สาระน่ารู้ประจำวันที่ 08 มีนาคม 2567

LPP ทรานฟอร์มสู่แพลตฟอร์มรุกเทิร์นคีย์-รีโนเวทสร้างรายได้เสริมแกร่ง

  • แนวโน้มค่าแรงสูง ขาดแคลนแรงงาน
  • ดึงแพลตฟอร์มช่วยลดต้นทุน ขยายฐานลูกค้ากลางเล็ก
  • ลุยรีโนเวทตึกเก่า รับเทิร์นคีย์จ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ

สมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP  บริษัทลูกบริษัทแอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN    กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา32ปี  และสปินออฟจากบริษัทแม่เมื่อปี2564เพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี2567 โดยเตรียมที่จะยื่นไฟลิ่งในเดือนเม.ย. นี้

“ถึงเวลาที่LPPจะเติบโตด้วยการยืนบนขาของตนเอง โดยรับบริหารอาคารนอกเครือและขยายธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” 

จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของแอล พี พีในธุรกิจด้านบริหาร “นิติบุคคล”มานานทำได้รับความเชื่อถือในคุณภาพและบริการแบบ“บอกต่อปากต่อปาก ”หรือ Word-of-Mouth ปัจจุบันบริหารโครงการจำนวน 261 โครงการ 60% เป็นโครงการของLPN ส่วนที่เหลือ40% เป็นโครงการนอกเครือLPN มีลูกบ้านกว่า400,000ราย บนพื้นที่กว่า 11 ล้านตร.ม.

โดยในปี2566ที่ผ่านมาจากรายได้ 1,562ล้านบาท     65%  มาจาก บริษัท  แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้  มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) มาจากธุรกิจบริหารชุมชน ซึ่งเป็นรายได้หลัก 20%  มาจาก  บริษัท  แอล พี เอส โปรเจค  มาเนจเมนท์ จำกัด  (LPS) มาจากธุรกิจบริการงานวิศวกรรม และ15%  มาจาก  บริษัท  รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส  โซลูชั่นส์  จำกัด (LSS) ธุรกิจบริการ รปภ. และ แม่บ้าน 

“แต่ละปีเรามีลูกค้าเข้ามา20-30 โครงการต้องเพิ่มจำนวนแรงงานทำให้ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถที่รับงานบริหารโครงการขนาดกลางเล็กได้”

ประกอบกับแนวโน้มการ“ขาดแคลนแรงงาน”เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากคนเกิดน้อยลง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงลงทุนพัฒนา“แพลตฟอร์ม”เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลกลางที่นำมาใช้บริหารงาน“นิติบุคคล” เหมือนในสิงคโปร์, ฮ่องกง ที่มีการนำมาใช้มา10ปีมาแล้วสามารถลดจำนวนบุคลากรเหลือแค่1 คนต่อโครงการ

ในปีนี้จะเริ่มนำแพลตฟอร์มที่พัฒนามาใช้บริหารจัดการโครงการขนาดที่มีจำนวนไม่เกิน300ยูนิตนำร่องเพราะสามารถ“ลดต้นทุน”ค่าใช้จ่ายสามารถขยายการให้บริการกับโครงการขนาดกลางและเล็กได้ ถือเป็นการพัฒนาระบบให้ทันกับไลฟ์ของคนที่เปลี่ยนไป ด้วยเพราะแพลตฟอร์มที่สามารถให้บริการได้ตลาด24ชั่วโมงใน7วัน

 นอกจากนี้ LPP ขยายจากนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มือสองไปยัง อสังหาฯมือหนึ่งทั้งโครงการในเครือLPNและนอกเครือ ในรูปแบบของบริหารงานขายและการตลาดแบบครบวงจร (Sole Agent) ประเดิมโครงการแรก MIDTOWN เพชรเกษม – สาทร ในรูปแบบทาวน์โฮม 3 และ 4 ชั้น จำนวน 49 ยูนิต รวมทั้งขยายรับงานบริหารจัดการไปยังจังหวัดหัวเมืองที่บริษัทแม่ LPN ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการ อาทิ  ชลบุรี อุดรธานี หัวหิน เป็นต้น 

