สาระน่ารู้ประจำวันที่ 11 เมษายน 2567

จับตามาตรการกระตุ้นอสังหาฯGrowth Engine-Quick Win เศรษฐกิจ?

มาตรการ Quick Win กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เป็น “Growth Engine” หรือ เป็นเครื่องยนต์ที่ 5 ในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศ เพราะมีสัดส่วนถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่พอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้

จากการที่ การสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 จากเติบโต 2.7-3.7% เหลือ 2.2-3.2%  หลังภาพรวมเศรษฐกิจปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.9% ชะลอตัวลงจาก 2.5% ในปี 2565 ทำให้นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องเร่งส่งมาตรการ Quick Win  กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เป็น “Growth Engine” หรือ เป็นเครื่องยนต์ที่ 5 ในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศ เพราะมีสัดส่วนถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่พอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้

มาตรการอสังหาฯ ที่ออกมาจะส่งผลให้ “เศรษฐกิจไทย” ขยับตัวได้มากน้อยแค่ไหน? 

วัฒนพล ผลชีวิน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี ให้ความเห็นถึงมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา  นับเป็นมาตรการที่กระตุ้น “ตรงจุด” ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือผู้บริโภค ยกตัวอย่าง มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียน “ลดลง” มาก  ค่าจดทะเบียนโอนจาก 2%  เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจาก 1%  เหลือ 0.01%

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่าทุกครั้งที่รัฐบาลนำมาตรการนี้ออกมาภาคอสังหาริมทรัพย์จะขยับตัวได้ดีมาก”

เพราะช่วยลดภาระ “คนซื้อบ้าน” และคนขาย เท่ากับเป็นการ “ลดต้นทุน” สามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำโปรโมชั่น หรือ ราคาขายลงได้ โดยเฉพาะสต็อกบ้านราคากว่ามากกว่า 3 ล้านบาท (5-7 ล้านบาท) ที่มีจำนวนมาก!  จะระบายได้ นอกจากนี้ หากมีการ “โอน” จะส่งแรงกระเพื่อมต่อเนื่องไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง ก่อสร้าง ภาคการเงิน ทำให้เกิดการจ้างงาน เมื่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระบายสต็อกได้จะเริ่มกลับมาผลิตบ้าน-คอนโดเข้ามาใหม่ “ตรงนี้” จะไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและจีดีพีได้

“เชื่อว่าไตรมาส 2 การโอนจะขยับตัวขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 หลังจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายหยุดการก่อสร้างเพราะสต็อกมีอยู่”

ปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วน 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี)  ถือว่ามีขนาดใหญ่พอที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ หากอสังหาริมทรัพย์ถููกขับเคลื่อนต่อไปได้  “ถือเป็น Quick Win เพราะทำได้ทันทีเห็นผลทันทีไม่ต้องรอ สังเกตได้จากทันทีที่ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ หุ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นทันที เป็นภาพเชิงจิตวิทยาอย่างหนึ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการซื้อขายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีหลังจากซบเซามานาน หากไม่มีมาตรการออกมาทำให้เศรษฐกิจถดถอย”

อย่างไรก็ดี เมื่อภาครัฐออกมาตรการการคลังเข้ามาช่วยแล้ว ขณะนี้ “รอ” มาตรการทางการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ย อย่างน้อย 0.25% จะทำให้เกิดผล “เชิงจิตวิทยา” ไตรมาสต่อไปลงอีก 0.25% รวมทั้งปีดอกเบี้ยลง 0.50% จะเป็นแรงผลักดันที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ

หากเป็นไปได้ อยากให้ “ยกเลิก” มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ แอลทีวี (LTV : Loan to Value Ratio) เพราะจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง! จนกว่าเศรษฐกิจฟื้นค่อยนำมาพิจารณาอีกครั้ง

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า การขยายกลุ่มผู้ซื้อที่ได้รับการลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ และ ค่าจดจำนองไปถึงกลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์การกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากเป็นดึงเอากำลังซื้อของกลุ่มที่มีศักยภาพและความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงสินเชื่อออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโตช้า

จากข้อมูลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย 27 จังหวัดของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 พบว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 7.5 ล้านบาท ที่เหลือขายในตลาดถึง 268,000 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 87% ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมดคิดเป็นมีมูลค่า 911,000 ล้านบาท หรือราว 60% ของมูลค่าของที่อยู่อาศัยเหลือขาย

ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงเป็นการตอบโจทย์ในการกระกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการดึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-7 ล้านบาท เพื่อทดแทนกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่กำลังซื้อเปราะบางและเผชิญปัญหากู้ไม่ผ่านจากสถาบันการเงิน ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ออกมา นับว่าได้ตอบโจทย์กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ส่วนใหญ่จะซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้สามารถมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยและเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

“มาตรการที่ออกมาจึงเป็นการกระตุ้นดีมานด์ที่มีศักยภาพคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจของประเทศ”

ทั้งนี้ ในพื้นที่สำรวจ 27 จังหวัด พบว่ามีหน่วยเหลือขายที่อยู่ในสถานะสร้างเสร็จแล้ว และสถานะอยู่ระหว่างก่อสร้าง รวม 156,900 หน่วย หรือประมาณ 60% ทั้งหมด และบ้านแนวราบอีกส่วนหนึ่งที่หน่วยที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 คาดว่าจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ศาลปกครองสูงสุดไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ “แอชตัน อโศก”

ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ของนิติบุคคลอาคารชุด “แอชตัน อโศก” ไว้พิจารณา

คดีสืบเนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ อส. ๖๗/๒๕๖๔ หมายเลขแดงที่ อส. ๑๘๘/๒๕๖๖ ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวกรวม ๑๖ คน ผู้ฟ้องคดี กับ ผู้อำนวยการเขตวัฒนา กับพวกรวม ๕ คน ผู้ถูกฟ้องคดี บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด หรือ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด ผู้ร้องสอด

โดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ที่พิพากษาเพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอนหรือเคลื่อนย้ายอาคาร หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร โดยไม่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา ๓๙ ทวิ ตามแบบ กทม.๖ เลขที่ ๑๘/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘

ใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอนหรือเคลื่อนย้ายอาคาร หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร โดยไม่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา ๓๙ ทวิ ตามแบบ กทม.๖ เลขที่ ๖๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘

ใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา ๓๙ ตรี ตามแบบ ยผ.๔ เลขที่ ๔๘/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ ฉบับแก้ไข

และใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา ๓๙ ตรี ตามแบบ ยผ.๔ เลขที่ ๑๒๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ที่ออกให้แก่ผู้ร้องสอด โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกหนังสือฉบับดังกล่าว ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ต่อมา ผู้ร้องในฐานะนิติบุคคลอาคารชุดแอชตัน อโศก ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้าง การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารฯ ตามมาตรา ๓๙ ทวิ และใบรับแจ้งการก่อสร้างอาคารตามมาตรา ๓๙ ตรี ที่ออกให้แก่ผู้ร้องสอดทุกฉบับ

โดยมีผลย้อนหลังจนถึงวันที่ออกหนังสือดังกล่าว ย่อมมีผลกระทบต่อการจดทะเบียนอาคารชุดแอชตัน อโศก หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด และการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเกี่ยวกับห้องชุด ทำให้ผู้ร้อง และเจ้าของร่วมไม่สามารถเข้าไปดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลางและทรัพย์สินส่วนบุคคลได้

และในกรณีที่ผู้ร้องสอดไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้โครงการอาคารชุดแอชตัน อโศก มีทางเข้า – ออก ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) โดยผู้อำนวยการสำนักการโยธา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) จะต้องมีคำสั่งให้ผู้ร้อง และเจ้าของร่วมระงับการใช้อาคารชุด แอชตัน อโศก

เนื่องจาก การก่อสร้างและเปิดใช้อาคารดังกล่าวไม่เป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคาร ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลภายนอก ผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้

นอกจากนี้ ผู้ร้องและเจ้าของร่วมเชื่อโดยสุจริตว่า การก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และการอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๓๑๘๙ เลขที่ดิน ๒๑๖๑ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นทางผ่านเข้า – ออกโครงการ แอชตัน อโศก สู่ถนนอโศกมนตรี ไม่ได้เป็นเหตุทำให้การใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนต้องเสียไป และไม่ได้กระทบต่อการให้บริการรถไฟฟ้าและพื้นที่จอดรถบริเวณสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสุขุมวิท

และการเพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างอาคารตามมาตรา ๓๙ ทวิ และใบรับแจ้งการก่อสร้างอาคารตามมาตรา ๓๙ ตรี ที่ออกให้แก่ผู้ร้องสอด หรือรื้อถอนอาคารชุดจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ร้อง และเจ้าของร่วมในอาคารชุด แอชตัน อโศก อย่างร้ายแรงจนยากแก่การเยียวยา และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวจะขยายวงกว้างออกไปมากกว่าเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ผู้ฟ้องคดีจะได้รับ

กรณีจึงมีเหตุที่ผู้ร้องจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒

ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ร้องไว้พิจารณา เนื่องจากผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีที่จะมีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งที่ ๓๕๑/๒๕๖๗ วินิจฉัยว่า การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างฯ และใบรับแจ้งการก่อสร้างฯ ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกให้แก่ผู้ร้องสอด ย่อมมีผลในทางกฎหมายเพียงว่า ผู้ร้องสอดก่อสร้างและดัดแปลงอาคารชุด โครงการ แอชตัน อโศก โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องไปพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ ต่อไป

แต่ไม่ได้มีผลเป็นการเพิกถอนการจดทะเบียนอาคารชุด หนังสือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด และการจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดของโครงการแอชตัน อโศก แต่อย่างใด

และหากข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาในภายหลังว่า เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ใช้อำนาจดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ กับอาคารโครงการแอชตัน อโศก ก็ไม่เป็นการตัดสิทธิที่ผู้ร้อง และเจ้าของร่วมจะใช้สิทธิทางศาลต่อไป

กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่า คำพิพากษาของศาลปกครองในคดีนี้มีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของผู้ร้องและเจ้าของร่วมอาคารชุด โครงการแอชตัน อโศก ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้ในอันที่จะมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้ ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒

และเมื่อวินิจฉัยแล้วว่าผู้ร้องไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่ศาลปกครองจะพิจารณาคดีนี้ใหม่ได้ตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง (๑) ถึง (๔) ตามอุทธรณ์ของผู้ร้องหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป คำร้องอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำขอของผู้ร้องไว้พิจารณา

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11 เม.ย. “อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 36.76 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญ “ราคาน้ำมันดิบ -ราคาทองคำ”ช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า 37 บาทต่อดอลลาร์ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ-ความผันผวนค่าเงินเยน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11 เม.ย. 2567 ที่ระดับ  36.76 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.38 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ที่ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 37 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้สำหรับสัปดาห์นี้ได้ไม่ยาก ทว่า เงินบาทอาจมีโซนแนวต้านอยู่ในช่วง 36.80-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนแนวต้านในช่วงที่ผ่านมา (หากอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว แนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 37 บาทต่อดอลลาร์)

 นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ทั้งนี้ หากราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนจากความกังวลความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ก็อาจช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบได้บ้าง (คล้ายกับในช่วงแรกของการโจมตีอิสราเอลโดยกลุ่มฮามาสในปีก่อนหน้า) และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว

ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเรามองว่า มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายบอนด์ไทยเพิ่มเติม ตามแนวโน้มธนาคารแห่งประเทศไทยและเฟดที่อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้า ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนฟันด์โฟลว์ฝั่งหุ้นก็มีแนวโน้มผันผวนสูง และยังมีความไม่แน่นอนว่า นักลงทุนต่างชาติจะเดินหน้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง หรือไม่ หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังเผชิญแรงกดดันอยู่ ส่วนเงินบาทก็เสี่ยงผันผวนอ่อนค่าต่อได้

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนจากค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นได้อ่อนค่าเข้าใกล้ 153 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้เรามองว่า มีความเสี่ยงที่ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินได้ โดยการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนรอบก่อนหน้าของทางการญี่ปุ่น ก็ส่งผลให้เงินเยนพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง จนทำให้ตลาดค่าเงินอาจผันผวนสูงในระยะสั้น

อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-37.00 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็วและแรง” จนแตะโซนแนวต้าน 36.70 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราได้ประเมินไว้ในวันก่อน (แกว่งตัวในช่วง 36.34-36.76 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาสูงกว่าคาด โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ (โอกาสลด 2 ครั้ง อยู่ที่ราว 67%) 

ขณะเดียวกันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็พุ่งสูงขึ้นทะลุระดับ 4.50% ตามความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดดังกล่าว ส่งผลให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลงหนัก นอกจากนี้ เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังราคาน้ำมันดิบพลิกกลับมาพุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความร้อนแรงมากขึ้น หากอิหร่านและพันธมิตรเปิดฉากโจมตีอิสราเอลจริง ตามคำเตือนของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงเทขายหนัก กระจายตัวไปในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.95%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.15% แม้ว่าจะเผชิญแรงขายจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทว่าตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ อาทิ Shell +1.4% ส่วนหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง ASML +1.6% ก็ได้รับอานิสงส์จากรายงานผลประกอบการของผู้ผลิตชิพฯ รายใหญ่ของโลกอย่าง TSMC ที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง 

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเร็วและแรง ทะลุระดับ 4.50% ตามความเสี่ยงที่เราประเมินไว้ว่า หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงขึ้นทดสอบโซน 4.40%-4.50% ได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ แม้เราอาจพิจารณาเลื่อนไทมไลน์การปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดไปเป็นช่วงไตรมาสที่ 3 ทว่า เราคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะยังสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ราว 3 ครั้ง ทำให้ เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า….

บอนด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจ และ Risk-Reward มีความคุ้มค่ามากขึ้น (Asymmetric Risk-Reward หากลองประเมิน ผลตอบแทนในกรณีที่ บอนด์ยีลด์ ปรับตัวขึ้น หรือ ลง 50bps หรือแม้กระทั่ง 100bps) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อสะสมได้ (Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นมาก เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 153 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 2 ครั้งในปีนี้ จากภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อที่ดูจะไม่ชะลอลงอย่างที่คาดหวัง

ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 105.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.-105.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การพุ่งขึ้นเร็วและแรงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวลดลงกว่า -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

อย่างไรก็ดี ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำยังสามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมทองคำ ทั้งจังหวะซื้อทองคำตอนย่อ และขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน ในช่วงคืนที่ผ่านมา

 สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาด จะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ว่าจะสามารถเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งอาจเร็วกว่าคาดการณ์จังหวะการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟด ได้หรือไม่

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมีนาคม และรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมีนาคม เช่นกัน

และในฝั่งสหรัฐฯ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ ที่จะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด คือ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมีนาคม ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ

โดยเฉพาะ อัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดจับตาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงนี้ส่วนใหญ่ออกมาแข็งแกร่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ดูจะชะลอลงช้ากว่าคาด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 36.62-36.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.30 น.) หลังจากที่อ่อนค่าเข้าใกล้แนว 36.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้า เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับภาพรวมของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อจังหวะ/รอบการประชุมที่อาจจะมีการลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรก และจำนวนครั้งของการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งปีนี้ 

โดยทั้งหมดสะท้อนว่า เฟดไม่น่าจะรีบเปลี่ยนท่าทีมาเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพราะยังคงต้องใช้เวลากว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะชะลอตัวกลับสู่ระดับเป้าหมายของเฟด

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.60-36.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ข้อมูล CPI และ PPI เดือนมี.ค. ของจีน ผลการประชุมนโยบายการเงินของ ECB และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“ม.ศรีปทุม” คว้าแชมป์สวิงอุดมศึกษา “ช้าง กอล์ฟ ยู แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” สนามแรก

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดย “น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง” ร่วมกับ เดอะ เจ็นซ์ เปิดศึกดวลสวิงระดับอุดมศึกษา รายการ “ช้าง กอล์ฟ ยู-แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” ประเดิมสนามแรกที่เลควิว รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟ คลับ จ.เพชรบุรี ระหว่างวันที่ 6-7 เมษายน 2567

