สาระน่ารู้ประจำวันที่ 29 มกราคม 2567

บ้านใหม่ราคาแพงดันตลาดบ้านมือสองเนื้อหอมตอบโจทย์กำลังซื้อหดใกล้ออฟฟิศ

พร็อพเพอร์ตี้ เอ.ระบุพิษเศรษฐกิจ บ้านใหม่ราคาแพงคนซื้อยากขึ้น สบช่องตลาดบ้านมือสองเนื้อหอมตอบโจทย์กำลังซื้อหดใกล้ออฟฟิศ รุกสร้างทีมขยายไลน์สู่การขายทรัพย์มือสองเพื่อเสริมรายได้ ลดความเสี่ยงหลังจากลูกค้าตัดสินใจซื้อนานขึ้น ตั้งเป้าภายใน 3ปีสัดส่วนมือสอง20%

  • แนวโน้มบ้านมือสองกลับมาคึกคักหลังราคาบ้านและคอนโดโครงการใหม่ราคาแพงขึ้นจากต้นทุนค่าที่ดิน การก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • จำนวนทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์สูงขึ้น
  • เป็นโอกาส สำหรับเอเจนท์ขายทรัพย์มือสองในราคาที่ลูกค้ายอมรับได้ เพราะเป็นการขายในราคาต้นทุนเก่าเพื่อจะได้ระบายสต็อคที่มีอยู่

พรพิไร นิจวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ พร็อพเพอร์ตี้ เอ. จำกัด  เผยว่า หลังโควิด-19 เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้าน คอนโดมือหนึ่งคิดหนัก ตัดสินใจซื้อยากขึ้นเนื่องจากราคาแพงขึ้น ติดปัญหาสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดขึ้นรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาลูกค้าบางรายใช้เวลาตัดสินใจซื้อนานถึง2ปี สะท้อนให้เห็นว่าการขายบ้านและคอนโดมือหนึ่งยากขึ้น  ดังนั้นเพื่อต่อยอดจากการดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่มานานกว่า 18 ปี 

บริษัทจึงได้เตรียมเสริมศักยภาพของทีมงานในการขยายไลน์ไปเข้าสู่บริการด้านการขายทรัพย์มือสองตามแผนกการให้บริการ “360° Real Estate Solution”คือการบริการแบบ 360 องศาครบวงจรในทุกขั้นตอนของอสังหาริมทรัพย์ในปี2567 เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเสริมจากเดิมที่เน้นขายอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่

ทั้งนี้เนื่องจากกำลังซื้อของลูกค้ายังไม่ฟื้น และต้องการที่อยู่อาศันในทำเลที่ไม่ไกลจากที่ทำงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางบ้านมือสองจึงตอบโจทย์ เนื่องจากราคาที่ต่ำกว่าบ้านใหม่ 20% ตลาดบ้านมือสองจึงได้รับความสนใจมากขึ้น

พรพิไร  กล่าวว่า ก่อนหน้านี้บริษัทดำเนินธุรกิจบริหารการขาย การตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่มานานกว่า 18 ปี จากผลงานกว่า 30 โครงการ ที่ได้รับความไว้วางใจทั้งโครงการขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่  โครงการที่พักอาศัย หรือ โฮมออฟฟิศ ดูแลตั้งแต่เริ่มโครงการจนโอนกรรมสิทธิ์จบโครงการ มีทีมงานร่วมการวางแผนกลยุทธ์การขายให้คำปรึกษาทางด้านการตลาดและโฆษณากับเจ้าของโครงการ

ปัจจุบัน มีโครงการที่ดูแลจำนวน 13 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท อาทิ บ้านบุญยกร เลค พาร์ค รังสิต คลอง 6 จ.ปทุมธานี, อากาศ วิลล่า เขาใหญ่  อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา, บ้านร็อคการ์เด้น สุวินทวงศ์ – อยู่วิทยา, คาราเพซ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, The Ville Express พหลโยธิน, อาร์ท@ทองหล่อ ซอยทองหล่อ 25, Parc Residence at Phahol 67 ซ.พหลโยธิน 67  กรุงเทพฯ เป็นต้น

พรพิไร  กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้ กับโครงการที่รับบริหารในมือ ซึ่งยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท แต่ที่จะเพิ่มเข้ามาใหม่คือ การวางแผนขยายไลน์ธุรกิจเข้าสู่การทำตลาดขายทรัพย์มือสองในปีนี้  คาดว่าจะมีทรัพย์เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นเป็นจำนวนมาก และมาตรการของรัฐที่ส่งเสริมเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของทรัพย์มือสองที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทจะมีส่วนช่วยผลักดัน ทำให้บริษัทมียอดขาย2,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 10% ส่วนหนึ่งมาจากบ้านมือสองไม่เกิน5%  และภายใน 3ปีเพิ่มสัดส่วนมือสอง20% 

