กลุ่มทุนโรงแรมดัง ‘ศิริปันนา’ บุกเมืองกรุง ผุด “คอนโดฯ” ย่านเกษตร
กลุ่มทุนเชียงใหม่ศิริปันนากรุ๊ป เจ้าของ“ศิริปันนา” หนีธุรกิจโรงแรมซบ บุกเมืองกรุง แจ้งเกิดคอนโดฯโลว์ไรส์ “ONEDER KASET” ปลื้ม 2 เดือนคว้ายอดจอง 40% โชว์จุดขายส่วนกลางขนาดใหญ่ 2ไร่
นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอกภูมิทรัพย์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือศิริปันนากรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายพอร์ตการลงทุนจากธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่เข้ามาลงทุนตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัวโครงการ ONEDER KASET (วันเดอร์ เกษตร) ยูนีกพรีเมียมคอนโดฯบนที่ดินกว่า 4 ไร่ ในทำเลทองย่านงามวงศ์วาน มูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท
ออกแบบเป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้นทั้งหมด 3 อาคาร มีจำนวนห้องชุดรวม 585 ยูนิต โดยเริ่มเปิดรอบ VVIP ไปเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา (2563) ได้รับกระแสการตอบรับค่อนข้างดี มียอดจองเข้ามาแล้วกว่า 40% ในช่วง 2 เดือนแรก ซึ่งถือว่าสวนกระแสตลาดคอนโดฯที่อยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19
เดิมครอบครัวกิจจาพิพัฒน์ทำธุรกิจโรงแรมอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่มากว่า 10 ปี ปัจจุบันมีโรงแรมที่บริหารอยู่ 3 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา ออกแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานเวียงกุมกาม,โรงแรมศิริปันนา แกลอรี เชียงใหม่ และโรงแรมเอส ลอฟ เชียงใหม่ โดยในช่วงที่เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 โรงแรมทั้ง 3 แห่งได้รับผลกระทบไปพอสมควร เพราะต้องปิดให้บริการตามคำสั่งของรัฐบาลช่วงที่มีการประกาศล็อคดาวน์ประเทศตั้งแต่เดือนเมษายนและเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้บริษัทยังได้ลงทุนเปิดตัวคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 2 โครงการตั้งอยู่บนถนนมหิดล ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า พรอมเมนาดา รีสอร์ท มอลล์ ซึ่งตอนนี้ปิดการขายไปหมดแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเปิดขายโครงการเอกลักษณ์ สันทราย โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยมสูง 3 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นกว่า 200 ตารางเมตร ราคา15 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนสาเหตุที่ขยายฐานการลงทุนเข้ามาในกรุงเทพฯ นายศุภมิตรกล่าวว่า บริษัทต้องการขยายพอร์ตการลงทุนของกลุ่ม ศิริปันนากรุ๊ปให้กว้างขึ้นและสร้างฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยมองว่ากรุงเทพฯมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งอายุและอาชีพ เมื่อเทียบกับฐานลูกค้าในต่างจังหวัดที่มีจำกัด ขณะเดียวกันกรุงเทพฯยังเป็นเมืองหลวงและเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรที่ใช้ชีวิตหมุนเวียนมากกว่าจังหวัดอื่นซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของการเข้ามาลงทุน
โครงการ ONEDER KASET (วันเดอร์ เกษตร) ตั้งอยู่บนถนนงามวงศ์วานเป็นย่านชุมชนเมืองขนาดใหญ่ มีทั้งแหล่งงาน บ้านพักอาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และที่สำคัญยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายแดง บางซื่อ-รังสิต ที่เตรียมจะเปิดทดลองให้ประชาชนนั่งฟรีในเดือนกรกฏาคมนี้ ก่อนจะเปิดให้บริการจริงในเดือนพฤศจิกายน
โดยโครงการอยู่ห่างจากสถานีบางเขนประมาณ 200 เมตรเท่านั้น และในอนาคตบนถนนงามวงศ์วานจะเกิดแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) โดยมีจุดเริ่มต้นจากแยกแครายวิ่งไปตามถนนงามวงศ์วาน ผ่านแยกพงษ์เพชร แยกบางเขน และแยกเกษตร
ดังนั้นลูกค้ากลุ่มหลักของโครงการฯจะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ส่วนอีกกลุ่มจะป็นนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากในรัศมีโดยรอบโครงการฯเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจและโรงพยายาลมีทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค,มหาวิทยาลัเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต,นอร์ธปาร์ค,โรงพยาบาลวิภาวดี และศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยมีราคาขายห้องชุดเฉลี่ยตารางเมตรละ 9 หมื่นกว่าบาท ถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคอนโดฯที่อยู่ในย่านใกล้เคียงกัน ทำให้กลุ่มคนทำงานประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ประมาณ 30,000 บาท ขึ้นไปสามารถซื้อและเป็นเจ้าของห้องชุดได้ง่าย
“ที่ดินแปลงนี้เดิมบริษทวางแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯไฮไรส์ เพราะตำแหน่งที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่งามวงศ์วานสามารถพัฒนาเป็นตึกสูงได้ และที่สำคัญได้ผ่านการอนุมัติจากบอร์ดอีไอเอเรียบร้อยแล้ว แต่บริษัทได้ปรับมาเป็นอาคารโลว์ไรส์แทน เพราะมองว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หากพัฒนาเป็นตึกไฮไรส์อาจจะไม่ตอบโจทย์ของลูกค้ากลุ่มนี้”