ขณะเดียวกันในส่วนของ แอล พี เอส โปรเจค  มาเนจเมนท์  (LPS) เน้นธุรกิจบริการทาง“วิศวกรรม”เพื่อให้บริการแก่เจ้าของที่ต้องการพัฒนาโครงการเพื่อสร้างรายได้ในรูปแบบของการ“ เทิร์นคีย์ ”แบบครบวงจร รวมทั้งการรับ“รีโนเวท”อาคารสูงในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีของการสร้างรายได้เพิ่ม ในอนาคตสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจกลุ่มมากขึ้นที่สำคัญ “ต้นทุนต่ำแต่มาร์จินสูง”  ในอนาคตมีความเป็นได้ที่จะนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

“จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวในปี2567  จะมีรายได้1,880 ล้านบาท เติบโตขึ้น20% และคาดว่าสามารถสร้างรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 2,545 ล้านบาท ภายในปี 2569 “

สำหรับในปี 2566 ที่ผ่านมากลุ่ม LPP ได้ขยายธุรกิจบริการในกลุ่มด้วยการเข้าถือหุ้น 60% ในบริษัทพี ดับบลิว กรุ๊ป เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านงานวางระบบสุขาภิบาล ระบบท่อประปา ระบบท่อปรับอากาศ  และได้ขยายขอบเขตงานบริหารชุมชน

รวมทั้ง Synergy ของงานบริการ ด้วยการเข้าไปลงทุนในโครงการ U-Center เพื่อปรับปรุงอาคารหอพัก บริหารจัดการหอพักและการปล่อยเช่าของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สัญญา 8 ปี โดยได้เปิดให้นักศึกษาเช่าแล้วตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งมีอัตราการเข้าพักถึง 90% ในอนาคตเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสัมปทานการบริหารจัดการหอพักในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับบริษัทซลีปชาร์จ จำกัด ขยายโซลูชั่นด้านบริการจุดชาร์จรถ EV สำหรับคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกบ้านที่ LPP ดูแล  โดยปีที่ผ่านมาได้ติดตั้งไปแล้ว 8 โครงการ หรือ 16 เครื่องชาร์จ และจะเพิ่มเป็น 100 ล่าสุดบริษัทกำลังจัดตั้งศูนย์ Emergency รองรับงานรักษาความปลอดภัย ที่สามารรุเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ทุกโครงการที่บริษัทรับบริหารตลอด 24 ชั่วโมง 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉมกทม. จุดหมายปลายทางนักลงทุนข้ามชาติ

JLL ฟันธง 10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉม กรุงเทพมหานคร (กทม.) จุดหมายปลายทางนักลงทุน และแรงงานมีฝีมือ ของต่างชาติในปี71 สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า กว่า300,000 ตารางเมตร

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการปรับตัวอย่างชัดเจนในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้ ผ่านการผลักดันนโยบายภายในประเทศและการสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดในประเทศ เพื่อตอบรับต่อสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลกที่ยังมีความผันผวนในปัจจุบัน

สถิติที่สำคัญในปี 2566 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย รวมถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 66% เมื่อเปรียบเทียบปีต่อปีในด้านปริมาณการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 152% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งเกินกว่าเป้าหมายของรัฐบาล

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นเสมอมา โดยความมุ่งมั่นของผู้กำหนดนโยบายในการยกระดับกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ ให้มีคุณภาพสูง จะกลายเป็นแรงผลักดันสู่การเติบโตที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้นทุนที่สูง และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ

ตลอดปี 2567 JLL คาดการณ์ว่าปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย จะประกอบด้วย 4 ปัจจัย ดังนี้

ยุคแห่งเมกะโปรเจ็กต์

 ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับอิทธิพลจากการปรับปรุงเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ มากขึ้น โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จากโครงการพัฒนามิกซ์ยูสระดับโลกมากถึง 10 โครงการ การพัฒนาโครงการเหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร

ศูนย์การค้า มากกว่า 300,000 ตารางเมตร คอนโดมิเนียมระดับหรู 5,400 ยูนิต และโรงแรมหรู 5,900 ห้องในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ ภายในปี 2571 ซึ่งการเกิดขึ้นของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเหล่านี้ จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน บริษัทข้ามชาติ (MNCs) และแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ

อาคารเก่ากับความท้าทาย

พื้นที่สำนักงานกว่า 60% ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีอายุมากกว่า 20 ปี อุปทานระดับพรีเมียมที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดจึงนับเป็นความท้าทายต่อความสามารถในการแข่งขันของอาคารเก่าเหล่านี้ เจ้าของอาคารสำนักงานที่มีกลยุทธ์ในการลงทุนและมีการบริหารอาคารอย่างสร้างสรรค์ นำมาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน และโดดเด่นกว่าผู้แข่งขันเจ้าอื่นในตลาด ดังนั้นการวางแผนการลงทุนปรับปรุงอาคารเชิงกลยุทธ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด

  จากข้อมูลของ JLL แสดงให้เห็นว่า อาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและได้รับการปรับปรุงอาคารครั้งใหญ่ สามารถรักษาระดับค่าเช่าไว้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดได้ ในขณะที่อาคารสำนักงานที่ไม่มีการปรับปรุงและคงสภาพเดิมไว้ ยังคงเห็นการย้ายออกของผู้เช่า รวมถึงการปรับลดค่าเช่าอย่างต่อเนื่องส่วนต่างค่าเช่าของอาคาร ทั้งสองกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นถึง 8.8% ณ ไตรมาส 4 ปี 2566  แนวโน้มดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตลาดสำนักงานเท่านั้น เนื่องจากกระแส Flight-to-quality และ Flight-to-green ก็เริ่มปรากฏให้เห็นในตลาดศูนย์การค้าและคลังสินค้าโลจิสติกส์มากขึ้น โดยมีศักยภาพในการขยายไปสู่ภาคธุรกิจโรงแรมและที่อยู่อาศัยต่อไป

  บูรณาการแนวคิด ESG

  แนวคิด ESG กลายเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ โดยนักพัฒนาโครงการและนักลงทุนต่างมุ่งมั่นปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานผ่านการรับรองต่าง ๆ เช่น LEED และ WELL สำหรับบริษัทข้ามชาติซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์ที่สำคัญของพื้นที่สำนักงานและพื้นที่โลจิสติกส์ มักถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะพื้นที่สำนักงานที่ได้รับการรับรองด้าน ESG โดยฐานข้อมูลของ JL Lระบุว่าการเช่าพื้นที่สำนักงานใหม่กว่า 90% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นในอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถเรียกค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงกว่าอาคารระดับเดียวกันถึง 14% จึงก่อให้เกิดแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่ออาคารเก่าที่ยังไม่ได้รับรองตามมาตรฐาน ESG

การลงทุนจากต่างประเทศพรึ่บ

 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 พื้นที่สำนักงานกว่า 65% เป็นการเช่าพื้นที่โดยบริษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อขายในกรุงเทพฯ ในปีผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

  นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ ด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จํากัด (JLL) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การซื้อขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า มากกว่า 47% มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดึงดูดการลงทุนที่แข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและพื้นฐานอันแข็งแกร่งต่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเรา โดยหากรูปแบบการครอบครองอสังหาฯ ของชาวต่างชาติในเมืองไทยมีการพัฒนามากขึ้น จะยิ่งเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและบริการมากยิ่งขึ้น

นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่เพียงแค่ยังรักษาเสถียรภาพได้เท่านั้นแต่ยังพร้อมพัฒนาต่อยอดในสินทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาสำหรับทำเลย่านศูนย์กลางเมือง ของกทม.!!!

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8มี.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.51 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอาจเริ่มชะลอการแข็งค่าลง หลังทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เหตุผู้นำเข้ารอจังหวะทยอยเข้าซื้อเงินบาท ไฮไลท์สำคัญวันนี้ ลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 8มี.ค. 2567 ที่ระดับ  35.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.57 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เรายังคงมุมมองเดิม ว่าเงินบาทจะมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways down  แต่ทว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจเริ่มชะลอลง โดยเฉพาะหลังเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วน

โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้าก็อาจรอจังหวะทยอยเข้าซื้อเงินบาทอยู่บ้าง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าได้เร็วและแรง หากข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดไปมาก “เซอร์ไพรส์” ผู้เล่นในตลาดและเรา (ต้องเห็นยอดการจ้างงาน Nonfarm Payrolls เพิ่มขึ้น มากกว่า 2.5 แสนราย และหากเพิ่มขึ้น ราว 3 แสนราย ก็จะยิ่งกดดันเงินบาทได้พอสมควร)

อนึ่ง สมมติฐานของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดหวังว่า BOJ จะเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ ก็อาจยังพอช่วยหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ไม่ได้อ่อนค่ารุนแรง ซึ่งจะช่วยลดทอนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้บ้าง ตลาดอาจรอจังหวะเงินเยนผันผวนอ่อนค่า หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ในการเพิ่มสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) ก่อนที่จะไปทยอยลดสถานะดังกล่าวในช่วงเข้าใกล้การประชุม BOJ เดือนมีนาคม ในช่วงวันที่ 18-19 มีนาคมนี้

นอกจากนี้ ควรระวังแรงเทขายราคาทองคำในคืนนี้เช่นกัน หากเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นแรง จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเข้าสู่โซน Overbought และเสี่ยงต่อการปรับฐานรุนแรงในระยะสั้นได้ ทำให้เรามองว่า ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างขึ้นในช่วง 35.35-35.80 บาทต่อดอลลาร์

เรายังขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.65 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ยอดการจ้างงานสหรัฐฯ

และประเมินกรอบเงินบาท 35.35-35.80 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ยอดการจ้างงานสหรัฐฯ

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากช่วงเช้า ที่ได้แรงหนุนจากการแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จากความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ อาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้

ส่วนในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทก็ยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ จากท่าทีของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ต่างส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้

ส่วนรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) สหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด และถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสที่ย้ำจุดยืน “ลดดอกเบี้ยได้ แต่ยังไม่รีบ” ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังบรรดาธนาคารกลางหลักต่างส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยได้ในช่วงกลางปี ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้นร้อนแรง อาทิ Nvidia +4.5%, Meta +3.3%

(สวนทางกับคาดการณ์ของเราที่มองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงมากนัก จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานในคืนวันศุกร์) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.51% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.03%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.99% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML +4.1% ท่ามกลางความหวังว่า ECB จะทยอยลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ผลการทดลองยาลดน้ำหนักของทาง Novo Nordisk ที่ออกมาสดใส ก็ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นบริษัทปรับตัวขึ้นแรง +8.3% และช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways ใกล้ระดับ 4.10% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสานต่อเนื่อง และการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟดและ ECB

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนของบอนด์ยีลด์ ที่อาจพลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้ หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด “เซอร์ไพรส์” ผู้เล่นในตลาดและเรา อย่างไรก็ดี Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวก็ยังคุ้มค่าอยู่

ทำให้เราคงมองว่า นักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน (อาจเน้นทยอยเข้าซื้อในโซน บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เหนือระดับ 4.20%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก กดดันโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ย้ำว่าการลดดอกเบี้ยสามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้ เพียงแต่เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาคาดหวังว่า BOJ อาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.8-103.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของบรรดาธนาคารกลางหลักที่ส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ย ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) สามารถปรับตัวขึ้นต่อ เหนือระดับ 2,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น (ทำให้ราคาทองคำในสกุลเงินบาท อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมาก เมื่อเทียบกับราคาทองคำในสกุลเงินดอลลาร์)

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลสำคัญตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls), อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings, %y/y)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเช่นกัน เพื่อประเมินมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“บาส-ปอป้อ” พลิกเฮคู่ฮ่องกงลิ่วรอบก่อนรอง-“ครีม บุศนันทน์” จอดรอบ 2 แบดมินตันเฟรนช์ โอเพ่น

“บาส” เดชาพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่ผสมมืออันดับ 6 ของโลก ออกแรงถึง 3 เกมก่อนแซงชนะ ลี ชุนไห่ กับ อึ้ง ซื่อเหยา คู่มือ 23 ของโลกจากฮ่องกง ไปแบบสนุก 2-1 เกม ด้าน”ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 21 ของโลก ไม่ได้ไปต่อ พลาดท่าแพ้ให้กับ เหอ บิงเจียว มืออันดับ 6 ของโลกจากจีน 2 เกมรวด

