สาระน่ารู้ประจำวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567

ภารกิจซีอีโอป้ายแดงแอลพีเอ็นหั่นราคาระบายสต็อกหมื่นล้าน

เปิดภารกิจแรก “อภิชาติ เกษมกุลศิริ” จากแบงก์เกอร์ สู่ซีอีโอป้ายแดงแอลพีเอ็น (LPN) หลังรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมาแทน “โอภาส ศรีพยัคฆ์” ที่เกษียณอายุ นำร่องหั่นราคาโละสต็อกมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท ครั้งแรกในรอบ 30 ปี! คาดใช้ระยะเวลา 3-5 ปี ระบายหมด

อภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนความยากในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยุคนี้ว่า เป็นยุคของ “ปลาโคตรใหญ่กินปลาใหญ่ กินปลากลาง กินปลาเล็ก” ในสมัยก่อนเราเคยเป็นปลาโคตรใหญ่ มาก่อน แต่ปัจจุบัน แอล.พี.เอ็น. เป็นปลากลางและมีปลาโคตรใหญ่บางตัวหนีไปจากอสังหาฯ แล้วไปทำธุรกิจอื่น ดังนั้นเหลือปลาโคตรใหญ่ไม่กี่ตัว เนื่องจากธุรกิจอสังหาฯ เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนเยอะ (Capital Intensive) ยิ่งในภาวะดอกเบี้ยสูง 

ขณะที่ ทิศทางของ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ต่อจากนี้ไป จะรื้อใหม่หมด! ทำทุกอย่างกลมกล่อมขึ้น มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย เป็นยุคของการซ่อมและสร้างเพื่อบูรณาการให้องค์กรเติบโตอยู่รอดต่อไปได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ซีอีโอ แอล.พี.เอ็น.  ถือเป็น “โอกาสและความท้าทาย” ในการเอาตัวรอดของปลากลางด้วยกลยุทธ์ “Rebalance” เริ่มจากภารกิจแรก เร่งเปลี่ยน “สินค้าคงเหลือ” (Inventory)ให้เป็น “เงินสด” โดยใช้ทักษะทางการเงินเข้ามาช่วย เนื่องจากต้นทุนในการสต็อกสินค้าคงเหลือต่อปีประมาณ 4% ปัจจุบัน แอล.พีเอ็น. มีสต็อกพร้อมอยู่ 11,000 ล้านบาท จำนวน 5,000 ยูนิต คาดใช้เวลา 3-5ปี หากสามารถเปลี่ยนสินค้าคงเหลือให้เป็นเงินสด ทำให้ลดต้นทุนได้มหาศาล ! เพราะ 1% เท่ากับ 100 ล้านบาท

“กำไรในปีที่ผ่านมาถือว่าต่ำสุดในรอบ 30 ปี อยู่ที่ 4% ปีนี้ไม่น่าจะดีกว่าปีก่อนมากนัก จึงต้องการเปลี่ยนบริษัทให้เข้าไปใกล้เงินได้มากเท่าไรราคาหุ้นแอล.พี.เอ็น.จะวิ่งขึ้นไป ด้วยการเปลี่ยนของสินค้าที่มีอยู่ให้เป็นเงินสด”

หั่นราคารอบ30ปีกำเงินสด

ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้วรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม (Incentive) ให้กับหน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขายของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

โดยมีเป้าหมายที่จะขายสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,500-5,000 ล้านบาทในปีนี้ จากปี 2566 ขายได้ 4,000 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จาก 10,000 ล้านบาท ในสิ้นปี 2566

“ผมมีหน้าที่จัดการเคลียร์สต็อกเก่าที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม สัดส่วน 70-80% ระดับราคา 2-4 ล้านบาท นำมาปัดฝุ่นขาย 10% อายุ 6-7 ปีแล้ว เช่นอุดรธานี เหลือ 50 ห้อง ชะอำ 600-700 ห้อง ทาวน์ชิป รังสิต 12,800 ยูนิต เหลือ 10%  ซึ่งที่ผ่านมาปล่อยเช่า คาดว่าไตรมาส 2 จะปรับราคาขึ้น”

เปิดบริการนอกเครือหารายได้เสริม

ขณะเดียวกันต้อง”บาลานซ์ อีโคซิสเตม” ในมือให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการออกไปให้บริการนอกเครือเพื่อหารายได้เสริมความแข็งแกร่ง ประกอบด้วย 1.บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) รับผิดชอบด้านงานวิจัย การศึกษาพื้นที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่บริษัท/บริษัทในเครือ รวมถึงบริษัทอื่นๆ ภายนอก นอกจากนั้น บริการให้คำปรึกษาและวิจัยด้าน GREEN หรือ Sustainable Development และ BIM (Building Information Modeling)

2.บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) รับผิดชอบงานบริการด้านวิศวกรรม และบริการที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมไปถึงการควบคุมงานก่อสร้าง

3.บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) รับผิดชอบการบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่งานบริหารชุมชน, งานบริหารอาคารพักอาศัย สำนักงาน อาคารเชิงพาณิชย์/การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง การวางระบบ-บริหารจัดการอาคารชุด และรับผิดชอบในการบริหารทรัพย์สินประเภทห้องชุดพักอาศัย ที่ผู้ซื้อ (นักลงทุน) ต้องการจัดหาผู้เช่าและผู้ซื้อ คัดกรองผู้เช่า

4.บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) รับผิดชอบด้านงานบริการชุมชนอย่างครบวงจร โดยให้บริการด้านการดูแลรักษาความสะอาดเป็นหลัก

5.บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการ ทั้งจากบุคลากรที่มีคุณภาพและมืออาชีพ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และงานระบบ ซึ่งจะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าในอาคารเชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

