สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 05 เมษายน 2564

ชิงเดือด ‘ศูนย์อบรมหลักสี่’ รับสนามบินดอนเมือง-สายสีแดง 

ชิงเดือด ‘ศูนย์อบรมหลักสี่’ รับสนามบินดอนเมือง-สายสีแดง 

โควิด-19 ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่ง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในรูปแบบธุรกิจ และถ่ายพร่อง ให้อสังหาริมทรัพย์ในมือของเจ้าของบางราย แม้อยู่ในสภาพดี ทำเลเด่น ก็ถูกเปลี่ยนสภาพ นำออกมาขายมากขึ้น เพราะล้วนต้องการถือเงินสด นำพาบริษัทผ่านวิกฤติ จากสถานการณ์บีบคั้นครั้งนี้ไปให้ได้ และยังเปรียบเป็นทางออกช่องสุดท้าย สำหรับบริษัทมหาชน เบอร์ 1 ในธุรกิจการบินของไทย อย่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)  ด้วยเช่นกัน 

หลังจาก จำเป็นต้องนำที่ดินถึง 5 แปลง ออกเสนอขาย  ได้แก่ แปลงหัวสนามบิน    ขนาด 8 ไร่, แปลงติดร้านเจ๊เล้ง 23 ไร่  ซึ่งทั้ง 2 แปลง อาจนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ขายในราคา ตรม.ละไม่เกิน 80,000 บาท หรือบ้านแนวราบในราคาหลังละมากกว่า 25ล้านบาทได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับแปลงอาคารสำนักงานสีลม เนื้อที่ไม่ถึง 1 ไร่ และที่จังหวัดขอนแก่นอีก 5 ไร่ ในทำเลใจกลางเมือง 

อย่างไรก็ตาม แปลงที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นที่จับตามองและสร้างความฮือฮา เมื่อการบินไทย ประกาศเตรียมนำออกมาประมูลแปลงแรก คือ แปลงศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ กรุงเทพฯ ในรูปแบบเสนอขายที่ดิน พร้อมอาคาร แบบไม่รวมสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดินและอาคาร และไม่รวมอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ของบริษัทฯ ที่อยู่ในบริเวณอาคาร ในลักษณะและสภาพปัจจุบัน (“as is-where is”) รวมเนื้อที่ทั้งหมด 19 ไร่ 3 งาน 26 ตารางวา หรือ 7,926 ตารางวา 

เปิดพื้นที่ อาคารศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่

กลายเป็นแปลงเนื้อหอม ที่ล่าสุด การบินไทย เผยว่า มีบริษัทขนาดใหญ่ และตัวบุคคลนับรวมถึง 52 ราย เช่น กลุ่มปตท.-เซ็นทรัล-เอ็มบีเค-BAFS -ไทยเวียตเจ็ทฯ สนใจเข้าร่วมประมูลและรับฟังการชี้แจงที่เกิดขึ้น 1 เม.ย.64 ก่อนกำหนดยื่นเสนอราคาครั้งสุดท้าย 9 เม.ย.64 และประกาศผลการคัดเลือกวันที่ 16 เม.ย.64

ขณะ “ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจรายนามบริษัทและบุคคลที่มีความสนใจขอศึกษารายละเอียดการประมูลดังกล่าว ปรากฏชื่อ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จำนวน 2 ราย คือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และอีก 1 บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์-ตัวแทนขาย, ประมูลอสังหา ริมทรัพย์ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ร่วมด้วย 

สำหรับอาคารสำนักงานศูนย์ฝึกอบรมบริเวณหลักสี่ บนถนนกำแพงเพชร ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง โดยก่อนหน้านี้ใช้เป็นศูนย์ฝึกอบรม พื้นที่สำนักงาน แต่ในแง่เจ้าของรายใหม่ นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด วิเคราะห์ผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ที่จะได้ไป ถ้าไม่ต้องการรื้อทิ้ง อาคาร 2 อาคาร 28,216 ตารางเมตร ก็ต้องปรับปรุงด้านในอาคาร ให้เหมาะ กรณีต้องการคงให้เป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่า แต่ด้วยทำเลและรูปแบบอาคาร อาจจะไม่สามารถเรียกค่าเช่าได้สูงมากนัก คือประมาณ 400 – 500 บาทต่อตารางเมตร  แม้จะห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานี การเคหะ ไม่ถึง 400 เมตรก็ตาม อีกเรื่องที่ต้องพิจารณาคือ การเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นทางเข้า-ออก ซึ่งจะครบกำหนดในปีพ.ศ. 2574 ผู้ที่เข้าร่วมประมูลต้องพิจารณาเรื่องของค่าใช้จ่ายในการต่อสัญญากับการรถไฟฯ เพิ่มเติมด้วย

รวมถึงพื้นที่ดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งในการพัฒนาที่ดินในบริเวณนี้คือ ข้อจำกัดในเรื่องของความสูงอาคารที่กำหนดไว้ห้ามเกิน 45 เมตรหรือประมาณอาคารไม่เกิน 15 ชั้น (ในกรณีสร้างชั้นละ 3 เมตร) ซึ่งเป็นข้อกำหนดในประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินดอนเมือง กรุงเทพ มหานคร เป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ.2540 

