‘ แอสเซทไวส์ ‘ โชว์รายได้ ปี 63 แกร่งกว่า 4.2 พันล. ลุยเปิดใหม่ 6 โครงการ
บมจ. แอสเซทไวส์ โชว์ผลงานปี 2563 รายได้ 4,205 ล้านบาท กำไรสุทธิ 871 ล้านบาท โต 20.6% กางแผนปีนี้ รุกเปิดใหม่ 6 โครงการ กว่าหมื่นล้านบาท ภายใต้ ธุรกิจยั่งยืน Next Paradigm
15 มีนาคม 2564 – นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับปี 2563 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่อสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายอย่างมาก แต่สำหรับแอสเซทไวส์นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการพัฒนาและเติบโต โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทได้พัฒนาโครงการไปแล้วถึง 33 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 30,400 ล้านบาท
ในปี 2563 เป็นปีที่แอสเซทไวส์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดตัวโครงการ 3 โครงการ คือ โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng), โมดิซ ลอนช์ (Modiz Launch) และบ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ (Baan Puripuri Courtyard – Pattanakarn) รวมมูลค่าโครงการ 3,637 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายจากโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้ได้ถึง 2,407 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมี backlog คิดเป็นมูลค่า 7,848 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 – 2566
โครงการพร้อมอยู่ (Ready-to-move Projects) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 บริษัทมีห้องของโครงการพร้อมอยู่คงเหลือในปีคิดเป็นมูลค่า 4,094 ล้านบาท และบริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 คิดเป็นมูลค่า 6,694 ล้านบาท
โดยโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563 คือ บ้านภูริปุรี ทาวน์โฮม ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Townhome Ladprao 41), แอทโมซ แจ้งวัฒนะ (Atmoz Chaengwattana), แอทโมซ รัชดา – ห้วยขวาง (Atmoz Ratchada – Huaikwang) และเคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space) ซึ่งทุกโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่ดี จัดสรร สิ่งอำนวยความสะดวกให้อย่างหลากหลาย และมีรูปแบบห้องที่ตรงกับความต้องการ เมื่อรวมกับโครงการคุณภาพที่สร้างเสร็จก่อนหน้านี้
ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ถึง 4,205 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ถึง 60% และด้วยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 44.2% ทำผลกำไรสุทธิได้ถึง 871 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.6% ซึ่งจัดเป็นอัตราที่สูงน่าพอใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ธุรกิจแฟรนไชส์ร่วง พิษโควิด ‘การศึกษา-สปา’ กระอัก
พิษโควิดทุบธุรกิจแฟรนไชส์ 2.5 แสนล้านทรุด เผยปี 63 ติดลบกว่า 20% กลุ่มการศึกษา-สปา กระอัก แนะปรับตัวหันหาออนไลน์ ขณะที่นโยบายภาครัฐช่วยเหลือไม่ถูกทาง ทั้งคนละครึ่ง-เราชนะเอื้อแค่ร้านค้าส่วนบุคคล ขณะที่ร้านนิติบุคคลไม่ได้เหลียวแล
นายบุญประเสริฐ พู่พันธ์ นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ (Franchise and License Association Thailand : FLA) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ธุรกิจแฟรนไชส์ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์เกิดการพลิกผัน ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจซึ่งมีมูลค่ารวมราว 2.5 แสนล้านบาทในปี 2562 ลดลงกว่า 20% ทำให้มูลค่ารวมธุรกิจแฟรนไชส์เหลือเพียง 2.1-2.2 แสนล้านบาท