“น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง” มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการกอล์ฟไทย ทั้งในระดับเยาวชน และระดับอุดมศึกษา จึงจัดรายการแข่งขันนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อส่งเสริมนักกีฬากอล์ฟในระดับอุดมศึกษาให้มีเวทีการแข่งขันที่ต่อเนื่อง  และสร้างโอกาสให้กับนักกอล์ฟในระดับอุดมศึกษาได้มีพื้นที่ในการแข่งขันเพื่อพัฒนาศักยภาพสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศตอบรับร่วมแข่งขันเพื่อชิงทุนการศึกษารวม 10 มหาวิทยาลัย

“ช้าง กอล์ฟ ยู-แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” ทำการแข่งขันรอบคัดเลือก 2 สนาม และรอบชิงชนะเลิศ  1 สนาม แข่งขันประเภททีม 4 คน (คิดคะแนนดีที่สุด 3 คน) ซึ่งในรอบคัดเลือกเป็นการแข่งขันแบบสะสมคะแนน 2 สนาม แข่งขันแบบ Stroke Play 36 หลุม เพื่อจัดอันดับ คัด 8 ทีมเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศ โดยรอบชิงชนะเลิศ แข่งขันแบบ Match Play ทำการแข่งขัน 2 วัน แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ​Division​ แข่งรอบละ​ 18​ หลุม​ โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นทีม​ละ​ 2​ คู่ คือ Foursomes​ 1​ คู่ และ Four-Ball​ 1​ คู่ ซึ่งทีมที่ชนะเลิศในอันดับต่างๆ จะได้รับทุนการศึกษาพร้อมรางวัลเกียรติยศ

การแข่งขัน “ช้าง กอล์ฟ ยู-แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” รอบคัดเลือก สนามแรก แข่งขันในวันที่ 6-7 เมษายน 2567 มีมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมชิงชัยรวม 10 มหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

หลังจบการแข่งขันในรอบคัดเลือก สนามที่ 1 ปรากฏว่า “มหาวิทยาลัยศรีปทุม” คว้าแชมป์ตามคาด โดย ณฐนนท ธนูรัตน์ โชว์ฟอร์มเยี่ยมกดไป 10 อันเดอร์ ส่วน “มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ” รับรองแชมป์ประเภททีม และประเภทบุคคลหญิง ด้าน “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” จบที่ 3

อันดับ 1 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ภายใต้การควบคุมทีมของ โปรจำลอง นาเมือง นักกีฬาสามารถทำผลงานตามเป้าคว้าแชมป์สนามแรกได้สำเร็จ ด้วยสกอร์รวมทีม 440 (223-217) โดยปีนี้ส่งผู้เล่นรุ่นใหม่ฝีมือดีอย่าง พรหมพจน์ ทรงกลด ที่ทำสกอร์ดีสุด จบสองรอบที่ 1 อันเดอร์พาร์ 143 (71-72), ปริญยาภรณ์ รุ่งระวี สกอร์ 2 โอเวอร์พาร์ 146 (75-71), ชนินทร์ ทองไพจิตร สกอร์ 7 โอเวอร์พาร์ 151 (77-74) และ กฤษฎา เล็กเรืองสินธุ์ สกอร์ 18 โอเวอร์พาร์ 162 (80-82)

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คว้ารองแชมป์ ภายใต้การนำทีมของ ศุภวิช ทรงกลด ที่ทำสกอร์ดีสุดในทีม สองรอบที่ 1 โอเวอร์พาร์ 145 (69-76), สกรรจ์พัส มาลา สกอร์ 5 โอเวอร์พาร์ 149 (77-72) ที่ 3 ชาครีย์ โรจนสมิต สกอร์ 17 โอเวอร์พาร์ 161 (82-79) และ จิรภัทร ประเสริฐกุล สกอร์ 18 โอเวอร์พาร์ 162 (83-79) สกอร์รวมทีม 455 (228-227)

อันดับ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำทีมโดย กันต์พศุตม์ วงศ์สกุลวิวัฒน์ สกอร์ 12 โอเวอร์พาร์ 156 (75-81), เตชินทร์ วิชัยณรงค์ สกอร์ 13 โอเวอร์พาร์ 157 (78-79), จุฑามาศ กฤษติยานฤวัต สกอร์ 13 โอเวอร์พาร์ 157 (78-79) และ ภุชิสส์ เงาแก้ว สกอร์ 19 โอเวอร์พาร์ 163 (87-76) สกอร์รวมทีม 465 (231-234)  

สรุปผลการแข่งขันกอล์ฟ  “ช้าง กอล์ฟ ยู-แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” รอบคัดเลือก สนามที่ 1 มีดังนี้

อันดับ 1 ทีมมหาวิทยาลัยศรีปทุม สกอร์รวม 440 (223-217) คะแนนสะสม 100 คะแนน
อันดับ 2 ทีมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สกอร์รวม 455 (228-227) คะแนนสะสม 80 คะแนน
อันดับ 3 ทีมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สกอร์รวม 465 (231-234) คะแนนสะสม 70 คะแนน
อันดับ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สกอร์รวม 471 (235-236) คะแนนสะสม 60 คะแนน
อันดับ 5 ทีมมหาวิทยาลัยศิลปากร สกอร์รวม 473 (231-242) คะแนนสะสม 50 คะแนน
อันดับ 6 ทีมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สกอร์รวม 475 (236-239) คะแนนสะสม 45 คะแนน
อันดับ 7 ทีมมหาวิทยาลัยรังสิต สกอร์รวม 492 (241-251) คะแนนสะสม 40 คะแนน
อันดับ 8 ทีมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สกอร์รวม 503 (250-253) คะแนนสะสม 35 คะแนน
อันดับ 9 ทีมโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สกอร์รวม 519 (274-245) คะแนนสะสม 30 คะแนน