ดังนั้น ผู้ที่จะยื่นซองประมูลจะต้องพิจารณาในจุดนี้เป็นสำคัญ แม้ว่าในผังเมืองกรุงเทพมหานครจะอนุญาตให้ก่อสร้างก็ตาม และที่น่าสนใจอีกประการ คือ ผังเมืองกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556 ระบุว่าพื้นที่นี้อยู่ในเขตสีส้มประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ย.5 มี FAR ปัจจุบันอยู่ที่ 4:1 เท่านั้น แต่สามารถพัฒนาอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่เกิน 10,000 ตารางเมตรได้เพราะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าน้อยกว่า 500 เมตร และถ้าพิจารณาจาก FAR 4:1 ที่ดินขนาด 7,926 ตารางวาหรือ 31,704 ตารางเมตร สามารถสร้างอาคารได้ 126,816 ตารางเมตร ซึ่งคงต้องมีการออกแบบและกำหนดพื้นที่ว่างรอบอาคารอีกทีเพราะต้องมีพื้นที่ว่างรอบอาคารไม่น้อยกว่าร้อยละ 7.5 ของพื้นที่ของพื้นที่อาคารรวม 

“ทำเลมีความน่าสนใจ แต่ผังเมืองสีส้ม กำหนดความสูงอาคารห้ามเกิน 45 เมตร อาจทำให้พื้นที่ไม่ได้โดดเด่นมากนัก บวกกับข้อจำกัดแนวเขตที่ดิน รฟท. สะท้อนจากตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง มีโครงการของภาคเอกชนไม่มากนัก”

นายสุรเชษฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า การจะรื้ออาคารในที่ดินออกแล้วก่อสร้างใหม่ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ต้องพิจารณาเรื่องของต้นทุนในการรื้อถอน การก่อสร้างใหม่ และรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับทั้งสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สนามบินดอนเมือง ซึ่งคงไม่หนีจากรูปแบบของโครงการพาณิชยกรรมทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรมที่พักเพื่อรองรับคนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง เพราะห่างจากสนามบินดอนเมืองเพียง 1 สถานี หรือการใช้ประโยชน์ในรูปแบบเดิม คือ ศูนย์อบรมและสัมมนา เพียงแต่รูปแบบต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของผลตอบแทน  โครงการคอนโดมิเนียมก็เป็นไปได้เช่นกัน เพราะทำเลที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าแต่ด้วยต้นทุนที่ดินที่อาจจะมากกว่า 230,000 บาทต่อตารางวา

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ถอดรหัสคิด บิ๊กเนม ‘เพอร์เฟค’ แผนพลิกฟ้า ทำกำไร

ถอดรหัสคิด  บิ๊กเนม ‘เพอร์เฟค’ แผนพลิกฟ้า ทำกำไร

คอลัมน์ : ผ่ามุมคิด

ผลดำเนินงานขาดทุนสุทธิ ปี 2563 ราว 1,757 ล้านบาท อันเนื่องจากรายได้ การขายอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้าน-คอนโดฯ และที่ดิน ของบริษัทเบอร์ใหญ่ในตลาด และมีชื่อเสียงยาวนาน อย่างบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ได้ลดฮวบลงกว่า 5.7 พันล้านบาท ขณะธุรกิจโรงแรมในเครือ แกรนด์ แอสเสท ประสบวิกฤติการท่องเที่ยวโควิด จากที่สร้างกำไรกลายเป็นขาดทุนฉับพลัน ภาวะข้างต้น ทำให้ CEO ใหญ่ของกลุ่ม นายศานิต (เดิม:ชายนิด) อรรถญาณสกุล ต้องเขย่ากลยุทธ์ 

จากเดิม นอนฝันถึงแต่ที่ดิน กว้านซื้อ จนกลายเป็นแลนด์ลอร์ดรายใหญ่ แต่เมื่อตลาดอสังหาฯไม่สดใสอย่างเก่า การรีดไขมัน ลดภาระหนี้และการถือครองทรัพย์สินที่ยังไม่สร้างรายได้จึงเกิดขึ้น จากการประกาศว่าช่วงปี 2564 จะเป็นปีที่บริษัทจะเคลียร์สินทรัพย์ครั้งที่ใหญ่ที่สุด ผ่านการขายออกที่ดินที่ไม่มีแผนพัฒนา และสิทธิการเช่า รวมถึงขยายการลงทุนในโรงแรม และจัดตั้งกองทรัสต์ ร่วม 2.02 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินครั้งใหม่ และเปิดทาง เตรียมความพร้อม เมื่อตลาดอสังหาฯฟื้นกลับมามีโอกาส

ขณะนำ แกรนด์ แอสเสท หาน่านน้ำรายได้ใหม่ สู่ “ธุรกิจถุงมือยาง” ร่วมกับพันธมิตรตั้งบริษัทแกรนด์ โกลบอลฯ (GGG) ที่จะเป็นพระเอกในการสร้างรายได้ ควบคู่กับแผนการเปิดโครงการบ้านหรูของ PF อย่างเข้มข้น รวมเป้ารายได้ทั้งปี แตะระดับ 21,370 ล้านบาทอีกครั้ง 3 คำ หยุด-รุก-เพิ่ม คือ กลยุทธ์สู่โหมด “เทิร์นอะราวด์”

