กลุ่ม วีไอพี มั่นใจ ‘ภูเก็ต’บูม หลังนักท่องเที่ยวคืนเกาะ คอนโดฯลงทุนคึกคัก
อสังหาฯ ภูเก็ตคึก กลุ่ม วีไอพี ลุยพัฒนาคอนโดฯ ลุ้นดีมานด์ ที่พักราคาถูกใกล้สนามบิน ขณะเร่งปิดการขาย วีไอพี เมอร์คิวรี่ ราไวย์ ชี้เป็นอีกทางเลือกการลงทุนในจังหวัดภูเก็ตที่จะกลับมาบูมแน่ หลังฉีดวัคซีนและนักท่องเที่ยวคืนเกาะ
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารบริษัท วีไอพี เจ.ดี.กรุ๊ป จำกัด หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า โครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัย ของคนในจังหวัดภูเก็ตรวมถึงชาวต่างชาติ
กล่าวคือช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 พื้นที่ตอนเหนือของภูเก็ตบริเวณใกล้สนามบินมีผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยมากถึง 2 หมื่นคน แต่ราคาที่อยู่อาศัยเกินกำลังซื้อ ของคนทำงานเพราะมีแต่บ้านเดี่ยวราคาแพง ส่วนใหญ่ต้องเช่าอยู่ในอัตราเฉลี่ยเดือนละ 8,000 – 10,000 บาท ทางบริษัทจึงเห็นเป็นโอกาสพัฒนาคอนโดมิเนียมในราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้
โครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม มีทั้งสิ้น 215 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 20.5 – 32.8 ตารางเมตร ระดับราคา 1.2 – 2.2 ล้านบาท เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2563 ก่อนเกิดโควิด-19 แต่สามารถขายได้แล้ว 128 ยูนิต คงเหลือเพียง 87 ยูนิต เกือบทั้งหมดที่ขายไปได้เป็นเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยาน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธร การก่อสร้างคืบหน้ากว่า 65% จะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2564 พร้อมโอนภายในเดือนกันยายน 2564
ทั้งนี้ เหตุที่ห้องชุดของวีไอพี เกรทฮิลล์ ขายได้ดีเพราะจุดเด่นของโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบินภูเก็ต ใช้เวลาเดินทาง แค่ 4 นาที พื้นที่ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาหันหน้าทางทะเลตามหลักฮวงจุ้ยที่ดี สามารถมองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม และยังอยู่ใกล้หาดในยาง หาดไม้ขาว หาดบางเทา อุทยานแห่งชาติสิรินาถ อุทยานแห่งชาติเขาพระแทว อยู่ใกล้สถานที่ราชการที่สำคัญ เช่น อำเภอถลาง ส่วนราชการอำเภอถลาง ศาลปกครอง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 โรงเรียนนานาชาติ UWC สภาพแวดล้อมดีมีสถานบริการเพื่อความสะดวกและความจำเป็นครบครัน
“นอกจากจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยด้วยแคมเปญ ซื้อถูกกว่าเช่าแล้ว โครงการนี้ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่สามารถเก็บเป็นสินทรัพย์ สร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยการปล่อยเช่าสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบ้านของตัวเองหรือให้นักท่องเที่ยว ต่างชาติ เช่าพักอาศัยในเวลาที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ”
โดยทางโครงการ วีโอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม รับประกันรายได้จากค่าเช่า 2 ปีแรก ในอัตรา 6% ต่อปี โดยรายได้ปีแรกผู้ซื้อจะได้รับทันทีในวันโอนห้องชุด หลังจากนั้นปีที่ 3-7 ปี ทางโครงการจะบริหารจัดการหาผู้เช่าให้ เจ้าของห้องชุดจะมีรายได้ 50,000 – 90,000 บาทต่อปีขึ้นอยู่กับราคาห้องชุดแต่ละขนาด ขณะเดียวกันเจ้าของห้องชุดก็จะได้สิทธิพักปีละ 15 วันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
“สถานการณ์ปัจจุบันนั้นผู้สนใจลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ มีหลายทางเลือก ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มั่นใจได้ว่า หลังโควิด-19 สงบจะกลับมาสวยกว่าเดิมปี 2562 เคยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนภูเก็ต 14 ล้านคน ปี 2564 เรากำลังรณรงค์ให้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเข้ามาเที่ยวภเก็ตได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม
ภายในปี 2565 คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นการลงทุนในโครงการวีไอพี เกรทฮิลล์ ซึ่งมีการบริหารจัดการการเช่าและมีตลาดรองรับแน่นอนสำหรับคนทำงานจึงไม่ใช่ความเสี่ยงเหมือนซื้อคอนโดฯในเมืองหลวง อีกทั้งหากจะซื้อเพื่อเป็น Business Home, Second Home หรือเพื่อ Work from Home ก็น่าจะเลือกภูเก็ตเป็นที่นั่งทำงานท่ามกลางธรรมชาติ” นายธนูศักดิ์กล่าว