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


จับตา“ศาลายา”ทำเลทองอสังหาฯแห่ผุดโครงการรับเรียลดีมานด์

จับตา“ศาลายา”ทำเลทอง ค่ายอสังหาฯแห่ผุดโครงการรับเรียลดีมานด์-ปล่อยเช่าล่าสุด“อรดา” ในเครือ DCON เปิดโครงการบ้านแฝดบ้านเดี่ยวแบรนด์ GRAND DECO ศาลายาตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยย่านพุทธมณฑล ใกล้ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล ห้างเซ็นทรัลตอกย้ำทำเลศักยภาพ

  • ศาลายา ถือเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพของเมือง เชื่อมโยงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งห้าง โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ช่วยรองรับการใช้ชีวิตของทุก คนในครอบครัว
  • มีโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายรูปแบบทั้งรถไฟฟ้า ทางด่วน และถนนสายหลัก ส่งผลให้ทำเลดังกล่าวมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น 

นางสาววิศรา พรกุล กรรมการ บริษัท อรดา จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในเครือดีคอนโปรดักส์ (DCON) กล่าวว่า ความหนาแน่นภายในเมือง ทำให้คนเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อขยับขยายออกมาชานเมือง และปริมณฑลมากขึ้น ศาลายา ถือเป็นทำเลอันดับต้นที่ผู้ประกอบการอสังหาฯมาลงทุนจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันสูงทั้งในเรื่องของราคาโปรโมชั่นเพราะเชื่อว่าศาลายา คือทำเลทอง โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และบ้านแฝดมากขึ้น 

บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการ GRAND DECO ศาลายา ซึ่งประกอบด้วยบ้านแฝด บ้านเดี่ยว และอาคารพาณิชย์ สไตล์ Minimal Nordic เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยแถวศาลายา พุทธมณฑล ใกล้ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล และใกล้ห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ศาลายา ที่เปิดตัว ตอกย้ำว่าเป็นพื้นที่ทำเลศักยภาพที่เตรียมพัฒนาในอนาคต อีกทั้งยังเข้า-ออกเมืองได้ง่ายผ่านเส้นถนนบรมราชชนนี หรือทางพิเศษกาญจนาภิเษก ในอนาคตตามแผนการพัฒนาของภาครัฐ จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน-ศาลายา ผ่าน ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก

“เราเน้นพัฒนาโครงการทำเลชานเมืองและปริมณฑล เพราะเล็งเห็นถึงการเติบโต และการขยายตัวของผู้บริโภคจากภายในเมืองใหญ่ ขยายออกมาถึงปริมณฑล โดยเน้นทำเลที่เดินทางที่สะดวก สามารถไปทำงาน และไปโรงเรียนลูกได้สะดวก”

สำหรับโครงการ GRAND DECO ศาลายา เริ่มเปิดขายไปเมื่อปลายปี 2566 และจะมีการจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2567 พร้อมกับเปิดบ้านโซนใหม่ ติดสวน ทำเลดีที่สุดในโครงการ ซึ่งตั้งเป้าจะปิดการขายเฟสแรกจำนวน 69 ยูนิต ภายในกลางปีนี้ โดยโครงการเน้นจุดเด่น มีโซนสัตว์เลี้ยงสำหรับทาสหมาแมว จำนวนยูนิตต่อซอยน้อย เพียงแค่ 6 หลัง เท่านั้น 

นอกจากนี้บริษัท มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว GRAND DECO นครปฐม ใกล้กับศูนย์ราชการใหม่ บนเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่เศษ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดตัวไตรมาส 2 ของปีนี้ มูลค่า780 ล้านบาท

และอีก 1 โครงการที่เหลือ จะอยู่โซน จ.ปทุมธานี มูลค่า 750 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีโครงการรวมทั้งสิ้น 5 โครงการมูลค่ารวมกว่า4,000ล้านบาท

สำหรับ 3 โครงการก่อนหน้านี้จะเป็นคอนโดมิเนียม 1 โครงการทำเลรัตนาธิเบศร์  และบ้าน2 โครงการTHE DECO บางนาและGRAND DECO ศาลายา  ซึ่งแต่ละโครงการจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน

นางสาววิศรา กล่าวต่อว่า ในปี 2567 บริษัทจะให้ความสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นหลักจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง(Real Demand) ที่ต้องการหรือมีกำลังซื้อในระดับราคา 2-7 ล้านบาทซึ่งแต่ละโครงการมีมูลค่าไม่เกิน1,000 ล้านบาท

พร้อมตั้งงบ100-200ล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยจะเน้นทำเลชานเมืองหรือปริมณฑล ขนาดที่ดินแต่แปลงละ20-30ไร่ใช้เวลาในการพัฒนาและขาย2-3 ปีคาดว่า ปีนี้จะมียอดขาย400 ล้านบาท