โดยธุรกิจแฟรนไชส์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ธุรกิจการศึกษาและสปา ซึ่งถูกสั่งปิด 100% จากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของภาครัฐ ขณะที่ธุรกิจอาหารซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในธุรกิจแฟรนไชส์ จะมีทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเชิงลบและเชิงบวก โดยเชิงลบเกิดจากการปิดให้บริการ รวมทั้งการใช้จ่ายที่ลดลง ขณะที่ในเชิงบวกสำหรับผู้ที่ให้บริการดีลิเวอรีอยู่แล้ว จะได้รับอานิสงส์เติบโตแบบก้าวกระโดด เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงหันมานิยมรับประทานอาหารที่บ้านมากขึ้นและสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น
“ธุรกิจที่จะอยู่ได้ต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค วันนี้จึงเห็นร้านต่างๆ หันไปให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ บริการดีลิเวอรี หรือคลาวนด์คิทเช่น ขณะที่ร้านอาหารหรือร้านค้าที่เดิมมุ่งขยายสาขาในห้างหรือศูนย์การค้าเป็นหลัก ก็เริ่มขยายออกนอกห้าง ไปเปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน หรือทำเลอื่นๆแทน เพราะเมื่อห้างถูกสั่งปิดก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา”
ธุรกิจแฟรนไชส์จะเติบโตมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2563 สวนทางกัน แรงกดดันที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนไม่กล้าลงทุน ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยน แม้ในปี 2564 สถานการณ์และแรงกดดันเริ่มลดลง เพราะผู้คนเริ่มมีประสบการณ์ ร้านค้าเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัว ทำให้เชื่อว่าหากไทยเปิดประเทศได้ในไตรมาส 2 หรือ 3 เชื่อว่าธุรกิจแฟรนไชส์จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ แม้ในปีนี้จะยังไม่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากนัก แต่คาดว่ามูลค่าตลาดจะกลับสู่ 2.5 แสนล้านบาทเช่นเดียวกับปี 2562
“ปกติธุรกิจแฟรนไชส์จะเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี โดยจะเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี เพราะผู้คนจะหันมาลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก สถานการณ์ในปี 63 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 บ่งชี้ให้เห็นว่า ส่งผลกระทบกับผู้คนในทุกกลุ่มทั้งผู้บริโภคเอง และผู้ประกอบการทำให้ไม่กล้าลงทุน อย่างไรก็ดีขณะนี้ธุรกิจอาหารเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เพราะสามารถปรับตัวได้ดี แตกต่างจากธุรกิจการศึกษา ที่มีอยู่กว่า 100 แบรนด์ หายไปเกือบ 20% บางรายไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่มีได้ ต้องปิดกิจการไปในที่สุด”
ทั้งนี้ ผลข้างเคียงจากการกินอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาเข้าไป จะต้องสังเกตอาการหลังจากรับประทานไปแล้วประมาณ 30-60 นาที แต่อาการจะเด่นชัดขึ้นเมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง – 3 ชั่วโมง ซึ่งเพจ สมุนไพรอภัยภูเบศร แนะนำว่าไม่ควรเริ่มต้นรับประมาณในปริมาณที่มาก และควรรอดูผลหลังจากบริโภคไปแล้วภายใน 2 ชั่วโมง ซึ่งกัญชายังคงอยู่ในร่างกายได้นาน 6-12 ชั่วโมง แต่อาจจะอยู่ในร่างกายได้นานกว่านั้นหากรับประทานบ่อยๆ