ที่สำคัญบริษัทต้องการสร้างดีเอ็นเอของแบรนด์ศิริปันนาให้เป็นที่รู้จักของลูกค้ากลุ่มใหม่ ที่มีจุดขายเกี่ยวกับพื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่และความร่มรื่นของโครงการ ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับผังโครงการใหม่เป็นตึกโลว์ไรส์ 8 ชั้น และเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เกือบ 2 ไร่ กระจายอยู่รอบโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่สวนขนาด 1 ไร่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง3ตึก
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิจัยกรุงศรี ชี้ธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 6 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ฟื้นตัวปี 65-66
วิจัยกรุงศรี เผยแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 6 จังหวัดหลักตามหัวเมืองใหญ่จะกลับมาเติบโตในปี 65 – 66 พร้อมคาดการณ์กลยุทธ์ของผู้ประกอบการจะลดราคาเพื่อระบายสต็อก
วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่อยู่อาศัยใน 6 จังหวัดหลักตามหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา ขอนแก่น และภูเก็ต โดยประเมินว่าภาพรวมธุรกิจฯใน 6 จังหวัดนี้จะกลับมาเติบโตในปี 2565-2566
เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีแผนขยายการลงทุนสู่ภูมิภาคทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองอุตสาหกรรม ประกอบกับการแข่งขันในทำเลกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบมีความรุนแรงขึ้น สะท้อนจากราคาที่ดินเฉลี่ยปี 2563 ปรับขึ้น 8.0% จากปี 2562 อย่างไรก็ดี วิจัยกรุงศรีประเมินว่าปี 2564 ธุรกิจที่อยู่อาศัยจะทรงตัวหรืออาจหดตัวเล็กน้อยจากปี 2563 ผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 (COVID-19) ที่ยังกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ขณะที่ผู้ประกอบการจะเน้นระบายอุปทานคงค้างที่มีอยู่ประมาณ 1 แสนยูนิต ด้านลูกค้ามีแนวโน้มชะลอการซื้อบ้าน ทำให้การเปิดขายโครงการใหม่จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2563 ส่วนปี 2565-2566 ธุรกิจมีแนวโน้มปรับดีขึ้น
โดยมีปัจจัยหนุนประกอบไปด้วย
-เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0% ต่อปี จากหดตัว 6.1% ปี 2563 โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีความคืบหน้าโดยเฉพาะพื้นที่ EEC ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในชลบุรีและระยองฟื้นตัวได้เร็วกว่าจังหวัดอื่น
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังเริ่มมีการฉีดวัคซีนทั่วโลกรวมถึงไทย โดยการเปิดรับนักท่องเที่ยวจะอยู่ภายใต้เงื่อนไข อาทิ ผู้เดินทางมาทำธุรกิจ นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือผู้มาจากประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาใกล้เคียงกับปี 2562 (40 ล้านคน) ภายในปี 2567
-ปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ โดยเฉพาะมาตรการภาครัฐช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง และอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวระดับต่ำ ช่วยลดต้นทุนการกู้เงินสำหรับผู้ซื้อที่มีความพร้อม
นอกจากนี้ ภาครัฐยังออกโครงการ Thailand Elite Card ที่เอื้อชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงการซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยอิงความสำเร็จของระบบสาธารณสุขไทยในการรับมือกับ COVID-19
ด้านผู้ประกอบการมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์การตลาด อาทิ การลดราคาเพื่อระบายสต็อก การพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่ม Real demand และ Work from home รวมถึงการขยายตลาดลูกค้าคนไทยชดเชยกำลังซื้อจากลูกค้าต่างชาติที่หายไป
ทั้งนี้ทิศทางที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้
ที่อยู่อาศัยแนวราบ
วิจัยกรุงศรีคาดว่าการเปิดโครงการใหม่มีแนวโน้มหดตัว 7.5% ในปี 2564 (สะท้อนจากพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 16.7% YoY) ก่อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 23.5% ต่อปีในปี 2565-2566 โดยความต้องการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับดีขึ้นจากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและนักลงทุนที่มีความพร้อม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลางและกลุ่มที่มีกำลังซื้อ (affordable segment)
โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากราคาที่ไม่สูงมากนัก อีกทั้งพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยอาจเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาด COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม
ที่อยู่อาศัยแนวสูง (คอนโดมิเนียม)
การฟื้นตัวช้าจะกว่าแนวราบ โดยคาดว่าการเปิดโครงการใหม่จะหดตัว 35.7% ในปี 2564 (สะท้อนจากพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวสูงช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงถึง 54.7% YoY) ก่อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.0% ต่อปีในปี 2565-2566
อย่างไรก็ตาม อุปทานคอนโดมิเนียมใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยองและภูเก็ตเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและภาคท่องเที่ยว
ผู้ประกอบการมีแนวโน้มพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองลูกค้าในรูปแบบหลากหลายมากขึ้น อาทิ การจัดสรรพื้นที่ในที่พักอาศัยรองรับการทำงานที่บ้าน (Work from home) การพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับกระแสรักสุขภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (Wellness) และการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aged society) ซึ่งจะเน้นการออกแบบที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยเป็นหลัก
สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะมีผลกดดันการเติบโตของธุรกิจปี 2564-2566 ได้แก่
(1) หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัย
(2) ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
(3) อุปทานคงค้างมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูง ขณะที่อุปสงค์ส่วนใหญ่ถูกดูดซับไปแล้วในปี 2563 จากการที่ผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อส่งเสริมการขายและเร่งระบายสต็อก การหาอุปสงค์กลุ่มใหม่จึงทำได้ไม่ง่ายนัก ขณะที่อุปสงค์ชาวต่างชาติเผชิญข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศจึงอาจกดดันผลประกอบการของธุรกิจ
ทั้งนี้มุมมองของวิจัยกรุงศรีปี 2564-2566 ธุรกิจที่อยู่อาศัย 6 จังหวัดหลักในภูมิภาคทยอยฟื้นตัว โดยผู้ประกอบการจะได้อานิสงส์จากกำลังซื้อที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 (COVID-19) ยังกดดันการเติบโตของที่อยู่อาศัยในจังหวัดที่พึ่งพาภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะโครงการแนวสูง จึงคาดว่าอัตราการขายจะอยู่ในระดับต่ำและอาจมีต้นทุนส่งเสริมการตลาดเพิ่มขึ้นมากเพื่อกระตุ้นยอดขาย
สำหรับโครงการแนวราบ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์) การบริหารโครงการบ้านจัดสรรค่อนข้างมีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ผันผวนได้ดี เนื่องจากมีการแบ่งเฟสในการพัฒนาโครงการ ซึ่งต่างจากคอนโดมิเนียมที่ต้องเปิดตัวพร้อมกันทั้งโครงการ อีกทั้งตลาดบ้านจัดสรรส่วนใหญ่ยังขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ต้องการอยู่อาศัยจริงมากกว่าซื้อเพื่อการเก็งกำไร
-ธุรกิจบ้านจัดสรรในต่างจังหวัด (พื้นที่หลัก) จะเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กมักเป็นคนในพื้นที่หรือมีที่ดินสะสมเดิม ส่วนรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มรุกทำตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น และมีความได้เปรียบด้านการตลาดมากกว่า
เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ ภาวะเช่นนี้จะกดดันผู้ประกอบการ SME ทั้งด้านการทำตลาด เงินทุน และต้นทุนดำเนินงาน
-ธุรกิจอาคารชุดพักอาศัยเพื่อขายในต่างจังหวัด (พื้นที่หลัก) ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กเป็นกลุ่มทุน/ ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีที่ดินสะสมอยู่เดิม ส่วนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เริ่มขยายตลาดมาเปิดขายโครงการแข่งกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ส่วนใหญ่เน้นทำโครงการคอนโดมิเนียมประเภท Low rise ที่มีความสูงไม่เกิน 8 ชั้น
ทั้งนี้ผู้พัฒนาโครงการที่มีจำนวนมากขึ้นทำให้การแข่งขันสูง ขณะที่อุปสงค์สำหรับโครงการแนวสูงยังมีจำกัด อัตราการทำกำไรจึงอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กมีความเสี่ยงมากกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 30.95 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่อง
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 30.95 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.81 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดโลก เนื่องจากบอนด์ยีลด์ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนกลับมาถือครองดอลลาร์
“บาทเปิดตลาดเช้านี้อ่อนค่าไปมากจากปิดตลาดเย็นวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดโลก หลังนักลงทุนแห่ซื้อดอลลาร์เนื่องจากบอนด์ยีลด์ยังไม่มีท่าทีที่จะย่อตัวลง กดให้เงินสกุลอื่นอ่อนค่า” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 30.80-31.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ส่งออกตั้งรอขายดอลลาร์ที่ระดับ 31.00 บาท/ดอลลาร์เป็นจำนวนมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
7 นักกีฬาดาวดังแห่งเอเชีย ที่พร้อมเขย่าสังเวียน “โตเกียวเกมส์ 2020”
- ทำความรู้จัก 7 นักกีฬาดาวดังของเอเชีย ที่มีลุ้นคว้าเหรียญในโอลิมปิก 2020
- ทั้งหมดคือนักกีฬาประเภทบุคคล ที่ได้รับการการันตีหรือมีโอกาสมากกว่า 90 % ที่จะได้โควตา
- นักกีฬาทั้งหมด ต่างมีแรงกิ้งอยู่ในระดับแถวหน้าของโลก
เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น การแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ จะอุบัติขึ้นอีกครั้งบนแผ่นดินซามูไร ภายใต้ชื่อ “โตเกียวเกมส์ 2020”
ถึงแม้จะมีข่าวลือมากมาย และวิกฤติโควิด-19 ป่วนการแข่งขัน แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการแข่งขันรวมถึง “โธมัส บาค” ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี (IOC) ก็ได้ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีแผนที่จะเลื่อนหรือยกเลิกแน่นอน แต่รายละเอียดต่างๆ อาจมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเดือนกรกฎาคม
และก่อนที่การแข่งขันโอลิมปิก 2020 จะเริ่มต้นขึ้น ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐสปอร์ต จะพาไปรู้จักกับ 7 นักกีฬาชั้นนำของเอเชีย ที่ถูกคาดหมายว่า จะสามารถสร้างความสมหวังให้กับกองเชียร์ โดยจะขอนับแค่นักกีฬาประเภทบุคคล ที่ได้สิทธิ์หรือใกล้เคียงกับการได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในแล้วเท่านั้น
1. อัน เซ ยอง (เกาหลีใต้)