ทั้งนี้ตามแผนตั้งเป้าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีก 3-5 ปี พร้อมที่จะขยายธุรกิจในโครงการต่อไปยังทำเลอื่นที่มีศักยภาพทั่วประเทศ เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่ดีมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 29ม.ค. ที่ระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทมีทิศทางการอ่อนค่าชะลอลงบ้าง แต่ขึ้นกับแนวโน้มเงินดอลลาร์และราคาทองคำที่ผันผวนตามการปรับมุมมองของตลาดต่อดอกเบี้ยของเฟด

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 29ม.ค. 2567 ที่ระดับ  35.64 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  35.62 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 35.52-35.67 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้น หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ล่าสุด ชะลอตัวลงต่อเนื่องและในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ Core PCE ก็ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้เงินดอลลาร์ผันผวนอ่อนค่าลง

อย่างไรก็ดี บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม หลังบางบริษัท อย่าง Tesla และ Intel รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ก็มีส่วนหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินอาจเป็นไปอย่างจำกัดในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟดในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างลดความคาดหวังต่อแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก”

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุมเฟดและธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึงในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪  ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) โดยเราประเมินว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25%-5.50% และจากแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ PCE ล่าสุด อาจทำให้เฟดสามารถทยอยส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

และการชะลอการลดงบดุล (QT Tapering) โดยเรายังคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคม และหากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวลงที่ชัดเจนมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เรามั่นใจในมุมมองดังกล่าว โดยในส่วนของรายงานข้อมูลการจ้างงานนั้น

เราจะจับตาว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP) เดือนมกราคม ใน Establishment Survey จะชะลอลงหรือไม่ (หากต่ำกว่า +1.6 แสนราย จะสะท้อนถึงการจ้างงานที่ชะลอตัวลงชัดเจน)

รวมถึง รายงานดังกล่าวยังคงออกมาสวนทางกับ ยอดการจ้างงานจาก Household Survey ที่ปรับตัวลดลง หรือไม่ (ในเดือนธันวาคม ยอดการจ้างงาน NFP เพิ่มขึ้นราว +2.2 แสนราย แต่ในส่วน Household Survey กลับชี้ว่า การจ้างงาน ลดลง -6.8 แสนราย) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ อาทิ Microsoft, Alphabet และ Amazon

 ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อย่างใกล้ชิด โดยเราคาดว่า ในการประชุมครั้งนี้ BOE จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% หลังอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอตัวลงมากนัก ตามที่ BOE คาดหวัง อย่างไรก็ดี เราจะรอติดตาม มุมมองของ BOE ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ

รวมถึงการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพราะหาก BOE เริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย หรือ ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนกว่าฝั่งเฟด ก็อาจกดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ในช่วงหลังตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOE

นอกจากนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปีก่อนหน้า รวมถึง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่จะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB ในปีนี้ ทั้งนี้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนออกมาแย่กว่าคาด จนทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่า ECB อาจทยอยลดดอกเบี้ยได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) ผันผวนอ่อนค่าลงได้

▪ ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีน ในเดือนมกราคม โดยนักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า การทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยหนุนให้ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการฟื้นตัวดีขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.2 จุด และ 50.6 จุด ตามลำดับ

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนธันวาคม รวมถึงรายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และยกเลิกการทำ Yield Curve Control ได้ในปีนี้

▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยอาจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น สอดคล้องกับยอดการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และความต้องการบริโภคในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว ทำให้ ดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนมกราคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47 จุด ซึ่งสะท้อนภาวะหดตัวของภาคการผลิตที่ชะลอลง ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) เดือนมกราคม ก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50 จุด เช่นกัน ตามความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ทิศทางเงินบาทจะขึ้นกับแนวโน้มเงินดอลลาร์และราคาทองคำ ซึ่งจะผันผวนไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงบ้าง แต่เงินบาทยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ จนกว่า ตลาดจะกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมีนาคม หรือ บรรดานักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทย

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจผันผวนสูง โดยทิศทางเงินดอลลาร์จะขึ้นกับการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเฟดเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.30-35.90 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.55-35.75 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คู่แข่งยอมแพ้! “เทนนิส-พาณิภัค” ไร้เทียมทาน ซิวทองสมัย 4 กีฬามหาวิทยาลัยฯ

“เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนากิจ จอมเตะแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิก หวนคืนสังเวียนเตะระดับประเทศอีกครั้ง ด้วยการลงแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 49 

