สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 01 กันยายน 2563

ทุ่ม 968 ล้าน สร้างทางแยกต่างดับนครศรีธรรมราช บูมมาเลเซีย-สิงคโปร์

เสร็จแล้ว !! ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 41 กับทางหลวงหมายเลข 403 (แยกทุ่งสง) จ.นครศรีธรรมราช วงเงิน 968 ล้านบาท แก้ปัญหาจราจรหนาแน่น รองรับการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้เชื่อมมาเลเซีย-สิงคโปร์

รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.)  โดยสำนักก่อสร้างสะพาน ว่า ปัจจุบัน ทล. ดำเนินการก่อสร้างทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 41 (เพชรเกษม) กับทางหลวงหมายเลข 403 (แยกทุ่งสง) ในพื้นที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วเสร็จ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรหนาแน่น เนื่องจากทางหลวงหมายเลข 41 เป็นทางหลวงสายหลักในการเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ทั้งหมด และทางหลวงหมายเลข 403 เป็นทางหลวงสายหลักที่เชื่อมระหว่างจังหวัดนครศรีธรรมราชกับจังหวัดตรัง และในอนาคตหากมีโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ซึ่งจะเป็นเส้นทาง Asian Highway เชื่อมประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ จะสามารถรองรับปริมาณการจราจรให้เกิดความคล่องตัวยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการก่อสร้างทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 41 (เพชรเกษม) กับทางหลวงหมายเลข 403 (แยกทุ่งสง) จังหวัดนครศรีธรรมราช  รูปแบบการก่อสร้างเป็นทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 41 ระหว่าง กม.238+766-กม.242 ระยะทาง 3.2 กิโลเมตร กับทางหลวงหมายเลข 403 ระหว่าง กม.1 –  กม.2+200  ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร โดยลักษณะโครงการก่อสร้างเป็นสะพานคอนกรีตอัดแรงตามมาตรฐานทางชั้นพิเศษ มีขนาด 1 ช่องจราจร กว้าง 4.50 เมตร และไหล่ด้านละ 2 เมตร และ 1.50เมตร ทิศทางเดียว แบ่งเป็น  สะพานที่ใช้สัญจรจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปจังหวัดตรัง ทางขึ้นบริเวณทางหลวงหมายเลข 41  ที่ กม. 240 ทางลงบริเวณทางหลวงหมายเลข 403 ที่ กม. 1+550 มีความยาว 608.5 เมตร ความกว้างผิวทาง  8-9 เมตร  และสะพานที่ใช้สัญจรจากจังหวัดตรังไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช ทางขึ้นบริเวณทางหลวงหมายเลข403 ที่ กม. 1+850 ทางลงบริเวณทางหลวงหมายเลข 41 ที่ กม. 240+850 มีความยาว 943.95 เมตร ความกว้างผิวทาง 8-9 เมตร

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


5 ประเด็นต้องจับตากับทิศทางตลาดอสังหาฯ หลังโควิด-19

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแออยู่แล้วจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลของมาตรการ LTV หดตัวลงอย่างมาก โดยคาดว่าจะฟื้นตัวกลับมามียอดขายเท่ากับก่อนเกิดโควิด-19 ได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2565

จากการระบาดของโควิด-19 ซ้ำเติมให้ตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนแออยู่แล้วจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและผลของมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือ LTV ที่เริ่มในปี 2562 หดตัวลงต่อเนื่องในปี 2563 โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ยอดขายที่อยู่อาศัยหดตัวถึง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาก รวมถึงการปรับลดลงของยอดขายจากตลาดต่างชาติ

ขณะที่ในด้านอุปทาน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ ๆ ออกไป โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม และหันมาเน้นโครงการแนวราบเพื่อเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์หรือผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงมากขึ้น

คาดในปี 63 อสังหาฯ ยังมีแนวโน้มซบเซา

จากรายงานของ Economic Intelligence Center หรือ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าจำนวนหน่วยขายได้ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2563 จะหดตัวถึง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยในช่วงที่เหลือของปี 2563 ตลาดยังมีแนวโน้มซบเซา แม้ว่าหลังจากการคลายล็อกดาวน์ ยอดขายจะกลับมาฟื้นตัวได้บางส่วนจากการแข่งขันออกโปรโมชั่นของผู้ประกอบการ

