สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 มกราคม 2567

บ้านต่ำ 3 ล้านน่าห่วงกู้ไม่ผ่านสูง ฉุดตลาด-เศรษฐกิจ อสังหาฯ เผชิญมรสุมหนัก

ศุภาลัย กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 67 เผชิญหลายมรสุม ดอกเบี้ยสูง ปัญหาหนี้ครัวเรือน หุ้นกู้ ลููกค้าตลาดล่างน่าห่วง “กู้ไม่ผ่าน” พุ่งสูง ฉุดตลาดรวม เศรษฐกิจ

ขณะที่ “หุ้นกู้” คนไม่เชื่อมั่น ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับใช้โปรเจกต์โลนกับสถาบันการเงินแทน แย้มสัญญาณบวกครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยมีโอกาสลดลง แนะรัฐเร่งปรับแก้กฎหมายดึงกำลังซื้อต่างชาติ 

วิกฤติเชื่อมั่นทุบหุ้นกู้สะเทือนยาว

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จัดเวทีสัมมนา KKP YEAR AHEAD 2024 วานนี้ (22 ม.ค.) ระดมกูรูในแวดวงต่างๆ ฉายภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย โดยหัวข้อ “Real Estate Outlook 2024 : Navigating Challenges เจาะลึกการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ฝ่าความท้าทายปี 2567”  มีวิทยากรร่วมเสวนา นำโดย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และ นางจิราภรณ์ ลินมณีโชติ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บล.เกียรตินาคินภัทร ร่วมด้วย นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ KKP Research บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567 ท่ามกลางหลายปัจจัยเสี่ยงทั้งต้นทุน ดอกเบี้ยสูง ปัญหาหนี้ของคนไทย และหุ้นกู้

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีทิศทางทรงตัว และคงไม่ฟื้นกลับมาเหมือนปี 2565 เนื่องจากบ้านแนวราบยังมีสต็อกบางส่วนค้างอยู่ในระบบต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะบ้านที่เจาะตลาดระดับบน ส่วนตลาดที่กลับมาดี คือ คอนโดมิเนียม ฟื้นตัวในบางทำเล

สำหรับกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลาง มีทิศทางขยายตัวดีอยู่ โดยเฉพาะบ้านแนวราบ ราคา 5-7 ล้านบาท แต่ตลาดล่าง ที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท พบปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่านจำนวนมาก เนื่องจากคนไทยมีปัญหาภาระหนี้สะสมต่อเนื่องหลายปี

“ปัญหาการกู้ไม่ผ่านของลูกค้าในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เป็นแนวโน้มต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว กลายเป็นปัญหาที่มีผลกระทบของทุกภาคธุรกิจ ไม่เฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว”

ขณะที่ซัพพลายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่น่ากังวลว่าจะเกิดปัญหาโอเวอร์ชัพพลาย ทั้งตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม โดยประเมินตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่จะใกล้เคียงกับปีก่อน โดยตลาดที่มีการเปิดตัวเข้ามาสู่ตลาดจำนวนมากจะเป็นเมืองท่องเที่ยว สามารถฟื้นตัวเร็วหลังผ่านโควิดแล้ว

ออกหุ้นกู้สะดุดยกเว้นรายใหญ่ไปต่อได้

สำหรับตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อตลาดโดยรวม คือ การออกหุ้นกู้  ซึ่งประเมินว่าในปี 2567 ผู้ประกอบการไม่สามารถออกหุ้นกู้ได้จำนวนมากเหมือนช่วง 2-3 ปีก่อน โดยปรับมาใช้การกู้เงินด้วยวิธีโปรเจกต์โลนจากสถาบันการเงินแทน 

“แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งที่ดี รวมถึง ศุภาลัย ยังสามารถออกหุ้นกู้ได้ต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ประเมินว่าจากความแตกต่างเรื่องแหล่งทุนในการนำมาลงทุน จะทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ขยายส่วนแบ่งการตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ขณะที่รายเล็กจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่น้อยลง ประเมินว่าภาพแบบนี้จะเห็นชัดเจนมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

เทรนด์ซื้อบ้านลดลง-สนใจเช่ามากขึ้น

ขณะที่เทรนด์ใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่น่าติดตามต่อไป มีทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง “ลดลง” และสนใจ “เช่า” อยู่อาศัยมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องประเมินว่าจะปรับตัวอย่างไรต่อไป รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  ซึ่งมองเห็นแนวโน้มที่ตลาดนี้จะสนใจคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ 200-300 ตร.ม. มากขึ้น ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้อีกตลาดที่น่าสนใจ คือ การพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 70,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร  เนื่องจากมีความต้องการของกลุ่มคนทำงานสูงมาก แต่ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาโครงการใหม่ออกมาสู่ตลาด ส่วนใหญ่กำหนดราคามากกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร เนื่องจากต้นทุนในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องประเมินว่าจะสามารถปรับแผนอย่างไร เพื่อหาโอกาสจากตลาดนี้ หรือ การหาโอกาสจากตลาดเฉพาะ หรือ  “นิช มาร์เก็ต” ที่มีศักยภาพ

อสังหาฯ ปี 67 ขยายตัวต่ำตามจีดีพี

นางจิราภรณ์ ลินมณีโชติ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 มีหลายปัจจัยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดทั้ง 1.การขยายตัวของจีดีพีประเทศไทย ประเมินไว้ที่ 3.7% มีความสัมพันธ์กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากจีดีพีขยายตัวสูงตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์จะโตสูงตาม แต่หากจีดีพีขยายตัวต่ำยอดขายในตลาดจะลดลงตาม ทั้งนี้ ผลการวิจัยของเกียรตินาคินภัทร ประเมินในปีนี้ภาพรวมยอดพรีเซลของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดจะเติบโต 5% ส่วนยอดพรีเซลของทั้งตลาดรวมจะไม่ขยายตัวเท่านี้ และส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีมากขึ้น