แตะเบรกลงทุนอสังหาฯ เพื่อขาย

“การพัฒนาโครงการอสังหาฯ จะทำเท่าที่ทำได้ ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและศักยภาพของบริษัทในวิสัยที่ทำได้ จะไม่ไป (บ้าจี้) กว้านซื้อที่ 10 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการแข่งกับคนอื่น จะไม่ทำ เพราะตลาดโอเวอร์ซัพพลายแล้ว”

ดังนั้น ในปีนี้ แอล.พี.เอ็น. มีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่า 6,520 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท ราคาตารางเมตรละ 85,000 บาท แนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 5,540 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว ระดับราคาตั้งแต่ 4-30 ล้านบาท

“ในอนาคตอาจมีการปรับโพสิชันนิ่งคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้แบรนด์ใหม่ เพราะกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่เป็นจุดแข็งของ แอล.พี.เอ็น. มีปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อ สัดส่วนถึง 40% นอกจากนี้มีแผนที่จะร่วมทุนกลุ่มทุนญี่ปุ่นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อยู่ระหว่างเจรจา 2-3 ราย เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน”

อสังหาฯ “ไม่ใช่”ธุรกิจขาขึ้น

อภิชาติ มองว่า ธุรกิจอสังหาฯ “ไม่ใช่” ธุรกิจขาขึ้นเหมือนในอดีต แต่ดีเวลลอปเปอร์ไทยเก่ง ยกตัวอย่าง แอล.พี.เอ็น. อยู่มา 30 ปี มีกำไรทุกปีจ่ายเงินปันผลตลอด มีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท บริษัทมีกําไรสะสมมาตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ สร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว

จากแนวคิดดังกล่าว จึงมีแผนที่นำ บริษัทแอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ผู้ดูแลบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่งานบริหารชุมชน งานบริหารอาคารพักอาศัย สำนักงาน อาคารเชิงพาณิชย์ เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้  เชื่อว่าธุรกิจนี้มีมาร์เก็ตแคปสูง โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านเติบโตถึง 80% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 869 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 1,167 ล้านบาท ปี 2566 รายได้ 1,560 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลือมาจากอสังหาฯ 60%

ปั้นธุรกิจบริการ Growth Energy ใหม่

“เรามองว่า Growth Energy ตัวใหม่ที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ทำให้ได้ Capital Gain หรือกำไรจากส่วนต่างราคาและ PE Multiple จากบริษัท”

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะบริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) รับผิดชอบงานบริการด้านวิศวกรรม และบริการที่ปรึกษาอสังหาฯ ครอบคลุมการควบคุมงานก่อสร้าง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน

อภิชาติ ย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานดุดันมากขึ้น น่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากภาคเอกชน อีกทั้งยังมีงบประมาณอยู่จำนวนมาก แม้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตล่าช้า แต่เชื่อว่ารัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยแย่จริงแม้ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 5 ล้านคน และคนจีนยังมาไม่เต็มแม็กซ์! หากมาเต็มแม็กซ์ จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ส่วนเรื่องดอกเบี้ยต้องรอให้สหรัฐลดดอกเบี้ยลงก่อนคาดว่าเป็นช่วงกลางปีนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“รพ.รามาธิบดี” สร้างใหม่ 2 แห่ง งบประมาณราว 19,000 ล้านบาท

  • เปิดวิสัยทัศน์ทิศทางการบริหารของ“ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์” คณบดีคณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี ม.มหิดลคนใหม่
  • สร้างใหม่ 2 แห่ง รพ.รามาธิบดี งบประมาณราว 19,000 ล้านบาท ย่านนวัตกรรมโยธี และศูนย์การแพทย์ศรีอยุธยา รองรับคนไข้เพิ่ม 2,000 คน
  • 4 เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี ภายใต้ 3 พันธกิจหลัก และบทบาทของมูลนิธิฯที่เข้ามาส่งเสริมมากกว่าเรื่องการช่วยเหลือคนไข้ขาดทุนทรัพย์

ยาวนาน 59 ปีนับตั้งแต่ปี  2508 ที่คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดีเริ่มดำเนินกระทั่งเปิดให้บริการประชาชน ปัจจุบันมี 2 โรงพยาบาล  รพ.รามาธิบดี ดูแลผู้ป่วยนอกราว 3 ล้านคนต่อปี ผู้ป่วยใน 60,000 คนต่อปี  และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ผู้ป่วยนอก 3 แสนคนต่อปี  ผู้ป่วยในราว 10,000 คนต่อปี มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดมีการเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่แทนชุดเดิมที่หมดวาระ  และในโอกาสที่ “ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์” เข้ารับตำแหน่งคณบดีคนใหม่ และประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดีฯ

“กรุงเทพธุรกิจ”มีโอกาสได้สัมภาษณ์ถึงแนวทางและเป้าหมายการพัฒนา “รามาธิบดี”ภายใต้พันธกิจสำคัญ 3 เรื่อง และแผนการขยายบริการให้ประชาชนมากขึ้นด้วยการ ใช้งบประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาทในการสร้างสถานที่ใหม่ 2 แห่ง 

“รพ.รามาธิบดีเป็นแหล่งผลิตบุคลากรด้านสุขภาพให้ประเทศ สร้างคน สร้างองค์ความรู้ และบริการประชาชน เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้ามากขึ้น”ศ.นพ.อาทิตย์กล่าวถึงความมุ่งหมายในการขับเคลื่อนการพัฒนารามาธิบดี

คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มีพันธกิจหลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย  ด้านการสร้างบุคลากรการแพทย์ มีการเปิดสอน 1.แพทยศาสตร์หลักสูตร 6 ปี ผลิตได้ 150-200 คนต่อปี 

2.แพทยศาสตร์หลักสูตร 7 ปี  แพทย์นวัตกร รุ่นแรกเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 มีการทำโครงงานที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น หุ่นยนต์การแพทย์ การเชื่อมสมองเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงในการสั่งการ รวมถึง AIทางการแพทย์ เป็นต้น 