แต่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าส่งผลให้ยอดขายโดยรวมยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ขณะที่มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัวที่ 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท โดยมียอดโอนบางส่วนมาจากยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วงปีก่อน ๆ โดยเฉพาะในส่วนของคอนโดมิเนียมที่มีหน่วยขายได้ค่อนข้างสูงในช่วงปี 2561 เริ่มทยอยสร้างเสร็จและพร้อมโอนได้ในช่วงปี 2563

สอดคล้องกับายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด ที่พบว่า แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ยังคงลดลงในแง่ของราคา โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม จากปัจจัยสำคัญคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงต้องการเวลาฟื้นตัว และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับที่สูง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันในเรื่องราคา พร้อมโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของผู้ซื้อคอนโด ทำให้ราคาคอนโดปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาคอนโดมิเนียมในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ลดลง 4% จากไตรมาสแรกของปี และลดลงมากถึง 9% ในรอบ 1 ปี และคาดว่าจะเห็นภาพเช่นนี้ตลอดทั้งปี 2563

5 ประเด็นต้องจับตากับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า

ทาง EIC ยังมองว่ามี 5 ประเด็นที่ต้องจับตามองสำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า คือ

1. ภาพการฟื้นตัวของตลาดจากโควิด-19 โดยภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงอย่างมากส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นไปอย่างช้า ๆ กว่าที่ยอดขายจะกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2565 โดยตลาดกลุ่มระดับกลางถึงบนจะเป็นตัวนำการฟื้นตัวของตลาด

2. ภาวะอุปทานส่วนเกินและการลดลงของราคาที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่มีหน่วยเหลือขายสะสมค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังต้องเน้นการระบายสต็อกและทำให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงมากขึ้น

3. ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค (housing affordability) มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับลดราคาลงและเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูกลงเพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

4. การที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาเน้นเจาะตลาดแนวราบมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการแข่งขันในตลาดแนวราบมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดระดับราคาปานกลางอย่างเช่น ทาวน์เฮ้าส์ 

จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า ทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นถึง 5% จากไตรมาสแรกของปี และเพิ่มขึ้นถึง 27% ในรอบ 1 ปี

5. ยอดขายใหม่มีแนวโน้มจะกระจุกตัวในโครงการของผู้ประกอบการขนาดใหญ่มากขึ้น จากการแข่งขันทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อระบายสต็อก รวมถึงการแข่งขันเปิดตัวโครงการแนวราบ ประกอบกับชื่อเสียงของแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันที่ได้เปรียบมากกว่า

รู้จักผู้ประกอบการอสังหาฯ แต่ละรายให้มากขึ้นผ่าน Developer Profile

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันมาเน้นเจาะตลาดแนวราบมากขึ้น

ผู้ประกอบการปรับตัวรับพฤติกรรมผู้บริโภค-ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป

การปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย สู่ new normal จะมีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้

1. ช่องทางการขาย online ที่จะมาช่วยเสริมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการทำการตลาด

สอดคล้องกับผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุด ที่พบว่าผู้บริโภคกว่า 70% ใช้ช่องทางออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดีย และเว็บสื่อกลาง (online property marketplace) ในการหาค้นหาข้อมูล

2. การพัฒนาโครงการใหม่จะเน้นความคุ้มค่า เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่ลดลงและยังต้องแข่งขันกับตลาดมือสองที่คาดว่าจะมีทรัพย์สินที่รอการขาย (Non Performing Asset) เข้ามาในตลาดมากขึ้นจากมีหนี้เสียหรือ Non-Performing Loan (NPL) ในตลาดที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3. ไลฟ์สไตล์ใหม่ เช่น เทรนด์ของการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home จะส่งผลให้ผู้บริโภคพิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยโดยให้ความสำคัญกับทั้งปัจจัยด้านทำเลและพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยแนวราบที่อาจจะอยู่ห่างออกไป แต่ยังเดินทางได้สะดวกจากส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามีแนวโน้มได้รับความสนใจ
มากขึ้น

