่างในเครือของ Meta อย่าง Facebook, Instagram, Threads ก็เช่นกัน
แน่นอนว่าผู้ใช้งานก็สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์และแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนได้ เช่น ปิดการติดตามตำแหน่ง ปิดการอนุญาตให้แอปเข้าถึงกล้องและไมโครโฟน ได้เช่นกัน
ขั้นตอนแรกเป็นการป้องกัน AI ของ Facebook ที่จะเข้ามาเก็บข้อมูลของผู้งาน และแน่นอนว่าหากใครต้องการที่จะปิดกันหรือไม่อยากให้ AI สามารถเก็บข้อมูลของเราไปศึกษาก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือให้คุณคลิกที่ สิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลสำหรับ Generative AI
หลังจากเข้าไปในลิงค์แล้วจะมีขั้นตอนให้เราได้ทำง่ายๆ
- การเข้าถึง ดาวน์โหลด หรือแก้ไขข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดจากบุคคลที่สามที่ใช้สำหรับ Generative AI
- การลบข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดจากบุคคลที่สามที่ใช้สำหรับ Generative AI
- คัดค้านหรือจำกัดการประมวลผลข้อมูลส่วนตัวของฉันจากบุคคลที่สามที่ใช้สำหรับ Generative AI
- I have a different issue
เมื่อกดส่งเรียบร้อยทาง Facebook จะมีแจ้งเตือนคำขอที่เราส่งไปค่ะ แค่นั้นเพื่อน ๆ ก็รอรับข้อมูลจากอีเมลได้ทันที จะมีระยะเวลาตั้งแต่ 3-4 วัน หรืออาจนานกว่านั้น
ต่อมาเป็นวิธีในการปิดกั้น Facebook ไม่ให้ AI ต่างๆ จับข้อมูล มีวิธีหลักๆ ดังนี้
1. ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
วิธีนี้เป็นการปิดกั้นไม่ให้ Facebook เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลการชำระเงิน ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง เป็นต้น วิธีปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวมีดังนี้
- เข้าหน้าการตั้งค่าบัญชี Facebook ของคุณ
- คลิกที่แท็บ “ความเป็นส่วนตัว”
- คลิกที่ “ข้อมูลและการตั้งค่า”
- คลิกที่ “ข้อมูลส่วนบุคคล”
- เลื่อนลงและคลิกที่ “การตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล”
- ปิดสวิตช์สำหรับข้อมูลที่คุณไม่ต้องการให้ Facebook เข้าถึง
2. ปิดการใช้งานการติดตามโฆษณา
วิธีนี้เป็นการปิดกั้นไม่ให้ Facebook ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของเราบนอินเทอร์เน็ต วิธีปิดการใช้งานการติดตามโฆษณามีดังนี้
- เข้าหน้าการตั้งค่าบัญชี Facebook ของคุณ
- คลิกที่แท็บ “ความเป็นส่วนตัว”
- คลิกที่ “โฆษณา”
- เลื่อนลงและคลิกที่ “การตั้งค่าการโฆษณา”
- ปิดสวิตช์สำหรับตัวเลือก “อนุญาตให้ Facebook ใช้ข้อมูลจากแอพและเว็บไซต์ของบุคคลที่สามเพื่อแสดงโฆษณา”
นอกจากนี้ ยังสามารถปิดกั้น Facebook ไม่ให้ AI จับข้อมูลได้โดยการใช้เครื่องมือเสริม (extension) บนเบราว์เซอร์ เช่น Privacy Badger, Ghostery, uBlock Origin เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้จะบล็อกไม่ให้ Facebook ติดตามพฤติกรรมการใช้งานของเราบนอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและปิดการใช้งานการติดตามโฆษณาอาจส่งผลต่อการใช้บริการ Facebook ของคุณ เช่น คุณจะไม่สามารถเห็นโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของคุณ หรือคุณอาจไม่สามารถเข้าถึงฟีเจอร์บางฟีเจอร์ของ Facebook ได้
วิธีปิดกั้น Facebook ไม่ให้ AI จับข้อมูลเฉพาะ
นอกจากวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังสามารถปิดกั้น Facebook ไม่ให้ AI จับข้อมูลเฉพาะได้ เช่น ปิดกั้นไม่ให้ AI จับข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง ปิดกั้นไม่ให้ AI จับข้อมูลการติดต่อ เป็นต้น วิธีปิดกั้นข้อมูลเฉพาะมีดังนี้
- เข้าหน้าการตั้งค่าบัญชี Facebook ของคุณ
- คลิกที่แท็บ “ความเป็นส่วนตัว”
- คลิกที่ “ข้อมูลและการตั้งค่า”
- เลื่อนลงและคลิกที่ “การตั้งค่าการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล”
- คลิกที่ข้อมูลเฉพาะที่คุณต้องการปิดกั้น
- ปิดสวิตช์สำหรับข้อมูลเฉพาะนั้น
ตัวอย่างเช่น หากต้องการปิดกั้นไม่ให้ AI จับข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง ให้ทำดังนี้
- เข้าหน้าการตั้งค่าบัญชี Facebook ของคุณ
- คลิกที่แท็บ “ความเป็นส่วนตัว”
- คลิกที่ “ตำแหน่งที่ตั้ง”
- ปิดสวิตช์สำหรับ “อนุญาตให้แอปเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณ”
ข้อควรระวัง
การปิดกั้น Facebook ไม่ให้ AI จับข้อมูลอาจส่งผลต่อการใช้บริการ Facebook ของคุณ เช่น คุณจะไม่สามารถเห็นโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของคุณ หรือคุณอาจไม่สามารถเข้าถึงฟีเจอร์บางฟีเจอร์ของ Facebook ได้
ดังนั้นการป้องกัน AI เก็บข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรตระหนักว่าการป้องกัน AI เก็บข้อมูลอย่างสมบูรณ์นั้นอาจทำได้ยาก เนื่องจาก AI สามารถพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในการรวบรวมข้อมูลได้อยู่เสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 เครื่องดื่ม “ชา” ที่ช่วยลดเสี่ยงโรคเรื้อรังอันตราย
