สาระน่ารู้ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567

อสังหาฯปี67อุตสาหกรรม-โรงแรมขาขึ้นออฟฟิศ-ที่อยู่อาศัยต่ำ3ล้านน่ากังวล

ไนท์แฟรงค์เจาะลึก 4 เซ็คเตอร์อสังหาฯปี67 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวEV-ดาตาเซ็นเตอร์ ธุรกิจมาแรงดันกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัว โรงแรมฟื้นตัวจากยอดนักท่องเที่ยวพุ่งขึ้น ขณะที่ออฟฟิศซัพพลายล้น-อาคารสีเขียวโตรับเทรนด์ESG ส่วนที่อยู่อาศัยชะลอตัวต่ำ3ล้านยังน่ากังวล

  • เปิดมุมมอง “Knight Frank Foresight 2024 Pivoting Towards Opportunities” เจาะลึกโอกาสและความท้าทาย 4 เซ็กเตอร์ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรงแรม อาคารสำนักงาน ในยุคที่ดีมานด์ภาพรวมนิ่ง
  • ปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต ชี้คอนโดมิเนียม ต่ำกว่า 3 ล้านยังน่าห่วง Reject rate กระทบกำลังซื้อชะลอตัว คาดเรียลดีมานด์ตัวช่วยหลักดันโวลุ่มแนวราบขายได้4,000 ยูนิต
  • กลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวจากแรงหนุนตลาดรถEVและดาต้าเซ็นเตอร์ จับตาตลาดอาคารสำนักงานซัพพลายล้น แต่อาคารสีเขียวมีแนวโน้มดีรับเทรนด์ESG มาแรง

ณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยกล่าวในงาน“Knight Frank Foresight 2024 Pivoting Towards Opportunities” ว่า แนวโน้มในปี 2567 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจาก”ปัจจัยเสี่ยง”ที่ถาโถมเข้ามามากมายทั้งในประเทศท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ อาทิ ปัญหาเงินเฟ้อต่ำ ที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังน่าเป็นห่วงและต้องจับตามองกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยของต้นการผลิตที่สูงขึ้น ตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตช้า 

เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยสูง และ ปัญหา Reject Rate หรือการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศ มาจากเศรษฐกิจและการค้าโลกมีความไม่แน่นอนสูงจากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่ ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้นจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย 

แม้ว่าในปี 2567 มองเห็นถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากการลงทุนเอกชนที่ขยายตัว และการบริโภคภาคเอกชนเติบโตจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายภาครัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และกระตุ้นการใช้จ่าย ผ่านโครงการ Easy E-Receipt  

“การทำธุรกิจท่ามกลางความผันผวน ข้อมูลมีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้วิเคราะห์แนวโน้ม และการวางแผน ใครที่มีข้อมูลในมือเยอะกว่า รวดเร็วกว่า และแม่นยำกว่าจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน ผมเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ทางไนท์แฟรงค์ที่ได้มาจากลูกค้า จะมีส่วนทำให้เกิดการรับรู้ถึงโอกาสและความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวม และเจาะลึกรายเซ็กเตอร์ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม โรมแรม และอาคารสำนักงาน”ณัฏฐา กล่าว 

EV-ดาตาเซ็นเตอร์ดันอุตสาหกรรมขยายตัว

มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหาร-หัวหน้าฝ่าย, Occupier Strategy & Solutions กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ ธุรกิจที่น่าจับตามองก็คือ ธุรกิจศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม  

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีที่ดินถูกขายออกไปมากถึง 8,867 ไร่คิดเป็นจำนวน2 เท่าของปีที่แล้วเกิดจากธุรกิจ EV (Electric Vehicle) กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ยังเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักที่นักลงทุนให้ความสนใจคิดเป็นกว่า 80% ของธุรกรรมทั้งหมด 

โรงแรมฟื้นตัวจากยอดนักท่องเที่ยวพุ่งขึ้น

คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา กล่าวว่า ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าได้กลับไปอยู่ในจุดก่อนสถานการณ์โควิดแล้ว โดยราคาห้องพักต่อคืนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก แม้ปริมาณนักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาเหมือนช่วงก่อนโควิดก็ตาม

 ดังนั้นสิ่งที่เป็นความท้าทายสำคัญของตลาดโรงแรมในปี 2567 ก็คือจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับก่อนสถานการณ์โควิดได้หรือไม่ พิจารณาจากอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 75% เท่านั้น 

“ตลาดโรงแรมสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างสดใส ราคาห้องพักต่อคืนเพิ่มขึ้นสูงมาก สูงกว่าช่วงโควิดเสียอีก แต่ในขณะเดียวกันค่าต้นทุนการดำเนินงาน (Operation Cost)  เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าไฟ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกว่าสัดส่วนของกำไร ดังนั้นในปี 2567 ความท้าทายที่สำคัญจึงอยู่ที่จำนวนนักท่องเที่ยวว่าจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับช่วงก่อนสถานการณ์โควิดเมื่อไหร่ เพื่อทำให้ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมกลับมามีผลกำไรอยู่ในจุดที่น่าพอใจ” คาร์ลอส กล่าว