“นนทรีเกมส์” มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 5 ก.พ.67 

ทั้งนี้ พาณิภัค ลงแข่งขันให้ ม.กรุงเทพธนบุรี โชว์ฟอร์มเตะได้สมราคาอีกครั้ง ด้วยการคว้าเหรียญทอง รุ่น 53 กก.หญิง ไปครอง ในการแข่งขันเมื่อ 28 ม.ค.67 โดยเจ้าตัวไล่เตะเอาชนะคู่แข่งขันจากสถาบันต่างๆขาดลอย โดยรอบ 16 คนสุดท้าย เอาชนะ ธนพร แก้วใส จาก ม.ขอนแก่น 2-0 ยก (8-0, 14-0), รอบก่อนรองชนะเลิศ เอาชนะ ธนัชพร อยู่ญาติมาก 2-0 ยก (12-0, 12-0) 

จากนั้นรอบรองชนะเลิศ เอาชนะ ฉัตรชฎาภรณ์ บุญพันธ์ จาก ม.มหิดล 2-0 ยก (30-1, 20-0) ก่อนที่รอบชิงชนะเลิศจะเอาชนะ กนกวรรณ หงษ์ภักดี จากมหาวิทยาลัยบูรพา ไป โดยยกแรก พาณิภัค ชนะ  23-1 ก่อนคู่แข่งขอยอมแพ้ระหว่างพักยก ทำให้ พาณิภัค คว้าเหรียญทองกีฬาปัญญาชนเป็นสมัยที่ 4 ไปครอง

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


รวม 5 วิตามิน แร่ธาตุ ที่ผู้ชายวัย 30+ ควรมีไว้บำรุงร่างกาย

บางครั้งการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหาร อาจไม่เพียงพอที่จะเสริมสร้าง หรือฟื้นฟูรูปร่างได้ ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทดแทน รวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุ สารสกัดธรรมชาติ ที่อาจขาดไปจากอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน จึงมีความสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้ชายที่มีอายุเกิน 30 ปี หากเลือกไม่ถูกต้องก็อาจมีผลเสียได้

วันนี้จะมาเปรียบเทียบ 5 วิตามินที่เหมาะกับผู้ชายวัย 30 ปีขึ้นไป โดยจะเน้นไปที่การชดเชยและเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงตามอายุ ซึ่งมีดังนี้

1.วิตามินรวม

หากคุณกำลังมองหาวิตามิน ที่จะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดหรือไม่ และรักษาร่างกายให้สมดุล แข็งแรง สำหรับผู้ชายที่อายุเกิน 30 ปี ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น เช่น สมรรถภาพทางเพศลดลง เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายลดลง แนะนำให้เลือกเป็นวิตามินรวมที่ช่วยเสริมสุขภาพได้ดีและเหมาะกับผู้ชาย ที่ไม่ชอบกินยาหลายเม็ดอีกด้วย

2.สังกะสีและแมกนีเซียม

สารอาหารกลุ่มนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากผลการวิจัยที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัย Western Washington ให้การศึกษาที่พบว่าสารอาหารเหล่านี้ สามารถเพิ่มฮอร์โมนเพศชายตามธรรมชาติได้มากถึง 43.7% ขณะเดียวกันก็เพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน ของกล้ามเนื้อถึง 2.5 เท่า

3.ซิลีเนียม

ซิลีเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีบทบาทสำคัญในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ชะลอความแก่ และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้ยังจำเป็นในการผลิตฮอร์โมนเพศชาย และเพิ่มจำนวนอสุจิตามธรรมชาติ ประโยชน์เหล่านี้ถือว่าปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ

4.L-Carnitine

เสริมประสิทธิภาพกระบวนการเผาผลาญไขมัน แปลงเป็นพลังงาน พร้อมลดไขมันสะสม และป้องกันโรคอ้วนลงพุง นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้มีความอึดในระหว่างออกกำลังกาย ส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและคมชัดขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพโดยรวม

5.กรดอะมิโนจำเป็น

การเสริมสร้างและบำรุงรักษาระบบประสาทเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยการกระตุ้นการทำงานของสมอง สามารถลดความเหนื่อยล้าได้ โดยเฉพาะกับคนในกลุ่มวัยทำงาน ที่มักพักผ่อนไม่เพียงพอ และรับประทานอาหารไม่ครบถ้วน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรวมวิตามินที่ครอบคลุม เพื่อเสริมและชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ กรดอะมิโนจำเป็นจึงช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟู ส่วนประกอบที่อ่อนแอของร่างกายได้ดีที่สุด

สำหรับผู้ชายที่มีอายุมากขึ้น ความเสื่อมของร่างกายและการผลิตฮอร์โมนเพศชายที่ลดลง อาจส่งผลให้ร่างกายขาดความมีชีวิตชีวาและดูอ่อนเยาว์น้อยลง ดังนั้นการดูแลสุขภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ จริงอยู่ว่าสุขภาพที่ดีไม่สามารถซื้อได้ แต่การลงทุนทั้งเวลาและอาหารเสริมในการดูแลร่างกาย จะเป็นการดีกว่าต้องมาดูแลเมื่อสายเกินไป