ด้าน นายอมรชัย แซ่ฮวง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีไอพี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม เป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภูเก็ต ที่เปิดจองตั้งแต่กลางปี 2560 โดยจากพื้นที่ทั้งหมด 66 ไร่ ซึ่งเป็นทำเลทองใกล้หาดราไวย์ ได้แบ่งออกเป็น 3 เฟส เฟสแรกคือโครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม สร้างบนพื้นที่ 10ไร่ครึ่ง เป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 8 อาคาร รวม 516 ห้อง
เฟสที่ 2 เป็น โครงการ พูล วิลล่า จำนวน 114 หลัง บนพื้นที่ 30 ไร่ ขายไปแล้วกว่า 30% จะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้ ส่วนเฟส 3 บนพื้นที่อีกกว่า 16 ไร่ ทางบริษัทวางแผนจะสร้างเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และวิลล่า
โครงการวีไอพี เมอร์คิวรี่ มีจุดเด่นคืออยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดภูเก็ต เช่น แหลมพรหมเทพ จุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดของประเทศไทย รวมถึงห้องพักส่วนใหญ่ของโครงการประมาณ 50% ยังเป็นแบบ Seaview มองเห็นทั้งด้านอ่าวฉลอง และ หาดราไวย์ นอกจากนี้ภายในโครงการ ยังมีสระว่ายน้ำระดับลากูนที่ใหญ่รายล้อมภายในโครงการทั้ง 8 อาคาร ขณะเดียวกัน มีโซนสำหรับเด็ก ห้องเกมรูม สปา เปิดให้บริการสำหรับผู้เข้าพักอาศัยในโครงการด้วย
ปัจจุบัน วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม จำหน่ายได้แล้ว 78 % คงเหลือ 123 ห้อง ในขนาดพื้นที่ 28 – 156 ตารางเมตร ในระดับราคา 2.9 -16 ล้านบาท การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 95% โดยเฉพาะส่วนของโครงสร้างและสถาปัตยกรรมภายนอกอาคาร คงเหลือเพียงการตกแต่งภายในและสภาพแวดล้อมรอบอาคาร ผู้ซื้อสามารถโอนและเข้าอยู่อาศัยนับตั้งแต่กลางปีนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘ตลาดโลจิสติกส์’ ขึ้นแท่น คลังสินค้า-โรงงาน รอทะลัก 5 แสนตร.ม.
อสังหาฯใหญ่ เดินหน้า พัฒนาคลังสินค้า – โรงงาน รับโอกาสลูกค้าต่างชาติทะลัก ขณะคอลลิเออร์สฯ เผย มีพื้นที่แล้วเสร็จปีนี้ ราว 5 แสนตร.ม.
ธุรกิจช็อปปิ้งออนไลน์ ในประเทศไทย ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 ด้วยมูลค่ารวม 2.2 แสนล้านบาท สัดส่วน 4-5% ของธุรกิจค้าปลีกทั้งประเทศ และมีการเติบโตสูงถึง 35% จากปีก่อนหน้า คือ อีกโอกาสครั้งสำคัญ ของตลาดโลจิสติกส์ ธุรกิจคลังสินค้าและโรงงาน โดยคาดปีนี้ จะขึ้นแท่นเป็นดาวเด่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ท่ามกลางธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก ที่มีความไม่แน่นอนสูง จากดีมานด์ความต้องการหยุดชะงัก
โดยซัพพลายเชน ผู้ผลิตชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าจีน ที่อยู่ระหว่างพิจารณา และรอเซ็นสัญญา ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จะด้วยเหตุจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่มีสัญญาณชัดเจนขึ้น ทำให้ต้องมองหาฐานกระจายสินค้าใหม่ หรือจุดแข็งด้านสาธารณสุขไทยก็ตามนั้น ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายราย ยังคงมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2564 จะมีโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเปิดบริการใหม่อีกกว่า 500,000 ตารางเมตร (แล้วเสร็จ)
“ทำเลโดดเด่น ถนนบางนา-ตราด และย่านเทพารักษ์ บนพื้นที่รวมกว่า 150 ไร่ และสามารถพัฒนาเป็นโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าประมาณ 150,000 ตารางเมตร และในพื้นที่อีอีซีอีกกว่า 300,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเปิดให้บริการได้ในปีนี้”
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” ตรวจสอบแผนพัฒนาของผู้ประกอบการหลายสำคัญ พบปีนี้ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA มีแผนพัฒนาโครงการศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ถึง 5 โครงการ รวมพื่นที่ 400,000 ตารางเมตร ขณะรายใหญ่ บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) หรือ FPT ผู้นำ อาคารประเภท Built- to-Suit (สร้างตามความต้องการ) ตามแผนระบุ จะเปิดใหม่ราว 200,000 ตารางเมตร ซึ่งจุดแข็งยังเป็นเรื่อง ทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของพื้นที่อุตสาหกรรม ด้าน บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ในเครือบมจ. มั่นคงเคหะการ หรือ MK มีแผนขยายถึง 3 แห่ง (บางนา-ตราด, บางพลี) ในโครงการบางกอกฟรีเทรด รวม 70,000 ตารางเมตร และในรูปแบบ Built-to-Suit อีก 100,000 ตารางเมตร