และแพทย์นักบริหาร จำนวนสาขาละ 20คนต่อปี ซึ่งได้รับความสนใจในเลือกเรียนไม่แตกต่างจากหลักสูตรแพทย์ 6 ปี  และแพทยศาสตร์ภายใต้ความร่วมมือกับศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษารพ.มหาราชนครราชสีมา จำนวน 40-50 คนต่อปี

3.พยาบาล ผลิตได้จำนวน 300 คนต่อปี โดยมีหลักสูตรพยาบาลนานาชาติ รับนักศึกษาพยาบาลจากจีนเข้ามาศึกษาด้วย

4.นักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ผลิต 40 คนต่อปี

5.หลักสูตรการสื่อความหมายและแก้ไขการพูด ช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ที่อาจมาจากการไม่ได้ยิน หรือมีปัญหาสืบเนื่องมาจากการเจ็บป่วยโรคอื่น ๆ  ทั้งกลุ่มที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือกลุ่มที่เป็นในช่วงอายุต่าง ๆ  มีนักศึกษาเฉลี่ยปีละ 40 คน

6.สถาบันราชสุดา สัดส่วนนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและการพูด 50% และนักศึกษาทั่วไป 50% เพื่อให้ใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้
          “ตั้งแต่ปี  2566 ได้รับการมอบหมายให้รับวิทยาลัยราชสุดาเดิมมาอยู่ภายใต้คณะแพทยศาสตร์รามาฯด้วย จึงจะเน้นการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นเรื่องวิชาชีพ โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาให้สอดรับกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และพัฒนาภาษามือให้เป็นภาษามือสากล เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิการสามารถไปศึกษาได้ทั่วโลกมากขึ้น  จากที่ปัจจุบันภาษามือยังเป็นเฉพาะของแต่ละประเทศ”ศ.นพ.อาทิตย์กล่าว 

วิจัยสู่แนวทางรักษาใหม่ๆ

ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรักษาโรคซับซ้อน ตัวอย่างของงานวิจัย อาทิ วิจัยหาตัวยาใหม่ (Drug Discovery Program) มองหาตัวยาที่มีศักยภาพในการรักษาโรคที่อยู่ในสมุนไพรไทย เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มการเข้าถึงตัวยาได้มากยิ่งขึ้น  เช่น กระชาย โดยมีการร่วมมือกับหลายหน่วยงานในการทำวิจัยสมุนไพรไทยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพยาให้ได้ผลดีขึ้น

 วิจัยด้านสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่ผ่านมาในการรักษาโรค เช่น โรคเลือด โรคโลหิตจาง โรคมะเร็ง และพัฒนารักษาโรคที่ใช้สเต็มเซลล์ในการทำให้กระดูกที่หักประสานกันได้ ในผู้ป่วยที่กระดูกหักแล้วไม่ประสาน

 การใช้เซลล์รักษาโรคมะเร็ง ด้วยการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด นำเซลล์เม็ดเลือดขาวมาดัดแปลงพันธุกรรม สามารถทำลายมะเร็งได้ ปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายต่อรายราว 10 ล้านบาท  และมีการพัฒนาตัดต่อพันธุกรรมบางอย่างในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย ที่ต้องให้เลือดทุก 1 -2 เดือน  เป็นการรักษาด้วยยีน ทำให้สิ่งผิดปกติกลับมาปกติได้ อยู่ระหว่างขั้นวิจัยในมนุษย์ โดยรักษาสำเร็จแล้ว 2-3  ราย  เป็นต้น 

 19,000ลบ.สร้างใหม่ 2 แห่ง

ด้านการให้บริการ มีทั้งการให้บริการรักษาพยาบาลและความรู้สู่ชุมชนผ่านรามาแชนนอล  โดยจะมีการนำAI ที่เป็นเครื่องจัดยาอัตโนมัติ มาติดตั้งที่ห้องยาอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ที่มีคนไข้รับยามากที่สุด เมื่อแพทย์สั่งยา เครื่องจะดูประเภทยาแล้วจัดใส่ถุง ส่งมอบให้คนไข้โดยเภสัชกร กระบวนการจัดยาจะเร็วขึ้น ลดเวลารอคอยของคนไข้ 

สำหรับแผนการลงทุน จะมีการขยายสถานที่ให้บริการเป็นแผนต่อเนื่อง โดยการสร้างอาคารรพ.รามาธิบดี ย่านนวัตกรรมโยธี ฝั่งตรงข้ามรพ.รามาฯที่ปัจจุบันเป็นองค์การเภสัชกรรม พื้นที่ 3 แสนตารางเมตร งบประมาณก่อสร้าง 10,000 ล้านบาท

โดยได้รับจากสำนักงบประมาณ 7,000 ล้านบาท  อีก  3,000 ล้านบาท รามาฯจะต้องจัดหาเอง รวมถึงค่าอุปกรณ์ เวชภันฑ์ต่างๆ จะสามารถรองรับคนไข้ทั่วไปได้ประมาณ 800-1,000 เตียง แยกห้องมี 6 เตียง จากอาคารเดิมที่มีราว 30 เตียงต่อห้อง มีห้องไอซียู ห้องผ่าตัดทันสมัย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปี 2567 ใช้เวลา 5-6 ปี 
ในฐานะประธานมูลนิธิรามาธิบดี ศ.นพ.อาทิตย์ บอกว่า มูลนิธิฯได้มีการจัดหางบประมาณ ก่อสร้าง “ศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา”อาคาร29 ชั้น บริเวณรพ.เดชาเดิม เพื่อเป็นการให้บริการผู้ป่วยนอกได้ราว 1,000 คนต่อวัน เป็นศูนย์เวลเนส ศูนย์ตรวจสุขภาพ ดุแลโรคตา โรคผิวหนัง เป็นต้น