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เทคโนโลยี Generative AI ความชาญฉลาดที่มาพร้อมกับความเสี่ยง

เทคโนโลยี Generative AI ความชาญฉลาดที่มาพร้อมกับความเสี่ยง : คอลัมน์บทความ โดย ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีภายใต้ TCC TECHNOLOGY GROUP หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,961 หน้า 5 วันที่ 28 – 31 มกราคม 2567

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมานี้ คงไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถสร้างกระแสและสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้ เท่ากับเทคโนโลยี Generative AI และด้วยการเกิดขึ้นของเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ที่กลายเป็น AI Viral เมื่อปลายปี 2565 อย่าง ChatGPT ส่งผลให้บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และสตาร์ทอัพต่างเปิดตัว AI เพื่อแข่งขันกันอย่างดุเดือด จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าขีดความสามารถของ AI จะพัฒนาต่อไปอย่างไร เมื่อความเก่งกาจของ AI ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลก จนกลายเป็นดาวเด่นของวงการเทคโนโลยี 

วันนี้ OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP ได้หยิบยกส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์จากผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา ที่ให้เกียรติมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับ Generative AI ในรายการ open talk มาแบ่งปัน หากใครไม่อยากตกขบวนแล้วละก็ต้องรีบศึกษาไว้เลย

Generative AI คืออะไร

Generative AI หรือ Generative Artificial Intelligence (GenAI) เป็นอีกแขนงหนึ่งของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดเป็นผลลัพธ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้ข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างหลากหลายรูปแบบ 

ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรที่เป็นข้อความโดยใช้การประมวลผลและตอบคำถาม รูปภาพ วิดีโอ เสียง โมเดลสามมิติ งานออกแบบดีไซน์ และอื่นๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้ในหลายด้าน เช่น ศิลปะ การออกแบบ การผลิตหนังสือ และโฆษณา รวมถึงสามารถนำไปใช้ในงานวิจัยและการทำนายผลในอนาคต

ยกตัวอย่าง Generative AI ที่เห็นได้ชัดอย่างเช่น ChatGPT AI Chatbot ที่ทั้งโลกกำลังจับตามองด้วยความอัจฉริยะด้านภาษา มีการโต้ตอบเสมือนพูดคุยกับคนอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแค่พิมพ์สิ่งที่ต้องการลงไปในระบบ จากนั้น Generative AI ใน ChatGPT จะทำงานโดยการประมวลผลจากข้อมูลที่มีอยู่มาสร้างสรรค์เป็นคำตอบให้ได้เลยทันที หรือ DALL-E AI Text-to-image ที่มีความสามารถที่น่าทึ่งในการสร้างรูปภาพจากข้อความคำสั่งและประมวลผลออกมาเป็นรูปภาพ โดยรูปนั้นเป็นผลงานชิ้นใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง

เหรียญมีสองด้านเสมอ เพราะความชาญฉลาดมักมาพร้อมกับความเสี่ยง

อย่างที่ทราบกันดีว่ากระแส Generative AI กำลังเป็นที่แพร่หลาย ด้วยความชาญฉลาดและความคิดสร้างสรรค์ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ Generative AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ChatGPT AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติและลื่นไหล กลายเป็นเพื่อนคู่คิดของมนุษย์ที่ช่วยรังสรรค์สิ่งต่างๆ 

รวมถึงอำนวยความสะดวกและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่ใช้ประโยชน์จาก ChatGPT ในการลดขั้นตอนการหาข้อมูลเพื่อศึกษาข้อมูลสำหรับการเรียนรู้ ไปจนถึงพนักงานแทบทุกตำแหน่ง และทุกระดับงานในองค์กรต่างหันมาใช้ประโยชน์จาก  ChatGPT เพื่อประหยัดเวลาในการทำงานกันทั้งสิ้น 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าความสามารถของ Generative AI จะน่าประทับใจ แต่ก็ทำให้ธุรกิจ และเหล่าผู้ใช้งานเริ่มตระหนักถึงข้อจำกัด หรือ เกิดความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรมของการใช้เทคโนโลยี Generative AI 

ดร.พิณนรี ธีร์มกร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการ Sasin School of Management, Head of Artificial Intelligence – Ignite Innovation Lab และ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท อินเตอร์ ดาต้า รีคัฟเวอรี จำกัด ได้กล่าวไว้ในรายการ open talk EP.36 : AI: trend, skill and future ว่า “AI จะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ เปรียบเสมือนกับมีด อยู่ที่ว่าเราจะนำไปสร้าง สรรค์สิ่งดีๆ ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น นำไปช่วยเพิ่มโอกาสให้กับคนด้อยโอกาส หรือ นำไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น เรื่องของการอบรมด้านจริยธรรมในการนำ AI ไปใช้จึงสำคัญมาก”