ดังนั้น คนที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน ควรเริ่มในปริมาณที่น้อยๆ สักครึ่งใบ – 1 ใบ/วัน ซึ่งจะมีปริมาณสาร THC ประมาณ 1-2.5 มิลลิกรัม ถ้าได้รับปริมาณที่มากกว่านี้ อาจทำให้เกิดอาการสับสน และเสียการทรงตัวได้
และหากพบว่ามีผลข้างเคียงจากการบริโภคอาหารที่มีใบกัญชาเข้าไป เพจ “สมุนไพรอภัยภูเบศร” แนะนำให้หยุดทันที และดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง หรือชารางจืด เพื่อบรรเทาอาการมึนเมา หรือหากปากแห้ง คอแห้ง ก็ให้ดื่มน้ำตามมากๆ
ปรุงอย่างไร? ให้อร่อยและปลอดภัย
ในการนำใบกัญชามาปรุงอาหารนั้น หากเป็นการปรุงอาหารด้วยน้ำจะมีสาร THC (สารเมา) ละลายอยู่น้อยมาก ต่างจากการทอดด้วยน้ำมันที่จะส่งผลให้สาร THC จากใบละลายอยู่ในน้ำมันส่วนหนึ่งด้วย หรือหากใช้ระยะเวลาปรุงนานสาร THCA ก็จะเปลี่ยนเป็น THC ได้สมบูรณ์ขึ้น
และหากใช้ใบแห้งซึ่งมีสาร THC อยู่แล้ว เมื่อผ่านความร้อนสูงหรือมีส่วนประกอบไขมันสูง และมีระยะเวลาในการปรุงนาน ก็จะยิ่งทำให้ปริมาณสาร THC เพิ่มขึ้นได้
แต่ถ้าอยากรับประทานให้อร่อยและปลอดภัย รพ.อภัยภูเบศรแนะนำว่าให้กินใบสด กินเป็นผัก หรือกินเป็นน้ำคั้นสด และควรกินแบบที่ไม่ผ่านความร้อนๆ นานๆ เช่น การใส่ในเมนูผัดเหมือนใบกะเพรา
หากนำใบมาต้มตุ๋นเป็นน้ำแกง แนะนำให้กินแต่น้ำ ไม่กินใบที่ใส่ลงไป หรือถ้านำมาปรุงโดยผ่านความร้อน ก็ไม่ควรกินใบกัญชาทั้งใบเกิน 5-8 ใบ/วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“Sorry” หรือ “Apologize”
ที่จริงแล้ว ในภาษาอังกฤษ ไม่มีคำว่า “ขอโทษ” เพราะคำนี้เป็นคำในแบบไทยๆ ซึ่งเข้าใจว่าติดมาจากในสมัยก่อนหรือยุคเจ้าขุนมูลนาย ที่เมื่อเวลาชาวบ้านทำอะไรผิดต่อชนชั้นสูง ก็จะขอให้ผู้นั้นลงโทษพวกเขาตามที่เห็นสมควร คล้ายๆคำว่า “ขอประทานโทษ”
คำว่า sorry กับ apologize หมายถึง ที่คนไทยมักแปลว่า “ขอโทษ” นั้น ที่จริงแล้วมันแปลว่า “เสียใจ” และ “สำนึกผิด/เสียใจ (ที่ทำบางอย่างลงไป)” ตามลำดับ
ตัวอย่างเช่น I’m sorry to hear that. (ฉันเสียใจที่ได้ยินเช่นนั้น)
อย่างไรก็ตาม ทั้งคำว่า sorry และ apologize ต่างก็มีความหมายเทียบได้กับคำว่า “ขอโทษ” นั่นเอง แต่มีวิธีการนำไปใช้ต่างบริบทกัน ดังนี้
คำว่า sorry เป็น Adj. ดังนั้น เวลาใช้ต้องอยู่หลัง V. to be
ตัวอย่างเช่น
“I am sorry.” ที่เราพูดกันจนติดปากทั่วไป
หากต้องการบอกเหตุผลด้วย ก็ต่อท้ายด้วย “for …..”
ตัวอย่างเช่น
I’m sorry for what I did.
(ฉันเสียใจสำหรับสิ่งที่ทำไป)
ส่วนคำว่า apologize เป็นคำกริยา (V.) เวลาใช้ มักเอาไว้ข้างหลังประธานของประโยค นอกนั้นก็เหมือนกับ sorry ทุกอย่าง
ตัวอย่างเช่น
I apologize for coming late.
I apologize for what I did.
I apologize for what I said last night.
แถมทิ้งท้ายไว้อีกนิดนึงว่า กรณีที่จะใช้ apologize ในฐานะคำนาม ต้องเปลี่ยนรูปเป็น apology นะครับ
ตัวอย่างเช่น “Do you accept my apology?” เป็นต้น
คำถามทดสอบ:
1) คำใดแปลว่า “ขอโทษ”
a. sorry
b. apologize
c. ถูกทั้งข้อ a. และ b.
d. ผิดทั้งข้อ a. และ b.
2) ข้อใดเขียนได้ถูกต้อง
a. I’m sorry.
b. I’m sorry for what I said.
c. I’m apologize for what I said.
d. ถูกทั้งข้อ a. และ b.
3) ข้อใดเป็นคำนามของคำว่า apologize
a. sorry
b. apologetic
c. apology
d. ถูกทั้งข้อ a. และ b.
เฉลย
1. (ข้อ d.) คำว่า sorry กับ apologize หมายถึง ที่คนไทยมักแปลว่า “ขอโทษ” นั้น ที่จริงแล้วมันแปลว่า “เสียใจ” และ “สำนึกผิด/เสียใจ (ที่ทำบางอย่างลงไป)” ตามลำดับ
2. (ข้อ d.) ส่วนข้อ c. ผิด เพราะมี V. to be หลัง apologize
3. (ข้อ c.) ตัวอย่างเช่น “My apology to all of you.”