รวมถึง 2.แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศ โดยที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยกู้บ้านเพิ่มขึ้นไม่มาก และอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อตลาดบ้าน ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศเพิ่มขึ้น จะให้อัตราการเติบโตของบ้านลดลง เห็นได้จากในปี 2566 ยอดการโอนบ้านลดลง แต่หากประเมินอัตราดอกเบี้ยไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มีทิศทางที่จะปรับลดลงแล้ว จึงประเมินว่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่สดใสมากกว่าครึ่งปีแรก ส่วนอัตราดอกเบี้ยกู้บ้านของผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลางและรายเล็กกับ สถาบันการเงินจะมีความแตกต่างกันพอสมควร

ตลาดล่างยอดปฏิเสธสินเชื่อสูง

3.อัตราการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนไหวมีผลกระทบกระทบต่อตลาดล่าง ทำให้ธนาคารมีการปฏิเสธให้สินเชื่อมากขึ้น โดยปัญหากลุ่มลูกค้าในตลาดล่าง ที่มียอดถูกปฏิเสธสินเชื่อสูง ไม่ใช่ปัญหาของตลาดอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อทั้งระบบ 

โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนหนี้ คิดเป็น 16% ของหนี้ทั้งระบบ รวมถึงมีปัญหาเรื่องการออกหุ้นกู้มากระทบตลาด ทำให้ความต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินมีมากขึ้นนับจากนี้ไป รวมถึงในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงิน มุ่งสนับสนุนรายใหญ่มากกว่าผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก

แนะรัฐแก้กฎหมายดึงกำลังซื้อต่างชาติ 

สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว ต้องติดตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้เริ่มเห็นการมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกมาสนับสนุนในตลาดนี้ รวมถึง บ้านเดี่ยวในไทย ที่มีการขายประมาณ 50,000 ยูนิตต่อปี เป็นตลาดที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและตลาดไทย ยังต้องการแรงหนุนจากลูกค้าต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาชาวต่างชาติที่มีความต้องการซื้อบ้านแนวราบในไทย แต่ต้องอยู่ในรูปแบบจดทะเบียน

ทั้งนี้ อยากเสนอให้มีการปรับแก้ไขกฎหมายใหม่ ทั้งการแก้สัญญาสิทธิ์การเช่าระยะยาว (Leasehold) จากปัจจุบันอยู่ที่ 30 ปี เห็นควรเป็น 50 ปี เพื่อดึงดูดต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในไทย

นอกจากนี้ ควรมีการแก้ไขกฎหมายให้ต่างชาติสามารถซื้อบ้านเดี่ยวได้ แต่ต้องอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรเท่านั้น พร้อมกำหนดโควตาในแต่ละโครงการที่ชัดเจน เพื่อสามารถกำหนดอัตราภาษีได้ถูกต้อง (Property Tax) และนำรายได้เข้าสู่ประเทศ รวมถึงการกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนหากต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านแบบผิดกฎหมายในไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สโคปทองหล่อส่งคอนโดเพนต์เฮ้าส์หรูราคาเริ่มต้น200ล้านจับเศรษฐีพันล้าน

คนรวยรวยต่อ!“สโคป ทองหล่อ” เปิดตัวคอนโดเพนต์เฮ้าส์หรูแค่18ยูนิตราคาเริ่มต้น200ล้านจับเศรษฐีพันล้านต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ชี้หมดยุคใช้สูตรสำเร็จโลเคชั่น โลเคชั่น โลเคชั่นขายคอนโดปรับดีไซน์ บริการเทคโนโลยีตามยุคสมัย ราคาแพงอย่างเดียวไม่พอต้องมีบริการเสริม

  • ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อที่เปราะบาง แต่ยังมีโอกาสสำหรับสินค้าระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรีจึงเป็นที่มาของการเปิดตัว “สโคป ทองหล่อ” คอนโดเพนต์เฮ้าส์สุดหรู 18 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท เคาะราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท จับกลุ่มเศรษฐีพันล้าน ต่อยอดจากสโคป หลังสวน และ สโคป พร้อมศรี

ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด เจ้าพ่อคอนโดอัลตร้าลักซูรี กล่าวว่า จากประสบการณ์สะสมมา 31 ปีในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม หลักการพัฒนาเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายิ่งคอนโดราคาแพง ต้องใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น เป็นหลักการพัฒนาคอนโดแบรนด์ “สโคป” ทีให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการใช้ชีวิตของลูกค้าที่ดีขึ้น เริ่มต้นจากการออกแบบโครงการให้เหมาะสมกับทำเล ความต้องของกลุ่มลูกค้า

“หมดยุคการพัฒนาคอนโดที่ใช้สูตรสำเร็จ โลเคชั่น โลเคชั่น โลเคชั่นแล้ว เพราะแค่โลเคชั่นไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ซึ่งต้องการองค์ประกอบอื่น ทั้งดีไซน์สินค้า บริการ และเทคโนโลยี เปลี่ยนไปตามยุคสมัยไม่มีอะไรที่ตายตัว”
 

เป็นที่มาของการพัฒนาโครงการสโคป ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม ทุกโครงการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด Life at its Finest ให้ความสำคัญใน 4 ด้านของการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ได้แก่ ทำเล การออกแบบ บริการ และความเป็นส่วนตัว ทำให้ทุกโครงการในเครือสโคปได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีฐานลูกค้าประจำที่เหนียวแน่น และเกิดอัตราการซื้อซ้ำจากลูกค้ากลุ่มเดิม

หลังเปิดตัว สโคป หลังสวน ที่มีราคาที่ดินต่อตารางเมตรสูงสุด 1 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปี 2565 ปัจจุบันมียอดขาย 60% รวมมูลค่า 5,863 ล้านบาท สัดส่วนคนไทย 80% อีก 20% เป็นต่างชาติ โดยสร้างปรากฏการณ์ทุบสถิติราคาขายคอนโดต่อตารางเมตรสูงที่สุดในประเทศไทย กว่า 1 ล้านบาทต่อตารางเมตร และเพนต์เฮาส์ ขายหมดทั้ง 4 ยูนิต

