สาระน่ารู้ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2567

บ้าน-คอนโดBOIขยับราคาขายไม่เกิน1.5ล้าน โอกาสหรือกับดัก?

จากกระแสข่าวดีรัฐบาลเตรียมคลอดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯในไตรมาส2 3-4 มาตรการหนึ่งในนั้นบ้าน-คอนโดBOIขยับราคาขายไม่เกิน1.5ล้านเพื่อช่วยเหลือคนมีรายได้น้อย

ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางที่พัฒนาภายใต้นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ซึ่งมีข้อกำหนดไว้ว่าต้องมีราคาขายไม่เกิน 1.2 ล้านบาทไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม และสมุทรสาคร และในจังหวัดอื่นๆ ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อยูนิต โดยผู้ประกอบการที่ขอการส่งเสริมการลงทุนแล้วสารถทำตามเงื่อนไขต่างๆ 

โดยเฉพาะเงื่อนไขของราคาขายได้ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลของนิติบุคคลที่มีชื่อเป็นผู้พัฒนาโครงการนั้นเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้นโยบายของ BOI นี้เป็นหนึ่งในช่องทางที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกใช้และเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงมาโดยตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายรายที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน เช่น รีเจนท์ กรีน เพาเวอร์, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์, พฤกษาฯ เป็นต้น

สุรเชษฐ กองชีพ  กูรูในวงการอสังหาฯ  ระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัยที่ทาง BOI กำหนดไว้ให้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อยูนิตเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลให้ผู้ประกอบบางส่วนเริ่มขอรับการส่งเสริมการลงทุน”ลดลง” เพราะต้นทุนในการพัฒนาโครงการไม่ว่าจะเป็นที่ดิน วัสดุก่อสร้าง ค่าแรง และปัจจัยต่างๆขยับขึ้น การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายในราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อยูนิตในปัจจุบันอาจจะทำได้ยาก!

โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล อาทิ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี ขณะที่จังหวัดอื่นๆ ก็มีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการอสังหาฯให้ทาง BOI ปรับราคาขายของโครงการที่ขอรับการส่ง้สริมการลงทุนจาก 1.2 ล้านบาทเป็น 1.5 ล้านบาทต่อยูนิตทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในต่างจังหวัดอาจจะขึ้นมาที่ราคา 1.2 – 1.3 ล้านบาทต่อยูนิต 

ทั้งนี้เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาฯต้องการ”ลดภาระ”จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นหนึ่งในช่องทางที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการจะยกขบวนกันไปขอรับการส่งเสริมการลงทุนกันทุกราย เพราะสุดท้ายแล้วผู้ประกอบการก็ต้องพัฒนาโครงการออกมาหลายระดับราคาเพื่อรองรับกำลังซื้อหลายกลุ่ม

แต่ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเป็นหนึ่งในช่องทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง(Affordable Segment)ที่เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเป็น”ของแสลง”เพราะปัญหาการถูกสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง50-70% จนทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯหลายราย”ลด”สัดส่วนของโครงการระดับราคาต่ำกว่า3 ล้านบาทลง หันไปทำในตลาดระดับกลาง-บนมากขึ้น   

   ฉะนั้นหากทาง BOI มีการปรับราคาขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาทต่อยูนิตก็เป็นไปได้ที่จะมีโครงการในระดับราคานี้เปิดขายใหม่มากขึ้น ในเขตปริมณฑล หรือกรุงเทพฯบางพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาซัพพลายล้น! เพราะ ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าดังกล่าวติดกับดักการขอสินเชื่อธนาคารไม่ผ่านทำให้มีปัญหาในเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์  

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มนี้มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย จึงเป็นไปได้ที่จะมีผู้ซื้อหน้าใหม่เข้ามาทดแทน หรือการเข้ามาซื้อของกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในทำเลที่มีศักยภาพเพราะต้นทุนไม่สูงมาก มีโอกาสในการทำกำไรและที่สำคัญมีฐานของกลุ่มลูกค้าเช่าจาก “Generation Rent ”  แต่สุดท้ายแล้ว รัฐบาลและ  BOI จะปรับราคาขายเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็ตาม ที่อยู่อาศัยระดับราคานี้ลดน้อยลงไปทุกที 

 ที่สำคัญการขยับจาก 1.2 ล้านบาทเป็น 1.5 ล้านบาทไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง ที่ว่าสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อต่อให้ขายได้แต่ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน!