4. รูปแบบของการพัฒนาโครงการที่ต้องตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิ ด้านสุขภาพและสุขอนามัย ซึ่งมีแนวโน้มนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น เช่น เทคโนโลยีด้าน Face Recognition และ Voice Command มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง

อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องจับตามองข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญไม่แพ้กันที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ อาทิ นโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ นโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐ ความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ ๆ รวมถึงภาษีที่ดินที่แม้ว่าภาครัฐจะผ่อนปรนลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 90% ในปี 2563 แล้ว แต่คาดว่าจะส่งผลเพียงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวภาระภาษีที่ดินยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ต้องนำมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อหรือพัฒนาโครงการในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com


บาทเปิด 31.04/09 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแข็งค่า

บาทเปิด 31.04/09 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแข็งค่า

เงินบาทเปิดตลาด 31.04/09 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มแข็งค่า มีโอกาสหลุด 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ขานรับตัวเลขส่งออกไทยหดตัวน้อยลง-จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ 31.04/09 จากช่วงเย็นวันที่ 31 ส.ค. 63 ที่ 31.14 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามีโอกาสหลุด 31.00 บาท/ดอลลาร์ ให้แนวรับใหญ่ไว้ที่ 31.00 บาท/ดอลลาร์ มองกรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันที่ระดับ 31.00-31.20 บาท/ดอลลาร์ หลังจากตัวเลขส่งออกของไทยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)แถลงออกมาหดตัวน้อยลง

ตลาดจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนส.ค., ดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


เปิดโปรแกรม เนชันส์ ลีก 2021 ของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย

สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ เอฟไอวีบี เปิดเผยโปรแกรมการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก ในปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย

วันที่ 31 ส.ค. 63 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ หรือ เอฟไอวีบี เปิดเผยโปรแกรมการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก ในปี 2021 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย

ทีมชาติไทยต้องเดินทางไป 5 ประเทศ เพื่อลงแข่งขันกับอีก 15 ทีม ภายในระยะเวลา 5 สัปดาห์

สัปดาห์ 1
วันที่ 11-13 พฤษภาคม เมืองหนิงโบ ประเทศจีน ประกอบด้วย จีน, ไทย, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น

11 พฤษภาคม
14.00 น. ไทย พบ ญี่ปุ่น

12 พฤษภาคม
14.00 น. ไทย พบ เกาหลีใต้

13 พฤษภาคม
18.30 น. ไทย พบ จีน

สัปดาห์ 2
วันที่ 18-20 พฤษภาคม เมืองนิส ประเทศเซอร์เบีย ประกอบด้วย เซอร์เบีย, ไทย, เนเธอร์แลนด์ และ สหรัฐอเมริกา

18 พฤษภาคม
21.00 น. ไทย พบ เนเธอร์แลนด์

19 พฤษภาคม
00.30 น.(เช้ามืดวันที่20) ไทย พบ เซอร์เบีย

20 พฤษภาคม
21.00 น. ไทย พบ สหรัฐอเมริกา

สัปดาห์ 3
วันที่ 25-27 พฤษภาคม เมืองแองการ่า ประเทศตุรกี ประกอบด้วย ตุรกี, ไทย, สาธารณรัฐโดมินิกัน และรัสเซีย

25 พฤษภาคม
23.30 น. ไทย พบ ตุรกี

26 พฤษภาคม
20.00 น. ไทย พบ รัสเซีย

27 พฤษภาคม
20.00 น. ไทย พบ สาธารณรัฐโดมินิกัน

สัปดาห์ 4
วันที่ 1-3 มิถุนายน ประเทศโปแลนด์ ประกอบด้วย โปแลนด์, ไทย, เยอรมนี และ บราซิล