การแข่งขันแบดมินตันรายการ โยเน็กซ์ เฟรนช์ โอเพ่น 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30,600,000 บาท ที่อาดิดาส อารีน่า ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบสอง 

ประเภทคู่ผสม รอบสอง  “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ ลี ชุนไห่ กับ อึ้ง ซื่อเหยา คู่มืออันดับ 23 ของโลกจากฮ่องกง 

เกมแรก คู่บาส กับ ปอป้อ เปิดเกมได้ดีกว่านำ 3-0 จากนั้นคู่ฮ่องกง เริ่มจับจังหวะเกมของตัวเองได้และล่นได้เหนียวแน่นขึ้นแซงกลับมานำที่ 8-5 แล้วคู่ฮ่องกงนำในครึ่งเกมแรกที่ 11-6 จากนั้นเกมเป็นคู่ของฮ่องกงที่เดินเกมจังหวะสวนกลับได่แม่นยำนำ 19-12 แล้วคู่ของ ลี ชุนไห่ กับ อึ้ง ซื่อเหยา ปิดเกมแรกไปได้ที่ 21-14 

เกมสอง บาส กับ ปอป้อ กลัมาเล่นได้ดีขึ้น บุกได้แม่นยำกว่านำ 9-5 แล้วคู่บาส กับ ปอป้อ ทำเกมบุกได้ไหลลื่นกว่าปิดเกมสองไปได้ที่ 21-12  และ เกมตัดสิน คู่บาส กับ ปอป้อ เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม เปลี่ยนเกมได้เร็งกว่านำ 8-1 จากนั้นบาส กับ ปอป้อ เดินเกมบุกใส่เป็นชุดใหญ่นำ 18-3 แล้วบาส กับ ปอป้อ ก็มาปิดแมตช์เอาชนะไปได้อย่างยอดเยี่ยมที่ 21-8  “บาส” เดชาพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี  ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ เจิ้ง ซีเว่ย กับ หวง หย่าเฉียง คู่มืออันดับ 1 ของโลกจากจีน 

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบสอง  “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 21 ของโลก พบกับ เหอ บิงเจียว มืออันดับ 6 ของโลกจากจีน  

เกมแรก  เหอ บิงเจียว เป็นฝ่ายคุมเกมได้เหนือกว่า และเล่นเกมหน้าเน็ตได้แม่นยำ เอาชนะไปได้ก่อน 21-17  จากนั้นเกมสอง ครีม บุศนันทน์ แก้เกมมาได้ดีขึ้นเดินหน้าบุกใส่และ เล่นเกมรับที่แม่นยำนำห่าง 16-9 แต่แล้ว เหอ บิงเจียว แก้เกมได้ดีมาทำแต้มคืนใส่ชุดใหญ่จนกระทั่งปิดแมตช์เอาชนะไปได้อีกที่ 21-18  

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ระวัง! พบแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส บนหาดสมุย สวยแต่อันตรายมาก

ใครไปเที่ยวสมุยช่วงนี้ เจอแมงกะพรุนสีฟ้าสวยจะหยิบมาถ่ายรูปใกล้ ๆ หยุดไว้ก่อน! นี่คือ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส สัตว์สวยประหาร อันตรายมาก!

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง แจ้งเตือนพบซากแมงกะพรุนพิษในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากได้รับแจ้งจากเครือข่ายแมงกะพรุนพิษ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พบซากแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (P. physalis) บริเวณชายหาดในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จึงขอแจ้งเตือนให้ระมัดระวังในการทำกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล พร้อมทั้งวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (P. physalis) หรือ แมงกะพรุนหัวขวด เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิต เมื่อถูกต่อยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก อาจทำให้มีภาวะช็อค และหัวใจล้มเหลวได้

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เมื่อเจอแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส

  1. รีบขึ้นจากน้ำทะเล
  2. ห้ามถูหรือนวดบริเวณที่สัมผัสกับแมงกะพรุน
  3. ใช้คีมคีบหนวดที่ติดอยู่บนร่างกายออก หากไม่มีให้ใช้มือที่สวมถุงมือหยิบออก หากไม่มีถุงมือให้ใช้มือเปล่าได้ แต่ต้องจับอย่างระมัดระวัง
  4. ใช้น้ำทะเลราดบริเวณที่สัมผัสกับแมงกะพรุนเพื่อกำจัดถุงพิษที่อาจตกค้างอยู่ออกจนหมด !! ห้ามใช้น้ำจืด และไม่แนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชู เพราะมีรายงานว่าทำให้เกิดการยิงเข็มพิษเพิ่มมากขึ้น !!
  5. แช่บริเวณที่โดนแมงกะพรุนด้วยน้ำร้อน 113’F/45’C เป็นเวลา 30 ถึง 90 นาที (หากไม่มีที่วัดอุณหภูมิให้ใช้น้ำร้อนที่สุดที่ทนไหว)
  6. รีบนำผู้สัมผัสแมงกะพรุนส่งโรงพยาบาล

ขอขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลกรุงเทพสมุย – Bangkok Hospital Samui และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง

ขอบคุณข้อมูลจาก .sanook.com


AI กับภาคการเงิน ความท้าทายบนความโปร่งใสที่ต้องจับตา

การจะใช้เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน เพื่อความคล่องตัวในการทำธุรกรรมต่างๆ ยังมีส่วนที่ท้าทาย เข้าใจยาก และต้องการกฎหมายกำกับดูแลด้านความโปร่งใส

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะใช้อัลกอริธึมที่สามารถประสานการพัฒนาเศรษฐกิจกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยในภาคการเงินนั้น อัลกอริธึม AI กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินในปัจจุบันด้วยการปลดล็อกประสิทธิภาพ การคาดการณ์แนวโน้ม และปรับแต่งประสบการณ์ทางการเงินในแบบของผู้ใช้งาน จากการต่อสู้กับการฉ้อโกงไปจนถึงความคล่องตัวในการทำธุรกรรมต่างๆ

ศักยภาพของ AI ในการปรับปรุงตลาดการเงินมีอยู่หลากหลาย ซึ่งระบบของ AI จะใช้ศักยภาพแท้จริงที่มีในการทำงาน จึงเกิดคำถามทางกฎหมายที่สำคัญ ว่าเราจะเชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้จริงหรือไม่ ทำให้เกิดความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ซึ่งความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ 

AI ต้องสามารถอธิบายการทำงานของระบบภายในได้อย่างตรงไปตรงมา

จากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ระบุว่า Jamie Dimon จาก JPMorgan บริษัทให้บริการทางการเงินและการลงทุนยักษ์ใหญ่ของโลกในอเมริกา ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ระบบ AI จะต้องสามารถอธิบายได้ ซึ่งหมายความว่าระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ควรตัดสินใจได้เท่านั้น แต่ยังต้องให้เหตุผลอย่างชัดเจนด้วย ยกตัวอย่างเช่น AI ที่สามารถอธิบายการให้คะแนนเครดิตและสามารถสรุปเหตุผลในการอนุมัติหรือปฏิเสธสินเชื่อได้อย่างโปร่งใส 

การเงินกับความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างกฎระเบียบคุ้มครองจึงเป็นเรื่องจำเป็น

การรวม AI เข้ากับภาคการเงินนำมาซึ่งความซับซ้อนที่สำคัญ โดยมีความท้าทายทางกฎหมายและกฎระเบียบในระดับแนวหน้า รวมถึงมีข้อกังวลด้านการกำกับดูแลข้อมูล เช่น ความเป็นส่วนตัว กระแสข้อมูลข้ามพรมแดน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ อาทิ กฎระเบียบคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (GDPR) ที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยกฎเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการใช้งาน AI ในด้านการเงิน การกำหนดวิธีจัดการข้อมูล และการทำให้มั่นใจว่าระบบเคารพความเป็นส่วนตัวและอธิปไตยด้านข้อมูล

การสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของ AI และความโปร่งใสยังเป็นเรื่องท้าทาย