คิดอัตราค่าบริการมากกว่าภาครัฐเป็นแบบพรีเมียม แต่ไม่แพงมาก เพื่อนำรายได้กลับมาจุนเจือคณะแพทยศาสตร์รพ.รามาฯ โดยมีการสร้างทางเชื่อมตรงจากสถานีรถไฟฟ้าพญาไทด้วย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2568 

4 เป้าหมายสำคัญในปี  2567

สำหรับในปี  2567 ศ.นพ.อาทิตย์ กล่าวว่า มีเป้าหมายสำคัญ 4 ประการ คือ 1.International Quality (มุ่งสู่มาตรฐานสากล) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มุ่งสู่ความเป็นมาตรฐานสากลเพื่อเป็นสถาบันที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับ และรู้จักในระดับสากล

2.Integrated and Collaborative Approach (ผลักดันการบูรณาการความร่วมมือ) บูรณาการสหสาขาวิชาชีพของทุกภาควิชา โดยสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนภายในคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

รวมถึงการผนึกกำลังกับเครือข่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพภายนอกคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสร้างมาตรฐานทางการแพทย์ให้พร้อมรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโรคในปัจจุบัน และในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาโรคที่ซับซ้อนเป็นต้นแบบของการรักษา

3.Innovative Missions (ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรม) นำนวัตกรรมมาใช้ในการให้บริการทางการแพทย์ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อการผลิตนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์แก่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี รวมถึงในเชิงพาณิชย์ โดยผลักดันให้มีการร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ปัญหาทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย

4.Management for Sustainability (คำนึงถึงความยั่งยืน) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จะดำเนินงานโดยมีความยั่งยืนด้านการเงินควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม

ส่วนแนวทางการผลักดันระบบสาธารณสุขไทยสู่ยุคดิจิทัล ศ.นพ.อาทิตย์ บอกว่า  เตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์มีศักยภาพในการรองรับการปฏิบัติงานควบคู่กับเครื่องมือเทคโนโลยีการแพทย์ล้ำสมัย เพราะตระหนักถึงการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ จึงมุ่งส่งเสริมองค์ความรู้ในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีทางการแพทย์

ผ่านการเรียนการสอนที่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ล้ำสมัย ให้รับรู้ถึงข้อดีและข้อจำกัดของเทคโนโลยี เพื่อเตรียมความพร้อมให้เหล่าบุคลากรทางการแพทย์มีองค์ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างผลลัพธ์ทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

กลยุทธ์ SOFT POWER มูลนิธิรามาฯ 

พรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ  กล่าวว่า  พันธกิจของมูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งสนับสนุนทุกการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยครอบคลุมทั้ง 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การสร้างบุคลากรการแพทย์ การวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรักษาโรคซับซ้อน และการสร้างเสริมสุขภาพ ทั้งนี้แต่ละปีให้การช่วยเหลือผู้ป่วยขาดแคลนทุนทรัพย์ราว 100-200 ล้านบาทต่อปี

ภายหลังได้ทำการริเริ่มโครงการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีให้การสนับสนุนและพัฒนาขึ้น ซึ่งขยายขอบเขตไปไกลและกว้างขวางมากกว่าแค่พื้นที่ในโรงพยาบาล เช่น โครงการรามาธิบดีเพื่อโรงพยาบาลชุมชน โครงการรามาธิบดีศรีอยุธยา และโครงการทุนสถาบันราชสุดา เป็นต้น

ปัจจุบันมีโครงการระดมทุนที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ ให้การดูแลประมาณ 7 โครงการ โดยมีโครงการหลักอย่างโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี ย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในปีนี้และอีกอย่างน้อย 7 ปีข้างหน้า  เพื่อเพิ่มพื้นที่

และเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น สามารถรองรับเครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยีของการรักษาโรคซับซ้อนและก้าวหน้าขึ้นในอนาคต บนแนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” และตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ แก้ปัญหาด้านความแออัดของพื้นที่อาคารเดิม

“ตั้งเป้าหมายการระดมทุนเพิ่มเติมจากการสนับสนุนของภาครัฐบาลรวมจำนวน 9,000 ล้านบาท ซึ่งจะถูกใช้ดำเนินการในการสร้างอาคารโรงพยาบาลและการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยทั้ง 2 แห่งใหม่”พรรณสิรีกล่าว

ในปี พ.ศ. 2567 ลนิธิรามาธิบดีฯ มีการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสาร เพื่อครองใจกลุ่มผู้บริจาครุ่นใหม่มากขึ้น โดยใช้สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กรมาเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์แคมเปญระดมทุนต่าง ๆ

ผ่านกลยุทธ์ SOFT POWER ที่เป็นการสานต่อการให้ไม่สิ้นสุดเพื่อให้ผู้ป่วย ด้วยการระดมความเชื่อเหลือในแบบต่างๆที่แต่ละคนมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เป็นการมาร่วมกันด้วย SOFT POWER ของตัวเอง  ทำให้มีImpact และยั่งยืน  เช่น  กลุ่มเกมเมอร์เชิญอาจารย์แพทย์ไปสตรีมเล่นเกมผ่าตัด,การปลุกเสกพระเพื่อให้คนบูชา,บุญมาร์เก็ตที่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆของมูลนิธิผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อระดมทุนบริจาค,การร่วมมือกับศิลปินต่างๆที่เข้ามาช่วยด้วยใจไม่คิดค่าตัว

และ“หัวใจอินฟินิตี้” “การให้” “ความสุข” มาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญที่เข้ากับยุคสมัย และไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละช่วงวัยผ่านแคมเปญต่าง ๆ โดยในเดือนมีนาคมที่กำลังจะถึงนี้จะมีการเปิดตัวชาเลนจ์ที่สร้างขึ้นจากข้อมูลจำนวนตัวเลขผู้ใช้บริการในโรงพยาบาลมาให้ทุกคนได้เล่นกัน นอกจากนี้ยังมีแคมเปญที่ทุกคนสามารถเป็นร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ง่าย ๆ เพียงแค่แชร์หรือบอกต่อ