ขณะล่าสุดน่าจับตา พบผู้เล่นสำคัญในกลุ่มที่อยู่อาศัย อย่าง บมจ.ออริจิ้น กำลังแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) และกระจายความเสี่ยงมายังตลาดโลจิสติกส์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับรายใหญ่ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิติกส์ โดย นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น ระบุว่า ปีนี้ จะนำร่องรวม 2 โปรเจ็กต์ เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท รวมพื้นที่คลังสินค้า ขนาด 62,000 ตารางเมตร บนทำเลยุทธศาสตร์บางนา กม. 22 รวมถึงความเคลี่อนไหวจากแผนของบมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ.ชีวาทัย อีกด้วย
คอลลิเออร์สฯ ยังเปิดเผยว่า ณ ครึ่งปีหลัง 2563 มีพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานในไทยถูกใช้ไปแล้วทั้งหมด 6.092 ล้านตารางเมตร จากทั้งหมด 6.963 ล้านตารางเมตร หรือ 87.5% โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังคงมีอัตราการเช่าสูงสุดประมาณ 90.7% รองลงมาคือ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีความต้องการด้านโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง เชื่อมกับศูนย์กลางการผลิตและการกระจายสินค้าที่ 91% ตามด้วยพื้นที่อีอีซี อัตราการเช่า 78.2% จากลูกค้าภาคธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเภสัชกรรม เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดาวโจนส์ปิดนิวไฮ/น้ำมัน,ทองคำลบ
หุ้นดาวโจนส์ปิดบวก 189.42 จุด ทำนิวไฮ หลังเฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันลบ 20 เซนต์ ขณะที่ทองคำลง 3.80 ดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,015.37 จุด เพิ่มขึ้น 189.42 จุด หรือ +0.58% ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,974.12 จุด เพิ่มขึ้น 11.41 จุด หรือ + 0.29% ดัชนี แนสแดคปิดที่ 13,525.20 จุด เพิ่มขึ้น 53.63 จุด หรือ +0.40%
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันที่ 17 มี.ค. หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ พร้อมส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงปี 2566 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดยืนยันว่า เฟดจะเดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งรวมถึงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 64.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 39 เซนต์ ปิดที่ 68.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 3.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,727.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
“สุธาสินี” นักกีฬาไทยคนที่ 19 ตีตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2020 สรุปรายชื่อผู้คว้าโควตา
สุธาสินี เสวตรบุตร นักเทเบิลเทนนิสหญิงเดี่ยว กลายเป็นนักกีฬาไทยคนที่ 19 ที่ได้ไปโอลิมปิกเกมส์ 2020 พร้อมสรุปรายชื่อผู้คว้าโควตาก่อนหน้านี้
วันที่ 17 มี.ค. 64 สุธาสินี เสวตรบุตร นักกีฬาเทเบิลเทนนิส ประเภทหญิงเดี่ยว มือ 41 ของโลก ลงแข่งขันรายการ World Singles Qualification Tournament ชิงตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ซึ่งมีโควตาให้นักปิงปองทั่วโลกในประเภทชายเดี่ยวและหญิงเดี่ยว ประเภทละ 5 ที่นั่ง
ทั้งนี้ “น้องหญิง” ลงสนามในรอบชิงชนะเลิศ สเตจ 2 หลังจากรอบแก้ตัวครั้งแรก เอาชนะ มาการิตา เพอร์เซทสกา จากยูเครนมาได้ ซึ่งหากคว้านัดนี้จะการันตีตั๋วไปโอลิมปิกทันที ก่อนเอาชนะ มาเรีย เสี่ยว มือ 72 ของโลกจากสเปน 4-1 เกม
ทำให้ สุธาสินี ได้สิทธิ์ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์สมัยที่ 2 ในชีวิตต่อจาก ริโอเกมส์ 2016 ที่ประเทศบราซิล ซึ่งเธอเข้ารอบ 2 และเป็นโควตาที่ 17 รวมถึงเป็นคนที่ 19 ของทัพนักกีฬาไทยในโตเกียวเกมส์ 2020
นอกจากนี้ นักเทเบิลเทนนิสไทยยังมีลุ้นโควตาอีก 2 คน คือ “ไบรท์” ภาดาศักดิ์ ตันติวิริยะเวชกุล และ “ทิพย์” อรวรรณ พาระนัง ในรายการ Asian Olympic Qualification Tournament วันที่ 18-20 มีนาคมนี้
สรุปรายชื่อนักกีฬาไทย 19 คนที่ได้โควตาไปโอลิมปิกเกมส์ 2020