แผนพลิกฟ้า

ปีนี้การประกาศแผนธุรกิจของบริษัทมีความล่าช้า เพราะการคิด-สรุป เป็นไปท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โควิด โดยมี 2 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งผลักดัน คือ 1. การเติบโตอย่างยั่งยืน ปรับหมวด สู่การกลับมาพลิกฟื้น หรือ “เทิร์น อะราวด์ทางรายได้ จากการดำเนินงานของ 3 บริษัท (พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, แกรนด์ แอสเสท และ GGG) โดยธุรกิจหลัก อสังหาฯ จะขับเคลื่อนให้มีรายได้เติบโต สานต่อโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ 3 รายใหญ่ เปิดใหม่ 6 โครงการ 9.93 พันล้านบาท ส่วนเป้าขายอยู่ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท 

ขณะเดียวกัน เดินหน้า ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตและส่งออก ‘ถุงมือยาง’  ที่เริ่มจัดตั้งบริษัท ร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ ตั้งแต่ปลายปี 63 จัดตั้งโรงงานขนาดใหญ่ 2 โรง 16 ไลน์การผลิต โดยคาดจะเปิดดำเนินการได้ ช่วง พ.ค. นี้คาดยอดขายนำร่องปีแรกราว 3-4 พันล้าน ประมาณการ รายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 21,370 ล้านบาท  2. สร้างความมั่นคงทางการเงิน ผ่านการกลับมาสำรวจตัวเอง  ซึ่งตั้งเป้าขายที่ดิน และการลงทุน เพื่อลดภาระหนี้ และทำกำไรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราว 30% จากมูลค่าสินทรัพย์รวม 2.02 หมื่นล้านบาท เช่น ที่ดินรัชดา, แจ้งวัฒนะ, รามอินทรา และโรงแรมบางส่วน นับเป็นการเคลียร์หนี้ครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี 

“แผนนี้ จะทำให้บริษัท พลิกกลับมามีกำไรได้ จากธุรกิจหลัก และธุรกิจใหม่ ที่จะสร้างกำไรเข้ามาช่วยพยุงธุรกิจโรงแรมที่ขาดทุน  การขายที่ดิน-สินทรัพย์ ออกจะเกิดกำไรราว 30% บวกกับกำไรฝั่งการขายโครงการอีก 10% จะเป็นทางออกที่ดีให้กับกลุ่มบริษัท” 

ส่องเลนส์อสังหาฯ

เมื่อถามถึง มุมมองต่อตลาดอสังหาฯ ปีนี้ นายศานิต ระบุว่า คอนโดฯ จะเป็นเซกเตอร์ ที่คงกลับมาช้าที่สุด จนกว่าสถาน การณ์จะปกติ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดประเทศ ต่างชาติจะหันกลับมาสนใจมากขึ้น คาดโอกาสอยู่ในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่อง ปี 2565 ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว โดยเฉพาะบ้านหรู ที่เป็นโปรดักต์หลักของบริษัท มีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้พันธมิตรต่างชาติทั้ง 3 รายของบริษัท ได้แก่ ฮ่องกงแลนด์, ซูมิโตโม และเซกิซุย ยังให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนอสังหาฯในประเทศไทย หลังจากมีการพูดคุยกัน พบทัศนะคติของทั้ง 3 ราย ยังเป็นบวกต่อไทย

เนื่องจากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ภาวะหนักกว่ามาก แต่ประเทศไทย พบการพัฒนาบ้านหรู ยังขายได้ดี ไฮไลท์ปีนี้ คือ โครงการ Lake Legend บางนา สุวรณภูมิ มูลค่า 5.1 พันล้านบาท ราคา 50-100 ล้าน  ส่วนคอนโดฯ จะหยุดพัฒนา เนื่องจากยังไม่สามารถเปิดประเทศได้ จึงต้องดู แผนการกระจายวัคซีน ว่าทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้หรือไม่ ทั้งนี้ พันธมิตรต่างชาติ ระบุ ไม่ได้กังวล หากโปรเจ็กต์ อยู่ในทำเลที่ดี ก็สามารถไปได้ แม้ว่าซัพพลายจะเยอะก็ตาม

“ธุรกิจทั่วโลก ปี 64 ยังต้องประคับประคองต่อ ขณะไทย เราอาจมีแผนการฉีดวัคซีนช้าเกินไป แม้พยายามจะเร่งแล้ว คาดเมื่อวัคซีนกระจายได้ทั่วถึงในเมืองท่องเที่ยว และกรุงเทพฯได้ครบ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา ก็จะมีผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาฯ” 