ขณะที่สโคป พร้อมศรี คอนโดโลว์ไรส์ ระดับลักชัวรี ซอยพร้อมศรี ย่านพร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) ได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าด้วยอัตราค่าเช่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นคนไทย 90% ที่เหลือ 10% เป็นต่างชาติ

แนวคิดดังกล่าวทำให้แบรนด์ “สโคป” เป็นที่รู้จักและได้การยอมรับ เมื่อลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ในการพัฒนาแนวคิดการออกแบบ และความพรีเมียมของวัสดุในทุกองค์ประกอบของโครงการ และจดจำสโคปได้ในฐานะโครงการอสังหาระดับอัลตร้าลักชัวรีระดับสากล 

ล่าสุด เปิดตัวโครงการ “สโคป ทองหล่อ” มูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นคอนโด 32 ชั้น มีเพียง 18 ยูนิต ในรูปแบบเพนต์เฮาส์ ทั้งชั้นขนาด 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องพาวเดอร์ และ 2 ลิฟต์ส่วนตัว มีพื้นที่ใช้สอย 415 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท ทำให้โอกาสพบเพื่อนบ้านแบบ Meet by choice, not by chance ตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีความมั่งคั่งสูง (Young High Net Worth Individuals) ที่ต้องการครอบครองที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง ด้วยประสบการณ์การอยู่อาศัยไม่ต่างจากบ้านเดี่ยว

“ลักชัวรีคอนโดไม่ใช่แค่ราคา (แพง) อย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงบริการที่ดี อำนวยความสะดวกลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง แบบครบครัน ครอบคลุมการใช้ชีวิตทุกมิติเหนือกว่าที่คุณจะจินตนาการ ที่สำคัญมอบความเป็นส่วนตัวสูงในทุกยูนิตกับ ไพรเวท ลิฟท์”

ปัจจุบัน สโคป ทองหล่อ มียอดขายแล้ว 10 ยูนิต จาก 18 ยูนิต คิดเป็น 55% ของยูนิตทั้งหมด ซึ่งได้รับความสนใจตั้งแต่ยังไม่เปิดโครงการอย่างเป็นทางการ สะท้อนความเชื่อมั่นจากลูกค้ากลุ่ม HNWI ที่เชื่อมั่นในแบรนด์สโคป คาดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 ปีนี้ ในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายรวม 3 โครงการกว่า 5,000 ล้านบาทจากมูลค่า 15,000 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23ม.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม ทั้ง จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติและเงินเยน สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 23ม.ค. 2567 ที่ระดับ  35.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.67 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่ระดับ 149-149.50 เยนต่อดอลลาร์ ตามที่เราประเมินไว้ ในกรณีที่ BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวจะยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น

ขณะเดียวกันก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) จากผู้เล่นในตลาดเพิ่มเติมได้ หลังล่าสุด เงินเยนญี่ปุ่นเทียบเงินบาท (JPYTHB) เริ่มมีแนวโน้มย่อตัวลงเข้าใกล้แนวรับ 23.80 บาทต่อ 100 เยน นอกจากนี้ เงินบาทก็ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากแรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ หลังล่าสุด ผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินส่วนใหญ่ต่างออกมาน่าผิดหวัง ทำให้เรากังวลว่า นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้าซื้อหุ้นไทยจนกว่าจะเห็นแนวโน้มผลประกอบการโดยรวมที่ดีขึ้นชัดเจน

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินบาทอาจผันผวนอ่อนค่าลงได้ แต่เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดในโซนแนวต้าน 35.70-35.80 บาทต่อดอลลาร์ สอดคล้องกับมุมมองเราในต้นสัปดาห์ที่ประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง อย่างไรก็ตาม เงินบาทอาจอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ หากตลาดต่างเลิกเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึก และเริ่มกลับไปเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด หรือ ไม่ต่างจาก Dot Plot มากนัก

ส่วนโซนแนวรับเงินบาทในช่วงที่ยังขาดปัจจัยสนับสนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น จะยังคงเป็นโซน 35.40-35.50 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม หรือ นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องได้

ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.75 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย (แกว่งตัวในช่วง 35.58-35.68 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่หนุนให้บรรดาดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ผันผวนอ่อนค่าลงทะลุระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์อีกครั้ง ในช่วงก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันนี้ ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาด (รวมถึงเรา) ต่างคาดว่า BOJ จะยังไม่มีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในการประชุมครั้งนี้ และจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% พร้อมคงมาตรการ Yield Curve Control ไว้ตามเดิม ทำให้เงินเยนญี่ปุ่นมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงและหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก

บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ท่ามกลางความหวังของบรรดาผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า ผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาจออกมาสดใสหรือเติบโตได้ตามคาด หลังจากในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินที่ออกมาผสมผสาน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.22% ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 4,850.43 จุด

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.77% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะ ASML +3.1% ที่ปรับตัวขึ้นได้ หลังนักวิเคราะห์ในตลาดปรับคำแนะนำการลงทุนและเป้าราคาใหม่ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดหุ้นยุโรปในระยะสั้นได้

ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 57% ในการ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ณ การประชุมเดือนมีนาคมนี้ รวมถึงบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี แกว่งตัวใกล้ระดับ 4.10% ซึ่งหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่แข็งแกร่งกว่าคาด ก็จะยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาด “เลิกเชื่อ” ว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึก ตามที่เคยประเมินไว้

และการปรับมุมมองดังกล่าวจะหนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้ในช่วงนี้ ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์  (บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตั้งแต่ 4.20% ขึ้นไป ถือว่า มี Risk-Reward ที่น่าสนใจ)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงแรกเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัว sideways ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ได้ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในช่วงเช้าวันอังคารนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 103.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.1-103.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ โดยรวม ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ยังคงแกว่งตัวในโซน 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยเร็วและลึกของเฟด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะทยอยเข้าซื้อทองคำในช่วงย่อตัว ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าได้บ้าง

 สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราคาดว่า BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% พร้อมคงมาตรการ Yield Curve Control ไว้ตามเดิม อย่างไรก็ดี เราจะจับตาว่า มุมมองของ BOJ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

หรือ BOJ มีการส่งสัญญาณต่อโอกาสในการปรับใช้นโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ เพราะหาก BOJ ยังไม่มีการส่งสัญญาณดังกล่าว หรือ แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ BOJ ก็อาจกดดันให้ ค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์ ทดสอบโซน 149-149.50 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

และนอกเหนือจากผลการประชุม BOJ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจากบรรดาบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Netflix ซึ่งอาจส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้พอสมควร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 35.70 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.63-35.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.18 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทขยับอ่อนค่าลง สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และเงินเยนในช่วงก่อนผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า BOJ น่าจะคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิม รวมถึงอาจจะยังไม่เห็นการส่งสัญญาณเกี่ยวกับจังหวะเวลาการถอยออกจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินมากนักในการประชุมรอบนี้ อย่างไรก็ดี คงต้องระมัดระวังกรอบการแกว่งตัวของเงินบาทที่ยังอาจผันผวนในระหว่างวัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.45-35.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และสัญญาณที่อาจสะท้อนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไม่เห็นจะแฟร์เลย! ทีมดังลีกน้ำหอมร้องเรียนอย่างเป็นทางการหวังเลิกใช้ VAR

ลีกเอิง ฝรั่งเศส เป็นข่าวเตรียมพิจารณาอย่างจริงจัง ถึงการยุติการใช้เทคโนโลยีวิดีโอช่วยตัดสิน VAR ในอนาคต ภายหลังพบข้อผิดพลาดหลายจุด และมีการเรียกร้องอย่างเป็นทางการจากสโมสรสมาชิกอย่าง แบรสต์ มาด้วย

เลกิป สื่อแถวหน้าของฝรั่งเศส เผยว่า แบรสต์ ที่เวลานี้รั้งอันดับ 3 ในตารางลีกน้ำหอม ได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปยังฝ่ายจัดฯลีกเอิง เพื่อขอให้ยุติการใช้ VAR ลงในอนาคต

ลีกเอิงรับทราบถึงข้อเรียกร้องนี้แล้ว และได้ตอบรับที่จะมีการเรียกประชุมหารือกัน เพื่อพิจารณาอย่างจริงจังเป็นลำดับถัดไป

การที่ แบรสต์ เลือกที่จะร้องเรียนไปยังลีกเอิง เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นใน VAR อีกต่อไป ภายหลังเสียผลประโยชน์ให้กับเทคโนโลยีนี้มาหลายครั้ง ซึ่งการส่งเรื่องร้องเรียนครั้งนี้ก็ได้รับการหนุนหลังจาก เดนิส เลอ แซงต์ ประธานสโมสรด้วย

เอริก รัว กุนซือแบรสต์ ยังเป็นอีกคนที่ให้สัมภาษณ์โจมตี VAR อยู่บ่อยครั้ง โดยชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ ทำให้เกิดจุดโทษที่ไม่แฟร์ในหลายๆจังหวะ ไม่ใช่แต่กับทีมตนรายเดียว

เป็นที่เชื่อว่า ฟางเส้นสุดท้ายของ แบรสต์ ที่มีต่อ VAR เกิดขึ้นในเกมที่พวกเขาพ่ายให้กับ โมนาโก 0-2 ซึ่งมีจังหวะที่ ลิลิย็อง บราสซิเยร์ กองหลังของพวกเขาโดนใบแดงไล่ออก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ฝันว่าฆ่าคนตาย บอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเราได้บ้าง?

ตามตำรับตำราทำนายฝันของไทย หรือของประเทศไหนๆ อาจจะมีคำทำนายเอาไว้ว่า หากฝันว่างูรัด จะได้เนื้อคู่ หรือหากฝันเห็นอุจจาระ จะโชคดีได้โชคลาภ ส่วนใหญ่ฝันที่ว่าร้ายๆ จะกลายเป็นดีไปเสียหมด แต่ถ้าหาก “ฝันว่าฆ่าคนตาย” หรือ “ฝันว่าฆ่าสัตว์” จะยังเป็นผลดีกับชีวิตเราอยู่หรือไม่

Antonio Zadra อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยมอนทรีออล และนักวิจัยจากศูนย์วิจัยศาสตร์แห่งการนอนหลับขั้นสูง ระบุว่า “อาจหมายความได้ว่า คุณคิดว่าคุณหลีกหนีอะไรสักอย่างไป โดยที่คุณก็รู้ว่าคุณไม่ควรทำแบบนั้น อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าง ‘ฉันรู้ว่าฉันกำลังควบคุมอาหารอยู่ แต่ฉันก็แอบทานช็อกโกแลตไปเมื่อคืน’ หรืออาจจะเป็นเรื่องงานอย่าง ‘ฉันส่งรายงานให้เจ้านายไปเมื่อเช้า แต่ฉันรู้ตัวว่าฉันทำบางส่วนไม่เรียบร้อยดี และยังให้คนอื่นช่วยอีก’ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ทำให้คุณแอบรู้สึกผิดกับตัวเองลึกๆ”

แม้ว่าความฝันของแต่ละคน ในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาจะมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้แต่ละคนฝันเห็นภาพที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วในหลายๆ ครั้ง ความฝันมักมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ความฝันที่เกิดจากความรู้สึกผิดต่ออะไรบางอย่าง อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จิตใต้สำนึกของเรารับรู้ถึงความรู้สึกนั้น โดยที่เราอาจลืมไป หรือมองข้ามความรู้สึกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

เคล็ดลับในการนอนหลับฝันดี

นอกจากเรื่องของสุขภาพร่างกายภายนอกที่เราสามารถช่วยให้เรานอนหลับได้สบายมากขึ้น อย่างการออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ดื่มนมอุ่นๆ เข้านอนให้ตรงเวลาทุกคืน รวมไปถึงการหรี่ไฟ หรือปิดไฟในห้องนอน ปิดหน้าต่างลดแสง และเสียงจากภายนอก ปรับอุณหภูมิห้องให้ไม่ร้อน หรือหนาวจนเกินไปแล้ว เรื่องของสุขภาพจิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน 