“ช้าง กอล์ฟ ยู-แชมเปี้ยนส์ คัพ 2024” รอบคัดเลือก สนามที่ 2 จะทำการแข่งขันที่สนามพานอราม่า กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ในวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2567 ติดตามความเคลื่อนไหวและผลการแข่งขันได้ที่ Facebook: Chang Golf Club

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 อาหารที่ไม่ควรกินคู่กับ “แอลกอฮอล์”

จริงๆ แล้วเราไม่อยากแนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไร แต่หากคุณมีความจำเป็นต้องไปงานปาร์ตี้ หรือต้องสังสรรค์กับเพื่อนฝูงพร้อมแอลกอฮอล์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากเราจะแนะนำให้ดื่มในปริมาณน้อยแล้ว เราอยากพูดถึงอาหารที่หลายคนอาจจะสั่งมากินคู่กับแอลกอฮอล์ แต่จริงๆ แล้วอาจทำลายสุขภาพในอนาคตได้

  1. อาหารรสเค็ม

อาหารรสเค็ม เช่น กับแกล้ม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ทำให้ร่างกายเราได้รับโซเดียมมากขึ้น โซเดียมทำให้เรากระหายน้ำมากขึ้น จึงอาจทำให้เราเผลอดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นไปด้วย ดังนั้นควรเปลี่ยนกับแกล้มเป็นผัก เนื้อสัตว์รสไม่จัด ถั่วต่างๆ (ไม่โรยเกลือ) จะดีกว่า

  1. อาหารรสเปรี้ยว

ผลไม้ตระกูลซีตรัส เช่น มะนาว ส้ม รวมถึงอาหารรสเปรี้ยว อาจเร่งอาการของโรคกรดไหลย้อนได้ ใครที่มีความเสี่ยง หรือกำลังเป็นโรคนี้อยู่ ควรหลีกเลี่ยง

  1. ขนมปัง

ในกรณีที่แอลกอฮอล์ที่คุณดื่มเป็นเบียร์ ขนมปัง และเบียร์ทำจากยีสต์ทั้งคู่ การบริโภคอาหารที่ทำจากยีส์เข้าไปในครั้งเดียวกันมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อยได้

  1. น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล

น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลที่หลายคนนำมาเป็นมิกเซอร์ ผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้เราเมาเร็วกว่าน้ำอัดลมสูตรที่มีน้ำตาลตามปกติ เพราะน้ำตาลจะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ซึ่งจะทำให้เราเมาช้ากว่าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเล็กน้อย (แต่ไม่ได้หมายความว่าน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลไม่ทำให้เมานะ แค่เร็วกว่าเล็กน้อย)

  1. อาหารไขมันสูง

เช่น อาหารทอด อาหารมันต่างๆ ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัว จึงอาจส่งผลให้เร่งอาการของโรคกรดไหลย้อนได้ และยังชะลอการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารไม่ย่อยได้อีกเช่นกัน

หากจะดื่มแอลกอฮอล์ ควรรับประทานอาหารให้เรียบร้อย ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินลิมิตของตัวเอง ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพราะอาจปัสสาวะบ่อย และอย่าลืมเมาไม่ขับด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Adverb กริยาวิเศษณ์

Adverb คืออะไร?

Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ที่ใช้ขยาย Verb, Adjective Adverb ช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยแสดงลักษณะ (สิ่งที่เกิดขึ้น), ระดับ (ขอบเขต), สถานที่ (ที่ไหน) และเวลา (เมื่อใด) ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นในแกรมม่าภาษาอังกฤษ ทั้งในการพูดและการเขียนภาษาอังกฤษของคุณ

Adverb ที่เรามักเจอบ่อยๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็น Adverb นั่นก็คือ การลงท้ายด้วย -ly ค่ะ ซึ่งคำศัพท์ประเภท Adverb เกิดจาก Adjective + -ly นั่นเอง (เช่น “quick” กลายเป็น “quickly”และคำวิเศษณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย -ly ที่มีบทบาททางไวยากรณ์ จะมีคำว่าอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

สรุป Adverb คำกริยาวิเศษณ์

หลักการใช้ Adverb แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. Adverb of time (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา)

คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา ใช้บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น

  • After หลัง
  • Afterward ในภายหลัง
  • Ago ผ่านมาแล้ว
  • Already แล้ว, เรียบร้อย
  • Before ก่อน
  • Formerly แต่ก่อน
  • Immediately ทันที
  • Lately เมื่อเร็วๆ นี้
  • Late สาย
  • Once ครึ่งหนึ่ง
  • Shortly ในไม่ช้า
  • Since ตั้งแต่
  • Soon เร็วๆ นี้
  • Still ยังคง
  • Today วันนี้
  • Tomorrow พรุ่งนี้
  • Tonight คืนนี้
  • When เมื่อ
  • Yesterday เมื่อวานนี้
  • Yet ยัง

ตัวอย่างประโยค Adverbs of time

  • I have to run, but I’ll see you tomorrow.
  • Jame has a dentist appointment, so he will be late for school today.