ธุรกิจใหม่ประคองโรงแรม 

จากภาวะดังกล่าว จะทำให้ ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวได้ แม้บางคนมองอาจต้องใช้เวลาราว 3-5 ปี แต่ส่วนตัวมองว่า การอั้นการเดินทางทั่วโลก ที่เกิดขึ้นมามากกว่า 1 ปี คาดต้นปี 2565 จะกลับมาพีคมาก แต่ธุรกิจต้องมีการปรับตัว เชื่อโรงแรมไหน มีโลเคชั่นที่ดี จะได้รับประโยชน์ โดยเชื่อมั่นโรงแรมในกลุ่มแกรนด์ แอสเสท ที่มีที่ตั้ง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใจกลางเมือง (นานา) แม้แต่ต่างจังหวัด ก็อยู่ในระดับการเดินทางที่เหมาสม จะทำให้เรากลับมาเติบโตได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ คือ โอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ที่มีความต้องการสูงมากทั่วโลกหลังโควิด อย่าง “ถุงมือยาง” จากผู้เล่นในตลาดน้อยราย และอยู่ระหว่างการขอ บีโอไอ เพราะโรงงานตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าราว 95% ส่งออกนอกประเทศ กำลังการผลิตโรงงานแรก 21 ล้านกล่องต่อปี ผ่านราคาเติบโตดี อยู่ที่ 7-8 ดอลลาร์ต่อกล่อง (100 ชิ้น) คาดจะเป็นธุรกิจที่โตพุ่งต่อเนื่องไปอย่างน้อย 2 ปี และมีกำไรไม่ต่ำกว่า 40% เพราะแม้โควิดจะจบลง แต่การใช้ถุงมือยาง นอกจากโรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงแรม สายการบิน ก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้ วางเป้ารายได้ให้บริษัทระยะต่อไปราว9 พัน ถึง 1 หมื่นล้านบาท 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ธปท.ปักธงนำร่องใช้สกุลเงินดิจิทัลภาคประชาชนปีหน้า

แบงก์ชาติ

ธปท.ตั้งเป้าปีหน้าเริ่มนำร่องใช้สกุลเงินดิจิทัลภาคประชาชน หลังล่าสุด เปิดรับฟังความคิดเห็น “Retail CBDC” ถึงกลางปีนี้ ต่อยอดภาคธุรกิจ เผยออกแบบให้ใช้งานเหมือนธนบัตรใช้ได้ทั้ง “ออนไลน์-ออฟไลน์” มั่นใจประชาชนเข้าถึงง่าย-ปลอดภัย ยันไม่คิดตัดตัวกลางการชำระเงินทิ้ง

นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางสำหรับการใช้งานในภาคประชาชน (Retail Central Bank Digital Currency : Retail CBDC) ซึ่งเป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง เปรียบได้กับธนบัตรที่ออกโดยธนาคารกลาง หลังจากที่ผ่านมามีความคืบหน้าผลการพัฒนาต้นแบบสกุลเงินดิจิทัลในภาคธุรกิจ (Central Bank Digital Currency : Wholesale CBDC) ภายใต้ชื่อโครงการอินทนนท์ (INTHANON) ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561

ซึ่งการพัฒนาระบบต้นแบบดังกล่าว นำเทคโนโลยีประมวลผลแบบกระจายศูนย์ (DLT) มาใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน โดยในเฟสแรกปี 2561และถัดมาเดือน ม.ค. 2562 ได้ทดสอบประสิทธิภาพกับพันธบัตรตรวจสอบกฎเกณฑ์และธุรกรรมต่าง ๆ ก่อนที่จะทดสอบการโอนเงินระหว่างประเทศกับธนาคารฮ่องกงในเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน และปีนี้เดือน ก.พ.ที่ผ่านมาได้ทดสอบการโอนเงินระหว่างประเทศโดยใช้ CBDC หลายสกุลเงิน (M-CBDC Bridge)

“รูปแบบ Retail CBDC สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินได้ทั้งในแบบออนไลน์ (online) และออฟไลน์ (offline) ไม่จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนก็สามารถทำธุรกรรมได้ ซึ่ง CBDC จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินในอนาคต ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศติดท็อป 10 ที่เริ่มทำเรื่องของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง

จากจุดเริ่มต้นของภาคธุรกิจ การโอนเงินระหว่างประเทศ ถือว่าเราเดินค่อนข้างเร็วเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่เรื่องของ Retail CBDC มีความซับซ้อนกว่า จึงต้องศึกษาให้รอบคอบ เช่น มีคนกังวลหากคนมาถือ CBDC กันหมด จะเกิดแบงก์รันหรือไม่ และรูปแบบการเข้าถึงของประชาชนจะต้องง่าย และต้องเกิดการรับรู้ของภาคประชาชน”

นางสาววชิรากล่าวว่า แนวทางการพัฒนา ธปท.ได้สำรวจและศึกษาเรื่องดังกล่าว และเขียนเป็นกรอบการดำเนินการ และได้จัดทำเป็น directional paper เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นภาคประชาชนโดยจะปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 15 มิ.ย. 64 และจะมีการจัดทำ workshop ร่วมกับสถาบันการเงิน ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปความคิดเห็นและข้อสงสัยต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพิจารณา Retail CBDC