ประเภทกีฬา : แบดมินตัน
สาวน้อยมหัศจรรย์วัย 19 ปีจากแดนโสมขาว ถือว่าก้าวขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ได้ทันเวลา หลังจาก ซอง จี ฮุน, คิม กา อึน รวมถึง คิม เฮียว มิน กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มโรยลงไปอย่างน่าใจหาย
สำหรับ อัน เซ ยอง ที่ปัจจุบันรั้งอันดับ 8 ของโลกในประเภทหญิงเดี่ยว ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจนับตั้งแต่เทิร์นโปร โดยคว้าไปแล้ว 5 แชมป์ในระดับเวิลด์ ทัวร์ แถมหนึ่งในนั้น คือการหักด่าน “แม่กระทิงสาว” คาโรลินา มาริน ซิวแชมป์ระดับซุปเปอร์ 750 ในศึกเฟรนซ์ โอเพ่น เมื่อปี 2019 ได้อีกด้วย
การรั้งอันดับ 8 ใน Race to Tokyo และเป็นอันดับ 1 ของนักแบดฯ เกาหลีใต้ ก็น่าจะเป็นการการันตีตั๋วได้ไม่น้อยกว่า 99.99 % ว่าในโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว จะมีชื่อของ “หนูอัน” รวมอยู่ในทัวร์นาเมนต์นี้ด้วย และที่สำคัญหากโชคเข้าข้างในการจับสลากแบ่งสาย ก็น่าอาจมีลุ้นเหรียญยืนโพเดียมได้ไม่น้อย
2. โจเซฟ สคูลลิ่ง (สิงคโปร์)
ประเภทกีฬา : ว่ายน้ำ
หนุ่มน้อยหน้ามนวัย 21 ปี (ในขณะนั้น) สร้างความฮือฮา จนตกเป็นข่าวดังในวงการกีฬาโลกครั้งใหญ่ หลังสามารถพลิกล็อกคว่ำราชาสระชาวมะกันอย่าง ไมเคิล เฟลป์ส คว้าเหรียญทองผีเสื้อ 100 เมตร ในโอลิมปิก 2016 มาครองได้แบบเหนือความคาดหมาย
แต่หลังความสำเร็จที่หอมหวานผ่านไป ความ “กดดัน” ก็เข้ามาแทนที่ เพราะ โจเซป สคูลลิ่ง ไม่ใช่นักว่ายน้ำโนเนมอีกต่อไป แต่ด้วยศักดิ์ศรีแชมป์โอลิมปิกที่ค้ำคอ ทำให้เจ้าตัวต้องเร่งพัฒนาฝีมืออย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อฉีกหนีคู่แข่งออกไปให้ไกลที่สุด
โชคดีที่ สคูลลิ่ง ได้รับการติวเข้มจาก “เอ็ดดี้ รีส” โค้ชจอมเก๋าฝีมือดีอีกคนหนึ่งของวงการว่ายน้ำโลก และเป็นอดีตโค้ชว่ายน้ำทีมชาติสหรัฐอเมริกา ผู้สร้างแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิกมาแล้วหลายคน
ขณะเดียวกัน ฉลามหนุ่มลูกครึ่งสิงคโปร์-อังกฤษ กลับพยามลดความกดดันให้ตัวเอง โดยยืนยันว่าไม่ได้โฟกัสที่การคว้าเหรียญทองเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการโฟกัสอยู่ตัวเองเท่านั้น
“ผมยังคงแสวงหาความพยายาม ที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นแบบไม่มีวันสิ้นสุดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ผมก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุด และผมยังคงเป็นที่โหยหาชัยชนะอยู่ตลอดเวลา”
“ผมต้องการทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นักกีฬาทุกคนในโอลิมปิก ต่างต้องการชัยชนะเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมต้องการที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง และทำผลงานให้ดีที่สุดในวันแข่งขัน” สคูลลิ่ง ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ tokyo2020.org
3. พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ (ไทย)
ประเภทกีฬา : เทควันโด (รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง)
สาวน้อยจากสุราษฎร์ธานี ที่ในจุดเริ่มต้นของการเล่นเทควันโด กลายเป็นเพื่อนสนิทกับความพ่ายแพ้ และสะกดคำว่า “ชนะ” แทบไม่เป็น แต่ในเมื่อโชคชะตากำหนดแล้วว่า จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเส้นทางนี้ ทำให้ในวันที่ พาณิภัค เริ่มตั้งหลักได้ ความสำเร็จก็หลั่งไหลเข้ามาแทบไม่หยุด
แต่ในวันที่ได้สิทธิ์ลงแข่งขันโอลิมปิก 2016 “ริโอเกมส์” ดูเหมือนว่าความหวังของคนทั้งประเทศ จะหนักเกินไปที่เด็กวัย 19 ปีจะแบกรับไหว ซึ่งการคว้าเหรียญทองแดงมาได้ ก็ถือเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว สำหรับลูกสาวคนเล็กของครอบครัว “วงศ์พัฒนกิจ”
และหลังการเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงจากโค้ชเช ยอง ซอก ทำให้วันนี้ “น้องเทนนิส” ก้าวขึ้นมาเบอร์หนึ่งของโลก ในรุ่น 49 กิโลกรัมหญิง พร้อมกับดีกรีแชมป์พวงท้ายยาวเป็นห่างว่าว ดังนั้นใน “โตเกียวเกมส์” จึงเป็นโอกาสอันดีที่ พาณิภัค จะเติมเต็มความสำเร็จของตัวเอง และความหวังของแฟนกีฬาชาวไทย ในการคว้าเหรียญทองเทควันโด เหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของไทย บนเวทีโอลิมปิก
4. อาซิซุลฮาสนี อาวัง (มาเลเซีย)
ประเภทกีฬา : จักรยาน (คีริน)
อดีตเจ้าของแชมป์โลก 2017 ในประเภทคีริน คือหนึ่งในความหวังที่สำคัญของทัพนักกีฬาจากแดนเสือเหลือง และในวัย 33 ปี โอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น น่าจะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายแล้ว สำหรับนักปั่นจอมทะเล้นจากตรังกานู ในการสร้างชื่อเสียงระดับประเทศ
นักจักรยานคุณพ่อลูกสองรายนี้ มุ่งมั่นเป็นอย่างมากกับโอลิมปิก 2020 โดยเจ้าตัวฝึกซ้อมเป็นส่วนใหญ่อยู่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย สลับกับการเดินสายแข่งขันไปทั่วโลก ซึ่งหากมองจากคู่แข่งในขณะนี้ ต้องยอมรับว่าโอกาสซิวเหรียญทองค่อนข้างหืดขึ้นคอ เพราะมีคู่ปรับสำคัญอย่าง ฮาร์รี เลฟเรย์เซ่น แชมป์โลกคนล่าสุดชาวดัตช์ และ ยูตะ วากิโมโตะ จากญี่ปุ่นยืนขวางอยู่
แต่ด้วยระยะเวลาที่เหลืออีกราว 4 เดือน ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการรีดฟอร์มเก่งของ “อซิซุล” ให้กลับมาพีคได้อีกครั้ง และไม่แน่ว่าหากโชคชะตาเป็นใจ เหรียญทองจักรยานประเภทคีรินในโอลิมปิก อาจจะเป็นของเขาก็ได้ ใครจะไปรู้
5. เมียร์อาเชม ฮอสไซนี (อิหร่าน)
ประเภทกีฬา : เทควันโด (รุ่น 68 กิโลกรัมชาย)