ออฟฟิศซัพพลายล้น-อาคารสีเขียวโตรับESG

ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกอาคารสำนักงาน  กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานเข้าสู่ช่วงที่ท้าทายอย่างมาก จากแนวโน้มการเข้าถือครองพื้นที่ลดลง โดยที่จำนวนซัพพลายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เริ่มเข้าสู่ภาวะซัพพลายล้นตลาด

“แม้ว่าจะมีความต้องการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากภายในปี 2566 แต่ก็ยังไม่ทันกับจำนวนซัพพลายที่เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้มีการแข่งขันของอาคารสำนักงานสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้เช่าที่มีตัวเลือกมากขึ้น”

ทั้งนี้ ปี 2566 ต่อเนื่อง 2567 มีสัญญาณที่ดีจากบริษัทข้ามชาติที่ต้องการการย้ายฐานบริษัทเข้ามาดำเนินงานในไทย โดยเฉพาะบริษัทจากประเทศจีนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับรถ EV เริ่มเข้ามาหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานในไทย โดยรัชดาเป็นทำเลที่อยู่ในเป้าหมาย ส่วนบริษัทคนไทยก็เริ่มขยับขยายใช้พื้นที่สำนักงานเพื่อประกอบกิจการมากขึ้น เพราะเป็นมีส่วนสำคัญต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในการดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถเข้าร่วมงาน 

  อายุธพร บูรณะกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์พื้นที่สำนักงานบริการสำหรับโครงการ  กล่าวว่า  แนวโน้มความต้องการอาคารสำนักงานที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืนมากขึ้น (ESG : Environment Social และ Governance) เช่น ตึก Green Building ที่กำลังได้รับความนิยม รวมถึง พื้นที่ออฟฟิศที่เน้น Work life balance มากขึ้น

นอกจากผู้เช่าจะมองหาอาคารที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนแล้ว ยังพบแนวโน้มของธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการที่ปรึกษาด้านคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อสอดรับกับทิศทางของธุรกิจในอนาคต ซึ่งทางไนท์แฟรงค์ก็มีทีมงานที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้คอยให้คำปรึกษากับลูกค้าด้วย 

ที่อยู่อาศัย เติบโตแบบชะลอตัว 

 แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย กล่าวว่า ปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยยังเผชิญกับปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน หรือ  Reject rate และ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบ ทำให้การพัฒนาโปรดักท์ระดับต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจจะไม่ตอบโจทย์มากนัก ในขณะที่กลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ

สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ ในส่วนของตลาดบ้านนั้นเริ่มเข้าสู่ภาวะเติบโตแบบชะลอตัวเพราะเป็นตลาดเรียลดีมานด์ (Real Demand) ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ถึงแม้ความต้องการยังมีอยู่ แต่ความต้องการนั้นเริ่มตามไม่ทันกับซัพพลายที่ออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการขายบ้านในภาพรวมจะอยู่ที่ 4,000 หลังในปี 2567 

ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2566  ในภาพรวมมีจำนวนเปิดขายที่ 745,335 ยูนิต ขายไป 527,067 ยูนิต คิดเป็น 70.7% โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 145,000 บาทต่อ ตร.ม. และหากดูยอดขายที่เปิดขายใหม่ในแต่ละไตรมาสนั้นจะพบว่าสามารถทำยอดขายไปได้กว่า 30 % เท่านั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่กลับไปแตะระดับ 40% เหมือนที่เคยทำได้ในช่วงต้นปี 2566

โดยเฉพาะอย่างตลาดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาในระดับนี้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดระดับราคา 10-15 ล้านบาท ยังสามารถทำยอดขายได้ดี 

“จากข้อมูลพบว่า ผู้ซื้อในตลาดราคาระดับนี้ไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องรีบซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายก็สามารถปิดอยู่ที่ 80% ของที่เปิดขายอยู่ 7,000 ยูนิตแต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมเพราะจำนวนเปิดขายใหม่ถือว่าค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับที่มีอยู่เดิมในตลาด” แฟรงค์ กล่าว

  ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ ยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้มั่งคั่งในไทย โดยไนท์แฟรงค์สามารถกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาทในปี 2566 และในปี 2567 ก็ยังคงมีความต้องการจากมหาเศรษฐีไทยที่ต้องการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์จากประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ออริจิ้นปรับโครงสร้างกลุ่มคอนโดผุด14โครงการใหม่มูลค่า2หมื่นล.