  • ใส่ใจกับความรู้สึกของตัวเองระหว่างวัน

Deirdre Barrett ผู้ช่วยศาสตรจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า การรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองต่อการกระทำต่างๆ ในแต่ละวัน เป็นสาเหตุแรกๆ ของความฝันที่เราจะมีในคืนนั้นๆ “ลองหาดูว่าเราสามารถทำอะไรเพื่อเป็นการช่วยเหลือคนที่ทำให้เรารู้สึกผิดได้บ้างหรือเปล่า หากเราได้ทำดีกับคนที่เรารู้สึกผิดด้วย อาจทำให้ความรู้ผิดของเราลดน้อยลง” และนั่นอาจนำไปสู่ความฝันที่ดีต่อใจมากขึ้นได้

หากคุณกำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ แต่คุณฝันว่าคุณกำลังเปิดไฟแช็ค นั่นอาจหมายความเรารู้สึกผิดที่เราอยากสูบบุหรี่ ในขณะที่พยายามจะเลิกสูบบุหรี่อยู่ เป็นต้น ทางแก้ก็ง่ายๆ ให้พยายามหักห้ามใจตัวเองต่อไปจนกว่าจะรู้สึกดีเมื่อเราเลิกบุหรี่ได้แล้วจริงๆ 

  • เคลียร์กับคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี

หากในฝันไม่ได้มีแค่เรา แต่มีใครอีกคนที่อยู่กับเราด้วย และต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ ไปด้วยกัน เช่น ติดอยู่ในรถที่ออกมาไม่ได้ นั่นอาจหมายถึง คุณกำลังมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคนๆ นั้นอยู่ เช่น ทะเลาะกับแฟน ทะเลาะกับเพื่อน วิธีแก้คือเข้าไปพูดคุยเพื่อเคลียร์ปัญหาต่างๆ กับคนๆ นั้นให้หมด อย่าให้มีเรื่องใดๆ ค้างคาในใจ

นอกจากมีปัญหากับคนอื่นแล้ว บางคนอาจมีปัญหากับตัวเอง เช่น ฝันว่าใครสักคน และกำลังตกใจปนรู้สึกผิดในขณะที่พยายามจะหาทางปกปิดร่างของศพ ทันใดนั้นก็มีคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัว ญาติ หรือเพื่อน เข้ามาเห็น อาจหมายความว่า เรากำลังทำในสิ่งที่คิดว่ามันผิดอยู่ และเรากลัวว่าคนรอบข้างของเราจะเสียใจ จนเรารู้สึกผิดกับพวกเขาก็เป็นได้ วิธีแก้ก็คือการสารภาพกับพวกเขาตรงๆ ว่าเราทำอะไรไป ไม่แน่ว่าหากได้คุยกันแล้วทุกคนยกโทษให้เรา เราอาจจะไม่ต้องนอนฝันร้ายอีกต่อไปก็ได้

การฝันว่าฆ่าคนตาย หรือทำร้ายสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังจะกลายเป็นฆาตรโรคจิตหรืออะไรทำนองนั้น เพียงแต่อาจมีความเป็นได้ว่า จิตใต้สำนึกของเราคิดว่าเรากำลังทำอะไรที่ไม่ดีอยู่ และเราไม่อยากให้ใครรับรู้สิ่งนั้น ดังนั้นหากทำให้จิตใจของเราสงบ ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งใคร กับสิ่งใด หรือแม้กระทั่งรู้สึกผิดกับตัวเอง ก็ขอให้เคลียร์ปัญหาเหล่านั้นให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด จิตใต้สำนึกของเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดตามไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เทคนิคการเลือกใช้ Tense ให้คล่องในชีวิตประจำวัน

ในภาษาไทย ประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เราก็ใช้รูปแบบเหมือน ๆ กัน เพียงเพิ่มคำบอกเวลาขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ประโยคของแต่ละรูปกาลจะมีโครงสร้างแตกต่างกันออกไป เราเรียกสิ่งนี้ว่า Tense

Tense คืออะไร?

Tense หรือ รูปกาล คือรูปแบบของประโยคในภาษาอังกฤษที่ทำหน้าที่บอกถึงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น หากสื่อสารไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ การ เรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร จึงมีบทเรียนเรื่อง Tense เป็นหัวข้อสำคัญที่ต้องเรียนรู้หลักการและฝึกใช้ให้ชำนาญ เพื่อสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้อง

ในภาษาอังกฤษ Tense แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ ปัจจุบัน (present) อดีต (past) และอนาคต (future) ซึ่งในแต่ละรูปกาลยังแบ่งออกได้อีก 4 รูปกาลย่อย โดยสรุป ภาษาอังกฤษมี 12 Tense ที่มีโครงสร้างประโยคที่แตกต่างกัน มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มท้อแท้ แต่ถ้าบอกว่ามี 5 Tense หลัก ๆ ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน น่าจะพอเบาใจขึ้นมาบ้าง

รู้จักโครงสร้าง Tense ทั้ง 12

  1. Present Tense
    • Present Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน / ความจริงทั่วไป

โครงสร้างประโยค : ประธาน + กริยาช่องที่ 1 / ประธานบุรุษที่ 3 เอกพจน์ + กริยาช่องที่ 1 เติม s/es

  • Present Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นแน่นอน

โครงสร้างประโยค : ประธาน + is/am/are + กริยาเติม ing

  • Present Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและต่อเนื่อง/ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

โครงสร้างประโยค : ประธาน + has/have + กริยาช่องที่ 3

  • Present Perfect Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

โครงสร้างประโยค : ประธาน + has/have + been + กริยาเติม ing

  1. Past Tense
    • Past Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว

โครงสร้างประโยค : ประธาน + กริยาช่องที่ 2

  • Past Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต / เมื่อเกิดเหตุการณ์ 2 อย่างพร้อมกันในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Past Continuous เหตุการณ์ที่สองใช้ Past Simple