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สถาปนิก’67คาดผู้เข้าชมงานทะลุ 3.2แสนคน

สถาปนิก’67 จัดงานภายใต้ธีม “Collective Language : สัมผัส สถาปัตย์” ครบครันด้วยสินค้านวัตกรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมตอบโจทย์ความยั่งยืนคาดมีผู้แสดงสินค้ากว่า 1,000 รายผู้เข้าชมงานทะลุ 3.2แสนคน

นายชนะ สัมพลัง นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงข้อมูลเทรนด์การออกแบบงานสถาปัตยกรรมปัจจุบัน ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญอย่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม โดยเฉพาะอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรจาก 8 พันล้านคน เป็น 10.4 พันล้านคน ภายในปี 2100 ทำให้การออกแบบพื้นที่เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายได้จริงนี้

เป็นโจทย์ที่ต้องเผชิญในปี 2024 ซึ่งความสำคัญหลักจะต้องมีความปลอดภัยมากขึ้น การออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน รองรับความหลากหลายของวัฒนธรรม นวัตกรรม และความยั่งยืน

เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การออกแบบงานสถาปัตยกรรมดังกล่าว การจัดงานสถาปนิก’67 ในปีนี้ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่30 เม.ย – 5 พ.ค.นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด Collective Language : สัมผัส สถาปัตย์ มุ่งหวังสร้างการรับรู้ให้ผู้คนจากทั่วโลก ได้สัมผัสและเข้าใจงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่ไร้ขอบเขต เฉกเช่นการสื่อสาร ภาษา ศิลปะวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความตั้งใจตลอดระยะเวลา 90 ปีของการก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยามฯ ที่อยากให้เกิดความเคลื่อนไหวที่ดีในสังคมและอนาคตร่วมกัน ผ่านงานแสดงนิทรรศการและกิจกรรมไฮไลต์สำคัญๆ มากมาย

รวมถึงการเตรียมพร้อมจัดแสดงสินค้าและบริการด้านงานออกแบบ วัสดุก่อสร้าง การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวงการสถาปัตยกรรมบนพื้นที่เดียวกันที่ใหญ่มากถึง 75,000 ตร.ม. ครอบคลุมทั้งสินค้านวัตกรรมความปลอดภัย ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน และความยั่งยืน ตอบรับกับเทรนด์งานออกแบบสถาปัตยกรรมของปีนี้และอนาคต เรียกว่า สถาปนิก’67 เป็นงานแสดงสินค้าที่ครบวงจรและยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

นายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะ ออแกไนเซอร์จัดงาน กล่าวว่า การจัดงานปีนี้ตั้งเป้าหมายจะขยายการจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี บนพื้นที่กว่า 75,000 ตร.ม. โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้แสดงสินค้ากว่า 1,000 ราย เพิ่มขึ้น 9.4% คาดว่าจะเป็นผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศ  30%

ส่วนผู้เข้าชมงาน คาดว่าจะมีจำนวนกว่า 325,000 คน เพิ่มขึ้น 6.25% โดยในขณะนี้มียอดจองพื้นที่ขายไปแล้วกว่า 25,381 ตารางเมตร คิดเป็น 87.59% จากพื้นที่ขายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน 8.5%

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25มี.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.34 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่า หากตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด แนะจับตาแรงกดดันจากราคาทองคำ รวมถึงจับตาทิศทางสกุลเงินเอเชีย และเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 25มี.ค.2567  ที่ระดับ  36.34 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  36.37 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 36.26-35.42 บาทต่อดอลลาร์) ตามการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ที่มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามภาพตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น

ท่ามกลางการรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ อนึ่ง จังหวะการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำมีจังหวะรีบาวด์ขึ้น ซึ่งช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท และทำให้โดยรวมเงินบาทยังแกว่งตัว sideways แถวโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังบรรดาธนาคารกลางหลักนอกจากเฟดเตรียมทยอยลดดอกเบี้ย ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังคงสดใส

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าควรจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนกุมภาพันธ์ โดยผู้เล่นในตลาดจะให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคบริการที่ไม่รวมราคาหมวดที่อยู่อาศัย (Core Services ex. Housing) ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว เร่งตัวขึ้นไปมาก จนทำให้โดยรวมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE และ

อัตราเงินเฟ้อ PCE สูงกว่าคาดชัดเจน ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจชะลอช้ากว่าคาด หรือเสี่ยงเร่งตัวขึ้น จนอาจส่งผลให้ เฟดปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 3 ครั้งที่ตลาดกำลังประเมินอยู่ ซึ่งหากผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด และน้อยกว่า 3 ครั้ง ก็จะยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนอาจเห็นดัชนีเงินดอลลาร์ DXY ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 105 จุด

ส่วนบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 4.40%-4.50% อีกครั้ง ได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด

ซึ่งเรามองว่า โทนการสื่อสารของเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ อาจมีลักษณะ Neutral ค่อนข้างไปทาง Dovish เมื่อประเมินจากถ้อยแถลงที่ผ่านๆ มา ของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว ซึ่งหากการสื่อสารของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดเป็นไปตามคาด ก็อาจช่วยคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาดได้บ้าง

▪ ฝั่งยุโรป – ในสัปดาห์ก่อนหน้า เรายอมรับว่า อาจมองข้ามการประชุมธนาคารกลางสวิตฯ (SNB) ไป เนื่องจากโดยปกติ ผลการประชุม SNB ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็มองว่า SNB จะยังไม่ลดดอกเบี้ย ทำให้เมื่อ SNB เซอรไพรส์ตลาดด้วยการลดดอกเบี้ยลง -25bps