ออริจิ้น ปรับโครงสร้างกลุ่มคอนโด “ออริจิ้น เวอร์ติเคิล” เผยแผนปี 67 เปิดคอนโดใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 3.6 หมื่นล้าน

นายเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม เป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีสินค้าครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนท์

ภายใต้ 3 บริษัทหลัก ได้แก่ 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2.บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดในจังหวัดเศรษฐกิจและท่องเที่ยวสำคัญ 3.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดลักชัวรี โดยมีโครงการสะสมสิ้นปี 2566 รวม 117 โครงการ 56,977 ยูนิต มูลค่า 189,437 ล้านบาท มียอดขายในปี 2566 ถึง 34,704 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 16%

ออริจิ้น ได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดจาก 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน รวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหาร การออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค

“การปรับโครงสร้างครั้งนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนในแบรนด์มากขึ้น และไม่เกิดความซับซ้อนในการพัฒนาและออกสินค้า แม้อยู่ในทำเลเดียวกัน ส่วนจะนำออริจิ้น เวอร์ติเคิล เข้าตลาดในช่วง 4-5 ปีนี้ จะยังไม่มีแนวคิดดังกล่าวเพราะออริจิ้น เวอร์ติเคิล ยังสร้างรายได้หลักให้ออริจิ้น โดยมี สัดส่วนรายได้จากกลุ่มคอนโด 50% คาดว่าในปี 2567 สัดส่วนจากคอนโดจะยังอยู่ที่ 40% แต่อนาคตสัดส่วนรายได้ของกลุ่มอสังหาฯ เพื่อขายลดลงเหลือ 35% หันไปให้กับธุรกิจบริการเพิ่มขึ้น ”

นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวเสริมว่า กลยุทธ์ธุรกิจปีนี้ ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าในทำเลนั้นๆ 2.Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโด 3.Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ บริการต่างๆ เชื่อมโยงคุณภาพชีวิตของผู้คน

ปีนี้มีแผนเปิดคอนโดใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรก 5 โครงการ มูลค่ารวม 9,680 ล้านบาท ได้แก่ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ, ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์, ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น ทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ นอกจากนี้มีอีก 2 โครงการในภูเก็ต ได้แก่ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช และ ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต

นายกฤษณ์ เตชะสัมมา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด กล่าวว่า ปีนี้เน้นบุกตลาดผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส ระดับราคา 2 ล้านบาท ดิ ออริจิ้น ราคา 3 ล้านบาท โซ ออริจิ้น คอนโดสไตล์บูทีค ราคา 5-8 ล้านบาท  และ พาร์ค ออริจิ้น คอนโดลักชัวรีราคา 8-30 ล้านบาท คาดทั้ง 4 แบรนด์ จะเข้าถึงตลาดทั้งเจน Z เจน Y รวมทั้งลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน และลูกค้าต่างชาติ ปี 2567 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันที่ 18,000 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 13ก.พ. ที่ระดับ 35.88 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทระหว่างวันอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น จับตาายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนมกราคมในวันนี้

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 13ก.พ. 2567 ที่ระดับ  35.88 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.89 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ โดยภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนนี้ได้เช่นกัน

 นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งก็สามารถกดดันให้นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาทยอยขายหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ดี หากเงินบาทผันผวนอ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง

เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าต่อเข้าใกล้โซน 36.15 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ทั้งผู้ส่งออก รวมถึงผู้เล่นต่างชาติที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ก็อาจทยอยขายเงินดอลลาร์หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB ในช่วงดังกล่าวซึ่งจะเป็นโซนแนวต้านระยะสั้นถัดไป

อนึ่ง ในช่วงนี้ เงินบาทเริ่มกลับมาผันผวนสอดคล้องกับบรรดาสกุลเงินในฝั่งเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะ เงินหยวนจีน (CNY) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้ต้องจับตาทิศทางของสกุลเงินฝั่งเอเชียดังกล่าวเช่นกัน โดยเราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนจีนอาจเป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากทางการจีนได้พยายามประคองเงินหยวนในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ขณะที่เงินเยนญี่ปุ่น กลับเป็นสกุลเงินที่เราประเมินว่า อาจมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าได้บ้าง ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ ซึ่งอาจย้ำจุดยืนไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย หรือ ขึ้นดอกเบี้ย น้อยกว่าที่ตลาดกำลังประเมินอยู่ (ล่าสุด ตลาดมองว่า BOJ อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ราว 3-4 ครั้งในปีนี้)

เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.00 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

และประเมินกรอบในช่วง 35.75-36.15 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.84-35.95 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากโดยรวมเงินดอลลาร์ก็แกว่งตัวในกรอบ เพื่อรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนวันอังคารนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (the Magnificent 7) อาทิ Microsoft -1.3%, Amazon -1.2% หลังจากที่หุ้นกลุ่ม The Mag. 7 ได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันอังคาร

ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม แม้ว่าโดยรวมรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ที่ทยอยประกาศออกมาจะดูสดใสก็ตาม

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.54% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม L’ Oreal +2.4% และ LVMH +1.8% ที่ยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาสดใส ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่มการเงินก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังเผชิญแรงขายในช่วงก่อนหน้า จากรายงานผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB)