โครงสร้างประโยค : ประธาน + was/were + กริยาเติม ing

  • Past Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Past Perfect เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple

โครงสร้างประโยค : ประธาน + had + กริยาช่องที่ 3

  • Past Perfect Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตอน ให้ใช้ Past Perfect Continuous เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple

โครงสร้างประโยค : ประธาน + had + been + กริยาเติม ing

  1. Future Tense
    • Future Simple Tense ใช้บอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โครงสร้างประโยค : ประธาน + will + กริยาช่องที่ 1

  • Future Continuous Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอนาคต / ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 อย่าง โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนใช้ Future Continuous เหตุการณ์ที่สองใช้ Present Simple

โครงสร้างประโยค : ประธาน + will + be + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

  • Future Perfect Tense ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ใช้ Future Perfect เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาใช้ Present Simple

โครงสร้างประโยค : ประธาน + will + have + กริยาช่องที่ 3 .

  • Future Perfect Continuous Tense ใช้เน้นถึงการต่อเนื่องของเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังดำเนินอยู่และจะดำเนินต่อไปไม่หยุด

โครงสร้างประโยค : ประธาน + will + have + been + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

Tense สำคัญที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

จาก 12 Tense ที่เราเห็น มีเพียง 5 Tense เท่านั้นที่ใช้กันบ่อยในชีวิตประจำวัน เราจึงควรฝึกใช้ Tense ทั้ง 5 นี้ให้คล่อง เพื่อใช้ประโยชน์ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ 5 Tense ที่ใช้บ่อยนี้คือ

  1. Present Simple Tense

ตัวอย่างประโยค:

I go to school every day.

She likes Thai Food.

Water boils at 100 degrees Celsius.

  1. Present Continuous Tense

ตัวอย่างประโยค:

My cat is eating fish.

He is flying to Germany on Sunday.

  1. Present Perfect Tense

ตัวอย่างประโยค:

I have read that book 2 times.

I have met her before. (เคยเจอมาในอดีตแล้ว)

  1. Past Simple Tense

ตัวอย่างประโยค:

I was born in 1999.

She went to the museum yesterday.

  1. Future Simple Tense

ตัวอย่างประโยค:

He will cook dinner.

I will not do all housework myself.

เมื่อใช้งาน 5 Tense หลักนี้ได้คล่องแล้ว การพยายามใช้ Tense ให้ได้ทั้ง 12 Tense ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเช่นกัน หมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ ดูจากโครงสร้างของ Tense ที่ให้ไว้ เรื่อง Tense ก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเราได้ในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


ซีอีโอ OpenAI เผย 3 สาขาอาชีพที่จะได้ประโยชน์จาก ChatGPT มากที่สุด

ยังคงเป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบของ AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่ออาชีพต่างๆ กระนั้นก็ตาม มี 3 สาขาอาชีพที่ “แซม อัลท์แมน” ซีอีโอของโอเพ่นเอไอ เจ้าของผลงานแชทบอทอัจฉริยะ ChatGPT ฟันธงว่า นี่คือ สาขาอาชีพที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากแอปฯ AI ยอดฮิตนี้

ในทรรศนะของ แซม อัลท์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท โอเพ่นเอไอ (OpenAI) ผู้พัฒนาแชทบ็อทอัจฉริยะ “ChatGPT” ที่ทรงประสิทธิภาพ ถามอะไรตอบได้ ให้ทำงานแทนมนุษย์ก็ได้หลากหลาย ประการ เช่นการสร้างข้อความ ภาพ หรือวิดีโอ จากข้อมูลที่มันได้เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านระบบ Machine Learning ว่า มีอยู่ 3 สาขาอาชีพ ที่เขาเห็นว่า จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากความก้าวหน้าของ ChatGPT ที่จนถึงขณะนี้ พัฒนามาถึง GPT4 หรือเวอร์ชัน 4.0 ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุด

1.โปรแกรมเมอร์

อัลท์แมนกล่าวในรายการ Unconfused Me ซึ่งเป็นรายการประเภทพอดแคสต์ จัดโดยพิธีกรคนดังระดับมหาเศรษฐีโลกอย่างนายบิล เกตส์ ว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน ChatGPT ที่สามารถช่วยงานเขียนโค้ด (Coding) เขียนโปรแกรมที่ยุ่งยากซับซ้อนจากที่เคยต้องเขียนเป็นชั่วโมงๆ ลดลงมาเหลือเพียงไม่กี่นาที หรือพูดง่ายๆ คือ อัลท์แมนกล่าวว่า บรรดาโปรแกรมเมอร์จะสามารถใช้ ChatGPT ทำงานได้เร็วขึ้นถึงสามเท่า นอกจากช่วยเขียนโค้ดแล้ว มันยังสามารถช่วยตรวจทานหาจุดบกพร่องหรือจุดที่ควรต้องแก้ไขในงานเขียนรหัสที่ทำเสร็จแล้ว สามารถเขียนชุดทดสอบ รวมทั้งตอบคำถามข้อข้องใจต่างๆของโปรแกรมเมอร์

แม้มันจะไม่สามารถเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันสามารถ “ช่วย” (assist) ให้โปรแกรมเมอร์ทำงานได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเร็วขึ้น ทั้งนี้ GPT4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด เปิดตัวปลายปีที่แล้ว ช่วยทำงานได้ดีและได้เร็วขึ้น แม้ว่าโปรแกรมเมอร์ยังคงต้องตรวจสอบผลงานของแชทบอทอีกทีก็ตามเพื่อความรอบคอบ

“การที่โปรแกรมเมอร์ทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น ก็หมายความว่าพวกเขาจะมีเวลามากขึ้นสำหรับงานสร้างสรรค์ด้านอื่นๆ”   