นอกจากนี้ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ETDA ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ในรายการ open talk EP.40 : Generative AI: โอกาสและความท้าทาย ว่า “สิ่งที่น่ากลัวของ Generative AI คือผลลัพธ์ หรือ Output ที่ได้ เพราะเหมือนมนุษย์มาก เราแทบแยกไม่ออกเลยว่าคือ มนุษย์ หรือ AI ที่เป็นคนทำขึ้นมา ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นประเด็นหนึ่งที่จะเกิดปัญหาในอนาคตได้ 

เพราะฉะนั้นถามว่าประโยชน์มีไหม มีมโหฬาร ถามว่าความเสี่ยงมีไหม ไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น สิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากการใช้ Generative AI เหล่านี้คือ ต้องรู้ว่าจะใช้อย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และในขณะเดียวกันลดความเสี่ยง ที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดของข้อมูลด้วย นี่คือข้อพึงระวังที่เราควรมี”

การใช้งานเทคโนโลยีทุกประเภทก็เหมือน “ดาบสองคม” ที่ควรศึกษาทั้งผลดี ผลเสียก่อนใช้งาน และถึงแม้ Generative AI จะเป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่ยังมีข้อจำกัดสำคัญคือ Generative AI นั้น อาจมีข้อผิดพลาดในเรื่องของการให้ข้อมูลในบางเรื่อง นั่นเป็นเพราะข้อมูลพื้นฐานที่ AI เรียนรู้มาจากข้อมูลมหาศาล ที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ที่อาจจะมีข้อมูลถูกต้องและมีข้อมูลที่บิดเบือน ข้อมูลที่ไม่มีการอัพเดต ข้อมูลที่มีอคติทางสังคมรวมอยู่ในนั้นด้วย 

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมและความรับผิดชอบในการพัฒนา Generative AI เพื่อให้การนำมาใช้งานเป็นไปอย่างระมัดระวัง และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่กระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต

แม้จะมีข้อจำกัดอยู่ แต่ด้วยความสามารถทั้งหมดของ Generative AI ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนเห็นตรงกันว่า เทคโนโลยี Generative AI เป็นเทคโนโลยีแห่งปีที่อาจเป็นอีกครั้ง ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์และโฉมหน้าของโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ กับเรื่อง Conjunction

ประโยคพื้นฐานทั่วไปที่เราใช้กันไม่ว่าจะเป็นในภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ จะมีโครงสร้างประโยคคือ ประธาน + กริยา + กรรม ( Subject + Verb + Object ) แต่เมื่อมีประโยค 2 ประโยคขึ้นไป ไม่ว่าจะมีความหมายเดียวกันหรือความหมายต่างกัน สิ่งที่จะมาทำให้ประโยคเชื่อมต่อกันให้เป็นประโยคที่สวยงามได้นั้น จะต้องใช้คำสันธานหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “ Conjunction ”

“ Conjunction ” คืออะไร

Conjunction หรือ คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำหรือข้อความให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ประโยคจะมีความกระชับ รัดกุม และสละสลวยขึ้น ยกตัวอย่างคำในภาษาไทย เช่นคำว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เป็นต้น

ในภาษาอังกฤษก็มีคำ หรือวลีที่ใช้คล้ายคลึงกับคำสันธานในภาษาไทยเช่นกัน โดยในภาษาอังกฤษจะเรียกคำสันธานว่า “ Conjunction ” อย่างเช่นคำว่า and, yet, but, for, so, nor, neither และ or เป็นต้น

Conjunction ในภาษาอังกฤษ จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ Coordinating Conjunction, Subordinating Conjunction และ Correlative Conjunction โดยจะอธิบายหลักการ และวิธีการใช้ในลำดับต่อไป

หลักการใช้ Coordinating Conjunction

          Coordinating Conjunction คือ คำสันธานที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคที่เป็นประเภทเดียวกัน มีความหมายเดียวกัน หรือมีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยจะใช้เชื่อมระหว่าง คำกับคำ, วลีกับวลี หรือ ประโยคกับประโยคก็ได้ โดยจะมีกลุ่มคำดังต่อไปนี้

  • For ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลกันหรือสอดคล้องกัน มีความหมายว่า สำหรับ , เพื่อ , ให้ , ของ , เป็นเวลา , เพราะ , แก่ หรือแทน ยกตัวอย่างประโยคดังนี้

I tell her to leave, for I’m very tired.

ฉันบอกให้เธอไปก่อนเลย เพราะว่าฉันเหนื่อยมาก

  • And ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายไปในทางเดียวกันหรือเหมือนกัน มีความหมายว่า และ , กับ , รวมทั้ง หรือตลอดจน ยกตัวอย่างประโยคดังนี้

Lisa and Linda sing a song.