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้าง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบก็มีส่วนช่วยหนุนบอนด์ยีลด์ ทว่าบรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ทำให้โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นจนทะลุระดับ 4.20% และ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.18%

อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ยังมีโอกาสที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อจนทะลุระดับ 4.20% ได้ไม่ยาก หากผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยหลายครั้งของเฟด ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและดีกว่าคาด หรือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงช้ากว่าคาด

ดังนั้น เราจึงขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return ซึ่งหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้น ทะลุระดับ 4.20% ไปได้ ก็จะมีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อเป็นอย่างมาก

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย รวมถึงบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ก็ยังไม่รับปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104-104.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น 2,020-2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่รีบาวด์ขึ้นบ้างและแกว่งตัวใกล้ระดับ 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงนี้ ได้เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจปรับตัวลดลงต่อ เร็วและแรง เหมือนในช่วงปลายเดือนกันยายนได้ โดยหากราคาทองคำปรับฐานต่อเนื่อง ก็อาจย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับถัดไปแถว 2,015 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และจะมีโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวรับหลักเชิงจิตวิทยา

 สำหรับวันนี้ เราประเมินว่า ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตา คือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนมกราคม โดยหากอัตราเงินเฟ้อ CPI ชะลอตัวลงต่อเนื่อง (จับตาที่โมเมนตัมอัตราเงินเฟ้อ แบบ %m/m, %3m เทียบรายปี และ %6m เทียบรายปี) และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่เป้าหมาย 2% ของเฟดได้ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจต่อคาดการณ์แนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟด ที่ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤษภาคม และ

อาจลดดอกเบี้ยราว -125bps หรือ 5 ครั้ง แต่หากอัตราเงินเฟ้อกลับเร่งตัวขึ้น หรือไม่ได้ชะลอตัวที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจยิ่งกดดันให้ ผู้เล่นในตลาดต้องกลับมาประเมินใหม่ว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ย และเฟดก็อาจลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดเท่านั้น (ลด 3 ครั้ง และอาจเริ่มการลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน) ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็อาจยิ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน อาทิ ข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ และดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดย ZEW ของเยอรมนี และยูโรโซน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของทั้ง BOE และ ECB

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.81-35.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.33 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.88 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังขาดแรงหนุนใหม่ๆ เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาในคืนวันนี้อย่างใกล้ชิด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.70-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟด และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


หนุ่มไทยเปิดหัวชนสิงคโปร์-ทีมหญิงดวลยูเออีแบดมินตันทีมเอเชีย 2024

ในส่วนของทีมชายของไทย อยู่ในสายซี ร่วมกับ ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และเมียนมา จะลงสนามแมตช์แรกพบ สิงคโปร์ ในวันอังคาร ที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 16.00 น. (เวลาไทย) ส่วนแมตช์สอง พบ เมียนมา วันพุธ ที่ 14 ก.พ.นี้ เวลา 12.00 น. และแมตช์ 3 พบ ญี่ปุ่น วันพฤหัสบดี ที่ 15 ก.พ.นี้ เวลา 16.00 น. โดยรอบนี้ จะนำอันดับที่ 1 และ 2  เข้าไปแข่งขันในรอบน็อคเอาท์ ซึ่งเป็นรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต่อไปในวันศุกร์ ที่ 16 ก.พ.นี้ ต่อไป 

ด้านทีมหญิงของไทย อยู่ในสายวาย ร่วมกับ มาเลเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทีมสาวไทยจะประเดิมนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม กับ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ วันอังคาร ที่ 13 ก.พ.นี้ เวลา 08.00 น. (เวลาไทย) จากนั้นจะลงเล่นนัดที่สอง กับ มาเลเซีย วันที่พฤหัสบดี ที่ 15 ก.พ.นี้ เวลา 08.00 น. โดยอันดับ 1 และ 2 ของสาย จะได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศต่อไปในวันศุกร์ ที่ 16 ก.พ.นี้ ต่อไป

สำหรับรายชื่อนักกีฬาแบดมินตันไทย ประเภททีมชาย นำทัพโดย พณิชพล ธีระรัตน์สกุล, พรรคพล ธีระรัตน์สกุล, วรพล ทองสง่า พร้อมด้วย  ภูริทัต อารีย์, ภรัณยู ขาวสำอางค์, ธนดล พันธ์พานิช, วชิรวิทย์ โสทน, พีรัชชัย สุขพันธ์,  ธนวัฒน์ ยิ้มจิตต์ และ วงศ์ทรัพย์ วงศ์ทรัพย์อินทร์

ด้านทีมหญิง นำทัพโดย นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด และ  เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่พี่น้อง เจ้าของแชมป์หญิงคู่ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024 พร้อมด้วย บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธ์, ศุภนิดา เกตุทอง, จงกลพรรณ กิตติธรากุล, รวินดา ประจงใจ, ลลินรัตน์ ไชยวรรณ, ลักษิกา กัลละหะ, ธิดาพร กลีบยี่สุ่น และ ผไทมาส เหมือนวงศ์