อีกทั้ง มีการเปิด Platform TikTok ใช้ชื่อว่า “Rama is happy”เพื่อเป็นอีกช่องทางสำหรับสื่อสารไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ เชื่อว่า ความยั่งยืนขององค์กรนั้นจะเกิดขึ้นได้หากมีการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนเจนเนอร์เรชันใหม่ โดยเนื้อหาสำคัญที่มูลนิธิรามาธิบดีฯ ต้องการสื่อสารคือ “ความสุขจากการให้ไม่สิ้นสุด”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทปิดตลาดวันนี้ 22ก.พ.ที่ระดับประมาณ 35.82 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทแกว่งตัว ช่วงบ่ายทยอยแข็งค่าขึ้นตามภาพของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ประกอบกับสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติเป็นปัจจัยบวก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังรอปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน

เงินบาทปิดตลาดที่ระดับประมาณ 35.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบในช่วงประมาณ 35.75–35.96 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยทยอยมีทิศทางแข็งค่าขึ้นในช่วงบ่ายตามภาพของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากสถานะซื้อสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังรอปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน อาทิ ตัวเลข PMI และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะรายงานในคืนนี้ สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องที่ 3,425.65 ล้านบาท แต่กลับมาขายสุทธิพันธบัตรไทยเล็กน้อยที่ 282 ล้านบาท

ส่วนค่าเฉลี่ย Indicative forward points ของธุรกรรมระยะ 3 เดือนสำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ 50-200 ล้านบาทต่อปี รายงานข้อมูล ณ 10.00 น. วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 จากเว็บไซต์ ธปท. อยู่ที่ -27.66 สำหรับผู้ส่งออก (ขายเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า) และที่ -24.24 สำหรับผู้นำเข้า (ซื้อเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ ระดับ 35.75-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ตัวเลขการส่งออกเดือนม.ค. ของไทย และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“โปเต้-ณัฐพงษ์” พลิกเกมปราบนักตบจีน ศึกขนไก่พาราชิงแชมป์โลก

การแข่งขันกีฬาแบดมินตันคนพิการชิงแชมป์โลก 2024 รายการ “NSDF ROYAL CLIFF BEACH BWF PARA BADMINTON WORLD CHAMPIONSHIPS 2024” ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อ 20 ก.พ.67 ทำการแข่งขันกันเป็นวันแรก 

ไฮไลต์ที่่น่าสนใจอยู่ที่การลงสนามในประเภทชายเดี่ยว คลาส SH6 ซึ่งเป็นรอบแบ่งกลุ่ม เกมแรก ในกลุ่มอี โดยนักกีฬาไทย “โปเต้” ณัฐพงษ์ มีชัย ขนไก่ดาวรุ่งเมืองกรุงเก่า วัย 16 ปี โคจรมาพบกับ หลิน ไนหลี เจ้าของดีกรีเหรียญทองแดงเอเชียนพาราเกมส์ 2022 จากจีน 

เกมแรก “โปเต้”  พลาดท่าพ่ายไปก่อน 19-21 ก่อนที่เกมสองดาวรุ่งวัย 16  ปี จากอยุธยา จะกลับมาเอาชนะคืนได้บ้าง 21-15 ตีเสมอเป็น 1-1 เกม และสุดท้ายเป็น “โปเต้”  ที่เครื่องร้อน มาโชว์ฟอร์มเหนือตบเอาชนะไปได้อีกแบบสบายมือ 21-12 ทำให้พลิกกลับมาเอาชนะ (2-1 เกม 19-21, 21-15, 21-12) คว้าชัยชนะนัดแรก ให้ทัพแบดมินตันคนพิการทีมชาติไทย ประเภทชายเดี่ยว SH6 กลุ่มอี

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


7 สัญญาณอันตราย เหนื่อยล้าจนไม่ไหวทั้งกายและใจ

ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ข้างในไม่ไหวแล้ว หรือใจน่ะเศร้าแต่ก็ยังฝืนยิ้มฝืนหัวเราะไป อยากจะบอกว่าอย่าฝืนเลยถ้ารู้สึกเศร้า ก็ปลดปล่อยมันออกมา ไม่ต้องทนหรือเก็บมันเอาไว้ไม่ว่าจะเรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องเรียน เรื่องงาน ถ้าเก็บเอาไว้ก็มีแต่จะทำร้ายตัวเอง และร่างกายก็จะแสดงออกด้วยอาการแปลก ที่คุณเองก็จะสังเกตได้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม ลองมาสำรวจกันไหมว่าคุณมีครบทั้ง 7 อาการเลยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรีบดูแลตัวเอง และหัวใจของคุณเองแบบด่วนๆ เลย

  1. อารมณ์เสียบ่อยเกินไป

ถ้าคุณต้องอยู่กับความเศร้าเป็นเวลานานๆ สภาพจิตใจของคุณจะไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือกับเรื่องราวที่ซับซ้อนในชีวิตได้ ความอดทนคุณจะต่ำลง และคุณจะรู้สึกท้อใจได้โดยง่าย นั่นคือความผิดปกติทางอารมณ์อันมาจากความเศร้าที่เกาะกินอยู่ในใจคุณนานเกินไป มันเหมือนกับคุณแบกรับภาระอันหนักอึ้งเอาไว้บนสองบ่า พอเจอฟางเส้นสุดท้ายอารมณ์ของคุณก็พร้อมที่จะปริแตกลงมาทันที