ลิซ่ากับลินดาร้องเพลง

  • So ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลกันหรือสอดคล้องกัน มีความหมายว่า ดังนั้น , แล้ว , เพราะฉะนั้น , เช่นนั้น , หรืออย่างนั้น เช่น

We haven’t enough beds, so I go to sleep on the floor.

พวกเรามีเตียงไม่พอ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไปนอนที่พื้น

  • Nor ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายไปในเชิงปฏิเสธทั้งคู่ มีความหมายว่า ไม่ , และไม่ หรือ และก็ไม่เหมือนกัน เช่น

My father nor your uncle play tennis.

พ่อของฉันกับลุงของคุณไม่ได้ตีเทนนิส

  • But ใช้เชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้งกันมาก ๆ มีความหมายว่า แต่ ,แต่ว่า , ยกเว้น , ถ้าไม่ หรือแต่กระนั้น เช่น

My grandfather’s 75 but he still strong.

ปู่ของฉันอายุ 75 แล้ว แต่เขายังคงแข็งแรง

  • Yet ใช้เชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้งกันมาก ๆ มีความหมายว่า แต่ หรือแต่ว่า เช่น

He studies very hard, yet failed exam

เขาเรียนหนักมากเลย แต่ก็ยังสอบตก

หลักการใช้ Subordinating Conjunctions

          Subordinating conjunction คือ คำสันธานที่นำมาใช้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ใช้เชื่อมประโยคหลักกับประโยครองเพื่อให้ประโยคสวยขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ๆ ดังนี้

  • คำสันธานที่ใช้เกี่ยวกับเวลา เช่น while , when , after , before , as soon as , once , whenever และ until ตัวอย่างประโยคเช่น

While I am going to school, my phone is rang.

ขณะที่ฉันกำลังไปตลาด โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

  • คำสันธานที่ใช้เมื่อประโยคมีความขัดแย้งกัน เช่น although , though , even though และ whereas ยกตัวอย่างเช่น

Although you have a headache, you go to play basketball.

ถึงแม้ว่าคุณจะปวดหัว คุณก็ไปเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ดี

  • คำสันธานที่ใช้ในการบอกเหตุผล เช่น because , since , so that , as , in order that ยกตัวอย่างเช่น

My vase is broken because the cat jumps on the table.

แจกันของฉันแตก เพราะแมวกระโดดอยู่บนโต๊ะ

  • คำสันธานที่ใช้ในการบอกเงื่อนไข เช่น if , provided that , assuming that , as long as , even if และ unless ยกตัวอย่างเช่น

Her mom will buy the car for her if she pass her exam.

แม่ของเธอจะซื้อรถยนต์ให้เธอ ถ้าเธอสอบผ่าน

หลักการใช้ Correlative Conjunction

          Correlative conjunction คือคำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคที่มีความสอดคล้องกัน และมีความเท่าเทียมกัน โดยจะเป็นคำที่ต้องใช้คู่กันเสมอ โดยจะมีกลุ่มคำดังต่อไปนี้

  • not only…..but also แปลว่า ไม่ใช่แค่จะ…….แต่ยัง ยกตัวอย่างประโยค เช่น

They not only eat the cakes but also drink the coffee.

พวกเขาไม่ใช่แค่จะกินเค้ก แต่ยังดื่มกาแฟด้วย

  • either…..or คือ คำสันธานที่ประธานของประโยคจะต้องเลือกกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างประโยค เช่น

You could either go to the beach or hike up the mountain.

คุณสามารถไปที่ชายหาดหรือเดินขึ้นเขาก็ได้

  • as…..as คือ คำสันธานที่แสดงให้เห็นถึงความเท่ากับ เสมอกัน หรือเหมือนกัน หรือใช้ในเชิงเปรียบเทียบบางสิ่งที่เท่ากัน ยกตัวอย่างประโยค เช่น

She drives the car as fast as him

เธอขับรถยนต์เร็วพอ ๆ กับเขา

คำสันธาน หรือ Conjunction ในภาษาอังกฤษนั้น เมื่อแบ่งตามวิธีการใช้แล้ว จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

  1. Coordinating Conjunction จะใช้เชื่อมประโยคที่มีความเหมือนกัน หรือต่างกัน โดยที่ความหมายของประโยคจะต้องมีน้ำหนักเท่ากัน โดยจะมีคำว่า for, and, nor, but, or, yet และ so
  2. Subordinating Conjunction นำมาใช้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน โดยที่ความหมายของประโยคจะต้องมีน้ำหนักไม่เท่ากัน โดยจะมีคำว่า while , when , after , before , as soon as , once , whenever , although , though , even though , because , since , so that , as , in order that , if , provided that , assuming that , as long as และ even if
  3. Correlative Conjunction ใช้เชื่อมประโยคที่มีความเหมือนกัน หรือต่างกัน และมีน้ำหนักเท่ากันเหมือนกับ Coordinating Conjunction แต่จะใช้คำสันธาน 2 คำขึ้นไป เช่น as…as , both…and , either…or , neither…nor , just as…so และ not only…but also