1. เศวต เศรษฐาภรณ์ ยิงเป้าบิน ประเภทแทร็ป ชาย
2. กมลวรรณ จันทร์ยิ้ม เรือใบ ประเภทเลเซอร์ เรเดียล หญิง
3. ศิริพร แก้วดวงงาม วินด์เซิร์ฟ ประเภทอาร์เอสเอ็กซ์ วัน หญิง
4. จุฑาธิป มณีพันธุ์ จักรยาน ประเภทถนน หญิง
5. อิสรานุอุดม ภูริหิรัญพัชร์ ยิงปืน ประเภทปืนสั้นยิงเร็ว 25 เมตร ชาย
6. ณภัสวรรณ หย่างไพบูลย์ ยิงปืน ประเภทปืนสั้นสตรี 25 เมตร หญิง
7. ธันยพร พฤกษากร ยิงปืน ประเภทปืนสั้นสตรี 25 เมตร หญิง
8. สุธิยา จิวเฉลิมมิตร ยิงเป้าบิน ประเภทสกีต หญิง
9. อิศราภา อิ่มประเสริฐสุข ยิงเป้าบิน ประเภทสกีต หญิง
10-12. ขี่ม้า ประเภททีมอีเวนท์ติง
– วีรภัฎ ปิฏกานนท์
– อาริย์ณัฏฐา ชวตานนท์
– กรธวัช สำราญ
13. พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัม หญิง
14. ใบสน มณีก้อน มวยสากล รุ่น 69 กิโลกรัม หญิง
15. ธิติสรรค์ ปั้นโหมด มวยสากล รุ่น 52 กิโลกรัม ชาย
16. สุดาพร สีสอนดี มวยสากล รุ่น 60 กิโลกรัม หญิง
17. ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี มวยสากล รุ่น 57 กิโลกรัม ชาย
18. คีริน ตันติเวทย์ กรีฑา ประเภทวิ่ง 10,000 เมตร ชาย
19. สุธาสินี เสวตรบุตร เทเบิลเทนนิส ประเภทหญิงเดี่ยว
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
เลือกกินอาหารทะเล สด สะอาด ปรุงสุก ลดเสี่ยงท้องร่วง
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ กินอาหารทะเลปลอดภัย เน้น สด สะอาด ปรุงสุก ลดเสี่ยงอาหารเป็นพิษ ท้องร่วง พร้อมย้ำเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า อาหารทะเลในช่วงหน้าร้อนมักจะต้องเก็บรักษาไว่ในอุณหภูมิที่ต่ำ เพื่อป้องกันการเน่าเสีย รวมถึงปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย เช่น เชื้ออหิวาต์เทียม ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ โรคอุจจาระร่วง และจากข้อมูลการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคอาหาร เป็นพิษในปี 2564 ของกรมควบคุมโรค พบผู้ป่วย 6,900 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ผู้ประกอบการหลายรายมักจะใช้วิธีการผิด ๆ ในการเก็บรักษาอาหารทะเลให้คงความสดและชะลอการเน่าเสียด้วยการแช่สารฟอร์มาลิน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย
จากการสำรวจข้อมูลการตรวจรายการวิเคราะห์ปีงบประมาณ 2563 ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวนทั้งหมด 14,046 ตัวอย่าง พบการปลอมปนของฟอร์มาลิน 705 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 5.02 โดยพบมากที่สุดในปลาหมึกกรอบ ร้อยละ 31.35 รองลงมาคือ ปลาหมึก ร้อยละ 2.36 แมงกะพรุน ร้อยละ 1.55 และกุ้งร้อยละ 0.14 ตามลำดับ และหากร่างกายได้รับฟอร์มาลินมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ปากและคอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายท้อง ปวดท้องอย่างรุนแรง กระเพาะอาหารอักเสบ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ปัสสาวะไม่ออก หมดสติ ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเสียชีวิต เพราะระบบหมุนเวียนเลือดล้มเหลว
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ประชาชนจึงควรเลือกซื้ออาหารทะเลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ตลาดที่ได้มาตรฐานตลาดสดน่าซื้อของกรมอนามัย และควรสังเกตอาหารทะเลที่จะเลือกซื้อ เช่น เลือกปลาที่เนื้อแน่น กดไม่บุ๋ม ไม่มีกลิ่นคาว เกล็ดไม่มีรอยแยกหรือแตกออก เลือกซื้อปู ตาต้องใส และขาต้องติดตัวปูครบทุกขา เลือกซื้อกุ้ง หัวกุ้งต้องใส หัวกับตัวจะยังติดกันแน่น และไม่ซื้ออาหารทะเลที่เป็นมีพิษ เช่น ปลาหมึกบลูริง
“นอกจากนี้ อาหารทะเลที่จำหน่าย ควรแช่เย็นหรือแช่น้ำแข็งที่สะอาด และต้องทำความสะอาดภาชนะด้วยน้ำผสมน้ำคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค และเมื่อซื้ออาหารทะเลมาแล้ว หากไม่กินทันที ควรเก็บใส่ตู้เย็นเพื่อชะลอการเน่าเสีย ก่อนนำมาปรุงอาหารต้องล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง อีกทั้งการกินอาหารทะเลให้เลือกกินอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลดิบ หรือ สุก ๆ ดิบ ๆ และควรแยกอาหารทะเลที่ปรุงสุกและที่ยังไม่สุกออกจากกัน ที่สำคัญยึดหลัก กินร้อน ใช้ช้อนส่วนตัว ล้างมือ เพื่อลดความเสี่ยงโรคอาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th
แปลงคำศัพท์ให้เป็น Adjective
มาว่ากันต่อเกี่ยวกับเรื่องของ Adj.