อย่างไรก็ดี หากนำมาใช้จริงอาจจะต้องใช้เวลา 3-5 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับต่างประเทศ เช่นประเทศจีนที่เริ่มพัฒนาและทดลองใช้กับประชาชนในมณฑลเล็ก ๆ ก่อนในปี 2558 ซึ่งจะทำลักษณะคล้ายลอตเตอรี่ และคาดว่าจะนำมาใช้จริงในช่วงโอลิมปิก

“การพัฒนา Retail CBDC เป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดย ธปท.จะต้องศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ ทั้งในเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ การดูแลข้อมูลจะต้องมีธรรมาภิบาล (data governance) ความปลอดภัยทางด้านเทคโนโลยีที่นำมาใช้ และต้องไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน”

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


อันตรายแฝงจาก “ขนมปังปิ้ง” เกรียมๆ พบสารอาจก่อ “มะเร็ง”

อันตรายแฝงจาก “ขนมปังปิ้ง” เกรียมๆ พบสารอาจก่อ “มะเร็ง”

ใครที่ชอบกินขนมปังปิ้งเกรียมๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุเอาไว้ในเฟซบุ๊กเพจ Pleasehealth Books ว่า ขนมปังปิ้งอาจพบสาร “อาจ” ก่อมะเร็งได้

“Food Standards Agency (FSA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ ที่ดูแลด้านความปลอดภัยจากอาหารการกิน ได้ออกแคมเปญ Go For Gold ซึ่งรณรงค์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 โดยแคมเปญนี้เน้นรณรงค์ให้ประชาชน กินขนมปังปิ้งที่ปิ้งแต่พอประมาณ ให้สีขนมปังแค่เปลี่ยนเป็นเหลืองๆ ทองๆ หลีกเลี่ยงการกินขนมปังปิ้งที่เกรียมจนเป็นสีน้ำตาล โดยกฎ Go for gold นี้ ยังรวมไปถึงอาหารประเภทแป้งอื่นๆ เช่น มันฝรั่ง ด้วย

“สาเหตุที่รณรงค์ในเรื่องนี้ เนื่องมาจากอาหารประเภทแป้งเช่น ขนมปัง หรือ มันฝรั่งนั้น เมื่อต้องนำมาผ่านความร้อนสูงๆ จนสีเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเกรียมๆ จะมีสารเอคริลอะไมด์ (Acrylamide) สูง ซึ่งจากการทดลองในสัตว์พบว่า สารนี้มีความสัมพันธ์กับการก่อมะเร็ง แต่การทดลองในคน ยังไม่สามารถสรุปชัดเจนได้ในขณะนี้

“ทาง FSA ให้ความเห็นว่า เมื่อสถานะการก่อมะเร็งของเอคริลอะไมด์ยังคลุมเครือ การรณรงค์ให้ประชาชนรู้จัก และตระหนักถึงการบริโภค น่าจะเป็นบทบาทที่ควรทำในขณะนี้ ซึ่งการรณรงค์นี้ ไม่ได้ต้องการให้คนแตกตื่นถึงขั้นเลิกกินขนมปังปิ้ง แค่ให้รู้จักปิ้งสุกแต่พอประมาณ เลี่ยงการกินขนมปังที่ปิ้งจนเกรียมเป็นสีน้ำตาล ตามชื่อของแคมเปญคือ Go for gold

สรุปได้ว่า ขนมปังปิ้งที่เกรียมจนเป็นสีน้ำตาลนั้น มีสารที่ “อาจ” ก่อมะเร็งได้ ดังนั้น หากเลือกรับประทานขนมปังปิ้ง ควรปิ้งแค่เหลืองอ่อนๆ พอหอมกันดีกว่า เลี่ยงขนมปังปิ้งเกรียมๆ 

นอกจากนี้ควรกินขนมปังควบคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน นอกจากควรเลือกกินทุกอย่างแต่พอประมาณ กินอาหารอื่นๆ ให้หลากหลาย เน้นอาหารจากธรรมชาติ ผักผลไม้ ธัญพืช และอาหารสายคลีนอื่นๆ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงแบบยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


กระหึ่มโลก! “ปภังกร” ผงาดแชมป์กอล์ฟเมเจอร์ “เอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น”

กระหึ่มโลก! "ปภังกร" ผงาดแชมป์กอล์ฟเมเจอร์ "เอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น"

“โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจ นักกอล์ฟสาวไทย ทำตามฝันได้สำเร็จหลังกลายเป็นแชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการเอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น เมเจอร์แรกแห่งปี ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา

ก้านเหล็กสาววัย 21 ปี ทำผลงานได้ดีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายด้วยการเป็นผู้นำตลอดการแข่งขัน ก่อนเข้าป้ายสกอร์รวม 18 อันเดอร์พาร์ 270 (66-69-67-68) เฉือนเอาชนะ ลีเดีย โค โปรกอล์ฟสาวชาวนิวซีแลนด์ ไปได้ 2 สโตรก คว้าแชมป์ไปครอง พร้อมเงินรางวัล 465,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 14 ล้านบาท)