2. วิชาชีพด้านการศึกษา

ปัจจุบันนี้ AI สามารถช่วยงานครูผู้สอนในการเขียนแผนการสอน ออกแบบหลักสูตรการศึกษา หรือแม้กระทั่งเขียนแผนการเรียนการสอนตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนหรือนักศึกษารายบุคคล นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลาให้บรรดาคุณครูเกี่ยวกับงานด้านบริหารจัดการหลายอย่างในห้องเรียน เช่น การติดตามตรวจสอบประวัติการเข้าเรียนของนักเรียนแต่ละคน หรือส่งข้อความเตือนความจำถึงนักเรียน/นักศึกษาเกี่ยวกับการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย

นอกจากนี้ AI อย่าง ChatGPT ยังอาจเป็นประโยชน์อย่างมากในการช่วยการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับทรรศนะของนายบิล เกตส์ที่มองว่า ChatGPT สามารถช่วยงานมนุษย์ในฐานะครูผู้ช่วย หรือครูพิเศษ (ติวเตอร์) ด้านใดด้านหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่ขาดแคลนบุคลากรครู ในปีที่แล้ว เกตส์คาดการณ์ว่า AI จะเข้ามาช่วยงานทำให้นักเรียนสามารถอ่านออก-เขียนได้ ได้เร็วขึ้น ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลในหมู่นักการศึกษาที่ว่า ChatGPT อาจถูกนำมาใช้ในทางผิดๆ เช่น ใช้โกงข้อสอบหรือการบ้านที่ได้รับมอบหมาย แม้ในขณะนี้ ยังไม่มีงานวิจัยที่พบว่า มีการโกงข้อสอบมากขึ้นหลังมีการนำ ChatGPT มาใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิจัยเตือนมาก็คือ AI ยังสามารถตอบผิดพลาดได้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองรวมทั้งคุณครูที่สนับสนุนการใช้ ChatGPT ในการเรียนการสอน ต้องกำชับนักเรียน/นักศึกษาเสมอว่า อย่าเชื่อใจหรือพึ่งพา AI มากจนเกินไป อย่างน้อยต้องมีการตรวจทานผลงานของ AI ด้วย ว่าถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่

3. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข

นี่เป็นสาขาอาชีพที่สาม ที่อัลท์แมนมองว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการนำ ChatGPT มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการทดสอบนำข้อสอบสำหรับผู้ต้องการใบรับรองประกอบวิชาชีพแพทย์ (U.S. Medical Licensing Exam) ในสหรัฐมาให้ ChatGPT ทำ และมันสามารถสอบผ่านมาได้ แต่กระนั้นก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า แชทบอทยอดนิยมนี้จะสามารถเข้ามาทำงานแทนที่หมอ เพราะมันยังสามารถทำข้อผิดพลาด แต่ชีวิตของผู้ป่วยนั้น ไม่เปิดช่องให้สำหรับความผิดพลาด ดังนั้น มันสามารถทำ “หน้าที่ผู้ช่วย” ให้คุณหมอสามารถลดเวลาหรือประหยัดเวลาในการทำภารกิจบางอย่าง เช่นงานด้านเอกสารที่ต้องใช้เวลามาก หรืองานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประกันสุขภาพ เป็นต้น

นอกจากนี้ ChatGPT ยังเป็นประโยชน์ในการช่วยงานวิเคราะห์วิจัยและสรุปประวัติการรักษาของผู้ป่วย ส่วนงานบริการที่ระบบ AI ถนัดที่สุด คือการตอบคำถามที่ผู้ป่วยหรือผู้คนที่ไม่สบาย มักถามบ่อยๆ

นอกจากช่วยงานบุคลากรทางการแพทย์แล้ว บริษัทผู้ผลิตยาบางรายยังนำ AI อย่าง ChatGPT มาใช้ในการพัฒนาตัวยาใหม่ๆอีกด้วย

นอกจากนี้ มูลนิธิที่ต้องทำงานด้านสุขภาพประชาชนอย่างเช่น มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ของมหาเศรษฐีบิล เกตส์ ยังยอมรับว่า ทางมูลนิธินำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขในประเทศยากจน ซึ่งรวมถึงปัญหาเกี่ยวกับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย

“ผมคิดว่าในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นกราฟการนำ AI มาใช้ประโยชน์ที่พุ่งขึ้นอย่างมาก สิ่งที่เห็นขณะนี้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น” อัลท์แมนกล่าวและว่า AI ในอนาคตจะฉลาดและอัจฉริยะมากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบัน ถือเป็นเวอร์ชันที่ “โง่ที่สุด” ของปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น     

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


รู้จักรสชาติกาแฟจากทั่วโลก จริงๆ แล้วกาแฟมีกี่รสชาติกันแน่

หากคุณเป็นนักดื่มกาแฟมานานแล้ว คงสังเกตเห็นรสชาติกาแฟที่หลากหลายใช่มั้ย? กาแฟมักจะมีกลิ่นและรสที่แตกต่างกันไป เช่น โกโก้ วานิลลา หรือแม้กระทั่งบลูเบอร์รี่ แต่แท้จริงแล้ว กาแฟมีกี่รสชาติกันแน่? คำตอบคือ กาแฟมีรสชาติมากมายมหาศาล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟ กรรมวิธีการปลูกและผลิต วิธีการคั่ว และวิธีการชงกาแฟ

กาแฟมีกี่รสชาติ

กาแฟมีรสชาติมากมายนับไม่ถ้วน สามารถจำแนกได้เป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ ถั่ว ผลไม้ ดอกไม้ หวาน และช็อกโกแลต รสชาติเหล่านี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพการปลูกของเมล็ดกาแฟ วิธีการแปรรูป และวิธีการคั่ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรสชาติเป็นเรื่องของประสาทสัมผัส จึงไม่มีคำตอบที่แน่นอนว่ากาแฟมีรสชาติกี่ประเภท

รสชาติกาแฟจากวงล้อรสชาติกาแฟ

วงล้อรสชาติกาแฟเป็นแผนภูมิวงกลมที่แสดงรายการรสชาติกาแฟต่างๆ มากมายที่พบได้ในเมล็ดกาแฟ ใกล้กับศูนย์กลางของแผนภูมิ คุณจะพบหมวดหมู่กว้างๆ เช่น ผลไม้ ดอกไม้ เป็นต้น และตรงขอบของแผนภูมิ คุณจะพบรสชาติที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นภายในหมวดหมู่ เช่น สตรอเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ หรือกุหลาบ