การมุ่งเน้นที่ความชัดเจนนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลข้อมูลใน AI ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรอบงานการออกใบอนุญาตต่างๆ แต่การสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของ AI และความโปร่งใสยังคงเป็นเรื่องท้าทาย โดยหน่วยวิจัยด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก MIT Media Lab กำลังผลักดันการใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรม ซึ่งเป็นการแสดงภาพการสร้างข้อมูล AI ทั่วโลก พร้อมการทำให้เป็นมาตรฐานทางภาษาเพื่อการเปรียบเทียบที่ยุติธรรม และมีการแสดงค่าด้วยแถบสี 

ในส่วนที่ระบุสีเข้มกว่าจะบ่งบอกถึงชุดข้อมูลที่มากขึ้น อันกำหนดโดยนโยบายและกฎหมายความเป็นส่วนตัว ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบทางกฎหมายและจริยธรรมสำหรับนวัตกรรม AI และการไม่แบ่งแยก ซึ่งการกระจัดกระจายของค่าสีดังกล่าว เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูลที่เท่าเทียมกันในการกำหนดอนาคตของ AI และความเป็นธรรม

AI เสี่ยงที่จะถูกพัฒนาเป็น “Black Box” เข้าใจยากและซับซ้อน

การพัฒนา AI มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นกล่องดำ หรือพื้นที่ความคิดที่ยากจะคาดเดา ซึ่งไม่ชัดเจนและไม่สามารถเข้าถึงได้จากการตรวจสอบจากภายนอก การขาดความโปร่งใสนี้อาจทำให้เนื้อหาซ่อนเร้นในอัลกอริธึม AI รุนแรงขึ้น ทำให้ยากต่อการควบคุม ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเน้นให้เห็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในการพัฒนา AI เนื่องจากระบบ AI ที่ไม่สามารถอธิบายได้อาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อสังคมในภาพรวม

AI สามารถกระตุ้นให้เกิดความผันผวนของตลาด จากการตัดสินใจเพียงครั้งเดียว

อัลกอริธึม AI และความไม่สมดุลของข้อมูลทำให้เกิดอุปสรรคที่อาจบดบังการตัดสินใจและมีอคติที่ยืดเยื้อ ตัวอย่างเช่น อัลกอริธึมการซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถกระตุ้นให้เกิดความผันผวนของตลาดได้ด้วยการตัดสินใจที่ไม่ชัดเจนเพียงครั้งเดียว ซึ่งท้าทายหน่วยงานกำกับดูแลในการรักษาความรับผิดชอบและการใช้กลยุทธ์การป้องกันความไม่โปร่งใส 

ลู่ทางในการแก้ปัญหาและการสร้างกฎหมายกำกับดูแลการพัฒนาของ AI

กรอบกฎหมายและข้อบังคับแบบดั้งเดิมสร้างขึ้นจากการตัดสินใจของมนุษย์ เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายจาก AI ที่อธิบายไม่ได้ ส่งผลให้การมอบหมายความรับผิดชอบเกิดความซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อการตัดสินใจดังกล่าวนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือความเสี่ยงเชิงระบบ โดยกฎหมายและแนวปฏิบัติด้าน AI ทั่วโลกกำลังมุ่งเน้นไปที่แง่มุมที่สำคัญมากขึ้น เช่น ความโปร่งใส อคติ ความรับผิดชอบ และความเสี่ยงเชิงระบบ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยืดหยุ่น

ทั้งนี้ จะมีการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI ในขณะที่จัดการกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น ตามพระราชบัญญัติ AI ของสหภาพยุโรป ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความทึบของระบบ AI โดยเฉพาะในภาคการเงิน ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาขั้นสุดท้ายในเดือนเมษายนปี 2567 นี้

โดยจะกำหนดมาตรฐานทางกฎหมายที่ครอบคลุมสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชัน AI ที่มีเดิมพันสูง เพื่อส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้าน AI ที่มีจริยธรรมและเพิ่มความโปร่งใส โดยจะมุ่งเน้นไปที่การจำแนกประเภทตามความเสี่ยง ข้อกำหนดด้านความโปร่งใสที่เข้มงวด และการแทรกแซงของมนุษย์ เพื่อรักษาความรับผิดชอบของระบบ AI และเพื่อทำให้กระบวนการตัดสินใจของ AI เข้าใจง่ายขึ้น รวมถึงทำให้มั่นใจว่าความก้าวหน้าใน AI จะสอดคล้องกับคุณค่าทางสังคม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