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


“งูสวัด” กับ 3 สิ่งยอดฮิตที่คุณอาจเข้าใจผิดมาโดยตลอด

โรคงูสวัด เป็นโรคที่เป็นที่รู้จักกันตั้งแต่เรายังเด็กๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วเราอาจจะเคยเห็นเพื่อนเป็น ญาติของเราเป็น หรือเราอาจจะเป็นเองโดยมีอาการที่เห็นกันชัดๆ คือ มีตุ่มพุพอง หรือมีน้ำใสๆ อยู่ข้างใน ขึ้นตามบริเวณของร่างกา ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา หน้าปก แผ่นหลัง หรือใบหน้า และอาจมาพร้อมกับการมีไข้

แม้ว่าตอนเด็กๆ เป็นแล้วเราจะห่วงเรื่องของแผลเป็นที่อาจฝากรอบทิ้งเอาไว้บนร่างกาย แต่ที่น่ากังวลกว่า คือโรคงูสวัดในคนชรา ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา กล่าวว่า โรคงูสวัดอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตผู้ป่วย อาทิ เกิดอาการเหน็บชา ขยับร่างกายไม่ได้ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ซึมเศร้า วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน สูญเสียความมั่นใจ ไม่อยากเข้าสังคม และยิ่งผู้ป่วยมีอายุมาก อาการก็อาจจะรุนแรงตามไปด้วย และอาจเรื้อรังเป็นแรมปี

โรคงูสวัด คืออะไร?

อาจารย์ พญ. อรพิชญา ไกรฤทธิ์ หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า “โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใสที่หลบซ่อนอยู่ในปมประสาทใต้ผิวหนังหลังจากมีการติดเชื้อชนิดนี้ครั้งแรก โดยเชื้อไวรัสจะแฝงตัวอยู่เป็นเวลานานหลายสิบปี จนเมื่อใดที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะจากการที่อายุมากขึ้น เชื้อที่แฝงตัวอยู่จะกระจายตัวตามปมประสาททำให้เส้นประสาทถูกทำลาย โดยจะแสดงอาการออกมาเป็นผื่นแดงและตุ่มน้ำใสๆ เรียงตัวเป็นกลุ่มตามแนวเส้นประสาท ซึ่งผู้ป่วยจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการที่ตามมา นั่นคืออาการปวดแสบปวดร้อนตรงบริเวณผิวหนัง แม้บางครั้งถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ซึ่งอาการปวดดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันโดยตรง ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการนอนได้”

อาการของโรคงูสวัด

อาการของโรคงูสวัดจะเริ่มจากการปวดแสบร้อนบริเวณชายโครง, ใบหน้า และแขน เมื่อผ่านไปได้สัก 2-3 วันจะมีผื่นแดงขึ้นตรงบริเวณที่ปวดแสบและกลายเป็นตุ่มน้ำใส โดยผื่นมักเรียงกันเป็นกลุ่มหรือเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท ตามปกติผื่นอาจจะหายเองได้ภายใน 2 สัปดาห์

ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด

โรคงูสวัดอาจหายได้เองโดยไม่มีอันตรายใดๆ มาก แต่หากมีอาการแทรกซ้อน อาจทำให้เป้นอันตรายต่อร่างกายได้มากกว่าเดิม เช่น อาการปวดเรื้อรังอีก 3-12 เดือน การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณตา ภาวะแทรกซ้อนทางหู หรืออาจรุนแรงระดับปอดอักเสบและเยื้อหุ้มสมองอักเสบที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนพบมากถึงร้อยละ 50 ของผู้ป่วยอายุเกิน 50 และมากกว่าร้อยละ 70 ในผู้ป่วยอายุเกิน 70 ปี

“งูสวัด” กับ 3 สิ่งยอดฮิตที่คุณอาจเข้าใจผิดมาโดยตลอด

  1. งูสวัด พันรอบเอวแล้วจะเสียชีวิต?

    ตอบ ไม่จริง 
    โรคงูสวัดจะก่อให้เกิดผื่นขึ้นเพียงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย แต่ในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอาจลุกลามมากกว่าปกติ และเสี่ยงต่อชีวิต โดยเฉพาะหากมีอาการติดเชื้อซ้ำซ้อน
  2. เคยเป็นงูสวัดแล้ว จะไม่เป็นซ้ำอีก?

    ตอบ ไม่จริง 
    แม้ว่าโดยส่วนใหญ่ โรคงูสวัดจะไม่เป็นซ้ำอีก แต่หากร่างกายอยู่ในสภาวะอ่อนแอ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ ก็มีโอกาสที่จะเป็นซ้ำได้

  3. เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแล้ว สามารถป้องกันโรคงูสวัดได้ ไม่ต้องฉีดวัคซีนซ้ำ?