ผู้เล่นในตลาดต่างก็ยิ่งมองว่า ธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาจเริ่มลดดอกเบี้ยได้ กดดันสกุลเงินฝั่งยุโรปและหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแรง จากบทเรียนดังกล่าวทำให้ เรามองว่า ควรระวังผลการประชุมธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็มองว่า Riksbank จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.00%

แต่หากมีการเซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณชัดเจนพร้อมลดดอกเบี้ย ก็อาจกดดันเงินโครนสวีเดน (SEK) ซึ่งมีน้ำหนักราว 4.2% ในตะกร้าสกุลเงินคำนวณดัชนีเงินดอลลาร์ DXY อ่อนค่าลง และยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ BOE และ ECB  

▪  ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในโซน Tokyo เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาสดใส อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้บ้าง

ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Non-Manufacturing PMIs) เดือนมีนาคม ซึ่งหากออกมาสูงกว่าระดับ 50 จุด ตามที่นักวิเคราะห์ประเมิน ก็จะสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้น

หลังการทยอยออกมามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจมีความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจจีนมากขึ้น ซึ่งอาจลดแรงกดดันต่อตลาดทุนจีนและเงินหยวนจีน (CNY)

▪ ฝั่งไทย – นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องราว +4.5%y/y ทว่ายอดการนำเข้าก็ยังคงขยายตัวได้ดีเกือบ +4%y/y ทำให้โดยรวมดุลการค้า (Trade Balance) ของไทยอาจยังคงขาดดุลราว -540 ล้านดอลลาร์ (ขาดดุลการค้าลดลงจากเดือนก่อนหน้า)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจชะลอบ้าง แต่ยังเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แนวต้านถัดไปคือ 36.65 บาทต่อดอลลาร์) หากตลาดยิ่งกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และต้องจับตาแรงกดดันจากราคาทองคำ

หากราคาทองคำยังคงปรับฐานต่อเนื่อง คล้ายกับช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนหน้า ที่ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับฐานหนัก หลังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากจุด All-time High ได้ รวมถึงจับตาทิศทางสกุลเงินเอเชีย โดยเฉพาะเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจผันผวนอ่อนค่าต่อได้ หลังอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็อาจเดินหน้าขายสินทรัพย์จีนเพิ่มเติม

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจทรงตัวหรือชะลอการแข็งค่าบ้าง หากอัตราเงินเฟ้อ PCE ไม่ได้สูงกว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อ หากธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาดแบบธนาคารกลางสวิตฯ ในสัปดาห์ก่อน

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.00-36.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.25-36.45 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.28-36.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนที่ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ทั้งนี้ แรงขายเงินบาทชะลอลงบางส่วน และทยอยฟื้นตัวขึ้นได้บ้างในช่วงเช้าวันนี้ (หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมากแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือนในสัปดาห์ที่ผ่านมา) สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค สวนทาง sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่อาจถูกถ่วงลงตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี กรอบการแข็งค่าของเงินบาทในระหว่างวันอาจจะยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน และตลาดน่าจะอยู่ระหว่างรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ เบื้องต้นประเมินไว้ที่ 36.25-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เกน-จ๋อมแจ๋ม” แซงคู่เจ้าถิ่นคว้าแชมป์ขนไก่ไชน่า มาสเตอร์ส 2024

เกน” ลักษิกา กัลละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ หญิงคู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ โชว์ฟอร์มได้อย่างเฉียบขาด กลับมาพลิกแซงชนะคู่ของ เฉิน เสี่ยวเฟย กับ เฟง ซื่อหยิง จากจีน ไปอย่างสนุก 2-1 เกม ผงาดแชมป์แบดมินตันเวิลด์ทัวร์ ที่สองของทั้งคู่ และ เป็นการคว้าแชมป์ 2 รายการติดต่อกัน ในศึกรุ่ยชาง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024

การแข่งขันแบดมินตันรายการรุ่ยชาง ไชน่า มาสเตอร์ส 2024 ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 100 ชิงเงินรางวัลรวม 120,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,320,000 บาท ที่เมืองรุ่ยชาง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ มีนักแบดมินตันไทยลงสนามเพียงคู่เดียว

ประเภทหญิงคู่ รอบชิงชนะเลิศ “เกน” ลักษิกา กัลละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 41 ของโลก พบกับ  เฉิน เสี่ยวเฟย กับ เฟง ซื่อหยิง จากจีน  