2. Adverb of Duration (กริยาวิเศษณ์บอกระยะเวลา)

กริยาวิเศษณ์บอกระยะเวลา ใช้อธิบายระยะเวลาที่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นนานแค่ไหน

  • For เป็นเวลา (ตามด้วย + ระยะเวลา เช่น for 2 months)
  • Since ตั้งแต่ (ตามด้วย + จุดเริ่มต้นของเวลา เช่น since 1998)
  • From…to ตั้งแต่…ถึง
  • From…till ตั้งแต่…ถึง
  • From…until ตั้งแต่…ถึง
  • Till ถึง
  • Untill ถึง

ตัวอย่างประโยค Adverb of Duration

  • I have been going to this school since 1997.
  • I am going on vacation for a week.

3. Adverb of Place (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าการกระทำเกิดขึ้นที่ไหน (เช่น ตำแหน่ง, ระยะทาง, และทิศทาง) เช่น

  • Above บน
  • Across ข้าม
  • Along ตามทาง
  • Around รอบ ๆ
  • Back หลัง
  • Below ข้างใต้
  • Nowhere ไม่มีที่ไหน
  • Somewhere ที่ใดที่หนึ่ง
  • There ที่นั่น
  • Here ที่นี่
  • Downstairs ชั้นล่าง
  • In ใน
  • On บน
  • At ที่
  • Under ข้างใต้

ตัวอย่างประโยค Adverb of Place

  • I’m going back to school.
  • Come in!

4. Adverb of Frequency (กริยาวิเศษณ์บอกความถี่)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าการกระทำเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน เช่น

  • Every day ทุกวัน
  • Generally เป็นประจำ
  • Always ตลอด
  • Frequently, Often บ่อย ๆ
  • Usually, Normally เป็นปกติ
  • Occasionally, Sometomes บางครั้ง
  • Never ไม่เคย
  • Rarely, Seldom ไม่ค่อยจะ
  • Again อีกครั้ง

ตัวอย่างประโยค Adverb of Frequency

  • Jane always works on Saturdays.
  • Monica never washes the dishes.

5. Adverb of Manner (กริยาวิเศษณ์บอกลักษณะอาการ)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้แสดงว่าผู้กระทำหรือประธานทำกริยานั้นด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์แบบไหน อย่างไร เช่น

  • Angrily อย่างโมโห
  • Badly อย่างแย่มาก, อย่างมาก
  • Calmly อย่างสงบ
  • Carefully อย่างรอบคอบ
  • Easily อย่างง่ายดาย
  • Intentionally อย่างตั้งใจ
  • Loudly อย่างเสียงดัง
  • Perfectly อย่างยอดเยี่ยม
  • Quietly อย่างเงียบๆ
  • Sincerely อย่างจริงใจ
  • Terribly อย่างร้ายกาจ
  • Together ด้วยกัน
  • Willingly อย่างเต็มใจ

ตัวอย่างประโยค Adverb of Place

  • Tony read quietly.
  • Jessy laughed loudly.

6. Adverb of Degree (กริยาวิเศษณ์บอกระดับ)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าปริมาณว่ามากน้อยแค่ไหน หรืออยู่ในระดับไหน เช่น

  • Almost เกือบจะ
  • Entirely ทั้งหมด
  • Enough เพียงพอ
  • Extremely อย่างที่สุด
  • Greatly อย่างยิ่งใหญ่
  • Nearly เกือบ
  • Quite ค่อนข้าง
  • Slightly อย่างเล็กน้อย
  • Too เกินไป
  • Very มาก

ตัวอย่างประโยค Adverb of Degree

  • You are running fast enough.
  • I’ll be ready soon; I’m almost finished.

7. Adverb of Affirmation or Negation (กริยาวิเศษณ์บอกการรับและการปฏิเสธ)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้ยืนยันว่าใช่ (Affirmation) หรือ ไม่ใช่ (Negation) เช่น

  • Yes ใช่
  • Absolutely อย่างแน่นอนที่สุด
  • Certainly อย่างแน่นอน
  • Entirely อย่างสิ้นเชิง
  • Indeed แน่นอน
  • Of course แน่นอน
  • Preciously อย่างชัดเจน
  • Surely อย่างแน่นอน
  • Truly อย่างแท้จริง
  • No, Not, Never ไม่

ตัวอย่างประโยค Adverb of Affirmation or Negation

  • Yes, that is correct.
  • I absolutely love playing football.

8. Conjunctive Adverb (กริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค)

คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นคำเชื่อม 2 ประโยค หรือ เชื่อมประโยคกับวลีหรือคำ เข้าด้วยกัน เช่น

  • Also นอกจากนั้น
  • Anyway อย่างไรก็ตาม
  • Before ก่อน
  • Briefly อย่างย่อ
  • But แต่
  • Consequently ด้วยเหตุนี้
  • Firstly อันดับแรก
  • For example เช่น
  • For instance เช่น
  • Furthermore, In addition, Moreover มากไปกว่านั้น
  • However อย่างไรก็ตาม
  • Instead แทนที่
  • Inspite of ทั้ง ๆ ที่
  • In conclusion สรุป
  • Meanwhile ในขณะที่
  • Namely กล่าวคือ
  • Secondly อันดับสอง
  • Then หลังจากนั้น
  • Therefore ดังนั้น

ตัวอย่างประโยค Conjunctive Adverb

  • She went into the store; however, she didn’t find anything she wanted to buy.
  • It became too dark; therefore, we decided not to go to the park.