ในบทความก่อนหน้า ครูลืมบอกไปว่า เราสามารถใช้ Adj. ขยายได้ทั้ง noun และ pron. เลยนะคร๊าบ เช่น
– a big house – a kind man
– a strong case – a small hut
– a sunny day – He is short.
– She is careful. – They are rich.
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากคำที่เป็น Adj. ในตัวมันเองแล้ว……
ในบางกรณี ภาษาอังกฤษจะมีการเติม ed, ing, ial, ive, able ฯลฯ อันเป็น ‘Suffix ‘ หรือปัจจัยต่อท้ายคำนาม คำกริยา รวมถึงคำประเภทอื่นๆ เพื่อทำให้คำเหล่านั้นกลายมาเป็นคำขยายนามได้ เช่น
He is an amazing person. เขาเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์
This is the creative idea. นี่เป็นความคิดที่สร้างสรรค์
It is an enjoyable movie. มันเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนุก มาก
I use facial cream. ฉันใช้ครีมสำหรับทาหน้า
จะสังเกตได้ว่า คำที่เติมปัจจัยเพิ่มท้ายเหล่านั้น บางคำก็เป็น Adv. หรือคำขยายกริยา แต่พอเติมปัจจัยเข้าไปท้ายคำ ก็กลายเป็นคำขยายนามหรือ Adj. (เดี๋ยวพอถึงบท Adv. พี่ๆน้องๆจะเข้าใจมากขึ้นเองครับ ไม่ต้องห่วง)
Tips
ในทางกลับกัน เราอาจเห็นการใช้ The มาเปลี่ยนคำขยายนามให้กลายเป็นคำนามในตัวมันเอง โดยไม่ต้องมีคำนามตามหลัง เรียกว่ากลายเป็นคำแบบ 2 in 1 เลย เช่น
He is the untouchable. ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ‘เขาคือผู้ที่เราแตะต้องไม่ได้’ (โดยไม่ต้องมีคำว่า man ตามหลัง untouchable)
…หรือแทนที่จะพูดว่า
“Poor men get poorer, rich men get richer.”
เราสามารถเปลี่ยนเป็นพูดแบบเท่ห์ๆ โดยใช้ The ได้ว่า
“The poor get poorer, the rich get richer.”
ทั้ง 2 ประโยค แปลได้ความหมายเดียวกันว่า
‘ คนจนก็จนลง คนรวยก็รวยขึ้น’
ต่างกันที่ประโยคหลังจะใช้ The เพื่อเน้นให้ฟังติดหูคนทั่วไปได้มากกว่า (หลายๆคนคงเคยได้ยินประโยคดังกล่าวใช่ไหมล่ะ)
.
.
.
.
สุดท้ายที่อยากจะฝากไว้ก็เช่นเคยครับ การที่เราจะรู้ได้ว่าต้องเติม ed, ing, ial, ive, able หรือปัจจัยใดต่อท้าย ในการเปลี่ยนคำๆหนึ่งให้กลายเป็น Adj. ได้นั้น ก็จำเป็นที่จะต้องหมั่นฟังและอ่านภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้คุ้นหูคุ้นตากับคำศัพท์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะมันยังมีปัจจัยต่อท้ายอีกมากมายที่ครูไม่ได้ยกตัวอย่างในที่นี้
เช่น ถ้าเราจะเปลี่ยนคำว่า Interest ในฐานะคำกริยา (V) ซึ่งแปลว่า ‘สนใจ’ ให้กลายเป็นคำขยายนาม (Adj.) ที่แปลว่า ‘น่าสนใจ’ เราจะเติมปัจจัยตัวใดเข้าไปครับ?