เกมการแข่งขัน เกน กับ จ๋อมแจ๋ม สามารถกลับมารวบรวมสมาธิได้อย่างดี จากการพลาดท่าเสียเกมแรกไปก่อนที่จะ มารัว 2 เกมหลัง แซงกลับมาเอาชนะไปแบบสนุก 2-1 เกม 17-21,21-15 และ 21-16 “เกน” ลักษิกา กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส คว้าแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์รายการที่สองของทั้งคู่ ต่อจากรายการเคแอล มาเลเซีย มาสเตอร์ส ซูเปอร์ 100 เมื่อปีที่แล้ว และเป็นการคว้าแชมป์ 2 รายการติดต่อกัน ต่อจากโยเน็กซ์ ซันไรท์ เวียดนาม อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ พร้อมรับเงินรางวัล 9,480 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 341,280 บาท 

ส่วนรายการต่อไปของเกน กับ จ๋อมแจ๋ม จะกลับมาลงเล่นในบ้านในศึกโตโยต้า  อินเตอร์เนชั่นแนล ชาเลนจ์ 2024 ชิงเงินรางวัลรวม  25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 900,000 บาท ระหว่างวันที่ 26-31 มี.ค.67 นี้ ที่เทอร์มินอล ฮอลล์ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จ.นครราชสีมา 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


8 วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ ที่ช่วยให้หลับสบายขึ้น

หลายคนคงเคยประสบปัญหาเรียน ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ตกดึกก็อยากจะหลับให้เต็มอิ่มสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมตอนกลางคืนหนังตากลับตึง นอนไม่หลับ ไม่ง่วงหนังตาหย่อนเหมือนตอนเช้าเลยล่ะ บางคนอยากนอนแต่นอนไม่หลับ ขืนเป็นอย่างนี้นานวันเข้าจะเสียการเสียงาน เสียสุขภาพจิตเอานะ ถ้าอยากนอนหลับสบายเหมือนเดิม ตาม Sanook Health มารับมือกับ “อาการนอนไม่หลับ กันเถอะ แต่ก่อนอื่นเรามีดูสาเหตุของการนอนไม่หลับ กันก่อนนะคะว่าเพราะอะไร ทำไมเราถึงมีอาการนอนไม่หลับได้

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

  1. สาเหตุของการนอนไม่หลับที่เกิดจากโรค (Medical and Physical Conditions)ซึ่งบางโรคก็เป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ อาทิ
    • Adjustment Sleep Disorder เป็นภาวะนอนไม่หลับที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่เพิ่งเกิด เช่น ผลจากความเครียด , การเจ็บป่วย , การผ่าตัด , การสูญเสียของรัก , เรื่องงาน ซึ่งเมื่อใดที่สิ่งกระตุ้นเหล่านี้หาย อาการนอนไม่หลับจะกลับสู่สภาวะปกติ
    • Jet Lag มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่เดินทางบินข้ามเขตเวลา ทำให้ร่างกายต้องเปลี่ยนเวลานอนจนปรับตัวไม่ทัน เป็นเหตุให้นอนหลับยาก
    • Working Conditions เป็นผลมาจากการที่ต้องเข้างานเป็นกะ ทำให้นาฬิกาชีวิตเสียไป จนทำให้ต้องนอนไม่เป็นเวลา
    • Medications อาการนอนไม่หลับที่เกิดจากการใช้ยา หรือเครื่องดื่ม เช่น ยาลดน้ำมูก , กาแฟ
  2. สาเหตุของการนอนไม่หลับที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจ (Psychologic Causes of Insomnia)จากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับส่วนใหญ่มักเกิดจากอาการที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องของจิตใจ อาทิ โรคเครียด โรคซึมเศร้า โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้ถึงร้อยละ 70 จะมีอาการนอนไม่กลับเป็นอาการหลักๆ
  3. สาเหตุของการนอนไม่หลับที่มีปัจจัยที่เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการนอนไม่หลับ (Precipitating Factors of Transient Insomnia)
    ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว อาทิ
    • โรคบางโรคเมื่อขณะเกิดจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับ เช่น โรคหอบหืด , โรคหัวใจวาย , โรคภูมิแพ้ , โรคสมองเสื่อม , โรคพาร์คินสัน , โรคคอพอกเป็นพิษ
    • ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน Progesteron เมื่อฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้นก็จะทำให้ง่วงนอนในช่วงไข่ตก  แต่ในช่วงที่ประจำเดือนใกล้มาจะมีฮอร์โมนน้อย อาจทำให้มีอาการนอนไม่หลับ อีกทั้งเมื่อคุณสาวๆ กำลังตั้งครรภ์ในระยะแรกๆ และระยะใกล้คลอดก็จะมีอาการนอนไม่หลับเช่นกัน เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงช่วงแรกของผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทอง ก็จะมีอาการนอนไม่หลับเช่นกัน
    • การเปลี่ยนเวลานอน Delayed Sleep-Phase Syndrome ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ อาทิ เมื่อถึงเวลานอนแต่ไม่ได้นอน ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
  4. สาเหตุของการนอนไม่หลับที่เป็นปัจจัยเสริม (Perpetuating Factors)มีหลายภาวะที่เสริมส่งให้การนอนไม่หลับเกิดได้ง่ายมากขึ้น
  • Psychophysiological Insomnia เกิดจากการนอนก่อนเวลาทำให้นอนไม่หลับ เรียกว่า Advanced sleep phase Syndrome ทำให้คนๆ นั้นพยายามที่จะต้องนอนให้หลับ กระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา ไม่ผ่อนคลายจนเกิดการสะสมแล้วกลายเป็นความเครียด โดยผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีลักษณะชีพจรเต้นเร็ว ตื่นง่าย อุณหภูมิร่างกายจะสูงกว่าปกติ
  • นอนไม่หลับจากสารบางชนิด อาทิ สุรา กาแฟ ซึ่งการดื่มกาแฟ หรือสุราในช่วงกลางวันถึงกลางคืนอาจจะทำให้นอนไม่หลับ ถ้าไม่นับรวมว่าการดื่มสุราแค่เพียงจิบ หรือเพียงเล็กน้อยก่อนนอนจะช่วยลดความเครียด ทำให้นอนได้หลับดีขึ้นได้ แต่ถ้าหากดื่มมากเกินไปก็จะทำให้หลับได้ไม่นาน ตื่นง่าย เมื่อถึงช่วงอดสุราก็จะมีปัญหาหลับยาก รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่จะนอนหลับประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงแล้วตื่น อันเนื่องมาจากมีระดับ Nicotin ที่ลดลง
  • ระดับ Melatonin ลดลง ส่วนใหญ่ Melatonin จะมีมากในเด็กและลดลงในวัยผู้ใหญ่หลังช่วงอายุ 60 ปี มีส่วนให้เกิดอาการนอนหลับยาก
  • ปัจจัยจากแสงก็มีส่วนให้เกิดอาการนอนหลับยาก จากความรู้เบื้องต้นว่าแสงจะกระตุ้นให้ร่างกายเราตื่น ถึงแม้ว่าจะหรี่แสงลงแล้วก็ตาม
  • การนอนไม่หลับในวัยเด็ก พ่อแม่ให้เวลานอนลูกไม่สม่ำเสมอจะทำให้เด็กนอนไม่หลับในตอนโต
  • การออกกำลังกายในช่วงก่อนนอนและการทำงานที่ทำให้เกิดความเครียดในช่วงก่อนนอน
  • การนอนและการตื่นที่ไม่เป็นเวลา
  • สิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนไม่เหมาะสม เช่น มีอุณหภูมิที่ร้อน หรือหนาวจนเกินไป เสียงดังเกินไป รวมถึงลักษณะการนอนของคนใกล้ชิด อย่าง นอนดิ้น หรือนอนกรน เป็นต้น