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


‘เอคเซนเชอร์’ แนะ  5 กลยุทธ์ ปูทางความสำเร็จยุคแห่ง AI

5 กลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับผู้นำและองค์กรธุรกิจ เพื่อปูทางความสำเร็จบนเส้นทาง Generative AI ที่วันนี้เข้ามาส่งกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม

สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับผู้บริหารองค์กรธุรกิจ ไม่เพียงแค่ต้องมองให้ไกลเกินกว่าผลกระทบที่ Generative AI มีต่อตัวงานหรือบทบาทของงานเท่านั้น

แต่ควรนำ Gen AI มาปรับใช้ให้ครอบคลุมทั้งองค์กรด้วยการออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ ตลอดจนประสบการณ์การทํางานของพนักงาน

ผลการวิจัยโดย “เอคเซนเชอร์” เผยว่า การสร้างความสำเร็จในยุคเอไอผู้บริหารต้องมุ่งมั่นเรียนรู้และเป็นผู้นำไปในทิศทางใหม่ ที่ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ นำพาธุรกิจให้เติบโต และเป็นประโยชน์ต่อบุคลากร

อย่างไรก็ตาม 2 ใน 3 ของผู้บริหารระบุว่า พวกเขาไม่มีเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการปรับระบบการทำงานใหม่เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ Gen AI ได้อย่างเต็มที่

‘ก้าวต่อไป’ ต้องทำอย่างไร

ปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย เปิดมุมมองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญและน่าตื่นเต้นซึ่ง GenAI รวมถึง ChatGPT เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ หลังจากที่บล็อกเชนและเมตาเวิร์สออกมาก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งนับเป็นประเทศที่มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้เร็วมาก ขณะเดียวกันมีบิ๊กเทคคอมพานีโลกอย่าง กูเกิล ไมโครซอฟท์ เอดับบลิวเอส ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในไทยเป็นตัวเร่งอีกทางหนึ่ง ที่ตื่นตัวอย่างมากคือภาคการเงินและโทรคมนาคม 

อย่างไรก็ดี เกิดคำถามถือ แล้วเทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้าเปลี่ยนชีวิตหรือวิธีการทำงานได้อย่างไร เบื้องต้นเท่าที่พบคือมีการเร่ิมทำ POC กันแล้ว แต่ยังเกิดคำถามคือแล้ว “ก้าวต่อไปต้องทำอย่างไร”

“GenAI เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ตัวเร่งที่ทำให้การทำงานในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทว่าไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่มีความสำคัญ บุคลากรต้องมีความพร้อมด้วย”

เอคเซนเชอร์ ระบุว่า ไทยเป็นตลาดที่ตื่นตัวเร็ว ทว่าการปรับใช้จริงยังคงค่อนข้างช้า ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการดาต้า

‘5 กลยุทธ์’ ปูทางความสำเร็จ

หล่าน กวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านเอไอ เอคเซนเซอร์ กล่าวว่า สำหรับการเริ่มต้นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องทำเป็นอันดับแรกคือ การทำความเข้าใจถึงความต่างของเอไอ และ GenAI ที่มีบทบาทต่างออกไป

โดยการใช้งานสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการนำไปใช้กับงานทั่วๆ ไปภายในองค์กร กระทั่งเชิงลึก ไปจนถึงงานเฉพาะทางในแต่ละธุรกิจ ระหว่างเส้นทางธุรกิจต้องพบกับท้าทายที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเลือกใช้งานโมเดลเอไอ

เอคเซนเซอร์ แนะว่า 5 กลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับเส้นทางการสร้างความสำเร็จในการปรับใช้เอไอ ประกอบด้วย 1. แนวคิดการพัฒนาที่สร้างมูลค่าเพิ่ม 2. ทำความเข้าใจและพัฒนาเพื่อนำไปใช้จริง, 3.Reinvent บุคลากรและวิธีการทำงาน, 4. ให้ความสำคัญกับการใช้เอไออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI), และ 5. Reinvention อย่างต่อเนื่อง

โดยการสร้างแต้มต่อ มีปัจจัยคือ การบริหารจัดการดาต้าที่เหมาะสม ตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจ องค์กรจะสามารถสร้างจุดต่างให้ธุรกิจได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเดต้านี่เอง

สำหรับประเทศไทยนับเป็นเป็นตลาดที่น่าสนใจ เต็มไปด้วยโอกาสการเติบโตในหลายมิติ ซึ่งหน้าที่ของเอคเซนเชอร์คือ การทำให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะเข้าถึงโอกาสเหล่านี้และสามารถใช้งานเอไอได้อย่างเป็นรูปธรรม

ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญอย่างมากคือ การทำความเข้าใจและยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง ไม่มีโซลูชันใดจะตอบโจทย์ได้ทั้งหมดทุกอย่าง หรือ มีกฎตายตัว

ดังนั้นต้องมีการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับ การพัฒนาบุคลากรเพื่อทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัลและที่ประกอบกันคือเรื่องของการกำกับดู การใช้งาน การส่งเสริมสนับสนุนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และที่ขาดไม่ได้คือความพร้อมของอินฟราสตรักเจอร์

‘พนักงาน – ผู้บริหาร’ มองต่างมุม

รายงานเรื่อง “Work, workforce, workers: Reinvented in the age of generative AI” โดยเอคเซนเชอร์พบว่า พนักงาน และผู้บริหาร มองต่างมุมในเรื่องการทํางานและ Generative AI ดังนั้น หากต้องการใช้ศักยภาพจากเอไอได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ องค์กรควรปรับระบบการทำงาน โครงสร้างกำลังคน และเตรียมบุคลากรให้พร้อม

โดยเฉพาะเรื่องความไว้วางใจที่ยังมีระยะห่างระหว่างกัน เพราะถึงแม้ 95% ของพนักงานจะเห็นคุณค่าในการทํางานร่วมกับ Gen AI แต่มีอยู่ประมาณ 60% ที่กังวลใจว่าจะตกงาน มีความเครียด และหมดไฟ