    ตอบ ไม่จริง 
    เราสามารถฉีดวัคซีนโรคงูสวัดเพิ่มได้ เพราะถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส กับโรคงูสวัดจะเป็นชนิดเดียวกัน แต่สำหรับวัคซีนโรคงูสวัด จะมีความเข้มข้นมากกว่าวัคซีนโรคอีสุกอีใสถึง 14 เท่า ดังนั้นถึงแม้ว่าวัคซีนทั้งสองชนิดจะสามารถปกป้องร่างกายจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้

ดังนั้น หากสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคงูสวัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และหากใครที่ยังไม่เคยเป็นโรคงูสวัด หรือไม่อยากเป็นซ้ำเพราะมีความเสี่ยง สามารถสอบถามแพทย์เพื่อขอรับวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เคล็ดลับเตรียมพร้อม ก่อนถึงวัน พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ

อาจมีบางคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า Preparation is everything. (การเตรียมตัวคือคำตอบของทุกเรื่อง) แสดงให้เห็นว่าก่อนจะทำอะไรสักอย่างต้องมีการเตรียมตัวที่ดี รวมถึงการ พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ ด้วย หลายคนอาจกังวลเมื่อต้องนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษ ความกังวลอาจทำให้เกิดความตื่นเต้น ส่งผลให้การนำเสนองานออกมาไม่ดี ถ้าทั้งหมดนี้คือความกลัวของเพื่อน ๆ วันนี้เรามีเคล็ดลับมาให้ครับ ด้วย 4 เคล็ดลับง่าย ๆ ต่อไปนี้น่าจะทำให้การนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษของเพื่อน ๆ ทำออกมาได้อย่างราบรื่น

ลำดับเนื้อหาให้ดี เพื่อความชัดเจน

สิ่งสำคัญของการนำเสนองานคือเนื้อหา ซึ่งเนื้อหาที่ดี นอกจากจะทำให้ผู้ฟังได้รับรู้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ยังทำให้การนำเสนอเป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื้อหาที่ดีต้องมีการลำดับเรื่องราวอย่างชัดเจน เช่น เริ่มด้วยการเกริ่นนำ เนื้อหาหลัก และสรุป ในส่วนของเนื้อหาหลัก แน่นอนว่าในการนำเสนองานด้วย ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน อาจมีหลายหัวข้อย่อย หากไม่จัดลำดับให้ชัดเจน เนื้อหาจะสับสนวุ่นวาย วิธีจัดลำดับที่ดีที่สุดคือการทำ Outline วิธีนี้นอกจากทำให้การเตรียมข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังช่วยในการทำสไลด์นำเสนองานด้วย หากทำ outline ชัดเจน สื่อนำเสนอเช่น PowerPoint ที่ทำออกมาก็จะมีความต่อเนื่องทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายตามไปด้วย

จดโน้ตไว้เพื่อไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญ

เมื่อต้องพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษ สิ่งที่หลายคนกังวลคือกลัวจะลืมเรื่องที่จะพูดระหว่างการนำเสนอ ทำให้หลายคนเลือกเขียนบทพูดไว้และนำไปด้วยตอนนำเสนองาน บางครั้งจึงกลายเป็นการอ่านมากเกินไป ซึ่งวิธีแบบนี้เราไม่แนะนำ ทางเลือกที่ทำได้คือการจดโน้ตย่อซึ่งอาจเป็นเพียงชื่อหัวข้อและลำดับหัวข้อย่อยต่าง ๆ เท่านั้น เพื่อให้ไม่ลืมลำดับเรื่องที่จะพูด รวมถึงอาจจดคำศัพท์สำคัญในหัวข้อนั้นและชื่อเฉพาะต่าง ๆ ไว้ด้วย เช่น หากจะนำเสนอเรื่อง Food Allergy (การแพ้อาหาร) ซึ่งมี 3 หัวข้อหลัก เราอาจจะจดโน้ตไว้ว่า

Food Allergy:

  • Causes and Symptoms of Food Allergy

(ในส่วนนี้อาจโน้ตคำศัพท์อาการของการแพ้อาหารที่เราไม่คุ้นเคยไว้ด้วย)

  • Types of Food allergy

(อาจจดชื่อเรียกประเภทการแพ้และอาหารที่พบอาการแพ้ได้บ่อยเอาไว้กันลืม)

  • Treatment and Medical Advice

(อาจโน้ตชื่อยาเอาไว้เพื่อให้อธิบายได้ถูกต้อง)