….เอาเป็นว่า ลองไปทำแบบทดสอบกันเลยดีกว่า
คำถามทดสอบ:
1) ข้อใดเป็น Adj. ที่แปลว่า ‘น่าสนใจ’
a. Interest
b. Interested
c. Interesting
d. Interestion
2) คำใดเป็นคำขยายนามในตัวเองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องเติมปัจจัยใดๆต่อท้าย
a. Large
b. Cry
c. Nation
d. ถูกทั้งข้อ b. และ c.
3) คำใดสามารถใช้ The นำหน้า เพื่อให้เป็นทั้งคำนามและคำขยายนามในคำเดียวกัน
a. man
b. forgotten
c. bird
d. car
เฉลย
1. (ข้อ c.) เช่น Interesting concept (แนวคิดที่น่าสนใจ) ส่วนคำในข้ออื่นๆ ความหมายจะแตกต่างออกไปครับ
2. (ข้อ a.) เพราะคำว่า Large สามารถขยายนามได้ทันที เช่น Large house (บ้านหลังใหญ่) ส่วน Cry และ Nation ต้องเติมปัจจัยต่อท้ายเป็น Cried และ National ตามลำดับ
3. (ข้อ b.) หากเติม The เข้าไปเป็น The forgotten จะหมายถึง ‘บุคคลหรือสิ่งที่ถูกลืม’ ส่วนคำอื่นๆ ถึงแม้จะเติม The นำหน้า ก็ยังเป็นเพียงแค่คำนามอย่างเดียว โดยไม่ถูกขยายครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
Apple ทุ่ม 4.7 พันล้านเหรียญ สร้างพลังงานสะอาด 1.2 กิกะวัตต์
Apple นำเงินมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก Green Bond ไปใช้ในการสร้างพลังงานสะอาด 1.2 กิกะวัตต์
โครงการพลังงานหมุนเวียน ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ของ Apple เป็นส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายเงินมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก Green Bond ของ Apple เพื่อนำพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนท้องถิ่นพร้อมกับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ในปี 2020 Apple ได้ลงทุนในโครงการ Green Bond 17 โครงการเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉลี่ย 921,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการนำรถยนต์เกือบ 200,000 คันออกจากท้องถนน โครงการนี้จะช่วยผลิตพลังงานหมุนเวียน 1.2 กิกะวัตต์ ทั่วโลก และ Apple ยังเพิ่มพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่งติดตั้งใหม่อีกกว่า 350 เมกะวัตต์เมื่อปีที่แล้วในเนวาดา อิลลินอยส์ เวอร์จิเนีย และเดนมาร์ก โดยการออก Green Bond ของ Apple ถือเป็นการออกตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดของภาคเอกชน
“Apple มุ่งมั่นที่จะปกป้องโลกของเราด้วยโซลูชันที่สนับสนุนชุมชนที่เราทำงานอยู่” ลิซ่า แจ็คสัน รองประธานฝ่าย Environment, Policy และ Social Initiativesของ Apple กล่าว “เราทุกคนมีหน้าที่ในการทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการลงทุนมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่ได้รับจาก Green Bond ก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในความพยายามของเรา สุดท้ายแล้ว พลังงานสะอาดถือเป็นธุรกิจที่ดี”
Apple ได้นำรายได้จากการออก Green Bonds สามฉบับไปสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทั่วโลก นับตั้งแต่เกิดข้อตกลงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งประวัติศาสตร์ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP21) ประจำปี 2015 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 บริษัทได้ออก Green Bond มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรก ตามด้วยรอบที่สองซึ่งมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2017 หลังจากที่อดีตฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกาประกาศความตั้งใจที่จะถอนตัวจากข้อตกลงของ COP21 ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Apple ได้ออก Green Bond ชุดที่สามและเป็นครั้งแรกในยุโรปโดยประกอบด้วยพันธบัตร 2 ชุด ชุดละ 1 พันล้านยูโร (มูลค่ารวมประมาณ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