ระยะของการนอนไม่หลับ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

นอกจากสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับแล้ว ระยะเวลาของอาการนอนไม่หลับก็ยังมีความสำคัญต่อการประเมินหาสาเหตุเพิ่มเติมและวิธีการรักษา โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. อาการนอนไม่หลับชั่วคราว : จะพบอาการในลักษณะอย่างนี้ได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวัน หรือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่อยู่ หรือเกิดอาการ Jet Lag
  2. อาการนอนไม่หลับในระยะสั้น : อาการลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นในห้วง 2 – 3 วัน ไปจนถึง 3 สัปดาห์ อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราอยู่ในภาวะความเครียด เช่น ผู้ที่ป่วยหลังผ่าตัด
  3. อาการนอนไม่หลับเรื้อรังเป็นเดือน หรือเป็นปี : อาการในลักษณะแบบนี้อาจเป็นผลที่เกิดจากการใช้ยา มีการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะทางกาย หรือทางจิตใจ หรือเกิดขึ้นแบบที่ไม่ทราบสาเหตุ

การนอนไม่หลับส่งผลกระทบอย่างไร

  • คุณภาพชีวิตที่ดีลดลง
  • อัตราของการขาดงานเพิ่มขึ้น
  • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • ความสามารถในการดำเนินชีวิตลดลง
  • อาจเกิดประสบอุบัติเหตุได้ง่าย ซึ่งมีรายงานว่า หากขับรถ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า
  • มีการใช้บริการทางแพทย์สูงขึ้น อันเนื่องมาจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่น หงุดหงิด ขาดสมาธิ เป็นต้น
  • การนอนไม่หลับ ในผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตเวช มีรายงานพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเป็นซ้ำอีก รวมถึงเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าด้วย

หลังจากที่เราได้ทราบสาเหตุ และผลกระทบของการนอนไม่หลับกันแล้ว เรามาลองดู วิธีแก้อาการนอนไม่หลับกันบ้างนะคะ ลองเอาไปปรับใช้กัน เพื่อเราจะได้แก้ปัญหาในเรื่องการนอนไม่หลับได้

วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ

  1. จัดห้องนอนให้เหมาะสมแก่การนอน เช็ครอบห้องให้ดี อย่าให้มีเสียงรบกวนแทรกเข้ามาได้ ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสมไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป สำคัญเลยคือ ห้องนอนควรมืดสนิท เพื่อการนอนหลับที่ดี มีประสิทธิภาพ
  2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หลังช่วงบ่ายจนถึงช่วงก่อนนอน
  3. ก่อนนอน ดื่มนมอุ่นๆ สักแก้ว จะช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
  4. ไม่ควรงีบหลับในตอนกลางวัน เพราะอาจรบกวนการนอนในยามค่ำคืนได้  ถ้าง่วงจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็อย่างีบหลับเกิน 1 ชั่วโมงเป็นอันขาด
  5. นอนให้เพียงพอ อย่านอนมากเกินไป หลังตื่นนอนควรลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปสูดอากาศยามเช้าซะดีกว่า
  6. เข้านอน และตื่นนอนให้เป็นเวลา ทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่ใช่ว่าคืนนี้นอนดึก พรุ่งนี้ขอตื่นสายสักนิดได้ไหม? ตอบเลยว่า ไม่ได้ ไม่งั้นอาจจะกระทบกับเวลานอน ทำให้อาการนอนไม่หลับกลับมาอีก
  7. ถ้านอนไม่หลับเกิน 15-20  นาที ควรลุกออกจากเตียงมาหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือวิชาการหรือธรรมมะ น่าจะช่วยให้รู้สึกง่วงได้ไม่น้อย  หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์หรือเล่นคอมพิวเตอร์ เพราะแสงจากจอ จะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวได้
  8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายจะช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์และร่างกายได้ หากออกกำลังกายในช่วงเช้า และเย็นได้ผลดีที่สุด ไม่ควรออกกำลังกายตอนดึก หรือใกล้เวลานอน เพราะอุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้นและไปกระตุ้นสมองให้ทำงาน จะทำให้เราหลับยากกว่าเดิม

ง่ายใช่ไหมล่ะ ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร หรือขอความช่วยเหลือจากใคร แค่เปลี่ยนที่ตัวเราเองเท่านั้น รู้แบบนี้แล้วใครกำลังเจอกับปัญหาการนอนไม่หลับ อย่าลืมนำไปใช้และบอกต่อกันด้วยนะ ทวงคืนความสุขในการนอนของเรากลับมากันเถอะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


4 สาเหตุรถกินน้ำมันผิดปกติที่พบได้บ่อย และวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถที่วิ่งกันส่วนใหญ่บนท้องถนนยังคงเป็นรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ กลายเป็นพลังงานให้รถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ในแต่ละวัน

แต่เมื่อรถของคุณผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง อาจรู้สึกว่าเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง Sanook Auto จะพาไปหาคำตอบกัน

4 สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ อาจมีที่มาดังนี้

1. น้ำมันเครื่องและไส้กรองเสื่อมคุณภาพ

หากว่าเจ้าของรถไม่ได้นำรถเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะที่กำหนด จะส่งผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากความหนืดของน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพจะลดทอนประสิทธิภาพในการหล่อลื่นของเครื่องยนต์ จนทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ทางที่ดีเจ้าของรถควรเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้นด้วย

2. ไส้กรองอากาศอุดตัน

ไส้กรองอากาศเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมในอากาศก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โดยออกซิเจนในอากาศถือเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการเผาไหม้ไม่แพ้น้ำมันเชื้อเพลิง หากว่าไส้กรองมีสิ่งสกปรกติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ

วิธีการตรวจสอบและแก้ไขด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ตรวจเช็กไส้กรองอากาศว่ามีสิ่งสกปรกมากน้อยแค่ไหน และสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องเป่าลมแรงสูงเป่าฝุ่นที่จับตัวอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด อีกวิธีหนึ่งคือการเปลี่ยนไส้กรองใหม่ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ในราคาหลักร้อยบาทเท่านั้น

3. ระบบจุดระเบิดและระบบจ่ายเชื้อเพลิงมีปัญหา

อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวเทียนเกิดการชำรุดเนื่องจากใช้งานมาอย่างยาวนาน, จังหวะการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง, คอยล์จุดระเบิดมีปัญหา ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้มักมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เครื่องยนต์สั่น, เบาดับ, เร่งไม่ออก เป็นต้น

อีกกรณีที่พบได้บ่อยคือระบบหัวฉีดน้ำมันเกิดการอุดตัน ไม่สามารถฉีดน้ำมันให้เป็นละอองละเอียด หรือมีการรั่วของหัวฉีด จึงไม่สามารถจ่ายน้ำมันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลงแล้ว ยังส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นด้วย ทางที่ดีหากพบว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์สั่น, เร่งไม่ออก, เร่งรอบสูงแล้วดับ, มีไฟรูปเครื่องยนต์โชว์บนหน้าปัด ฯลฯ ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย

4. พฤติกรรมของผู้ขับขี่และสภาพการจราจรที่เปลี่ยนไป

พฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออัตราสิ้นเปลืองที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น หากว่าผู้ขับขี่อยู่ในภาวะรีบ มีอารมณ์ร้อน ต้องการไปถึงจุดหมายโดยเร็ว ก็มักจะเร่งออกตัวอย่างรุนแรง ใช้ความเร็วสูงในการเดินทาง ทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย อีกทั้งช่วงเวลาที่ใช้เดินทางก็ยังมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองด้วยเช่นกัน เช่น หากออกจากบ้านไปทำงานในชั่วโมงเร่งด่วน ส่งผลให้ต้องเผชิญกับสภาพการจราจรติดขัดอย่างหนัก ใช้เวลาบนถนนนานหลายชั่วโมง ก็จะทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มมากขึ้น

วิธีแก้ไขสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเผื่อเวลาออกจากบ้านไปยังจุดหมายให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ขับรถโดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รวมถึงการขับรถไปทำงานในช่วงเวลาเช้าและเย็น หากสามารถขยับเวลาเดินทางโดยหลีกเลี่ยงช่วงเร่งด่วนได้ ก็จะช่วยลดปัญหารถติด และส่งผลให้รถกินน้ำมันน้อยลงได้นั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองได้ เช่น แรงดันลมยางต่ำกว่าปกติ, บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากโดยไม่จำเป็น, การปรับอุณหภูมิแอร์เย็นเกินไป ฯลฯ จึงควรหมั่นเช็กสภาพรถยนต์ให้เป็นปกติอยู่เสมอ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“ประโยคพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น” รวมประโยคที่มักใช้บ่อยเมื่ออยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

คำทักทายภาษาญี่ปุ่น

おはよう。(おはようございます)
Ohayou (Ohayou Gozaimasu)
อ่านว่า โอะ-ฮา-โย โกะ-ไซ-มัส-สึ
แปลว่า สวัสดีตอนเช้า

こんにちは。
Konnichiwa
อ่านว่า คอน-นิ-จิ-วะ
แปลว่า สวัสดีตอนกลางวัน

こんばんは。
Konbanwa
อ่านว่า คม-บัง-วะ
แปลว่า สวัสดีตอนเย็น

はじめまして。
Hajimemashite
อ่านว่า ฮะ-จิ-เมะ-มะ-ชิ-เตะ
แปลว่า สวัสดี สำหรับถ้าเจอกันครั้งแรก

การแนะนำตัวภาษาญี่ปุ่น

わたしのなまえは XXX です。
Watashi no namae wa XXX desu.
อ่านว่า วะ-ตะ-ชิ-โนะ นะ-มะ-เอะ-วะ XXX-เดส-สึ
แปลว่า ฉันชื่อXXX

わたしはXXX です。
Watashi wa XXX desu.
อ่านว่า วะ-ตะ-ชิ-วะ XXX-เดส-สึ
แปลว่า ฉันคือXXX

タイ人です。
Thai jin desu.
อ่านว่า ไทย-จิน-เดส-สึ
แปลว่า ฉันเป็นคนไทย

どうぞ よろしく おねがいします。
Douzo yoroshiku. Onegaishimasu.
อ่านว่า โด-โสะ โยะ-โระ-ชิ-กุ โอะ-เนะ-งัย-ชิ-มัส-สึ
แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ

การขอโทษภาษาญี่ปุ่น

ごめんなさい。
gomennasai
อ่านว่า โกะ-เมน-นะ-ไซ
แปลว่า ขอโทษ ใช้ในกรณีที่เราทำผิด หรือต้องการที่จะแสดงความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ (เหมือนคำว่า Sorry ภาษาอังกฤษ)

ごめん
gomen
อ่านว่า โกะ-เมน
แปลว่า ขอโทษ โทษที ความหมายจะดูห้วนๆ กว่า ごめんなさい。(gomennasai)

ごめんね
gomenne
อ่านว่า โกะ-เมน-เนะ
แปลว่า ขอโทษนะ เนะ มาต่อท้ายทำให้ประโยคไม่ดูห้วนเกินไป

すみません。
sumimasen
อ่านว่า สุ-มิ-มะ-เซง
แปลว่า ขอโทษ แต่จะใช้ในกรณีที่เราต้องการจะทำอะไรซักอย่างที่เป็นการรบกวน หรือขัดจังหวะคนอื่น (เหมือนกับคำว่า Excuse me ภาษาอังกฤษ)

もうしわけ ありません。
moushiwake arimasen
อ่านว่า โม-ชิ-วะ-เคะ อะ-ริ-มะ-เซน
แปลว่า ขอโทษ ความหมายเช่นเดียวกันกับคำว่า すみません。(sumimasen) แต่จะสุภาพกว่า

การบอกลาภาษาญี่ปุ่น

さようなら。
sayonara
อ่านว่า ซา-โย-นา-ระ
แปลว่า ลาก่อน ใช้สำหรับบอกลาคนที่จากกันโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่