ซ้อมเสมือนจริงเพื่อความมั่นใจ

ก่อนถึงวันที่จะ พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ ทุกอย่างต้องพร้อม และควรมีการซ้อมอย่างน้อยหนึ่งรอบเพื่อความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใครที่รู้สึกว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ดี การซ้อมจะช่วยได้มาก หากเป็นงานกลุ่มซึ่งมีตัวแทนนำเสนอ การซ้อมควรเป็นการให้ตัวแทนพูดและทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ฟังเพื่อให้ความเห็นก่อนที่จะนำเสนอในวันจริง แต่หากเป็นการนำเสนองานคนเดียว การบันทึกเสียงไว้และมาเปิดฟังเพื่อเน้นในช่วงที่ยังพูดติดขัดอยู่และลองซ้อมใหม่โดยเน้นไปยังจุดที่มีปัญหา ก็จะช่วยให้การพรีเซนต์ในวันจริงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

มีประโยคพื้นฐาน ไว้ นำเสนองานได้อย่างอุ่นใจ

แม้ว่าการพรีเซนต์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เนื้อหาซึ่งเพื่อน ๆ ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่คงจะดีหากมีประโยคพื้นฐานเอาไว้บ้าง วันนี้เราเตรียมมาให้แล้วครับ โดยแบ่งออกเป็น 3 สถานการณ์คือ

  • เกริ่นนำเข้าสู่เรื่อง:

– Good afternoon everyone and welcome to my presentation. Today I’d like to talk about … / Our topic today is …

(สวัสดีครับทุกคน ขอต้อนรับสู่การนำเสนองานของผม วันนี้ผมจะมาพูดเรื่อง / หัวข้อของวันนี้คือ …)

  • ลำดับหัวข้อพรีเซนต์:

– Let me start with …

(ผมขอเริ่มต้นด้วย …)

– Let’s move on to the next topic.

(ต่อกันที่หัวข้อต่อไปได้เลยครับ)

– Our last topic for today is …

(หัวข้อสุดท้ายของวันนี้คือ …)

  • เปิดโอกาสให้ถาม:

– If you have any questions, I’d be happy to answer them.

(หากคุณมีคำถามอะไรก็ตาม ผมยินดีที่จะตอบครับ)

  • จบการพรีเซนต์งาน:

– This is the end of my presentation. Thank you for your kind attention.

(ผมขอจบการพรีเซนต์เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกคนครับ)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ทำไมหน้าต่างเครื่องบินเป็นทรงกลม และรูเล็กๆ บนหน้าต่างคืออะไร มีไว้ทำไม

การมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินขณะเดินทางนั้นช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ยิ่งถ้าคุณไม่ใช่นักบินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คงไม่ได้เห็นภาพมุมสูงของก้อนเมฆ ภูเขา หรือเมืองต่างๆ ทุกวันอย่างแน่นอน เคยคิดถึงแรงดันที่กระทำกับบานหน้าต่างบานบางนั้น ที่คั่นระหว่างคุณกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั่นหรือไม่?

โชคดีที่วิศวกรผู้ออกแบบเครื่องบินคำนึงถึงคำถามเกี่ยวกับฟิสิกส์เหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้เครื่องบินเป็นรูปแบบการขนส่งที่ปลอดภัยมาก นั่นคือเหตุผลที่คุณอาจสังเกตเห็นรูเล็กๆ บนหน้าต่างเครื่องบินทุกบาน รูนี้เรียกว่า “รูระบายแรงดัน” (bleed hole) เป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้างหน้าต่าง เพราะช่วยควบคุมแรงดันอากาศ

ความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศที่ลดลงตามระดับความสูงเมื่อเราเดินทางขึ้นไปบนที่สูง ความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศจะลดลงตามไปด้วย สภาพแวดล้อมที่มีความดันอากาศต่ำและออกซิเจนจำกัดนั้นไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเครื่องบินจึงต้องมีระบบปรับความดันอากาศ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสารให้เหมาะสมต่อการหายใจและความสะดวกสบายของผู้โดยสาร

หน้าต่างของเครื่องบินจึงได้รับการออกแบบเป็นทรงกลมเพราะแรงดันจะกระจายตัวได้สม่ำเสมอมากกว่ารูปทรงอื่น นอกจากนี้ยังมีรูระบายอากาศเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ช่วยลดแรงดันที่กระทำต่อหน้าต่าง ช่วยทำให้อากาศไหลเวียนระหว่างภายในและภายนอกเครื่องบินทำได้ดี รูระบายอากาศ นอกจากช่วยปรับสมดุลความดันอากาศ ยังช่วยระบายความชื้นระหว่างชั้นหน้าต่าง ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าหรือเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณถ่ายรูปบนเครื่องบิน อย่าลืมขอบคุณรูระบายอากาศเล็กๆ นี้ ที่ช่วยให้หน้าต่างใสแจ่มและมั่นใจในความปลอดภัยของคุณ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 วิธีที่คนญี่ปุ่นใช้เปลี่ยนส้มเปรี้ยวให้หวานขึ้นได้ดั่งใจ