จากความสำเร็จในรายการนี้เป็นการคว้าแชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ และ รายการเมเจอร์ครั้งแรกในชีวิตของเธอ หลังตัดสินใจเทิร์นโปร เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 2019 ด้วยการตัดสินใจยื่นเอกสารขอเทิร์นโปรให้กับ USGA เพื่อเข้าแข่งขัน US Women Open เมเจอร์ที่ 2 ในฐานะโปรใหม่

“มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากๆ กับการเป็นแชมป์เมเจอร์ ด้วยอะไรบางอย่างมันทำให้ฉันเล่นอย่างใจเย็น ฉันมีความสงบ ฉันไม่รู้ว่าทำไม อย่างที่ฉันเคยบอกเป้าหมายของฉันแค่อยากที่จะทำให้สำเร็จ” ก้านเหล็กสาว เปิดใจกับ แอลพีจีเอ หลังหยิบแชมป์มาครองได้สำเร็จ

จากชัยชนะในครั้งนี้ของ ปภังกร ธวัชธนกิจ กลายเป็นนักกอล์ฟไทยคนที่ 2 ที่คว้าแชมป์เมเจอร์ต่อจาก”โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล ทำได้ 2 รายการ วีเมนส์ โอเพ่น ในปี 2016 และ ยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น 2018 และเป็นนักกอล์ฟไทยคนที่ 4 ที่คว้าแชมป์อาชีพในแอลพีจีเอ ทัวร์ ต่อ เอรียา (10)  โมรียา จุฑานุกาล (1) และโปรจัสมิน สุวัณณะปุระ (2)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คีย์เวิร์ดของแต่ละ Tense

เรื่องของ Tense น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ลึกลับและทำให้น้องๆที่เรียนภาษาอังกฤษสับสนได้มากที่สุด ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะมาชวนน้องๆให้เห็นภาพความหมายของแต่ละ Tense รวมถึงคีย์เวิร์ดของแต่ละ Tense กันก่อนที่จะไปเจาะลึกกันทีละ Tense ในบทความถัดๆไป
.
.
ต่อไปนี้ คือ ‘วลี’ สั้นๆ ที่น่าจะพอทำให้น้องๆเห็นภาพว่า แต่ละ Tense นั้น ใช้ในบริบทของประโยครูปแบบหรือกาลเวลาใดบ้าง โดยมีทั้งหมด 12 Tense (ขออนุญาติใช้คำย่อนะครับ เพื่อที่จะได้จำกันง่ายๆ)

  1. Present Sim  ปัจจุบันทันด่วน
  2. Past Sim       ผ่านมาแล้วผ่านไป
  3. Future Sim     มองไปข้างหน้า
  4. Present Cont   ตอนนี้กำลังทำ
  5. Past Cont        ตอนนั้นกำลังทำ
  6. Future Cont      อีกหน่อยจะกำลังทำ
  7. Present Perf     เพิ่งเสร็จกิจ
  8. Past Perf   ตอนนั้นฉันเพิ่งเสร็จ
  9. Future Perf        ถึงตอนนั้น ฉันคงเสร็จพอดี
  10. Present Perf Cont กำลังเพลิน ขอทำต่อ
  11. Past Perf Cont     ตอนนั้นฉันกำลังติดพัน
  12. Future Perf Cont    ถึงตอนนั้น ฉันคงกำลังติดพัน
Tense                                                                        
Simple  
1. Present Simple now, is, am, are, currently
2. Past Simple last, ago
3. Future Simple will, shall. V1
Continuous
1.Present Continuous is, am, are, V.ing
2.Past Continuous  was, were, V.ing 
3.Future Continuous will, be
Perfect  
1.Present Perfect have, lately, just
2.Past Perfect had, just, previously
3.Future Perfect will, for
Perfect Continuous
1.Present Perfect Continuous have been, since
2.Past Perfect Continuous had been, while, when
3.Future Perfect Continuous will have been, forever, next

คำถามทดสอบ:

1) คำใดเป็นคีย์เวิร์ดของประโยค Present Simple Tense

a.  since           
b.  ago          
c.  currently       
d.  lately

2) หากจะพูดถึงสิ่งที่เราเพิ่งกระทำเสร็จไปหมาดๆ ต้องใช้ Tense ใด

a.  Past      
b.  Past Perfect      
c.  Present Perfect     
d. Present

3) หากจะพูดถึงสิ่งที่เราเพิ่งกระทำเสร็จ ในรูปอดีตกาล ต้องใช้ Tense ใด

a.  Past Perfect                   
b. Past Continuous      
c.  Present Simple             
d.  Future Perfect

เฉลย :

1. ( ข้อ c. ) เพราะ currently มีความหมายประมาณว่า ‘ณ ปัจจุบัน’

2. ( ข้อ c. ) เพราะ Present Perfect Tense ใช้พูดถึงสิ่งที่เราเพิ่งกระทำเสร็จไปหมาดๆ 

3. ( ข้อ a. ) เหตุผลในทำนองเดียวกับข้อ 2) ครับ เพียงแต่เมื่อพูดถึงอดีตกาล ก็ต้องเป็น Past Perfect Tense