จอมเตะก้านยาว เจ้าของความสูง 190 ซม.จากอิหร่าน คือหนึ่งในความหวังระดับแนวหน้า ของทัพนักกีฬาจากแดนเปอร์เซีย ที่อาจจะคว้าเหรียญทองในมหกรรมโอลิมปิก “โตเกียวเกมส์” กลางปีนี้
ฮอสไซนี แจ้งเกิดในระดับอินเตอร์เมื่อปี 2016 หลังคว้าเหรียญทองรุ่น 63 กิโลกรัม ในศึกชิงแชมป์เอเชียที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย หลังจากนั้นในปี 2017 ก็ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์กีฬามหาวิทยาลัยโลก รวมถึงตำแหน่งรองแชมป์โลก หลังแพ้ให้กับ จ้าว ฉ่วย จากจีนไปอย่างน่าเสียดาย
แต่หลังจากปี 2019 จอมเตะหนุ่มวัย 22 ปี ก็ขยับขึ้นมาอยู่ในรุ่น 68 กิโลกรัม และถึงแม้จะมีคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง อี แท ฮุน (เกาหลีใต้), แบรดลี ซินเดน (อังกฤษ), ฆาเบียร์ เปเรซ (สเปน) รวมถึงจนถึง อเล็กซี เดนิสเซนโก (รัสเซีย) ยืนขวางอยู่ แต่ถ้าเทพีแห่งโชคเข้าข้างในวันจับติ๋วแบ่งสาย บางที ฮอสไซนี อาจได้ยืนแป้นในโอลิมปิกครั้งนี้ก็ได้
6. โอ ซัง อ็อค (เกาหลีใต้)
ประเภทกีฬา : ฟันดาบ (เซเบอร์)
แทบไม่น่าเชื่อว่า จากเด็กที่ถูกพ่อแม่ห้ามไม่ให้เล่นกีฬาฟันดาบ แต่ด้วยใจรักและการมีพี่ชายเป็นไอดอล รวมถึงโค้ชผู้ค้นพบพรสวรรค์อย่าง ปาร์ค จอง ฮาน ช่วยขัดเกลา ทำให้เจ้าหนูซัง อ็อค ในวันนั้น กลายเป็นแชมป์โลกในวันนี้ได้
ตำแหน่งแชมป์โลกในประเภทดาบเซเบอร์ บุคคลชาย 2 สมัย และประเภททีมอีก 3 สมัย น่าจะตอบแทนได้ว่าฝีมือของ โอ ซัง อ็อค เจ๋งแค่ไหน อีกทั้งการยึดตำแหน่งมือ 1 ของโลกคนปัจจุบัน จากการจัดอันดับของสหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ (เอฟไออี) น่าจะช่วยทำให้เพิ่มความมั่นใจให้เจ้าตัวได้มาก ก่อนถึงศึกโอลิมปิกในช่วงกลางปีนี้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่เหรียญทอง “โตเกียวเกมส์” อาจไม่ใช่งานง่ายเท่าไหร่ เพราะยังมีคู่ปรับตัวกลั่นขวางทางอยู่หลายราย ไล่ตั้งแต่ อีไล เดิร์ชวิตซ์ (สหรัฐอเมริกา), ลูกา คูลาโตลี (อิตาลี), อารอน ซีลากี (ฮังการี), มักซ์ ฮาตุง (เยอรมนี), รวมไปจนถึงรุ่นพี่ร่วมชาติอย่าง กู บอน กิล (เกาหลีใต้)
7. อากิระ โซเนะ (ญี่ปุ่น)
ประเภทกีฬา : ยูโด (รุ่นน้ำหนักมากกว่า 78 กิโลกรัมหญิง)
สำหรับ อากิระ เริ่มต้นเล่นยูโดครั้งแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากพี่ชายทั้ง 3 คน จากนั้นในปี 2015 ชื่อของสาวน้อยจากเมืองฟูกูโอกะ ก็กลายเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์ เมื่อเธอกวาดแชมป์โลกได้ทุกระดับ ไล่ตั้งแต่ระดับยุวชน (ซาราเยโว, 2015) และระดับเยาวชน (ซาเกร็บ, 2017)
จากนั้นจอมทุ่มผู้ไม่เคยแพ้ ก็เดินหน้ากวาดแชป์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งแชมป์เอเชียนเกมส์ 2018 ต่อด้วยแชมป์โลกบนแผ่นดินบ้านเกิดในปี 2019 และที่เจ๋งกว่านั้นคือ อากิระ ซิวเหรียญทองได้ทั้งประเภทบุคคลและทีม
แน่นอนว่าคู่แข่งสำคัญในโอลิมปิกครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นคู่ปรับหน้าเดิมๆ ที่ผลัดกันแพ้-ชนะมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ไอดาลิส ออร์ติซ (คิวบา), มาเรีย อัลเธแมน (บราซิล), เคย์รา ซายิต (ตุรกี) รวมถึง ซาราห์ อาซาฮินะ เพื่อนร่วมชาติชาวญี่ปุ่น.
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
อสม.ชวนคนไทยฉีดวัคซีนโควิด ในงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ประจำปี 2564 “อสม.พร้อม ชวนคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19” มี นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมพิธี
คอมม่า “,” นั้น สำคัญไฉน
หากพี่น้องๆท่านใด ให้ความสำคัญกับทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ ครูมั่นใจว่า การอ่านบทความนี้จะต้องเป็นประโยชน์อย่างมากทีเดียว เพราะครูจะมาพูดถึงหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (,) ในประโยคภาษาอังกฤษว่าจะต้องใช้ในกรณีใดบ้าง
1) ใช้คั่นระหว่างประโยคที่มีคำเชื่อมอย่างเช่น for, and, nor, but, yet, so ฯลฯ อยู่ระหว่างกลาง
ตัวอย่างเช่น
I know that she was hungry, but she didn’t eat anything.
2) ใช้คั่นระหว่างคำนามในประโยค ซึ่งมีมากกว่า 2 คำขึ้นไป
ตัวอย่างเช่น
I will buy bread, tomatoes, onions, and vinegar.
3) ใช้คั่นระหว่างประโยคที่ต่อเนื่องกัน หรือที่เรียกว่า dependent/ independent clause นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
When I was five, I used to go abroad with my family.
If the bus doesn’t come, I would take a taxi.
4) ใช้คั่นหน้าและคั่นหลังข้อความที่ขยายคำนาม
ตัวอย่างเช่น
Jack, our new boss, is very strict.
Daniel, the top student in the class, won the first prize.
5) ใช้คั่นหน้าข้อความสำคัญ (Quote)
ตัวอย่างเช่น
Steve Jobs said, “One shouldn’t eat a lot.”
6) ใช้คั่นระหว่าง Transition word/ Conjunctive adverb กับประโยค
ตัวอย่างเช่น
Jeff is a popular student. Moreover, he is the captain of a football team.
7) ใช้ในการการเขียนวันที่
ตัวอย่างเช่น February 5, 2020
8) ใช้ในการเริ่มต้นและลงท้ายจดหมายหรืออีเมล์
ตัวอย่างเช่น Dear Jack,/ Best regards,
ส่วนการใช้เครื่องหมายคอมม่าในการคั่นหลักตัวเลขพัน เช่น 31,000 หรือ 280,300 นั้น ต้องใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเลยนะคร๊าบบบ
คำถามทดสอบ:
1) ข้อใดเขียนถูกต้อง
a. I went to the bank, and I went to see the dentist.
b. I went to the bank and, I went to see the dentist.
c. ผิดทั้ง a. และ b.
d. ถูกทั้ง a. และ b.