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


4 อันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากดื่ม “กาแฟ” มากเกินไป

กาแฟ หากดื่มอย่างเหมาะสมก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าดื่มมากเกินไป อาจให้โทษต่อร่างกายได้ อาจกระทบการทำงานของร่างกายทั้ง 4 ระบบ นอกจากนี้ควรดื่มกาแฟดำ และควรดื่มน้ำเปล่าตาม เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและการตกค้างของคาเฟอีนในร่างกาย

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า คนวัยทำงานนิยมดื่มกาแฟ เพื่อให้ตื่นตัว สดชื่น ลดความง่วง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ในช่วงเช้าหรือระหว่างวัน ทำให้มีพฤติกรรมเคยชินในการดื่มกาแฟ จึงอาจเผลอดื่มมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับคาเฟอีนจากแหล่งอาหารอื่นที่ไม่ใช่กาแฟร่วมด้วย เช่น น้ำชา น้ำอัดลม โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง 

ดื่มกาแฟแค่ไหน ถึงไม่อันตราย

ผู้ใหญ่สามารถบริโภคคาเฟอีนได้ โดยควรรับในปริมาณที่เหมาะสมจากเครื่องดื่ม และอาหารต่างๆ แนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับในแต่ละวันไม่เกิน 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟ 3-4 แก้ว 

อันตรายจากการดื่มกาแฟมากเกินไป

หากร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปหรือเรียกว่าการบริโภคคาเฟอีนเกินขนาด (Caffeine Overdose) จะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้

  1. ระบบประสาทส่วนกลาง จะทำให้มือสั่น นอนไม่หลับ เกิดความวิตกกังวล ปวดศีรษะ บางครั้งอาจทำให้ชักได้
  2. ระบบทางเดินอาหาร จะเพิ่มการหลั่งของกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ปริมาณน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ จึงควรหลีกเลี่ยงกาแฟทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ
  3. ระบบการไหลเวียนโลหิต คาเฟอีนกระตุ้นหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต อาจเพิ่มความดันโลหิตชั่วคราว โดยเฉพาะในผู้ที่ปกติไม่บริโภคคาเฟอีน กลุ่มที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่เดิม ภาวะความดันโลหิตสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
  4. ระบบทางเดินปัสสาวะ คาเฟอีนลดการดูดน้ำกลับ ตอนผ่านเข้าไปในไต ทำให้ไตขับน้ำออกมาเยอะขึ้น กระตุ้นให้เกิดการปัสสาวะบ่อยขึ้น แคลเซียมซึ่งเป็นสารก่อนิ่วชนิดหนึ่ง จะถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ ในภาวะที่มีปริมาณผิดปกติ และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอาจก่อให้เกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเกิดภาวะไตวาย

ดื่มกาแฟอย่างไร ถึงจะดีต่อสุขภาพ

  1. ควรเลือกดื่มเป็นกาแฟดำไม่ใส่นมและน้ำตาล เลือกสั่งแบบหวานน้อย หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” ที่ปรากฏบนซองหรือบรรจุภัณฑ์สินค้า
  2. หากต้องการจำกัดไขมันหรือน้ำตาล อาจเลือกเป็นสูตรแคลอรีต่ำ หรือสูตรไม่มีน้ำตาล จะช่วยให้สมองตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
  3. เมื่อดื่มกาแฟเย็นแล้วควรลดอาหารหวาน มัน และของทอด ในมื้ออาหารหลักลง
  4. ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ อาจเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะ จึงควรกินอาหารที่มีแคลเซียม จากแหล่งอื่นร่วมด้วย เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว เป็นต้น 
  5. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ 
  6. ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 8-10 แก้วต่อวัน 
  7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
  8. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 29/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,000.0034,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,202.0033,382.3234,600.00
ทองรูปพรรณ 90%1,981.8030,044.09n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,761.6026,705.86n/a
ทองรูปพรรณ 50%991.0015,023.56n/a
ทองรูปพรรณ 40%771.0011,688.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,282.0034,595.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 29/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.2537.2537.7537.2537.2537.2537.2537.2537.2537.25
แก๊สโซฮอล์ 9135.4835.4836.2835.4835.4835.4835.4835.4835.4835.48
แก๊สโซฮอล์ E2035.1435.1435.9435.1435.1435.1435.1435.1435.14
แก๊สโซฮอล์ E8535.2935.2935.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.6449.2449.5449.2444.64
เบนซิน 9545.1446.3145.6445.2945.14
ดีเซล B729.9429.9430.6429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6446.9443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า