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


“ยอดมอเตอร์โชว์ 2021” ทะลุเป้า

“ยอดมอเตอร์โชว์ 2021” ทะลุเป้า

“ยอดมอเตอร์โชว์ 2021” ปิดฉากวันที่ 4 เมษายน ทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20,000 คัน มาสด้า ซูซูกิ ปลื้มตัวเลขทะลุเป้า

ยอดจองรถยนต์มอเตอร์โชว์ 2021 หลังเริ่มจัดตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 4 เมษายน 2564 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี พบว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ผู้จัดกรังด์ปรีซ์ตั้งไว้

ด้านมาสด้าทำ ยอดจองมอเตอร์โชว์ 2021 ได้ 3,454 คัน Mazda2 จำนวน 1,243 คัน Mazda CX-30 จำนวน 967 คัน Mazda CX-3 จำนวน 512 คัน Mazda 3 จำนวน 382 คัน Mazda CX-8 จำนวน 141 คัน Mazda CX-5 จำนวน 138 คัน และ Mazda จำนวน 70 คัน

ยอดจองรถมอเตอร์โชว์ 2021 พุ่ง

ส่วนซูซูกิกวาด ยอดจองมอเตอร์โชว์ 2021 ได้ 2,689 คัน แบ่งเป็น SUZUKI SWIFT  1,078 คัน SUZUKI CIAZ 257 คัน SUZUKI CELERIO 455 คัน SUZUKI CARRY 198 คัน SUZUKI ERTIGA 145 คัน  และ SUZUKI XL7 จำนวน 556 คัน

ด้าน ยอดจองรถยนต์ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2021 ค่ายอื่นๆ  เช่น ฟอร์ด 2,689 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ 1,863 คัน เอ็มจี 1,629 คัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


พลูคาว ต้านโรคร้ายได้จริงหรือ ?

พลูคาว หรือผักคาวตอง เป็นผักพื้นบ้านที่นิยมรับประทานใบสดแกล้มอาหาร โดยเฉพาะอาหารเหนือและอีสาน เช่น ลาบ ก้อย และแจ่ว นอกจากนั้น ยังนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมต่าง ๆ เพราะเชืื่อกันว่าพลูคาวมีสรรพคุณรักษาหรือป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น

พลูคาว

พลูคาวเป็นสมุนไพรพื้นเมืองที่ได้รับความนิยมในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานาน ในประเทศไทยมักพบได้มากในภาคเหนือ ส่วนในประเทศจีน พลูคาวเป็นพืชสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้รักษาอาการไอ โรคปอดบวม และโรคหลอดลมอักเสบ พลูคาวมีสารประกอบฟีนอลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) อัลคาลอยด์ (Alkaloid) และสารเควอซิทิน (Quercetin) ซึ่งอาจมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการทำลายเซลล์ในร่างกาย และยับยั้งการอักเสบได้

ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางส่วนที่พิสูจน์ความเชื่อเกี่ยวกับคุณสมบัติต่าง ๆ ของพลูคาวไว้ ดังต่อไปนี้

ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ผักต่าง ๆ ในท้องตลาดอาจมีการปนเปื้อนสารพิษอยู่มาก หลายคนจึงหันมาบริโภคผักพื้นบ้านอย่างพลูคาวกันมากขึ้น ที่สำคัญ เชื่อกันว่าพลูคาวเป็นสมุนไพรที่อาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ มีงานวิจัยหนึ่งที่สกัดสารชีวภาพกลุ่มอัลคาลอยด์หลายชนิดจากพลูคาวแล้วนำมาใช้ทดลองในตัวอย่างเซลล์มะเร็งของมนุษย์ พบว่าสารชนิดนี้อาจมีคุณสมบัติต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองใช้พลูคาวปริมาณ 250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร กับตัวอย่างเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ และไส้ตรงระยะแรกเริ่มในห้องทดลองเป็นเวลา 1 วัน พบว่าพลูคาวอาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และอาจทำลายเซลล์มะเร็งชนิดนี้ได้

แม้การศึกษาบางส่วนแสดงให้เห็นว่าพลูคาวและสารสกัดจากพลูคาวอาจช่วยต้านมะเร็งบางชนิดได้ แต่งานวิจัยเหล่านั้นเป็นการค้นคว้าในห้องปฏิบัติการที่ทดลองในตัวอย่างเซลล์เท่านั้น จึงยังไม่อาจยืนยันสมมติฐานด้านนี้ได้อย่างชัดเจน และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการใช้สารสกัดจากพลูคาวจะปลอดภัยต่อร่างกายหรือไม่ จึงควรศึกษาทดลองในมนุษย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่ชัดต่อไป

ต้านการอักเสบ เพราะพลูคาวมีสารต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และอาจช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ในร่างกาย จึงมีสมุนไพรและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากพลูคาวที่มักกล่าวอ้างสรรพคุณในด้านดังกล่าว มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเผยว่า น้ำมันหอมระเหยจากพลูคาวมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับยาต้านอักเสบกลุ่ม NSAIDs ดังนั้น พลูคาวจึงอาจมีประสิทธิผลต้านการอักเสบได้ ส่วนงานวิจัยที่ทดลองประสิทธิภาพของพลูคาวในตัวอย่างเซลล์มนุษย์ พบว่าสารสกัดจากพลูคาวอาจช่วยยับยั้งการอักเสบของเซลล์ผิวหนังได้ ในขณะที่อีกหนึ่งงานวิจัยซึ่งฉีดสารสกัดจากพลูคาวในหนูทดลองเพื่อดูประสิทธิภาพทางการรักษาอาการอักเสบ พบว่าพลูคาวอาจช่วยยับยั้งภาวะหูอักเสบบวมน้ำได้