ตัวอย่างรสชาติกาแฟจากวงล้อรสชาติ

วงล้อรสชาติกาแฟแบ่งรสชาติกาแฟออกเป็น 5 หมวดหมู่หลัก ได้แก่

  • ผลไม้ เช่น สตรอเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ พีช แอปเปิ้ล มะม่วง
  • ดอกไม้ เช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกมะลิลา ดอกลาเวนเดอร์
  • ถั่ว เช่น โกโก้ ถั่วลิสง ถั่วเฮเซลนัท
  • หวาน เช่น ช็อกโกแลต วานิลา อบเชย
  • สมุนไพร เช่น อบเชย กระวาน ใบชา

นอกจากนี้วงล้อรสชาติกาแฟยังแบ่งรสชาติย่อยๆ ออกเป็นระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น

  • ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น เลมอน มะนาว เกรปฟรุต
  • ผลไม้รสหวาน เช่น องุ่น บลูเบอร์รี่ พีช
  • ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว เช่น แอปเปิ้ล มะม่วง สตรอเบอร์รี่

การอ่านวงล้อรสชาติกาแฟ

คุณสามารถใช้วงล้อรสชาติกาแฟเพื่อค้นหารสชาติกาแฟที่คุณต้องการได้ โดยเริ่มจากหมวดหมู่หลักที่คุณสนใจ จากนั้นจึงเลื่อนไปที่ระดับความเข้มข้นที่คุณชอบ ตัวอย่างเช่น หากคุณชอบรสชาติผลไม้ คุณสามารถเริ่มที่หมวดหมู่ผลไม้ จากนั้นเลื่อนไปที่ระดับความเข้มข้นที่คุณชอบ เช่น ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว การทดลองดื่มกาแฟจากแหล่งต่างๆ จะช่วยให้คุณค้นหารสชาติกาแฟที่ชื่นชอบได้

วงล้อรสชาติกาแฟมีมากมาย ไม่เป็นทางการ

วงล้อรสชาติกาแฟเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการดูว่ามีการรับรู้รสชาติกาแฟกี่แบบ อย่างไรก็ตาม ไม่มีวงล้อ “มาตรฐาน” ที่ทุกคนยอมรับ มีวงล้อรสชาติดกาแฟมากมายที่สร้างขึ้นโดยผู้คนหรือองค์กรต่างๆ นั่นหมายความว่าวงล้อหนึ่งอาจแสดงรสชาติได้มากกว่าอีกล้อ และอาจมีการออกแบบที่แตกต่างกันไป

แต่ไม่ว่าคุณจะพบวงล้อแบบไหน คุณก็คาดหวังได้ว่ามันจะมีกลิ่นหรือรสที่แตกต่างกันอย่างน้อยสิบกว่าแบบ

ทำไมถึงมีวงล้อที่ต่างกัน?

แล้วทำไมถึงมีวงล้อรสชาติที่แตกต่างกันไปกับกลิ่นหรือรสที่ต่างกัน นักชิมกาแฟไม่จำเป็นแค่ล้อเดียวที่มีรายการรสชาติกาแฟทุกแบบเลยเหรอ คำตอบของคำถามนั้นเกี่ยวข้องกับวิธีการกำหนดรสชาติกาแฟ เราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อไป

กาแฟทั่วโลกมีรสชาติแบบไหนกัน

  • กาแฟอเมริกาใต้: มีกลิ่นถั่ว ช็อกโกแลต และคาราเมล
  • กาแฟแอฟริกา: มีกลิ่นดอกไม้ ผลไม้ ซิตรัส และไวน์
  • กาแฟเอเชีย: มีกลิ่นดิน ช็อกโกแลต และหวาน

ตัวอย่างกาแฟ และรสชาติของมัน

  1. กาแฟเอธิโอเปีย Yirgacheffe: กลิ่นและรส: เลมอน แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ กาแฟ Yirgacheffe จากเอธิโอเปีย มีชื่อเสียงในด้านความซับซ้อนและความสะอาด โดยมีกลิ่นดอกไม้ที่ละเอียดอ่อนและรสชาติของผลไม้สด
  2. กาแฟ Kenya AA: กลิ่นและรส: แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เรดวูด ดอกไม้คล้าย alyssum กาแฟ Kenya AA เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความสดใสและเป็นกรด มีกลิ่นดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์และรสชาติของผลไม้สีแดง
  3. กาแฟเปรู: กลิ่นและรส: ผลไม้ เช่น พีช ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่ มะนาว ส้ม องุ่น แบล็คเบอร์รี่ แอปริคอท เป็นต้น กาแฟเปรูมีรสชาติที่ซับซ้อนและสมดุล โดยมีกลิ่นหอมของดอกไม้และช็อกโกแลต และรสชาติของผลไม้นานาชนิด
  4. กาแฟโคลอมเบีย Supremo: กลิ่นและรส: ช็อกโกแลต คาราเมล ส้ม กาแฟโคลอมเบีย Supremo เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความสมดุลและครีม โดยมีรสชาติที่นุ่มนวลและกลิ่นหอมของคาราเมลและถั่ว
  5. กาแฟปาปัวนิวกินี: กลิ่นและรส: ผลไม้เมืองร้อน ซิตรัส น้ำตาล กาแฟปาปัวนิวกินีมีรสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ โดยมีกลิ่นหอมของดอกไม้ ผลไม้ และคาราเมล 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,050.0034,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,206.0033,442.9634,650.00
ทองรูปพรรณ 90%1,985.4030,098.66n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,764.8026,754.37n/a
ทองรูปพรรณ 50%993.0015,053.88n/a
ทองรูปพรรณ 40%772.0011,703.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,286.0034,655.76n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3537.0536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9134.5834.5835.2834.5834.5834.5834.5834.5834.5834.58
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.9434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8534.3934.3934.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.7448.3448.2448.3443.74
เบนซิน 9544.2445.4144.7444.3944.24
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6445.9443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า