นอกจากนี้ 3 ใน 4 ขององค์กรก็ยังไม่มีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับการปรับประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ของพนักงานให้ดีขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


5 ผลไม้ไทย ช่วยบรรเทาอาการป่วย ลดไข้ ไม่สบาย

เข้าหน้าฝนทีไร การเจ็บป่วยไม่สบายดูจะเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้น ขณะที่หลายคนพึ่งพาการซื้อยามารับประทานเอง บ้างก็ไปพบหมอ แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ว่าผลไม้ช่วยลดไข้ได้ด้วย นอกจากจะอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพซะด้วย ไปดูกันเลยดีกว่าผลไม้อะไรบ้างที่ช่วยคุณได้ในยามที่ป่วยเป็นไข้

1. ฝรั่ง สำหรับคนไทยส่วนใหญ่คงรู้จัก “ฝรั่ง” ในนามของแสลงผู้ป่วย หากรับประทานเข้าไปตอนที่เป็นไข้อาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า “ฝรั่ง” ไม่มีผลเสียต่อคนที่ป่วยเป็นไข้ธรรมดาอีกทั้งการรับประทานฝรั่งไม่เกิน 1-2 ลูกจะช่วยให้ไข้หายเร็วขึ้นด้วย เนื่องจากในฝรั่งจะอุดมไปด้วยวิตามันซี ช่วยลดอาการน้ำมูกไหลและปวดศีรษะ อย่างไรก็ตามในรายเป็นไข้สูงและป่วยเป็นโรคไตด้วยควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้เกิดอาการชักจนเสียชีวิตได้

2. แตงโม ผลไม้รสหวานอร่อยที่หารับประทานได้แทบจะทุกฤดูกาล โดยนอกจากแตงโมจะเป็นผลไม้ที่ให้ความสดชื่นแล้ว ยังจัดเป็นผลไม้ช่วยลดไข้ได้ เนื่องจาก 90 % ของแตงโมคือน้ำ เมื่อคนเราป่วย ร่างกายของเรามักจะขาดน้ำไปโดยปริยาย ดังนั้นการรับประทานแตงโมจึงเหมือนการเติมน้ำให้ร่างกายทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวาแถมยังลดไข้ได้ดีอีกด้วย

3. ส้ม ส้มเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีปริมาณวิตามินและเกลือแร่สูงที่สุด โดยคนที่สูบบุหรี่หรือต้องอยู่ในที่ ๆมีคนสูบบุหรี่ที่มีความเสี่ยงเป็นหวัดและไข้ เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่เป็นตัวการสำคัญที่นำไปสู่อาการอักเสบอื่น ๆ ภายในร่างกาย ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยไข้ได้ง่ายต้องเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ทุกอย่าง

4. มะตูม มะตูมถือเป็นผลไม้ที่ใช้กินเล่นเพลินๆ หรือคลุกกับข้าวเหนียวก็อร่อยไปอีกแบบ โดยนอกจากความอร่อยที่พูดมาแล้ว สรรพคุณของมะตูมยังช่วยแก้ร้อนใน และขับเสมหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังป่วยหากได้รับประทานผลไม้ช่วยลดไข้อย่างมะตูมเข้าไปจะทำให้ชุ่มคอ และลดความร้อนในร่างกายได้

5. แคนตาลูป ถือเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นโดยคนที่ป่วยเป็นไข้อุณหภูมิในร่างกายจะสูงกว่าปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้อุณหภูมิภายในต่ำลง ซึ่งการรับประทานแคนตาลูปกับน้ำตาลหรือนำมาปั่นเป็นสมูทตี้ก็เป็นวิธีที่ดีมากอีกหนึ่งวิธี โดยจากการวิจัยระบุว่าแคนตาลูปมีสารสำคัญมากมาย ทั้งโพแทสเซียม วิตามินเอ และซีที่มีมากพอๆ กับส้มเขียวหวานจึงสามารถเป็นผลไม้ช่วยลดไข้และป้องกันหวัดได้อีกด้วย

ได้รู้จักกับ 5 ผลไม้ช่วยลดไข้แล้วจะเห็นได้ว่ามีผลไม้ไทยหลายชนิดที่สามารถช่วยลดไข้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามแม้ผลไม้เหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการไข้ได้แต่ทางที่ดีเราเองก็ควรรักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที พักผ่อนให้เพียงพอและทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส เพียงเท่านี้อาการป่วยไข้ก็จะไม่มากวนใจคุณอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/04/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,500.0040,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,623.0039,764.6841,100.00
ทองรูปพรรณ 90%2,360.7035,788.21n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,098.4031,811.74n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,180.0017,888.80n/a
ทองรูปพรรณ 40%918.0013,916.88n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,718.0041,204.88n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/04/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.9539.9540.9539.9539.9539.9539.9539.9539.9539.95
แก๊สโซฮอล์ 9138.4838.4839.4838.4838.4838.4838.4838.4838.4838.48
แก๊สโซฮอล์ E2037.8437.8438.8437.8437.8437.8437.8437.8437.84
แก๊สโซฮอล์ E8537.5937.5937.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม47.6449.4449.4449.4447.64
เบนซิน 9547.8449.0148.3447.9947.84
ดีเซล B730.4430.4431.3430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.44
ดีเซล30.4430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.44
ดีเซล B2030.4430.4430.4430.44
ดีเซลพรีเมี่ยม42.4444.6444.8444.6444.6442.44
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า