  1. คุณรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด

เวลาที่ความเศร้าเกาะกุมจิตใจคุณ แม้ว่าจะไม่มีงานให้ทำมากนักแต่ทำไมคุณรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างรอบตัวดูจะไม่เหมือนปกติธรรมดาที่เคยเป็น คุณพยายามที่จะเรียกความรู้สึกตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ก็ทำได้ยากเต็มที และที่สำคัญคุณรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด นั่นเป็นเพราะความเศร้าอยู่กับคุณนานเกินไป และมันค่อยๆ กัดกินความรู้สึกของคุณไปช้าๆ จนทำให้คุณรู้สึกว่าเรื่องราวรอบตัวนั่นแสนน่าเบื่อจนทำให้คุณไม่มีพลังจะทำอะไรต่อได้

  1. พูดจาช้าลง

เมื่อคุณอยู่กับความเศร้า คุณจะไม่รู้สึกอยากพูดคุยกับใคร และทำให้คุณเบื่อหน่ายที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น เมื่อต้องเริ่มบทสนทนากับใครคุณจะตอบเขาได้ช้าลงกว่าปกติ และคุณจะรู้สึกได้ว่าคุณไม่สนุกไปกับบทสนทนา ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเลยทีเดียว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณต้องเผชิญหน้ากับความเศร้า ทำให้คุณยังไม่อยากพูดอะไรกับใคร คุณต้องการเวลา เพื่อเยียวยาสถานการณ์ในชีวิตให้ดีขึ้น

  1. คุณรู้สึกปวดหลัง

กระดูกสันหลังก็เหมือนโครงสร้างหลักของร่างกายที่ต้องคอยรองรับ พฤติกรรมและความรู้สึกทางอารมณ์ของคุณ เมื่อคุณมีความรู้สึกเศร้า ความรู้สึกกดดันจะถูกส่งไปที่กระดูกสันหลัง และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกปวดหลัง หรือมีอาการปวดหลังเรื้อรัง อาการจะเริ่มที่ละนิดจากส่วนท้ายของหลัง ก่อนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงช่วงไหล่และคอ

  1. มีปัญหาเรื่องการนอน

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน และถ้าคุณมีเรื่องให้ทุกข์ใจการนอนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกลับมาพลังเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณต้องเจอเรื่องที่เศร้าใจ และต้องอยู่กับมันเป็นเวลานานๆ ปัญหาเรื่องการนอนจะเป็นปัญหาหลักที่คุณต้องเผชิญ หรือถึงจะนอนหลับได้ตามปกติก็เป็นการนอนที่ไม่ดีพอ และทำให้คุณรู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อนเมื่อตื่นขึ้นมา

  1. คุณรู้สึกปวดหัวตลอดเวลา

ความรู้สึกปวดหัวแทบจะเป็นสัญญาณแรกๆ สำหรับคนที่ต้องเจอเรื่องเศร้าและต้องยุ่กับเรื่องดังกล่าวเป็นเวลานานๆ เมื่อใจเราเศร้า จะส่งผลกระทับไปยังความรู้สึกนึกคิดของคุณ ทำให้คุณไม่รู้สึกมีความสุขเลย คุณอาจจะเริ่มมีอาการปวดหัวจากต้นคอ แล้วค่อยๆ ลามไปเรื่อยๆ และถ้าคุณยังคงปล่อยให้ใจจมอยู่กับความเศร้านานขึ้นเรื่อยๆ นอกจากปวดหัวแล้วคุณจะมีผมร่วงตามมา

  1. จากที่เคยเดินกระฉับกระเฉงคุณจะกลายเป็นคนที่เดินช้าลงและลากเท้าไปเรื่อยๆ

ลองนึกถึงเวลาที่ใจคุณเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ ความรู้สึกกระฉับกระเฉงของคุณจะลดลงทันที สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ชัดเจนเวลาที่คุณรู้สึกเศร้า คุณจะเดินลากเท้าไปอย่างช้า ไม่ใช่การเดินแบบปกติที่คุณเคยทำเป็นประจำ เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณต้องรีบหาสาเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกเศร้าที่เกาะอยู่ในอารมณ์ของคุณเอง และจงอย่าได้รู้สึกอายที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อานิสงส์ AI “Nvidia” รายได้พุ่ง แต่ยังมีความเสี่ยง

อานิสงส์จากกระเเส AI ครองโลก ส่งผลให้ “Nvidia” บริษัทผลิตการ์ดจอที่อยู่ในสหรัฐ เป็นหนึ่ง 1 ใน 7 นางฟ้าบิ๊กเทค รายได้พุ่งในไตรมาส 4/2566 แต่ยังมีความเสี่ยง

Nvidia รายงานว่ารายรับในไตรมาส 4/2566 เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าจากปีก่อนหน้า เป็น 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่าตัว อยู่ที่ 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าประมาณการของวอลล์สตรีทที่ 2.04 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นการตอกย้ำวิธีที่บริษัทกลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่จากการเติบโตของ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อย่างเต็มตัว

นาย Jensen Huang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA  กล่าวว่าบริษัทยังมีการเติบโตอีกมาก Generative AI เดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ความต้องการพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ทั้งระดับบริษัท อุตสาหกรรม หรือระดับประเทศ

The New York Times รายงานว่า การประเมินมูลค่าของ Nvidia เพิ่มขึ้นมากกว่า 40 % เป็น 1.7 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี ทำให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเบียดมูลค่าตลาดของ Amazon และ Alphabet ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะถอยไปอยู่บริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับที่ 5

โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เรียกว่า Magnificent 7 ได้แก่ Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla

หุ้นของ Nvidia ได้ร่วงลงถึง 4.1% เมื่อที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นการร่วงติดต่อกัน 4 วัน แต่ Goldman Sachs Group Inc. ก็ยังเรียก Nvidia ว่า “หุ้นที่สำคัญที่สุดบนโลก” เพราะมีอิทธิพลต่อการเพิ่มทุนในปีนี้

ปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันการเติบโตของรายได้ล่าสุดของ Nvidia คือความสามารถของพันธมิตรด้านการผลิตของบริษัท ซึ่งนำโดย บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ในการเพิ่มอุปทานของชิป AI เรือธงของ Nvidia ซึ่งกำหนดราคาได้ตั้งแต่ 15,000- 40,000 เหรียญสหรัฐ

แต่บริษัทคอมพิวเตอร์คลาวด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Google , Microsoft กำลังออกแบบชิป AI ของตัวเองเพื่อใช้เพิ่มเติมจากของ Nvidia และผู้ผลิตชิปคู่แข่งก็ยังคงแนะนำผลิตภัณฑ์ AI ของตัวเองต่อไป หรือเเม้แต่  AMD พยายามออกผลิตภัณฑ์ เช่น MI300 หวังชิงตลาดจาก Nvidia

Intel ซึ่งครองอุตสาหกรรมชิปไมโครโปรเซสเซอร์มาตรฐานมายาวนาน แต่ล่าช้าในด้าน AI รวบรวมพันธมิตรและลูกค้าที่มีศักยภาพใน Silicon Valley เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนเสนอบริการการผลิตซึ่งอาจเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมในการสร้างชิป AI รายงานระบุว่า ผู้เข้าร่วม ได้แก่ Sam Altman ซึ่งใช้ชิป Nvidia ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI ที่ ศูนย์การประชุมซานโฮเซ่ ซานโฮเซ่ แคลิฟอร์เนียซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ Nvidia เปิดเผยรายได้

สงครามชิประหว่างสหรัฐฯ กับจีน ฝ่ายบริหารของ โจ ไบเดน ได้เพิ่มอุปสรรคสำหรับ Nvidia และผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ ในสหรัฐฯ โดยวางข้อจำกัดการขายชิปในจีน 

ที่มา

nytimes

Nvidia

U.S. to give $1.5 billion for computer-chip plant, heating up global race

CEOs of OpenAI and Intel cite artificial intelligence’s voracious appetite for processing power

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


Formal and informal เรียนรู้การใช้คำศัพท์ในภาษาพูดและภาษาเขียน

คำศัพท์ภาษาอังกฤษมีจำนวนมากมาย คนที่เรียนภาษาอังกฤษมานานตั้งแต่ยังเล็กอาจรู้สึกว่าเรียนเท่าไหร่ก็รู้ไม่หมด อันนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง อีกอย่างในเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษคือคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน มีอยู่หลายคำให้เลือกใช้ และแบบที่เป็น Formal and informal โดยเราควรเลือกใช้ให้เหมาะสม เพราะคำศัพท์บางคำเป็นภาษาทางการ ส่วนคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันแต่อาจเหมาะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนเฉพาะในกลุ่มเท่านั้น

คำศัพท์ Formal and informal คืออะไร

          อย่างที่เกริ่นไว้ช่วงต้นเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ในแต่ละบริบทควรหยิบยกไปใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ บางคำเป็นภาษาที่ใช้เป็นทางการ หรือ Formal เหมาะกับใช้เขียนบทความเพื่อลงหนังสือพิมพ์ ผลงานวิจัย หนังสือ เอกสารวิชาการ ในขณะที่คำศัพท์บางตัวก็เหมาะกับการใช้ทั่วไปแบบไม่เป็นทางการ หรือ Informal เช่น สื่อสารในกลุ่ม ครูสอนนักเรียน หรือเพื่อนสื่อสารกัน

Formal vs Informal เช่นคำศัพท์อะไรบ้างที่ใช้บ่อย ๆ

สำหรับตัวอย่างของคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน แต่คำหนึ่งเหมาะกับ formal อีกคำเหมาะกับ informal เช่น

ask/enquire

ask for/request

book/reserve

check/verify

get/receive

give/provide

help/assist

need/request

be sorry/apologize

bad/poor หรือ ineffective

big/large หรือ significant

say hello to/give my regards to

tell/inform

choose/select

begin หรือ start / commence

let/allow

promise/assure

go up/increase

go down/decrease

set up/establish

look at/examine

find out/discover

put off/postpone

stand for/represent

go against/oppose

get in touch with/contact

get back/return

deal with/handle

show/demonstrate

keep/retain

free/release

fill in/substitute

end/terminate

in the end/finally

mad/insane

smart/intelligent

wrong/incorrect

tough/difficult

ตัวอย่างประโยคที่ใช้คำศัพท์ทางการ และ ไม่ทางการ

Formal => How people can cope up with problem when they are in a very tough situation.

Informal => How people can handle problem when they are in a very difficult situation.

Formal => It is believed that numbers of people killed were reported wrongly.

Informal => It is believed that numbers of people killed were reported incorrectly.

Formal => Prime Minister was very smart to say that it was Cabinet collective responsibility.

Informal => Prime Minister was very intelligent to say that it was Cabinet collective responsibility.

Formal => This would help improve the situation.

Informal => This would assist to improve the situation.

การใช้ Formal vs Informal ในภาษาอังกฤษ (นอกเหนือจากคำศัพท์)

Formal vs Informal อาจไม่ได้หมายถึงเฉพาะคำศัพท์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการใช้ภาษาอังกฤษทั่วไปด้วย โดยควรใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส เช่น

  1. ในภาษาอังกฤษแบบทางการ จะนิยมเขียนตัวเต็ม ไม่ย่อ แต่ในภาษาที่ไม่เป็นทางการ เราสามารถใช้ตัวย่อได้ เช่น

The results from research can’t be used for future studies. ไม่ควรใช้ can’t ในภาษา Formal

The results from research cannot be used for future studies.

หรือ

Many people don’t know that gold card holders must not be charged for medical treatment in any case.

Many people do not know that gold card holders must not be charged for medical treatment in any case.