1 มิถุนายน
22.00 น. ไทย พบ เยอรมนี

2 มิถุนายน
01.30 น. (เช้ามืดวันที่ 3) ไทย พบ โปแลนด์

3 มิถุนายน
22.00 น. ไทย พบ บราซิล

สัปดาห์ 5
วันที่ 8-10 มิถุนายน จ.ภูเก็ต ประเทศไทย ประกอบด้วย ไทย, อิตาลี, เบลเยียม และ แคนาดา

8 มิถุนายน
18.05 น. ไทย พบ เบลเยียม

9 มิถุนายน
18.05 น. ไทย พบ แคนาดา

10 มิถุนายน
18.35 น. ไทย พบ อิตาลี

สำหรับรอบสุดท้ายกำหนดแข่งขันวันที่ 23-27 มิถุนายน ที่ประเทศจีน โดยนำ 5 ทีมที่ผลงานดีสุดหลังจบการแข่งขันรอบแรกไปแข่งขัน รวมกับจีนเจ้าภาพเป็น 6 ทีม

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


เพจหมอ เตือน ใส่หน้ากากอนามัย วิ่งออกกำลังกาย เสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าเดิม

เพจทางการแพทย์ เตือนไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย ป้องกัน COVID 19 ระหว่างวิ่ง เหตุปอด หัวใจ หลอดเลือด ทำงานหนัก ยิ่งหายใจเร็วขึ้น เหนื่อยมากขึ้น ก็จะแย่ลง 
ออกกำลังกาย
            วันที่ 4 พฤษภาคม 2563 เพจเฟซบุ๊ก 1412 Cardiology ซึ่งเป็นเพจให้ความรู้ด้านการแพทย์ แนะนำเรื่อง วิ่งวิถีใหม่ (new normal running) หลัง โควิด 19 ว่า ไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ในการวิ่ง เพราะจะเพิ่มแรงต้านการหายใจ ทำให้หายใจได้ลำบากขึ้น ลมหายใจออกจะถูกกักอยู่ในหน้ากากนานขึ้น เพิ่มปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ที่หายใจกลับเข้าไป ยิ่งหายใจเร็วขึ้น เหนื่อยมากขึ้น ก็จะแย่ลง 
          นอกจากนี้ ปอด หัวใจและหลอดเลือด จะต้องทำงานหนักมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย อาจเป็นอันตรายได้ ขณะเดียวกันหน้ากากออกกำลังกาย ก็ไม่เหมาะในการใส่วิ่งในคนปกติ เพราะไม่ได้ป้องกันเชื้อโควิด-19 รวมทั้งยังมีการเพิ่มแรงต้านการหายใจ ทำให้มีออกซิเจนเข้าร่างกายต่ำ ใช้สำหรับการฝึกซ้อมของนักกีฬาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอดและหลอดเลือด
            ส่วนกรณี ผ้าบัฟ ที่สะดวกต่อการหายใจระหว่างวิ่งจริง แต่ข้อเสียก็คือ การป้องกันการแพร่เชื้อทำได้ไม่ดีเท่าหน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัยวิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก health.kapook.com

ส่ง SMS เตือนภัยธรรมชาติผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

ผู้ตรวจการแผ่นดิน จับมือ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ 5 โอเปอร์เรเตอร์ ส่งข้อความเตือนภัยธรรมชาติผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

วันนี้ (28 สิงหาคม 2563) พลเอกวิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานองค์กรอิสระ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยานผลักดันมาตรการความปลอดภัยสู่การเตือนภัยยุคใหม่ จับมือภาครัฐและ 5 โอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การส่ง SMS เตือนภัยธรรมชาติผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการส่งข้อความ มุ่งบริการนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการ

พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์เรือโดยสารฟินิกส์อับปางกลางทะเลภูเก็ตเมื่อปี 2561 เกิดการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันจัดการมาตรการด้านความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานสากลเพื่อดึงความเชื่อมั่นกลับมาและป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย เช่นนี้อีก รวมถึงรักษาสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นในความร่วมมือการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนระดับทวิภาคีระหว่าง

ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมการตรวจสอบแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน

พ.ศ. 2560 หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นพิจารณาแก้ปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ และหนึ่งในมาตรการที่สำคัญ คือ การแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพสามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รวดเร็วโดยตรง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงหรือเตรียมตัวตั้งรับกับสถานการณ์การเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ลดความเดือดร้อนสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้หารือกับกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กสทช. และ 5 โอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถึงการดำเนินงานให้มาตรการนี้เป็นรูปธรรม จึงเป็นที่มาของการผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum Of Understanding : MOU) เรื่อง การส่งข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่

โดยในวันนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานองค์กรอิสระทั้ง กกต. สตง. และผู้บริหารหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นายรังสรรค์ จันทร์นฤกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจสื่อสารไร้สาย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)  นายลาร์ส มาร์คุส แอดอุรทุสซัน รองประธาน เจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกิจการองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเช็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)  นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ ผู้อำนวยการด้านรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และนายสุเทพ  เตมานุวัตน์ หัวหน้าสำนักธุรกิจสัมพันธ์และพัฒนา บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด เพื่อจะร่วมมือกันส่งข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านระบบบริการส่งข้อความสั้นหรือ SMS ทางโทรศัพท์มือถือแบบไม่มีค่าธรรมเนียมการส่งข้อความ ซึ่งข้อความจะมีทั้ง 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้บริการสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ประชาชนคนไทย

นายรังสรรค์ จันทร์นฤกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจสื่อสารไร้สาย บมจ.ทีโอที  กล่าวว่า  ในโอกาสการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้  ทีโอที ได้นำบริการ ของ ทีโอที ร่วมแสดงในนิทรรศการบันทึกความเข้าใจ (MOU) การส่งข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่  โดยกิจกรรมภายในบูธ ของ ทีโอที  ประกอบด้วย 3 โซน

  โซนที่ 1 จุดแนะนำบริการและจำหน่าย SIM TOTmobile  ทั้งแบบรายเดือน และแบบเติมเงิน ในราคาประหยัด

                           – แบบรายเดือน  แพ็กเกจ Government ที่จัดแพ็กเกจราคาประหยัดมาเพื่อข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ  ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท รับสิทธิ์ใช้งานจุใจ เน็ต  2 Mbps ต่อเนื่องตลอดการใช้งาน โทรในเครือข่ายไม่จำกัด  พร้อมโทรนอกเครือข่ายฟรีได้อีก 200 นาที

                           – แบบเติมเงิน  SIM for Learn  แพ็กเกจเติมเงิน สำหรับนักเรียน นักศึกษา  ซิมละ 66 บาท เล่นเน็ตไม่อั้น

ไม่ลดสปีด  ใช้งานได้ถึง 60 วัน เปลี่ยนบ้านให้เป็นห้องเรียนออนไลน์ ตอบรับการเรียนวิถีใหม่แบบ New Normal 

                           นอกจากนี้ TOTmobile ยังมีแพ็กเกจราคาประหยัดอื่นๆ  ที่น่าสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่  www.totmobile.net 

                           โซนที่ 2  จุดสาธิตบริการ  TOT Smart SMS เป็นบริการส่งข้อมูลข่าวสาร ในรูปแบบ  SMS  ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ไปยังโทรศัพท์มือถือ มีทั้งแบบส่งรายเบอร์ หรือแบบกลุ่ม  ที่สามารถส่งได้จำนวนมากในครั้งเดียวได้ทันที

หรือส่งแบบตั้งเวลาข้อความในการส่งได้ ไม่จำกัดจำนวน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการ มีความสะดวก ปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา 

                           โซนที่ 3 จุดแสดงผลงาน ทีโอที และภารกิจระบบสื่อสารรองรับภาวะฉุกเฉินหรือกรณีเกิดภัยพิบัติ  เป็นการแสดงผลงานและภารกิจของ ทีโอที ในการนำระบบสื่อสารต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ  อาทิ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายๆ จังหวัดทำให้โดนตัดขาดจากการสื่อสารให้สามารถใช้งาน อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ได้อย่างทันท่วงที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com