2) ข้อใดเขียนถูกต้อง
a. I ran fast and fell down.
b. I ran fast but fell down.
c. ผิดทั้ง a. และ b.
d. ถูกทั้ง a. และ b.
3) การใช้เครื่องหมายคอมมาร์ในบริบทใด ใช้ทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ
a. ใช้คั่นหน้าคำเชื่อมประโยค
b. ใช้คั่นคำนาม 2 คำขึ้นไป
c. ใช้คั่นจำนวนหลักพัน
d. ถูกทั้ง a. และ b.
1. (ข้อ a.) เพราะคอมม่าต้องอยู่หน้าคำเชื่อมประโยคเท่านั้น
2. (ข้อ d.) เพราะหากเป็นคำหรือวลีสั้นๆตามหลังประโยคแรก ไม่ต้องใส่ comma คั่นก็ได้
3. (ข้อ c.) ใช้ในการคั่นจำนวนหรือตัวเลขหลักพันครับ
‘ไปรษณีย์’ จับมือ ‘ฮอนด้า’ นำร่องขนส่งด้วย ‘มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า’ รุ่นใหม่
“ไปรษณีย์ไทย” ร่วม “เอ.พี. ฮอนด้า” จับมือรักษ์โลก นำร่องขนส่งด้วยมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่น PCX และ รุ่น Benly-E ชาร์จ 1 ครั้งวิ่งได้ 41 – 43 กม.
นายกาหลง ทรัพย์สอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานปฏิบัติการ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และในฐานะหน่วยงานที่ใช้เส้นทางคมนาคมเพื่อปฏิบัติหน้าที่และให้บริการนำจ่ายสิ่งของ จึงตระหนักถึงปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นบนท้องถนน โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และควันที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ ไปรษณีย์ไทยจึงนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ในการนำจ่ายเพื่อลดปัญหามลพิษ
พร้อมส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดในธุรกิจการขนส่งโลจิสติกส์ตั้งแต่ พ.ศ.2562 ได้มีการจับมือกับภาครัฐและเอกชนในการนำเอายานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้งานต่าง ๆ ของไปรษณีย์ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ฯลฯ และครั้งนี้ได้ร่วมมือกับ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด (A.P. Honda Co.,Ltd) ในการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้งาน โดยนำรถจักรยานยนต์รุ่น Honda PCX Electric สามารถขับขี่เป็นระยะทาง 41 กิโลเมตรความเร็วคงที่อยู่ที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เริ่มนำมาทดลองใช้แล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2564 ไปรษณีย์ไทยยังได้นำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่น Honda BENLY e ที่ออกแบบเพื่อใช้สำหรับการขนส่งโดยเฉพาะมาใช้งานเพิ่มเติม สามารถขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้งเป็นระยะทางถึง 43 กิโลเมตรความเร็วคงที่อยู่ที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยทั้งสองรุ่นได้นำร่องใช้งานอยู่ ณที่ทำการไปรษณีย์สามเสนใน
“การนำจ่ายด้วยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ไปรษณีย์ไทย และ เอ.พี. ฮอนด้า เป็นการคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการผลักดันให้เกิดการใช้งานระบบยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งนอกจากความรับผิดชอบต่อสังคมที่ไปรษณีย์ไทยได้มุ่งมั่นดำเนินการมาตลอดแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังมีแผนพัฒนาองค์กรไปสู่ Green Energy ที่จะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก และลดก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง” นายกาหลง กล่าวสรุป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมี่ยง” ที่ไม่ใช่หมาก วัฒนธรรมการกินของชาวเหนือ
ท่านใดที่เคยมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดทางภาคเหนือ นับตั้งแต่จังหวัดอุตรดิตถ์ไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ หรือขึ้นไปทางเชียงรายและแม่ฮ่องสอน คงจะได้พบชาวพื้นเมืองรุ่นเก่าๆ ที่มักจะชอบอมใบไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า “เมี่ยง” จนคนทางภาคใต้สมัยก่อนที่ขึ้นไปพบการ “อมเมี่ยง” ของชาวเหนือแล้วเรียกกันว่า “หมากเมืองเหนือ”
ในสมัยโบราณนั้น ของว่างหลังอาหารของคนเหนือคงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเมี่ยง เพราะคนเหนือหลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ก็จะพากัน “อมเหมี้ยง” เพื่อให้รสและกลิ่นของอาหารที่กินเข้าไปเจือจางลง ทั้งยังช่วยคลายความเผ็ด ความเค็ม ที่ติดปากอยู่ พร้อมกันนั้นยังทำให้การคุยกันหลังอาหารระหว่างครอบครัว เพื่อนฝูง ให้ออกรสโดยเคี้ยวเมี่ยงไปคุยกันไปด้วย เป็นการย่อยอาหารไปในตัวได้อีกด้วย
วิธีการเก็บใบเมี่ยง
ส่วนของใบเมี่ยงของคนภาคเหนือที่ใช้กิน คือใบอ่อน ซึ่งจะเก็บมานึ่งแล้วหมักให้ได้ที่ก่อนแล้วค่อยนำไปทำเป็นของเคี้ยวหลังอาหาร โดยเลือกเก็บใบที่มีอายุพอเหมาะจากส่วนยอด ซึ่งระยะเวลาที่จะเก็บใบเมี่ยงได้จะมีปีละ 4 ครั้ง คือ ครั้งแรกในเดือนเมษายนของทุกปี อีกสามรุ่นต่อมาจะห่างจากกันคราวละสองเดือน คือเก็บใบเมี่ยงรุ่นที่สองในราวเดือนมิถุนายน ครั้งที่สามในราวเดือนสิงหาคม และครั้งที่สี่ประมาณเดือนพฤศจิกายน