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเหล่านี้เป็นเพียงการทดลองในตัวอย่างเซลล์หรือสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จึงควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันสมมติฐานว่าพลูคาวสามารถต้านการอักเสบในมนุษย์ได้จริง แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับใช้เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไปในอนาคต

รักษาโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน จนทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ พลูคาวเป็นผักที่ไม่มีน้ำตาล และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิด จึงเชื่อว่าการบริโภคพลูคาวอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาประสิทธิผลในด้านนี้ โดยให้หนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวานรับน้ำมันระเหยจากพลูคาว หลังการทดลองพบว่าน้ำมันระเหยจากพลูคาวอาจช่วยปรับระดับกลูโคส อินซูลิน และฮอร์โมนอดิโพเนคทิน ซึ่งอาจช่วยให้ร่างกายลดภาวะดื้อต่ออินซูลินลงได้ เช่นเดียวกับอีกงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาการใช้สารสกัดจากพลูคาวในหนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดดังกล่าวอาจช่วยลดระดับโปรตีนและสารอัลบูมินในปัสสาวะ และอาจช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้อย่างมีนัยสำคัญ

แม้งานวิจัยข้างต้นแสดงถึงคุณสมบัติของพลูคาวที่อาจรักษาโรคเบาหวานได้ แต่การค้นคว้าเหล่านั้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์ที่มีผลลัพธ์เป็นการตอบสนองต่ออินซูลินเท่านั้น ไม่ได้เป็นการทดลองรักษาโรคเบาหวานอย่างเจาะจงแต่อย่างใด ดังนั้น ควรศึกษาประสิทธิภาพของพลูคาวโดยทำการทดลองในมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่ควรศึกษาถึงความปลอดภัยจากการใช้พลูคาวอย่างรอบคอบก่อนเสมอ

พลูคาว รับประทานอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด ?

แม้พลูคาวมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มาก และไม่ก่อให้เกิดอันตรายสำหรับคนทั่วไปหากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมจากการรับประทานอาหาร แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลหรือการทดลองใดยืนยันชัดเจนได้ว่าพลูคาวมีประสิทธิผลทางการรักษาหรือป้องกันโรคต่าง ๆ ในมนุษย์ได้ ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการบริโภคพลูคาว โดยเฉพาะในรูปผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยเผยว่า ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคไต ควรระมัดระวังในการบริโภคอาหารเสริมจากพลูคาวเป็นพิเศษ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจได้รับผลข้างเคียงจากพลูคาวจนทำให้เกิดอาการบวมน้ำและมีภาวะไตวายเฉียบพลัน ได้

ในประเทศไทย การผลิตอาหารเสริมจากพลูคาวนั้นได้รับการควบคุมมาตรฐานและกำหนดกระบวนการผลิตอย่างเคร่งครัด แต่เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุดของตัวผู้บริโภคเอง ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากพลูคาว

  • สุขภาพร่างกาย ผู้บริโภคควรมีสุขภาพดีและไม่มีโรคประจำตัว เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงหลังใช้สารสกัดจากพลูคาว
  • กระบวนการผลิต กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพลูคาวต้องใช้กระบวนการสกัดด้วยการบดผง หรือสกัดด้วยน้ำจากใบพลูคาวเท่านั้น ดังนั้น ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานดังกล่าวและได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง
  • ปริมาณสารเควอซิทิน ไม่ควรบริโภคสารเควอซิทินจากอาหารเสริมเกิน 1 กรัม/วัน เพราะหากร่างกายได้รับสารเควอซิทินมากเกินไป อาจทำให้ไตเสียหายได้ ซึ่งผู้บริโภคศึกษาข้อมูลได้จากฉลากผลิตภัณฑ์

ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 25,500.00 25,600.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,652.00 25,044.32 26,100.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,486.80 22,539.89 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,321.60 20,035.46 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 743.00 11,263.88 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 578.00 8,762.48 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,712.00 25,953.92 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/04/2564

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65 26.65
แก๊สโซฮอล์ 91 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38 26.38
แก๊สโซฮอล์ E20 25.14 25.14 25.14 25.14 25.14 25.14 25.14 25.14 25.14
แก๊สโซฮอล์ E85 21.09 21.09 21.09
เบนซิน 95 34.06 34.51 34.56 34.06 34.06
ดีเซล B7 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49 26.49
ดีเซล 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49 23.49
ดีเซล B20 23.24 23.24 23.44 23.24 23.24 23.24 23.24
ดีเซลพรีเมี่ยม 31.16 31.26 32.94 32.56 31.16
แก๊ส NGV 13.43 13.43 13.43
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า