  1. การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือ Formal ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ phrasal verbs ต่าง ๆ ด้วย เช่น

You can pull over your car here. คำว่า pull over ในที่นี้หมายถึง จอดรถ เหมาะกับใช้ในภาษา informal

You can park your car here. ในภาษาทางการ formal ให้ใช้ park จะเหมาะสมกว่า

หรือ

They didn’t get back home last night. ไม่ควรใช้ในภาษาทางการ ให้ใช้เป็น

They did not return home last night.

  1. สำนวน คำสแลง หรือภาษาพูด เราจะไม่ใช้ใน Formal เช่น

It’s raining cats and dogs. cats and dogs เป็นสำนวนหมายถึง ฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา

It’s raining heavily. ในภาษา formal ให้ใช้ heavily เป็น adverb ขยายเหตุการณ์ฝนตกว่าตกหนักมากจะเหมาะสมกว่า

หรือ

I am very busy and work twenty-four seven. Twenty-four seven เป็นสำนวนหมายถึงทั้งวัน หรือ ตลอดเวลา ไม่นิยมใช้ในภาษาทางการ ใช้ในภาษาพูดหรือสื่อสารในระหว่างเพื่อนได้ กรณีต้องการใช้เป็นภาษาทางการ ควรเปลี่ยนเป็น I am very busy and work all day.

  1. ภาษาทางการจะไม่นิยมใช้ประธานบุรุษที่ 1 ที่เป็น I กับ We แต่จะเลี่ยงเปลี่ยนรูปประโยคไปแทน เช่น

We believe that government measure can improve economic growth. ไม่ควรใช้ I หรือ We ในประโยคทางการ ให้เปลี่ยนรูปประโยคไปเป็น

It is believed that government measure can improve economic growth. แบบนี้จะเหมาะสมกว่า

  1. ไม่ควรใช้อักษรย่อเฉย ๆ ในเอกสารทางการ แต่หากต้องการใช้จริง ๆ ควรมีวงเล็บตัวเต็มกำกับตามหลังไว้ด้วย เช่น เล่มของหนังสือ ให้วงเล็บ (Volume) ไว้ด้วย หรือ E-mail ให้วงเล็บ (Electronic mail) เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


หมอบอกเอง “กาแฟดำ” กับ “ชาเขียวเพียว” กินอะไรดีกว่ากัน

เพจคุยกับหมอฆนัทได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับข้อสงสัยระหว่างการดื่มกาแฟดำ กับชาเขียวเพียวว่ากินอะไรดีกว่ากัน โดยมีรายละเอียดว่า

หนึ่งในคำถามที่แฟนเพจทัก Inbox มาหาหมอเยอะมาก “กาแฟดำ vs ชาเขียวเพียว” กินอะไรดีกว่ากัน

ก่อนอื่นหมอขอทำความเข้าใจกับ “ปริมาณคาเฟอีน” ที่เหมาะสมในแต่ละวัน การบริโภคคาเฟอีนในวัยผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับวัยรุ่น 100 มิลลิกรัม และสำหรับเด็ก 2.5 มิลลิกรัม

ต่อมาคือ ปริมาณของ “คาเฟอีน” ในกาแฟและชาเขียว การศึกษาทางโภชนาการ พบว่า ในปริมาณเครื่องดื่มที่เท่ากัน กาแฟมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่าชาเขียวถึง 3 เท่า เช่น กาแฟ 240 มิลลิกรัม มีคาเฟอีนประมาณ 96 มิลลิกรัม ในขณะที่ชาเขียวในปริมาณเท่ากัน จะมีคาเฟอีนประมาณ 29 มิลลิกรัม

หมายความว่า ถ้าเราดื่มกาแฟ ก็ไม่ควรดื่มเกิน 4 แก้วต่อวัน ในขณะที่เราสามารถดื่มชาเขียวได้มากถึง 13 แก้วเลยทีเดียว แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่า เราไม่ควรดื่มมากขนาดนั้น เพราะกาแฟมีคาเฟอีนเข้มข้นมากกว่า

แต่ก็มีข้อแนะนำถึงการเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

กาแฟ เมื่อดื่มแล้วร่างกายจะตื่นตัวได้ทันที ในเวลาอันรวดเร็ว แต่การดื่มชาเขียว หากจิบทีละเล็กละน้อยไปตลอดทั้งวัน ก็จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้ตลอดทั้งวันได้เช่นกัน

ประโยชน์และโทษต่อสุขภาพของกาแฟดำ vs ชาเขียวเพียว

ทั้งกาแฟและชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก โดย “สารแอล-ธีอะนีน” ในชาเขียวยังช่วยผ่อนคลายจิตใจ ลดความเครียดได้ด้วย

ทั้งนี้ การดื่มกาแฟหรือชาเขียว โดยเฉพาะการดื่มกาแฟหรือชาเขียวที่มีส่วนผสมของครีมเทียม น้ำตาล น้ำเชื่อม หรือสารให้ความหวานต่างๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน หลอดเลือดหัวใจ ไขมันในเลือด หรือเบาหวานประเภท 2

รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะ “ติดคาเฟอีน” ที่หากไม่ได้ดื่มจะเกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ หงุดหงิดงุ่นง่าน ไปจนถึงซึมเศร้า หดหู่ ไม่มีสมาธิ และนอนไม่หลับได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 23/02/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,400.0034,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,228.0033,776.4835,000.00
ทองรูปพรรณ 90%2,005.2030,398.83n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,782.4027,021.18n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,003.0015,205.48n/a
ทองรูปพรรณ 40%780.0011,824.80n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,309.0035,004.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/02/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.0538.0538.3538.0538.0538.0538.0538.0538.0538.05
แก๊สโซฮอล์ 9136.2836.2836.7836.2836.2836.2836.2836.2836.2836.28
แก๊สโซฮอล์ E2035.9435.9436.4435.9435.9435.9435.9435.9435.94
แก๊สโซฮอล์ E8535.6935.6935.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.4449.4449.4449.4445.44
เบนซิน 9545.9447.1146.4446.0945.94
ดีเซล B729.9429.9430.2429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า