“พิกัดเบญจเกสร”…ดอกไม้รักษาโรค

พิกัดเบญจเกสร
ดอกไม้และเกสรดอกไม้บางชนิดเป็นยารักษาโรคตามตำรับยาของแพทย์แผนโบราณ บทความนี้จะพาไปแนะนำให้รู้จักสูตรยาจากตำรับยาโบราณที่เรียกว่า “พิกัดเบญจ” หรือเครื่องยาสมุนไพรไทย 5 ชนิด แบ่งออกเป็นพืชสมุนไพรหลายอย่างทั้งธาตุร้อน ธาตุเย็น และหนึ่งในพิกัดเบญจ ก็มีสมุนไพรประเภท “ดอกไม้” อยู่ด้วย เป็นเกสรดอกไม้ 5 ชนิด ที่ใช้บำรุงหัวใจ และช่วยรักษาโรค ประกอบไปด้วย เกสรดอกบัวหลวง ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกบุนนาค และดอกมะลิ ดอกไม้และเกสรดอกไม้ 5 ชนิดนี้เป็นกลุ่มที่เรียกว่า “พิกัดเบญจเกสร” ใช้สำหรับปรุงยาหรือผสมยาตามตำรับยาของแพทย์แผนไทย

นอกจากนี้ก็ยังมีดอกไม้ เกสร ราก รวมไปถึงกลีบของดอกไม้ อีกหลายสูตร นี่จึงเป็นเสน่ห์ของยาแผนโบราณที่มากสรรพคุณหลากหลายจากพืชพรรณธรรมชาติ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยรู้ว่ามีดอกไม้ไทยอีกมากมายที่ใช้เป็นยารักษาโรคได้

มารู้จักกับ “พิกัดเบญจเกสร” กันเถอะ!!

เอกลักษณ์ของดอกไม้และเกสรดอกไม้เหล่านี้คือนำไปปรุงยาหอม ซึ่งมีหลายสูตรยกตัวอย่างเช่น “ยาหอมทิพโอสถ” ที่มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลร่างกาย ช่วยให้ฟื้นไข้ได้เร็ว แก้ลม แก้วิงเวียน “ยาหอมเทพจิตร” ที่มีสรรพคุณ ช่วยผ่อนคลาย ดับร้อนในทรวงอก บำรุงหัวใจ และยาหอมนวโกฐ ที่มีสรรพคุณแก้ไข้หวัด คัดจมูก คลื่นไส้ อาเจียน

ดอกไม้เป็นจุดเริ่มต้นของ “น้ำมันหอม” ซึ่งความพิเศษไม่ได้มีเพียงความหอม หรือเป็นแค่เครื่องหอมประทินผิวเท่านั้น ยังมีพรรคุณที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้ตามแต่ชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น เป็นยาบำบัดอาการต่างๆ บำรุงกำลัง บำบัดจิต นวดคลายปวดเมื่อย แก้แมลงสัตว์กัดต่อย แก้อักเสบ รักษาผิวหนัง เป็นต้น

นอกจากใช้รักษาและบำบัดด้วยกลิ่น และการทาแล้ว หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า น้ำมันหอมของดอกไม้บางชนิดใช้กินหรือดื่มเพื่อเป็นยาได้ ส่วนใหญ่แล้วน้ำมันหอมระเหยของดอกไม้จากการสกัดบริสุทธิ์ 100% จะนำมาผสมในยาน้ำ ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย บำรุงลำไส้ ใช้ฆ่าเชื้อโรค แก้ปวดท้อง แก้อักเสบภายใน และช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

ส่วนประกอบและสรรพคุณของ “พิกัดเบญจเกสร”

พิกัดเบญจเกสร” อันประกอบไปด้วยเกสรดอกบัวหลวง ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกบุนนาค และดอกมะลิ จะใช้การสกัดเอาน้ำมันจากดอกไม้ซึ่งมีสรรพคุณแตกต่างกัน ดังนี้

1. เกสรดอกบัวหลวง สรรพคุณ ออกฤทธิ์เย็น รสหวานเย็น บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ป้องกันสมองเสื่อม ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ทำให้รู้สึกสดชื่น บำรุงผิว ชะลอวัย ป้องกันมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ

2. เกสรดอกสารภี สรรพคุณ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ช่วยให้รู้สึกชื่นใจ แก้ร้อนใน แก้ไข้หวัด แก้คัดจมูก ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ช่วยขยายหลอดเลือด และช่วยให้เจริญอาหาร