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
Facebook เพิ่มเครื่องมือช่วยครีเอเตอร์สร้างรายได้
Facebook ประกาศเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้วยอัพเดทเครื่องมือการสร้างรายได้
มร. โยอาฟ อาร์นสตีน ผู้อำนวยการฝ่ายการสร้างรายได้จากแอพ Facebook กล่าวว่าครีเอเตอร์ด้านเนื้อหา ซึ่งรวมถึงผู้เผยแพร่เนื้อหาดิจิทัล ครีเอเตอร์เกมและวิดีโอ บริษัทด้านสื่อ สถาบันเกี่ยวกับวัฒนธรรม ธุรกิจทุกขนาด และองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย ได้สร้างชุมชนที่มีชีวิตชีวาบน Facebook ในวันนี้ Facebook จึงได้ประกาศให้ทราบถึงอัพเดทผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนครีเอเตอร์ให้สามารถสร้างธุรกิจบนกลุ่มแอพพลิเคชั่นในเครือของ Facebook ได้สำเร็จ
Facebook สนับสนุนให้ครีเอเตอร์มีเครื่องมือและการสนับสนุนที่จำเป็น เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างรายได้และสร้างความสำเร็จได้ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าการสร้างและการแชร์เนื้อหาจะเป็นธุรกิจหลัก หนึ่งในแหล่งรายได้หลายๆ ทาง หรือหนทางเดียวที่ช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจของพวกเขาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา
Facebook ได้เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562-2563 ครีเอเตอร์เนื้อหาที่มีรายได้เทียบเท่า 10,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือนมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 88 และครีเอเตอร์เนื้อหาที่มีรายได้ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือนมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 94 ในขณะเดียวกัน ยอดเงินที่ได้รับจากโฆษณาในสตรีมยังเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 55 ในระยะเวลาเดียวกันอีกด้วย
Facebook ได้เพิ่มช่องทางใหม่ๆ เพิ่มเติมให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ด้วยอัพเดทเครื่องมือการสร้างรายได้ดังนี้
• สร้างรายได้จากวิดีโอแบบสั้น ครีเอเตอร์เนื้อหาสามารถแชร์วิดีโอบน Facebook ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบบไลฟ์ เนื้อหาสั้นหรือยาว และสามารถทดลองใช้โฆษณาในรูปแบบสติ๊กเกอร์ผ่านสตอรี่ อีกทั้งครีเอเตอร์ผู้สร้างวิดีโอสามารถสร้างรายได้จากวิดีโอทุกประเภท และสามารถเริ่มสร้างรายได้จากการใส่โฆษณาในวิดีโอที่มีความยาว 1 นาทีขึ้นไป
• การเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ให้ครีเอเตอร์เนื้อหาจำนวนเพิ่มขึ้น แก้ไขปรับปรุงคุณสมบัติในการใช้โฆษณาในสตรีมเพื่อให้ครีเอเตอร์มากขึ้นสามารถเข้าถึงโปรแกรมได้ รวมถึงขยายการเข้าถึงการใช้โฆษณาในสตรีมไปยังไลฟ์ และเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์จัดกิจกรรมออนไลน์แบบสามารถคิดค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม (paid online events) และการสมัครสมาชิกของแฟนคลับไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม
• การส่งเสริมการสนับสนุนจากแฟนคลับ (subscriptions) อำนวยความสะดวกให้ครีเอเตอร์สามารถเข้าถึงการสนับสนุนจากแฟนคลับได้ง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มการยอมรับจากผู้บริโภคผ่านการแจกดาวฟรีให้กับผู้ชม
การประกาศวันนี้เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ผู้สร้างเนื้อหาทุกประเภทสามารถเลือกผสมผสานผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับชุมชมที่พวกเขาสร้างขึ้นมาและเนื้อหาที่พวกเขาแชร์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้จากโฆษณาผ่านโปรแกรมในสตรีม จากการสนับสนุนของแฟนคลับผ่านการสมัครสมาชิกของแฟนคลับ และงานกิจกรรมออนไลน์แบบมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม (ซึ่งกำลังขยายไปยัง 24 ประเทศเพิ่มเติมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า รวมถึงประเทศไทย) และผ่านฟีเจอร์ดาวของ Facebook และความร่วมมือแบบมีค่าใช้จ่ายผ่านเนื้อหาที่มีแบรนด์และตัวจัดการการร่วมงานกับแบรนด์
‘น้าเน็ก’ ครีเอเตอร์ยอดนิยมชาวไทยได้กล่าวถึงการประกาศครั้งล่าสุดว่า “สิ่งที่ผมชอบสำหรับ Facebook คือ ทุกอย่างเริ่มจากการสร้างชุมชน นั่นคือเหตุผลที่ผมเลือก Facebook ในการทำคอนเทนต์เป็นที่แรก การที่ Facebook เพิ่มเครื่องมือต่างๆ มากขึ้นก็นับเป็นโอกาสที่เพิ่มมากขึ้นในการสร้างรายได้และสร้างการเติบโตธุรกิจแบบระยะยาวให้กับครีเอเตอร์ด้วย”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชงโค ประโยชน์ดีต่อสุขภาพ เป็นไม้ประดับก็สวย