ต้นเมี่ยง เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม (หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก) ใบสีเขียว ขอบใบเป็นจักๆ ดอกสีขาวคล้ายดอกส้ม ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ปลูกตามป่าดิบเชิงเขาทางภาคเหนือ ชอบขึ้นบนภูเขาในระดับที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งแต่ 500 เมตร ขึ้นไป เจริญเติบโตได้ดีในถิ่นที่มีอากาศเย็นและชื้น
ความรู้เกี่ยวกับเมี่ยง
เมี่ยง ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง “ของกินเล่นที่ใช้ใบไม้บางชนิด เช่น ใบชาหมัก ใบชะพลู ใบทองหลาง ห่อเครื่องที่มีถั่วลิสง มะพร้าว กุ้งแห้ง หัวหอม ขิง เป็นต้น มีหลายชนิด เรียกชื่อต่างๆ กัน เช่น เมี่ยงคำ เมี่ยงลาว เมี่ยงส้ม” และอีกความหมายหนึ่งก็คือ “ต้นชา” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเอาใบชาที่มัดรวมเป็นก้อนไปผ่านการนึ่งและแช่ในถังหมักให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นการหมักดองใบชานั่นเอง
อันที่จริงต้นเมี่ยงก็คือ พืชตระกูลต้นชานั่นเอง แต่เขาไม่นิยมนำไปต้มดื่มเหมือนใบชา แต่จะนำเอาใบสดของต้นเมี่ยงไปนึ่งและหมักไว้ให้มีรสเปรี้ยว แล้วเอามาอมกับเกลือ (ในใบเมี่ยงหรือใบชาจะมีกาเฟอีน เทนนิน และน้ำมันหอมระเหยอยู่ด้วย)
ในสมัยก่อนต้นเมี่ยงปลูกกันมากที่จังหวัดแพร่ บนภูเขาสูงแถวๆ ตำบลป่าแดง ตำบลช่อแฮ และตำบลสวนเขื่อน สำหรับทางจังหวัดพะเยา เชียงราย และเชียงใหม่ ก็มีปลูกบ้างเหมือนกัน
คนไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ เริ่มอมเมี่ยงกันตั้งแต่เมื่อไร ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ในหนังสือตำนานท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้กล่าวถึงเรื่องเมี่ยงไว้ว่า
“…ผู้ใดทำการอาวาหวิวาหมงคล ก็ย่อมตกแต่งเมี่ยง หมาก และของบริโภคต่างๆ ใส่พาน ใส่เตียบนับด้วยสิบด้วยร้อยไปประชุมแขก…” (อาวาหมงคล คือ ประเพณีแต่งงานที่นิยมทำกัน ณ บ้านฝ่ายชาย โดยฝ่ายหญิงจะเดินทางเข้าพิธี ณ บ้านฝ่ายชาย ซึ่งก่อนเข้าบ้านฝ่ายหญิงต้องผ่านประตูเงิน และเมื่อแต่งงานแล้วเสร็จ ฝ่ายหญิงจะพักอาศัยที่บ้านฝ่ายชายร่วมกับบิดามารดาของฝ่ายชาย หรือแยกพักกับเจ้าสาวเพียงลำพัง ลักษณะการแต่งงานประเภทนี้ จะพบได้ในบางประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย และประเทศจีน เป็นต้น)
นอกจากนั้น ในพระราชฐานของพระเจ้ากรุงสุโขทัยก็มีการให้พระสนมกำนัลจัดเมี่ยงไว้ถวายด้วย โดยมีความจารึกว่า…
“…จึงแต่งเมี่ยง หมาก อบ และรมด้วยเครื่องหอมใส่ลงในขัน มีตาข่ายดอกไม้ปกคลุม ครั้นแล้วก็นำขึ้นถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว…”
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ได้กล่าวถึงเมี่ยงไว้ในกาพย์ห่อโคลงบทหนึ่งของพระศรีมโหสถ ว่า
“เทวคลีศรีเส้งแสด สรรพางค์
คาดกร่ายชายทองวาง ร่วงรุ้ง
ศรีฟ้าผ่าสนองบาง เยาย่อง
อมเมี่ยงเชียงชมดฟุ้ง กลิ่นกลุ้ม ใจหญิง”
…พระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีไปถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมีที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ร.ศ. 128 ได้ทรงกล่าวถึงเรื่องเมี่ยงไว้ว่า…
“ใบเมี่ยงที่ส่งมาใช้ได้ ฟังเล่าก็นึกอยากจะไป ข้อที่ต้องการเห็นมากนั้นก็คือ ห้วยแก้ว ดอยสุเทพ”
…จดหมายเหตุของหมอดอดด์ (Dr. William Clifton Dodd) มิชชันนารีชาวอเมริกันที่เข้าไปสอนศาสนาคริสต์อยู่ที่เมืองเชียงราย เชียงตุง และมณฑลยูนนาน ประเทศจีนตอนใต้ เมื่อประมาณ 80 ปีมาแล้ว ได้เขียนเล่าเรื่องพิธีแต่งงานของพวกต่องซู่ ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำสาละวินว่า…
“…เมื่อเช้าเชื้อเชิญญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาประชุมที่เรือนเจ้าสาว โดยให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวนั่งคู่กันแล้วเชิญใครก็ได้ที่พ่อแม่เขายังมีชีวิตอยู่ เป็นคนมามอบเมี่ยงให้แก่เจ้าบ่าวเจ้าสาวคนละอม แล้วถึงจะได้ทำพิธีผูกมือกันต่อไป…”
วัฒนธรรมการกินเมี่ยงของชาวเหนือ
เมี่ยง หรือใบชาของคนเหนือ เป็นอาหารว่างของชาวเหนือในอดีต ที่ทุกบ้านจะมีเมี่ยงไว้เป็นของกินและใช้ต้อนรับแขกหรือญาติที่มาเยี่ยมเยือนโดยมีห่อเมี่ยงคู่กับขันหมากและโป้ยาขื่น (กระป๋องยาสูบ) โดยแขกจะแกะห่อเมี่ยงแล้วกินเมี่ยงที่เจ้าของบ้านต้อนรับแล้วจึงพูดคุยปรึกษาเรื่องราวต่างๆ
การกินเมี่ยงของคนเหนือ บางคนจะกินเมี่ยงคู่กับสูบปูรี (บุหรี่) หลังอาหาร บางคนที่ไม่สูบบุหรี่ก็กินเมี่ยงอย่างเดียว