3. เกสรดอกพิกุล สรรพคุณ ช่วยบำรุงหัวใจ แก้ร้อนในทรวงอก บำรุงเลือด แก้อาการอ่อนเพลีย แก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยลดบวม แก้อักเสบ

4. เกสรดอกบุนนาค สรรพคุณ มีกลิ่นหอมเย็น ช่วยให้รู้สึกชื่นใจ แก้วิงเวียนจะเป็นลม แก้อาการหน้ามืด แก้ปวดหัว ช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด เป็นยาธาตุ ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิง

5. ดอกมะลิ สรรพคุณ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงหัวใจ ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อนในร่างกาย ทำให้สดชื่น แก้ปวด แก้อักเสบ แก้ฟกช้ำ บรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายนอกจากดอกไม้ที่มีเกสรเป็นตัวชูโรงในการรักษาโรคแล้ว ยังมีสูตรจากตำรายาแผนโบราณที่ใช้ดอกไม้เพิ่มเข้ามาอีก 4 ชนิด รวมแล้วเป็น 9 ชนิด คือ กระดังงา ลำดวน จำปา และลำเจียก ใช้บำรุงธาตุ และบำรุงหัวใจด้วยเช่นกัน

ดอกพริมโรส…ดอกไม้รักษาผิวหนัง

นอกจากดอกไม้ไทยๆ จะมีสรรพคุณดีๆ ที่ช่วยบำรุงหัวใจ ดอกไม้เมืองนอกก็มีดีเช่นกัน โดยเฉพาะ “ดอกพริมโรส” ที่มีการสกัดเอาน้ำมันดอกพริมโรสมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นที่นิยมกันทั่วโลก เนื่องจากสรรพคุณเด่นของ “ดอกพริมโรส” คือช่วยเรื่องผิว ทำให้ผิวสวย ลดสิว บรรเทาอาการสิวอักเสบ และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายน้ำมันดอกพริมโรสเหมาะกับผู้หญิงวัยรุ่นถึงวัยกลางคนที่มีปัญหาเรื่องรอยสิว น้ำมันพริมโรสจะช่วยบำรุงผิว และวิตามินที่มีในพริมโรสยังช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังลดปัญหาการเกิดสิวซ้ำซากอีกด้วย ข้อดีของพริมโรสยังไม่หมดเพราะยังมีกรดไลโนเลอิค ที่ช่วยให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรง ปกป้องผิวจากมลภาวะและทำให้ผิวเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ

ได้รู้จักกับสูตรยาตำรับโบราณอย่าง “พิกัดเบญจเกสร” กันไปแล้ว เห็นทีการเที่ยวชมดอกไม้คราวต่อไป ต้องจริงจังศึกษาเพื่อเอาสารสำคัญดีๆ สรรพคุณเยี่ยมๆ ของดอกไม้สมุนไพรเหล่านี้ มาช่วยดูแลสุขภาพกันดีกว่า…

ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 28,950.00 29,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,875.00 28,425.00 29,550.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,687.50 25,582.50 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,500.00 22,740.00 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 844.00 12,795.04 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 656.00 9,944.96 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,943.00 29,455.88 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/09/2563

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 21.75 21.75 22.25 21.75 22.25 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75
แก๊สโซฮอล์ 91 21.48 21.48 21.98 21.48 21.98 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48
แก๊สโซฮอล์ E20 20.24 20.24 20.74 20.24 20.74 20.24 20.24 20.24 20.24
แก๊สโซฮอล์ E85 18.04 18.04
เบนซิน 95 29.16 30.11 29.66 29.16 29.16
ดีเซล 21.79 21.79 22.29 21.79 21.79 21.79 21.79 21.79 21.79 21.79
ดีเซล B10 18.79 18.79 19.29 18.79 18.79 18.79 18.79 18.79 18.79 18.79
ดีเซล B20 18.54 18.54 19.04 18.54 18.54 18.54 18.54 18.54
ดีเซลพรีเมี่ยม 26.24 26.26 28.74 28.24
แก๊ส NGV 14.41 14.41
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า