นอกเหนือจากรายละเอียดที่แสดงในรายงาน Green Bond Impact ของ Apple แล้ว Apple ยังให้การสนับสนุนโครงการใหม่ๆ ที่สนับสนุนการออกแบบและวิศวกรรมแบบคาร์บอนต่ำ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดคาร์บอน และการกักเก็บคาร์บอนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย Apple ได้จัดสรรงบประมาณที่ได้จากการออก Green Bond ไว้กว่าครึ่ง นั่นคือ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐและจะยังคงลงทุนในโครงการที่แก้ปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อไป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเผยแผนในการทำให้ธุรกิจทั้งหมด รวมทั้งซัพพลายเชนการผลิต และวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 โดยปัจจุบัน การดำเนินงานขององค์กรทั่วโลกของ Apple มีความเป็นกลางทางคาร์บอนอยู่แล้ว และพันธกิจใหม่นี้หมายความว่าอุปกรณ์ทั้งหมดที่ Apple จำหน่ายจะต้องไม่ส่งผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นต่อสภาพอากาศภายในปี 2030
การลงทุนล่าสุดของ Apple ในด้านพลังงานหมุนเวียน
โครงการโซลาร์ในไซต์งานนอกเมืองเรโน รัฐเนวาดา: ไซต์งานขนาด 180 เอเคอร์ที่ตั้งอยู่ภายใน Reno Technology Park กำลังผลิตพลังงานแก่ศูนย์ข้อมูลเนวาดาของ Apple โครงการนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “โครงการระดับยูทิลิตี้แห่งปี” โดยนิตยสาร Solar Builder เพราะเป็นโครงการที่ช่วยสร้างงานก่อสร้างด้านพลังงานสะอาดถึง 236 ตำแหน่ง ให้กับผู้คนซึ่งมากกว่า 90% เป็นผู้อยู่อาศัยในเนวาดา และสร้างการลงทุนมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์ใน Washoe County ไซต์นี้สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน 50 เมกะวัตต์ให้กับ Apple และเมื่อคิดรวมกับพลังงานสะอาดที่ผลิตในโครงการเนวาดาอื่นๆ จะได้ถึง 270 เมกะวัตต์
ฟาร์มกังหันลมนอกเขตชิคาโก้: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเสมือนจริงปริมาณ 112 เมกะวัตต์กับฟาร์มกังหันลมในรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้เป็นแหล่งไฟฟ้าของ Apple ในเขตชิคาโก้ โครงการนี้ได้มีการรวมกลุ่มผู้ซื้อเข้ามา จึงทำให้บริษัทอื่นๆ ที่มีกำลังซื้อน้อยสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนคุณภาพสูงได้เช่นเดียวกับ Apple
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในเมือง Fredericksburg รัฐเวอร์จิเนีย: Apple ได้ตกลงร่วมมือกับ Etsy, Akamai และ SwissRE เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนโดยใช้แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าขนาด 165 เมกะวัตต์นอกเมือง Fredericksburg รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งตอนนี้เริ่มจ่ายพลังงานไปยังกริดไฟฟ้าในภูมิภาคแล้ว
กังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก: Apple ก่อสร้างกังหันลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2 แห่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่สะอาดและตอนนี้กำลังใช้งานอยู่ กังหันลมสูง 200 เมตรที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเอสบีเยร์ของเดนมาร์กนี้คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ 62 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายไฟให้บ้านเกือบ 20,000 หลัง และยังทำหน้าที่เป็นสถานที่ทดสอบกังหันลมนอกชายฝั่งที่ทรงพลังอีกด้วย ไฟฟ้าที่ผลิตในเอสบีเยร์จะจ่ายให้กับ ศูนย์ข้อมูลของ Apple ในวีบอร์กโดยพลังงานส่วนเกินจะจ่ายไปยังกริดของเดนมาร์ก
รายงานผลกระทบประจำปีของ Apple จะกล่าวถึงการจัดสรรรายได้จากตราสารหนี้ Green Bond ปี 2019 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมในระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2019 ถึง 26 กันยายน 2020 ซึ่งเป็นปีงบประมาณ 2020 ของ Apple รายงานผลกระทบของตราสารหนี้ Green Bond, การอัปเดตในปีงบประมาณ 2020 อยู่ใน investor.apple.com.
Apple มีการปฏิวัติเทคโนโลยีสำหรับส่วนบุคคลด้วยการเปิดตัวเครื่อง Macintosh ในปี 1984 ในวันนี้ Apple คือผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมด้วย iPhone, iPad, Mac และ Apple Watch สี่แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Apple — iOS, OS X, watchOS และ tvOS — ให้ประสบการณ์ที่ราบรื่นในทุกอุปกรณ์ Apple และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบุคคลด้วยบริการที่ก้าวล้ำรวมถึง App Store, Apple Music, Apple Pay และ iCloud พนักงานของ Apple นับแสนคนทุ่มเทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในโลกเพื่อให้โลกเป็นโลกที่ดีกว่า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เพื่อน ๆ เกษตรกรคงจะรู้จักต้นเฉาก๊วยกันดีนะครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วต้นเฉาก๊วยนั้นจะถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหรือน้ำต่าง ๆ โดยที่ทุกคนก็ต่างเรียกติดปากขนมหวานที่มีลักษณะเป็นวุ้นสีดำที่มีส่วนผสมจากต้นเฉาก๊วย ว่าเฉาก๊วยอีกด้วยครับ ซึ่งเมนูสุดอร่อยก็คงจะหนีไม่พ้นเฉาก๊วยนมสด หรือใช้เป็นส่วนผสมในไอศครีมกะทิ รวมทั้งน้ำแข็งไสและขนมหวานบางชนิดด้วย