6 อาหารแหล่งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูง กินลดความอยากอาหารได้ดี

มีผลการวิจัยที่ได้มีการระบุถึงความสำคัญของไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ หรือที่เรียกว่า Soluble Dietary Fiber ที่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักมากกว่าไฟเบอร์ชนิดอื่นๆ เนื่องจากไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานขึ้น และช่วยชะลอการเคลื่อนตัวของอาหารผ่านลำไส้ ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มความรู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มนานมากขึ้น ในส่วนของอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและช่วยลดความอยากอาหารได้ดีมี 6 ชนิดดังนี้

6 อาหารแหล่งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูง

1.ข้าวโอ๊ต

ข้าวโอ๊ต คืออาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน เป็นไฟเบอร์ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งข้าวโอ๊ตยังประกอบไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำอีกด้วยเช่นกัน โดยไฟเบอร์ทั้งสองชนิดนี้จะมีส่วนช่วยระงับความอยากอาหารและช่วยเพิ่มความอิ่มให้กับร่างกายได้ดี

2.เมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์ คืออาหารที่ประกอบไปด้วยไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ โดยมีอัตราส่วนของไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำประมาณ 2/3 และไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำประมาณ 1/3 ซึ่งไฟเบอร์ทั้งสองชนิดนี้ล้วนมีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นาน แต่อย่าลืมบดเมล็ดแฟลกซ์ก่อนกินเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากที่สุด

3.ถั่ว

ถั่ว คืออาหารที่ถือเป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย และยังสามารถนำไปใช้เป็นอาหารหลักได้อีกด้วย นอกจากนี้ในถั่วยังมีไขมันดีที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมาย ทั้งนี้สาวๆ สามารถกินถั่วได้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาหารว่างหรือนำไปประกอบเป็นเมนูที่หลากหลายก็ได้เช่นกัน

4.มันเทศ

มันเทศ คือแหล่งของไฟเบอร์ชั้นดีเยี่ยมเลยก็ว่าได้ ซึ่งอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ทั้งนี้มันเทศถือเป็นอาหารที่มีส่วนสำคัญในการช่วยลดน้ำหนัก โดยแนะนำให้สาวๆ นำมันเทศไปประกอบเป็นเมนูซุป มันเทศบด หรือมันเทศอบ ก็ล้วนเป็นเมนูที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนานและเร็ว

5.ฝรั่ง

ฝรั่ง คือผลไม้ที่อุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งไฟเบอร์ชนิดนี้มีส่วนช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม และยังเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับคงที่ นอกจากนี้ฝรั่งยังมีความสามารถช่วยลดความอยากกินขนมที่มีน้ำตาลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

6.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล คือ ผลไม้ที่อุดมด้วยไฟเบอร์ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ชนิดนี้จะช่วยให้การย่อยอาหารและการดูดซึมน้ำตาลทำงานได้ช้าลง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และช่วยลดความอยากอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับสาวๆ ที่อยากใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนาน แนะนำให้เลือกกินอาหารทั้ง 6 ชนิดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นกันค่ะ โดยอาหารเหล่านี้ล้วนช่วยลดความอยากกินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ได้ดีเลยทีเดียว และนั่นก็ย่อมทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีตามไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/03/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a36,250.0036,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,348.0035,595.6836,850.00
ทองรูปพรรณ 90%2,113.2032,036.11n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,878.4028,476.54n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,057.0016,024.12n/a
ทองรูปพรรณ 40%822.0012,461.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,433.0036,884.28n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/03/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.8537.8538.1537.8537.8537.8537.8537.8537.8537.85
แก๊สโซฮอล์ 9136.3836.3836.8836.3836.3836.3836.3836.3836.3836.38
แก๊สโซฮอล์ E2035.7435.7436.2835.7435.7435.7435.7435.7435.74
แก๊สโซฮอล์ E8535.4935.4935.49
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.5449.4449.4449.4445.54
เบนซิน 9545.7446.9146.2445.8945.74
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า