วิธีการกินเมี่ยงคือ แกะห่อเมี่ยงหมักได้ที่มีรสเปรี้ยวแกมฝาดมาวางแผ่ออก อาจจะซ้อนใบเมี่ยง 2-3 ชั้น หนาหรือบางแล้วแต่ต้องการ ใส่เกลือเม็ดและขิงลงบนใบเมี่ยงกะให้ออกรสเค็มพอถูกปาก แล้วจึงจับใบเมี่ยงพับเข้าหากัน ห่อม้วนเป็นคำแล้วหยิบใส่ปากใช้อมเป็นอันเสร็จขบวนการกินเมี่ยง
การกินเมี่ยงจะกินเมี่ยงเปล่าๆ หรือจะใส่ไส้ลงไปกินคู่กันด้วยก็ได้ ซึ่งไส้เมี่ยงแบบดั้งเดิมเขาจะใส่แค่เกลือเม็ดและขิงเท่านั้น แต่ในสมัยนี้เขาใส่ทั้งขิงดอง มะพร้าวคั่ว และถั่วลิสงคั่ว แถมยังมีการห่อเป็นคำๆ มีขายทั้งแบบเปรี้ยวและแบบหวาน สามารถเคี้ยวกลืนได้ทั้งหมด ไม่ต้องคายกากทิ้งหรือบ้วนน้ำทิ้งเหมือนกินหมากอีกแล้ว
ปัจจุบัน เมี่ยงยังมีความสำคัญในการจัดงานบุญหรือพิธีกรรมทางพุทธศาสนาทุกอย่างในภาคเหนือ เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานฉลององค์ผ้าป่า และกฐิน หรืองานศพ ชาวบ้านที่ไปช่วยงานนอกจากช่วยเตรียมสถานที่ เตรียมดอกไม้ในพิธีสงฆ์ เตรียมอาหารแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือช่วยกันทำเมี่ยงสำหรับต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน
หมู่บ้านไทยใหญ่ที่มีภูมิลำเนาอยู่บนภูเขา ที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ในเขตแถวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขานิยมนำเอาใบเมี่ยงสดๆ ลงคั่วในกระทะ แล้วนำไปตากแห้ง เมื่อมีแขกไปใครมามีการต้อนรับ เจ้าของบ้านจะยกเอาเตาไฟออกมาตั้ง เมื่อน้ำเดือดก็จะนำเอาใบเมี่ยงที่คั่วตากแดดไว้นั้นลงชง ให้เด็กหรือลูกสาวนำเอาเกลือลงใส่ไว้ในถ้วยชาทีละเม็ด
แล้วก็รินน้ำใบเมี่ยงในกาที่กำลังร้อนๆ ส่งแจกให้พวกแขกเหรื่อซดกันไปคุยกันไป เขาว่าชุ่มคอดีนักแล สำหรับเตาไฟนั้น นอกจากจะมีไว้สำหรับดื่มน้ำแล้ว ยังมีประโยชน์สำหรับพวกแขกจะได้ผิงให้ได้รับความอบอุ่นเพราะอากาศบ้านเขาหนาว ซึ่งเป็นการต้อนรับแขกด้วยใบเมี่ยงที่ดูจะเข้าท่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“ใบเมี่ยง” เป็นภาษาถิ่นของคนเหนือ ที่แปลว่า “ใบชา” ได้ชื่อว่าเป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมาย ตั้งแต่การกิน ทำเป็นของใช้ จนกลายเป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านที่นอกจากการนำใบเมี่ยงมาหมักแล้ว ยังนำใบเมี่ยงมาแปรรูปเป็น “หมอนใบชาเพื่อสุขภาพ” โดยเอาใบเมี่ยงแก่จัดมาอบให้แห้งแล้วใส่เป็นไส้ของหมอน ซึ่งกลิ่นหอมของใบชาจะช่วยรักษาโรคหวัด ทำให้หายใจคล่อง ช่วยระงับกลิ่นกาย ช่วยคลายเครียด และยังช่วยกำจัดและดูดซับกลิ่นต่างๆ หรือทำเป็นหมอนใบชาขนาดเล็กๆ ใช้แขวนเพื่อดูดกลิ่นในรถยนต์ ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ได้ดีอีกด้วย
สำหรับวัฒนธรรมการกินเมี่ยงของชาวเหนือนั้นยังมีปรากฏให้เห็นบ้างในงานบุญต่างๆ ตามหมู่บ้านแถบๆ ชนบททางภาคเหนือของไทยตราบจนทุกวันนี้ แม้ว่าเยาวชนรุ่นใหม่ๆ จะไม่รู้จักคุ้นเคยกับคำว่า “เมี่ยง” และการกิน “เมี่ยง” แต่กลับไปรู้จักในรูปแบบของ “ชา” และให้คุณค่าของ “ชา” สูงกว่าเมี่ยงก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก technologychaoban.com
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 25,250.00 | 25,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,636.00 | 24,801.76 | 25,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,472.40 | 22,321.58 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,308.80 | 19,841.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 736.00 | 11,157.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 573.00 | 8,686.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,695.00 | 25,696.20 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/03/2564
ปตท. |
บางจาก |
เชลล์ |
เอสโซ่ |
คาลเท็กซ์ |
ไออาร์พีซี |
พีที |
ซัสโก้ |
เพียว |
พรุ่งนี้ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 | 27.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 | 26.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 25.74 | 25.74 | 25.74 | 25.74 | 25.74 | – | 25.74 | 25.74 | 25.74 | 25.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 21.34 | 21.34 | – | – | – | – | – | – | – | 21.34 |
เบนซิน 95 | 34.66 | – | – | – | 35.11 | – | 35.16 | 34.66 | – | 34.66 |
ดีเซล B7 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 | 27.19 |
ดีเซล | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 | 24.19 |
ดีเซล B20 | 23.94 | 23.94 | 24.14 | – | 23.94 | – | 23.94 | 23.94 | – | 23.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 31.76 | 31.76 | 33.64 | 33.16 | – | – | – | – | – | 31.76 |
แก๊ส NGV | 13.43 | 13.43 | – | – | – | – | – | – | – | 13.43 |