またあいましょう。
mataaimasho
อ่านว่า มา-ตะ-ไอ-มา-โช่
แปลว่า แล้วเจอกันอีกนะ เป็นการบอกลาที่มีความสุภาพและมีมารยาท

じゃ、またね。
ja, matane
อ่านว่า จา, มะ-ตะ-เนะ
แปลว่า บาย แล้วเจอกันอีกนะ เป็นคำที่มีความเป็นกันเองน่ารัก ใช้กับกับเพื่อนๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีเก็บมะนาวให้สดใหม่ได้รสชาติเสมอ

หากคุณรู้วิธีเก็บมะนาวอย่างถูกต้อง คุณสามารถยืดอายุมะนาวได้นานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ลองหาวิธีที่คุณสามารถเก็บมะนาวเพื่อช่วยให้ผลไม้รสเปรี้ยวนี้อยู่ได้นานหลายสัปดาห์ และหลายเดือน

วิธีเก็บมะนาวให้สดนาน

  1. เก็บมะนาวไว้ที่อุณหภูมิห้องมะนาวทั้งลูกสามารถอยู่ได้นานถึง 1 สัปดาห์หากคุณเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องบนเคาน์เตอร์
  1. เก็บมะนาวไว้ในตู้เย็นมะนาวทั้งลูกสามารถอยู่ในตู้เย็นได้นานถึง 1 เดือนหากคุณเก็บไว้ในภาชนะที่มีอากาศถ่ายเท หรือถุงพลาสติกที่ปิดสนิทในลิ้นชัก
  2. หั่นมะนาวฝานเป็นแว่นคุณสามารถแช่มะนาวผ่าครึ่งและฝานมะนาวเป็นชิ้นในตู้เย็นเป็นเวลา 5-7 วันในภาชนะที่มีอากาศถ่ายเท หรือถุงแบบมีซิป คุณยังสามารถห่อมะนาวฝานเป็นแผ่นด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันไม่ให้มะนาวแห้ง
  3. คั้นมะนาวคุณสามารถคั้นมะนาวและเก็บน้ำมะนาวไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทหรือขวดแก้วที่ปิดสนิทในตู้เย็น น้ำมะนาวสามารถอยู่ได้นานกว่าสี่วัน แม้ว่าจะค่อยๆ สูญเสียรสชาติไป
  4. ใส่มะนาวในช่องแช่แข็งคุณสามารถแช่แข็งมะนาวทั้งลูก ใส่มะนาวลงในถุงแช่แข็ง และเมื่อคุณต้องการ คุณสามารถละลายมะนาวได้จนกว่ามะนาวนิ่มอีกครั้งเนื้อจะเละๆ แต่คุณยังสามารถใช้น้ำมะนาวได้
  1. แช่แข็งชิ้นมะนาวฝานมะนาวเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาเมล็ดออกกระจายชิ้นบนแผ่นอบและแช่แข็งแฟลชจนแข็ง โอนชิ้นมะนาวไปยังถุงแช่แข็งและปิดผนึกมะนาวแช่แข็งจะเก็บไว้ได้ 3-4 เดือน คุณสามารถใช้มะนาวแช่แข็งในการปรุงอาหาร การอบ หรือเป็นเครื่องปรุง
  2. แช่น้ำมะนาวคุณยังสามารถแช่แข็งน้ำมะนาวได้อีกด้วย คั้นมะนาวและใส่น้ำลงในถาดน้ำแข็งแต่ละก้อน เมื่อแช่แข็งให้ย้ายบล็อกน้ำผลไม้ลงในถุงแช่แข็ง จากนั้นคุณสามารถใช้น้ำมะนาวสำหรับสูตรใดก็ได้ที่ต้องใช้น้ำมะนาวสด เช่นน้ำมะนาวหรือน้ำหมัก น้ำมะนาวแช่แข็งจะมีอายุ 3-4 เดือน

จากวิธีเก็บมะนาวทั้ง 7 วิธีนั้น เพื่อนๆ สามารถเลือกใช้ได้ตามสะดวกเลยค่ะ ซึ่งสามารถนำแต่ละวิธีมาใช้เก็บมะนาวไว้ใช้ในช่วงที่มะนาวแพงได้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 25/03/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a37,300.0037,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,416.0036,626.5637,900.00
ทองรูปพรรณ 90%2,174.4032,963.90n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,932.8029,301.25n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,087.0016,478.92n/a
ทองรูปพรรณ 40%846.0012,825.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,504.0037,960.64n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/03/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.6538.6538.7538.6538.6538.6538.6538.6538.6538.65
แก๊สโซฮอล์ 9137.1837.1837.4837.1837.1837.1837.1837.1837.1837.18
แก๊สโซฮอล์ E2036.5436.5436.8436.5436.5436.5436.5436.5436.54
แก๊สโซฮอล์ E8536.2936.2936.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม46.3449.4449.4449.4446.34
เบนซิน 9546.5447.7147.0446.6946.54
ดีเซล B729.9429.9430.4429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6444.8443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า