แต่ไม่เพียงรสชาติที่ทานแล้วทำให้สดชื่นเท่านั้น สรรพคุณต่างๆ ของต้นเฉาก๊วยนั้น ยังมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแก้อาการระคายคอและแก้เจ็บคอ ช่วยบรรเทาอาการหวัด ลดความดันโลหิตสูงโรคเบาหวาน แถมยังบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดอาการร้อนในได้อีกด้วย ด้วยสรรพคุณและประโยชน์มากมายทำให้ชาวบ้านนิยมปลูกกัน เพื่อนำไปทำเป็นขนมหวานอย่างที่ได้เล่าไปนะครับ ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ได้แล้ว ยังสามารถเก็บไว้ใช้เพื่อเป็นสมุนไพรรักษาการต่างๆ ได้อีกด้วยครับ แต่ถึงอย่างไรแล้วในปัจุบันก็คงจะมีการปลูกต้นเฉาก๊วยน้อยลงครับ หากใครสนใจก็สามารถไปปลูกกันได้ที่บ้านเลยครับ
เฉาก๊วย เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นแบบเลื้อย จัดว่าเป็นไม้เล็ก มีใบสีเขียวคล้ายกับใบสาระแหน่ เพราะเป็นพืชในวงศ์เดียวกัน ปลายใบจะหยักคล้ายกับฟันปลา แถมยังมีขนปกคลุมบริเวณใบ ดอกของต้นเฉาก๊วย จะมีดอกสีขาวนวลแตกเป็นรวงคล้ายกับรวงข้าว แต่ละรวงจะมีดอกจำนวนมาก ส่วนเมล็ดที่ได้จากดอกนั้นมีสีน้ำตาลอมดำ
วิธีปลูกเฉาก๊วยก็ไม่ยากครับ เริ่มจากการเตรียมดินให้พร้อม โดยเลือกสถานที่ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวันเท่านั้น แล้วนำดินมาผสมกับกาบมะพร้าวและแกลบดำเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดิน เพราะเฉาก๊วยนั้นเป็นพืชที่ชื่นชอบน้ำและความชุ่มชื้นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็นำต้นเฉาก๊วยที่เตรียมไว้ปลูกลงในกระถางหรือจะปลูกลงในดินเลยก็ได้ครับ เมื่อปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็รดน้ำและนำหญ้าแห้งมาคลุมไว้ราวๆ 7 วัน พอต้นเริ่มตั้งตรงค่อยนำหญ้าออกครับ ข้อดีของเฉาก๊วยนั้นก็คือเป็นพืชที่ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิดครับ ขอแค่มีแดดและน้ำเพียงพอ วิธีดูแลก็เพียงใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักอาทิตย์ล่ะครั้งแค่นี้ก็รอเก็บผลผลิตได้เลยครับ
ผลผลิตของเฉาก๊วยที่จำไปขายในเชิงพาณิชย์นั้น จะต้องนำไปตากแห้งก่อนนำไปขาย เพราะคนส่วนใหญ่จะซื้อเฉพาะใบเฉาก๊วยแห้งเพื่อไปผลิตเป็นขนมหวานเฉาก๊วยต่อไป โดยนำไปล้าทำความสะอาดเพื่อขจัดเศษทรายออกให้หมด แล้วนำไปต้มเดือดในน้ำสะอาด แล้วนำไปต้มอีกครั้งโดยผสมกับแป้งมันสำปะหลังละลายโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ก็ได้ขนมหวนเฉาก๊วยเนื้อนิ่มมาทานได้อย่างอร่อยชื่นใจแล้วครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก blog.arda.or.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/03/2564
ชนิดทอง
ราคารับซื้อ กรัมละ
ราคารับซื้อ บาทละ
ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%
n/a
25,400.00
25,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%
1,645.00
24,938.20
26,000.00
ทองรูปพรรณ 90%
1,480.50
22,444.38
n/a
ทองรูปพรรณ 80%
1,316.00
19,950.56
n/a
ทองรูปพรรณ 50%
740.00
11,218.40
n/a
ทองรูปพรรณ 40%
576.00
8,732.16
n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%
1,705.00
25,847.80
n/a
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/03/2564
ปตท.
บางจาก
เชลล์
เอสโซ่
คาลเท็กซ์
ไออาร์พีซี
พีที
ซัสโก้
เพียว
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
27.25
แก๊สโซฮอล์ 91
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
26.98
แก๊สโซฮอล์ E20
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
–
25.74
25.74
25.74
25.74
แก๊สโซฮอล์ E85
21.34
21.34
–
–
–
–
–
–
–
21.34
เบนซิน 95
34.66
–
–
–
35.11
–
35.16
34.66
–
34.66
ดีเซล B7
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
27.19
ดีเซล
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
24.19
ดีเซล B20
23.94
23.94
24.14
–
23.94
–
23.94
23.94
–
23.94
ดีเซลพรีเมี่ยม
31.76
31.76
33.64
33.16
–
–
–
–
–
31.76
แก๊ส NGV
13.43
13.43
–
–
–
–
–
–
–
13.43