ส้มญี่ปุ่นโดยเฉพาะส้มมิคัง (みかん) หรือส้มแมนดาริน เป็นส้มที่หารับประทานได้ง่ายในช่วงฤดูหนาวเพื่อเสริมความแข็งแรงของร่างกายจากวิตามินซี อย่างไรก็ดี ส้มที่ซื้อมาบางครั้งก็มีรสเปรี้ยวมากจนไม่อยากรับประทาน มารู้วิธีการที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าจะช่วยให้ส้มเปรี้ยวมีรสหวานมากขึ้นอย่างง่ายดายกันค่ะ

การนวดกลึงเบาๆ

วิธีการนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่คนญี่ปุ่นทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยใช้นิ้วมือนวดกลึงส้มเบาๆ ประมาณ 50 ครั้ง และวางไว้ 2-3 ชั่วโมงก่อนนำมารับประทาน การนวดกลึงทำให้ส้มอุ่นขึ้นและช่วยกำจัดเอากรดซิตริกซึ่งทำให้เกิดรสเปรี้ยวในส้มออกไป ทำให้ส้มมีรสหวานมากขึ้น

แช่ในน้ำอุ่น

วิธีการนี้ทำได้โดยนำส้มแช่ในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-15 นาที และป้องกันไม่ให้ส้มลอยขึ้นมาเหนือน้ำด้วยการใช้จาน ฝาหม้อ หรือตะแกรงปิดไว้  น้ำอุ่นทำให้เอนไซม์ชื่ออะคอนิเตส (Aconitase) ในส้มทำงานเพื่อสลายกรดซิตริก ซึ่งทำให้ส้มมีรสชาติหวานขึ้น หากต้องการให้ส้มหวานและปอกง่ายขึ้นก็ให้นำส้มที่แช่น้ำอุ่นแล้วมาแช่ตู้เย็นประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนนำมารับประทาน

ให้ความร้อนโดยไมโครเวฟ

วิธีการนี้ทำได้โดยใช้มีดตัดเอาผิวเปลือกส่วนบนของส้มออก แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 500 วัตต์ เป็นเวลา 30 วินาที การตัดเอาผิวเปลือกของส้มออกเพื่อป้องกันไม่ให้ส้มระเบิดตอนไมโครเวฟ หากต้องการเพิ่มความหวานของส้มให้มากขึ้นก็ให้ไมโครเวฟเพิ่มทีละ 10 วินาที อีก 2-3 ครั้ง และนำส้มแช่ตู้เย็นประมาณ 30 นาที เพื่อเพิ่มรสหวานและทำให้ปอกส้มได้ง่ายขึ้น

นำไปย่าง

วิธีการนำส้มมาย่างทำได้โดยการย่างในเตาอบขนมปังหรือบนเตาถ่านจนผิวเปลือกส้มมีสีดำ การย่างนอกจากจะทำให้ส้มหวานขึ้นแล้ว สารอาหารที่อยู่ในเปลือกส้มจะซึมเข้าไปในเนื้อส้ม จึงเป็นการเพิ่มคุณค่าสารอาหารให้มากขึ้นด้วย ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยจากสารฆ่าแมลงก็ควรนำส้มมาล้างให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนนำมาย่าง

บ่มรวมกับแอปเปิ้ล

อีกวิธีการง่ายๆ เพื่อให้ส้มมิคังมีรสหวานขึ้น คือการนำส้ม 2-3 ผลมาใส่ในถุงพลาสติกรวมกับแอปเปิ้ลและปิดปากถุงให้สนิท แก๊สเอทิลีนที่แอปเปิ้ลผลิตขึ้นจะชักนำให้ส้มเกิดกระบวนการสุกนิ่มและมีรสชาติหวานขึ้น โดยเวลาการบ่มร่วมกันนั้นใช้เวลาประมาณ 1-2 วันหรือจนกว่าส้มจะนิ่ม นอกจากแอปเปิ้ลแล้วก็สามารถใช้กล้วยและกีวี่บ่มร่วมกับส้มได้เช่นกัน

คนญี่ปุ่นใช้วิธีการข้างต้นเพื่อทำให้ส้มมิคังหรือแมนดารินที่มีจำหน่ายมากในช่วงฤดูหนาวหวานอร่อยขึ้น วิธีการดังกล่าวน่าจะนำไปใช้กับส้มเขียวหวานหรือส้มที่มีรสเปรี้ยวบ้านเราได้ ใครลองแล้วได้ผลเป็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/02/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,150.0034,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,212.0033,533.9234,750.00
ทองรูปพรรณ 90%1,990.8030,180.53n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,769.6026,827.14n/a
ทองรูปพรรณ 50%995.0015,084.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%774.0011,733.84n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,292.0034,746.72n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/02/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.9537.9538.2537.9537.9537.9537.9537.9537.9537.95
แก๊สโซฮอล์ 9136.1836.1836.6836.1836.1836.1836.1836.1836.1836.18
แก๊สโซฮอล์ E2035.8435.8436.3435.8435.8435.8435.8435.8435.84
แก๊สโซฮอล์ E8535.9935.9935.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.3449.9449.9449.9445.34
เบนซิน 9545.8447.0146.3445.9945.84
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า