ไม้ดอกอย่างชงโคไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่สรรพคุณทางยาและประโยชน์ต่อสุขภาพก็ไม่น้อย มาดูสรรพคุณของชงโคกันเลย
ชงโค ไม้ประดับเสริมสิริมงคล
ชงโคมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยชงโคยังเป็นต้นไม้มงคลตามความเชื่อของชาวฮินดู โดยเชื่อว่าชงโคเป็นต้นไม้ของสวรรค์ขึ้นอยู่ในเทวโลก อีกทั้งชงโคยังเป็นต้นไม้ของพระลักษมี พระชายาของพระนารายณ์ จึงจัดว่าชงโคเป็นไม้มงคลที่ควรปลูกเอาไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
ชงโคมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia Purpurea Linn. อยู่ในวงศ์ Leguminosae เช่นเดียวกับกาหลง ทำให้มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่คล้ายกัน และนอกจากชื่อชงโคแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น เสี้ยวหวาน เสี้ยวดอกแดง หรือชงโคในภาษาอังกฤษว่า Orchid Tree
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของชงโคเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ความสูงของต้นประมาณ 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ผลัดใบช่วงสั้น ๆ ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับ รูปร่างใบมนเกือบกลม ปลายของใบเว้าลึกมาก คล้ายรูปหัวใจ ใบกว้าง 8-16 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
ดอกชงโคมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โดยดอกจะออกช่อตามปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 6-10 ดอก แต่ละดอกมีกลีบ 5 กลีบ ดอกมีสีชมพูถึงม่วงอมแดง ลักษณะดอกคล้ายดอกกล้วยไม้ ตรงกลางของดอกจะมีเกสรตัวผู้เป็นเส้นยาว 5 เส้น และมีเกสรตัวเมียอยู่ตรงกลาง 1 เส้น ยาวเด่นกว่าเกสรตัวผู้
ตามตำราแพทย์แผนไทย ชงโคมีสรรพคุณด้านสมุนไพร ดังนี้
1. แก้ไอ
ใบชงโคสามารถนำไปต้มแล้วจิบเป็นชาแก้อาการไอได้
2. ยาระบาย
3. รักษาแผล ฝี
ใบชงโคล้างสะอาดตำให้แหลกแล้วนำมาพอกฝี รักษาแผลได้ แต่ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสติดเชื้อที่แผล แนะนำว่าอย่าโปะใบชงโคลงไปบนแผลโดยตรงจะดีกว่า
เปลือกต้นชงโคมีสรรพคุณช่วยแก้ท้องเสีย แก้ปวดบิด
5. แก้พิษร้อน แก้ไข้
ดอกชงโคไม่ได้งามตาเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณแก้พิษร้อนจากเลือดและน้ำดี แก้ไข้
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,100.00 | 25,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,626.00 | 24,650.16 | 25,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,463.40 | 22,185.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,300.80 | 19,720.13 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 732.00 | 11,097.12 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 569.00 | 8,626.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,685.00 | 25,544.60 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/03/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.05 | 27.05 | 27.65 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 | 27.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.78 | 26.78 | 27.38 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 | 26.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 25.54 | 25.54 | 26.14 | 25.54 | 25.54 | – | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.14 | 21.14 | – | – | – | – | – | – | – | 21.14 |
เบนซิน 95 | 34.46 | – | – | – | 34.91 | – | 34.96 | 34.46 | – | 34.46 |
ดีเซล B7 | 27.19 | 27.19 | 27.59 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 |
ดีเซล | 24.19 | 24.19 | 24.59 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล B20 | 23.94 | 23.94 | 24.54 | – | 23.94 | – | 23.94 | 23.94 | – | 23.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.64 | 31.76 | 34.04 | 33.04 | – | – | – | – | – | 31.64 |
แก๊ส NGV | 13.35 | 13.35 | – | – | – | – | – | – | – | 13.35 |