“น้ำชา” เป็นเครื่องดื่มที่คนทั่วโลกนิยมดื่มกันได้ในทุกเวลาของช่วงวัน ไม่ว่าจะเป็นการจิบดื่มอุ่นๆ ในตอนเช้า ดื่มพร้อมของว่างแสนอร่อยยามบ่าย ดื่มระหว่างมื้ออาหาร ไปจนถึงการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นระหว่างวัน และยังเป็นที่นิยมของคนทุกเพศทุกวัยด้วย
แต่ชาที่ควรเลือกดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอันตรายต่างๆ ได้ด้วย คือ ชา 5 ชนิดนี้
- ชาเขียว
ชาเขียวมีสานต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า แคทีชิน (catechin) ที่ช่วยลดอาการอักเสบ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังอย่าง มะเร็ง เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดโปรตีนพลัคอันตราย ลดความเสี่ยงของโรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง ที่ทำให้เกิดลิ่มเลือด สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองได้อีกด้วย
- ชาคาโมมายล์
ชาคาโมมายล์เป็นชาอีกหนึ่งชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารยับยั้งแบคทีเรีย เป็นที่ทราบกันดีว่าชาคาโมมายล์มักนิยมนำมาดื่มก่อนนอนเพื่อช่วยให้หลับสบาย และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยผ่อนคลายระบบประสาท และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่ายด้วย สารต้านอนุมูลอิสระในชาคาโมมายล์ยังช่วยต่อสู้กับมะเร็งบางชนิด และยังมีงานวิจัยที่พบว่าคนที่ดื่มชาคาโมมายล์เป็นประจำจะอายุยืนกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มอีกด้วย
- ชาขิง
ขิง ถูกใช้เพื่อรักษาโรคต่างๆ และรักษาอาการป่วยต่างๆ มาอย่างยาวนานหลายปีแล้ว ชาขิงถูกนำมาใช้รักษาภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหว และยังมีสารที่เรียกว่า จินเจอรอล (gingerol) ที่นำมาใช้บำบัดและป้องกันโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน ชาขิงยังเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่นำมารักษาแทนการใช้ยาต้านอาการอาเจียนสำหรับคนที่กินยาไม่ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดนำนัก และช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีกด้วย
- ชาเปปเปอร์มินต์
ชาเปปเปอร์มินต์ มักถูกนำมาใช้ประโยชน์ในแง่ของการดื่มเพื่อช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ชาเปปเปอร์มินต์มีสารที่เรียกว่า เมนทอล ที่ช่วยผ่อนคลายระบบทางเดินอาหาร และบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ชาเปปเปอร์มินต์ยังมีสารยับยั้งแบคทีเรีย สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านไวรัส ที่ช่วยต่อสู้กับมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้รักษาโรคไอบีเอสหรือลำไส้แปรปรวนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อีกด้วย
- ชาฮิบิสคัส หรือชาดอกชบา
ชาฮิบิสคัส หรือชาดอกชบา ช่วยลดความดันโลหิตได้ มีงานวิจัยพบว่าหากผู้ที่มีภาวะเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในระดับเบาๆ ดื่มชาฮิบิสคัส หรือชาดอกชบาเป็นเวลาติดต่อกัน 6 สัปดาห์ จะสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน และโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดได้อีกด้วย นอกจากนี้ในชาดอกชบายังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารแอนโธไซยานิน ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 7/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,200.00 | 32,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,086.00 | 31,623.76 | 32,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,877.40 | 28,461.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,668.80 | 25,299.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 939.00 | 14,235.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 730.00 | 11,066.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,162.00 | 32,775.92 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 7/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.35 | 39.35 | 40.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.08 | 39.08 | 40.08 | 39.08 | 39.08 | 39.08 | 39.08 | 39.08 | 39.08 | 39.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.04 | 37.04 | 38.04 | 37.04 | 37.04 | – | 37.04 | 37.04 | 37.04 | 37.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.49 | 37.49 | – | – | – | – | – | – | – | 37.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.04 | 49.04 | 49.84 | 49.04 | – | – | – | – | – | 45.04 |
เบนซิน 95 | 47.14 | – | – | – | 48.31 | – | 47.64 | 47.29 | – | 47.14 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.44 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.44 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.24 | 43.64 | 49.44 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 42.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |