สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 09 กันยายน 2563

คันทรี่ กรุ๊ป ลุยเปิดโปรเจ็กต์ยักษ์ริมฝั่งน้ำ ” เจ้าพระยา เอสเตท ” 3.2 หมื่นล้าน

คันทรี่ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัวความยิ่งใหญ่ โปรเจ็กต์ยักษ์ “เจ้าพระยา เอสเตท ” ริมฝั่งแม่น้ำ มูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท ตุลาคมนี้ หลังเผย ลูกค้าให้ความเชื่อมั่น จอง 2 โรงแรมดัง “คาเพลลา กรุงเทพ” และ “ โฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ” ล่วงหน้าคึกคัก ขณะ”เบน เตชะอุบล” ย้ำสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ยอดโอนฯคอนโดฯหรู เป็นไปตามเป้า

นายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (CGD) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพในการดำเนินงาน บริษัทฯจึงได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินเป็นอย่างดีเสมอมา โครงการเจ้าพระยา เอสเตท โครงการมิกส์ยูส บนพื้นที่ 35-2-68 ไร่ บริเวณด้านหน้าติดแม่น้ำเจ้าพระยาทอดยาวถึง 350 เมตร มูลค่าโครงการ 32,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย คอนโดโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ต้นปี 2563 

ทั้งนี้ คอนโดโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มียอดขายไปแล้วประมาณ 70% และมีมูลค่ายอดขายสูงที่สุดสำหรับคอนโดในกรุงเทพ และมีราคาขาย เฉลี่ยอยู่ที่ 300,000 บาทต่อตารางเมตร คอนโดฯเริ่มทำการโอนกรรมสิทธิ์ห้องพักตั้งแต่ต้นปี 2563 

“ถึงแม้จะเผชิญสถานการณ์ COVID-19 บริษัทฯสามารถดำเนินการโอนได้ตามแผน มียอดโอนไปมากกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้มี Backlog ที่พร้อมจะรอโอนและรับรู้รายได้ได้ทันที อีกกว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการคืนหนี้ค่าก่อสร้างทั้งหมดของโครงการเจ้าพระยาเอสเตททั้งหมดจำนวน 11,000 ล้านบาท สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ คอนโดโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีมูลค่าขายโครงการประมาณ 21,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าโครงการที่สูงที่สุดในประเทศไทย ” นายเบน กล่าว

สำหรับห้องพักที่เหลือมีมูลค่าอีกกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯเปิดขายห้องพักที่เหลือที่ล้วนตั้งอยู่ในทำเลพรีเมี่ยมของผังอาคารและมีประเภทห้องพักหลากหลายตั้งแต่ 1–5 ห้องนอนและห้องเพนท์เฮ้าส์ไว้เมื่อโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งมีความต้องการจากลูกค้าสูงและได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ผลักดันราคาขายเฉลี่ยทั้งโครงการขึ้นไปที่ 320,000 บาทต่อตารางเมตร ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่ากลุ่มลูกค้าของการเป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระดับต่ำ 

ส่วนความคืบหน้าของโรงแรมทั้งสองแห่ง ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้เปิดจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่รวมถึงการประชุมและกรุ๊ปไพรเวท ตั้งแต่มกราคม 63 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี 

“ทั้งสองโรงแรมมีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนมีนาคม 63 ที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของ COVID-19 จึงชะลอการเปิดตัว อย่างไรก็ตามขณะนี้ CGD พร้อมอย่างเต็มที่ เตรียมประกาศการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ ในเดือนตุลาคมนี้ และโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือนพฤศจิกายน 63” 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CGD กล่าวอีกว่า แม้โรงแรมยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยความเชื่อมั่นของลูกค้าบริษัทฯและแบรนด์โรงแรมระดับโลก ทำให้ทั้งสองโรงแรมมียอดจองงานเลี้ยงล่วงหน้าประมาณ 50 งาน มียอดจองร้านอาหารและห้องพักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง จะทำให้ยอดการเข้าพักในโรงแรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากจุดเด่นวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุดของโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ มาตรฐานระดับโลก 

โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ ให้บริการห้องพักในรูปแบบวิลล่าและห้องสวีท รวมทั้งสิ้น 101 ห้อง ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่มีอะไรขวางกั้น ภายในครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยเหนือระดับ และสมบูรณ์แบบด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคาเพลลา ทั้งการออกแบบตกแต่งและการบริการที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน ตามปรัชญา Pied à terre (ที่พักที่ตั้งอยู่บนทำเลที่สวยที่สุดใจกลางเมือง แต่มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัว) โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานของสายน้ำ “เจ้าพระยา” รวมถึงวิถีชีวิตริมแม่น้ำ “เจริญกรุง” ย่านสร้างสรรค์ (Creative District) แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ

นาย จอห์น บลังโก ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ กล่าวว่า “ผมและพนักงานทุกคนมีความยินดีที่จะได้ร่วมสรรค์สร้างความประทับใจพึงจดจำ และส่งมอบประสบการณ์แห่งการพักผ่อนส่วนตัว ณ สวรรค์ริมน้ำกลางใจเมือง เราพร้อมแล้วที่จะเปิดประตูต้อนรับทุกท่านสู่ความเป็นเลิศในการบริการที่แตกต่างและรู้ใจ ขอเชิญมาสัมผัสความสุขครั้งใหม่ ณ ห้องอาหารเชฟมิชลินสตาร์ 3 ดาว ร้านอาหารไทยพระนคร บาร์ขนมหวานสไตล์โอมากาเสะ และห้องจัดเลี้ยงวิวแม่น้ำเจ้าพระยา”

โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โรงแรมลักซ์ชูรีริมเจ้าพระยาแห่งใหม่ รีสอร์ทใจกลางมืองแบบโลว์ไรซ์ 299 ห้อง เตรียมเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2563 พื้นที่ของโรงแรม ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบภายในชื่อดังระดับโลก Jean-Michel Gathy เน้นความกลมกลืนระหว่างตัวโรงแรมกับความพริ้วไหวของสายน้ำ บนพื้นที่โครงการกว่า 22 ไร่ ภายในโรงแรมยังมีพื้นที่แสดงศิลปะของศิลปินชาวไทย ที่ทำให้ผู้เข้าพักหลงใหล จนต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง ห้องอาหารและบาร์ที่นี่จะเป็นจุดหมายใหม่ของนักชิมและนักดื่มในกรุงเทพฯ และห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยารอต้อนรับแขกทุกท่าน 

นาย ลูบอช บาร์ทา ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กล่าวย้ำความมั่นใจว่า“โฟร์ซีซั่นส์อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเตรียมเปิดโรงแรม ซึ่งพนักงานของโฟร์ซีซั่นส์ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากและมีความพร้อมสำหรับการเปิดโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ในครั้งนี้” 

CGD มีศักยภาพที่แข็งแกร่งและสถานบันการเงินพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เริ่มเทิร์นอะราวด์ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 โดย กลุ่มบริษัทมีกําไรสุทธิทั้งสิ้น 544.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 411.66% จากกําไรสุทธิจํานวน 106.41 ล้านบาท ของไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ขณะที่รายได้รวมสําหรับงวด 6 เดือนของปี 2563 มีจํานวน 1,114.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 629.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 129.78% จากจํานวน 484.95 ล้านบาท ของงวดเดียวกันของปี 2562

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ครม.เคาะ “เวนคืนที่ดิน” ใน “สุรินทร์ – ชลบุรี” จุดไหนบ้าง เช็กได้ที่นี่

คณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการ “ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน” จำนวน 2 ฉบับ  ใน จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชลบุรี 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 8 กันยายน 2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน จำนวน 2 ฉบับ  ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชลบุรี

โดยฉบับแรก คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลนอกเมือง และ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. ….ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ

และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 

สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา ฉบับนี้ เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 กับ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2077

เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค รวมทั้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด 

อีกฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ “ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ….” ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ

และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ. 3009 ในการขนส่งสินค้า ลดอุบัติเหตุและแบ่งเบาปริมาณการจราจรของถนนสายหลัก เพื่อเป็นการรองรับความเจริญเติบโตของจังหวัดชลบุรีในอนาคต

และเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ในการเดินทางให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แบงก์ชาติผวาหนี้ครัวเรือน กลัวโควิดรอบสองซ้ำ

แบงก์ชาติผวาหนี้ครัวเรือน กลัวโควิดรอบสองซ้ำ

แบงก์ชาติ หวั่นหนี้ครัวเรือนเสียเพิ่ม พบ 1 ใน 3 คนไทยมีหนี้สูงและเป็นหนี้เสียส่วนใหญ่

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และ Siametrics Consulting ได้ทำการวิจัย เจาะความท้าทายใหม่ของหนี้ครัวเรือนไทยในวิกฤติโควิด-19 จากข้อมูลสินเชื่อที่เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือ พบว่า

หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในหลายปีที่ผ่านมา กว่าหนึ่งในสามของคนไทยมีภาระหนี้สูง และส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คนไทยมีหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย มีหนี้นานตั้งแต่เริ่มทำงานจนเกษียณ และมีหนี้จนแก่ และ 84% ของครัวเรือนก็ยังพึ่งพาหนี้จากสถาบันการเงินกึ่งในระบบและนอกระบบเป็นสัดส่วนสูงภาระหนี้ที่สูงได้กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งการอุปโภคบริโภคและการลงทุน และทำให้ครัวเรือนไทยขาดภูมิคุ้มกันต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

งานวิจัยนี้เปิดมิติใหม่ในการเรียนรู้ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 เพื่อสร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยในอนาคต โดยศึกษาคุณลักษณะของบัญชีและผู้กู้ที่เข้ามาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมากว่า 8.1 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ทั้งหมด 2.2 ล้านล้านบาท (หรือประมาณ 70% ของตัวเลขจำนวนบัญชีที่เข้ามาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563) ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างสมมติฐานเพื่อแยกแยะบัญชีดังกล่าวจากฐานข้อมูลเชิงสถิติจากเครดิตบูโร ที่ครอบคลุมสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงิน 102 แห่ง โดยในข้อมูลไม่ได้มีการรายงานสถานะการเข้ามาตรการจากสถาบันการเงินแต่อย่างใด big data ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า

ความเข้มข้น หรือ intensity ของการเข้ามาตรการสูงในวงกว้าง จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน พบว่า สินเชื่อส่วนใหญ่ (59.7%) เข้ามาตรการในเดือนเมษายน โดย 42.4% เข้ามาตรการครบ 3 เดือนในเดือนมิถุนายน ขณะเดียวกันก็มีบัญชีกว่า 16.6% ที่เข้ามาตรการแล้วออกไปก่อนครบ 3 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่ไม่เท่ากันของผู้กู้แต่ละกลุ่ม โดยข้อมูลในเดือนกรกฎาคมจะช่วยฉายภาพให้เราเข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อมาตรการระยะแรกเริ่มหมดไป

เมื่อพิจารณาลักษณะการเข้ามาตรการของบัญชีทั้งหมด พบว่า 70.5% เป็นการเลื่อนชำระซึ่งส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงการมีปัญหาในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในวงกว้าง 25.8% เป็นการลดอัตราการชำระ และ 3.7% เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสีย (ปรับโครงสร้างหนี้ หรือคลินิกแก้หนี้) และผู้กู้ส่วนใหญ่ (76.1%) มีสินเชื่อเข้ามาตรการเพียง 1 บัญชี แต่ก็มีผู้กู้อีก 7.3% ที่เข้ามากกว่า 2 บัญชี และอีก 4.9% ยังได้สินเชื่อใหม่เพื่อเป็นสภาพคล่องฉุกเฉินด้วย

สินเชื่อที่เข้ามาตรการช่วยเหลือมีลักษณะกระจุกตัว ทำให้บางพื้นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในภาคอีสานตะวันออกที่มีสัดส่วนสินเชื่อเข้ามาตรการสูงถึง 40-60% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล (ซึ่งมีจำนวนบัญชีมาก) และสินเชื่อบ้าน (ซึ่งมีขนาดมูลหนี้สูง) และส่วนใหญ่ก็เป็นการเข้ามาตรการในลักษณะเลื่อนการชำระเป็นหลัก ในขณะที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคใต้และเหนือตอนบนก็มีสัดส่วนสินเชื่อที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ

ความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินต่อสินเชื่อที่เข้ามาตรการแตกต่างกันมาก

โดยกลุ่ม Non-bank มีสัดส่วนสินเชื่อในพอร์ตเข้ามาตรการมากที่สุด 10 อันดับแรก (37-75%) และส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และเข้ามาตรการในลักษณะลดอัตราการชำระ แต่ก็มีความหลากหลายสูงเพราะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนต่ำสุด 10 อันดับสุดท้ายด้วย ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วน 3-25% และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีสัดส่วน 10-35% (ไม่รวมสินเชื่อเกษตร)

ผู้กู้ที่เข้ามาตรการมีภาระหนี้สูงและคุณภาพด้อยกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้าอย่างมีนัยสำคัญ เราพบว่าผู้กู้ที่เข้ามาตรการมีมูลหนี้และจำนวนบัญชีสินเชื่อในพอร์ตสูงกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้า โดยผู้กู้ที่เข้ามาตรการสำหรับหนี้เสียมีภาระหนี้มากที่สุด (มูลหนี้เฉลี่ย 1.7 ล้านบาทจาก 6 บัญชี) รองลงมาคือผู้กู้ที่เลื่อนชำระ (เฉลี่ย 0.9 ล้านบาทจาก 6 บัญชี) และผู้กู้ที่ลดอัตราการชำระ (เฉลี่ย 1.1 ล้านบาทจาก 5 บัญชี) โดยผู้กู้ที่มีหลายบัญชีส่วนใหญ่ยังใช้สถาบันการเงินเพียง 1-2 แห่ง นอกจากนี้ ผู้กู้ที่เข้ามาตรการยังมีประวัติการชำระหนี้ใน 12 เดือนที่ผ่านมาด้อยกว่า และมีอายุมากกว่าผู้กู้ที่ไม่ได้เข้าอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ภูมิทัศน์จากข้อมูลสินเชื่อที่เข้ามาตรการช่วยเหลือข้างต้นได้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในวงกว้างและความแตกต่างของความเปราะบางทั้งในระดับผู้กู้ พื้นที่ และสถาบันการเงินเมื่อมาตรการช่วยเหลือระยะแรก ๆ ได้สิ้นสุดลง และสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของนโยบายแก้หนี้ในอนาคต ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการมุ่งเป้าความช่วยเหลือ การบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อในเชิงรุกเพื่อป้องปรามไม่ให้บัญชีหนี้ดีจำนวนมากกลายเป็นหนี้เสีย และการ “prepare for the worst” จากความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นของสถานการณ์สินเชื่อรายย่อยจำนวนมหาศาลเหล่านี้

งานวิจัยนี้ยังได้พยายามที่จะสร้างฉากทัศน์ของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยในอนาคต โดยนำข้อมูลข้างต้นไปเชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลหลากหลายมิติที่แสดงถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของผู้กู้กลุ่มต่าง ๆ ของประเทศ และศึกษาประสิทธิผลของมาตรการแก้หนี้ที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนนัยต่อการวางนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนไทยในอนาคตอีกด้วย

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความที่จะนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทยในหัวข้อ “ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไรให้เกิดได้จริง” ซึ่งจะจัดในวันที่ 28 กันยายน 2563 ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และธนาคารแห่งประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


11 เหตุการณ์สำคัญ ของตลาดนักเตะรอบพิเศษ “ไทยลีก” ก่อนรีสตาร์ต

ตลาดนักเตะ “ไทยลีก” รอบพิเศษ สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา นี่คือ 10 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ทั้งกระแสข่าวฮือฮา – ข่าวลือ – ความดราม่า นับตั้งแต่ไทยลีกหยุดการแข่งขัน จนกระทั่งตลาดซื้อขายปิดลง

นับเป็นข่าวร้ายของสาวก “กิเลนผยอง” เมื่อทีมต้องเสียสองซุปเปอร์สตาร์ อย่าง สารัช อยู่เย็น และอดิศร พรหมรักษ์ ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง ก่อนที่จะเกิดดีลสะท้านวงการขึ้น เมื่อ สารัช อยู่เย็น นักเตะตำนานของเอสซีจี เมืองทองฯ ได้ย้ายมาร่วมทีม “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” ด้วยค่าตัวราว 30 ล้านบาท ขณะที่อดิศร พรหมรักษ์ ดีกรีทีมชาติไทยอีกคน ก็ย้ายไปร่วมทีมการท่าเรือ เอฟซี 

นับว่าการย้ายออกจากทีม “กิเลนผยอง” ของทั้งสองคนนั้น คือหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ช็อกวงการฟุตบอลในตลาดซื้อขายรอบนี้เช่นเดียวกัน

2.ข่าวลือ “เมืองทอง” ทีมแตก

ต่อเนื่องจากการย้ายออกของสองซุปเปอร์สตาร์ มีกระแสข่าวลือออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “เอสซีจี เมืองทอง” ทีมแตก และอาจจะเสียนักเตะออกจากทีมอีกหลายคน อย่างเช่น วัฒนา พลายนุ่ม, ดัง วานเลิม  รวมถึงกุนซือใหญ่อย่าง “อเล็กซานเดร กามา” ที่ข่าวลือหนาหูว่าจะย้ายไปคุมทีม “แดกู เอฟซี” ในลีกเกาหลีใต้

แต่สุดท้าย ข่าวลือทั้งหมดไม่เกิดขึ้นจริง และ “กิเลนผยอง” ยังคงเดินหน้าสร้างทีม ด้วยการปั้นผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีม พร้อมประกาศขอลุ้นอันดับหัวตารางเช่นเดิม 

3.ตูเญซ ซบ “บีจี”

“อันเดรซ ตูเญซ” ได้ตัดสินใจแยกทางกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยให้เหตุผลว่า ต้องการกลับไปค้าแข้งที่ประเทศสเปนบ้านเกิด แต่แล้ว ปลายทางของตูเญซ กลับลงเอยที่ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” เมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่ค้าแข้งในไทยต่อ  

การเสริมแข้งรายนี้ ทำให้บีจี ปทุม ในช่วงนั้น กลายเป็นทีมที่ได้รับความสนใจขึ้นมาในทันที กับการเสริมผู้เล่นสุดโหดเข้ามา 

4.ดีลสุดอลหม่าน “ทิตาธร-ทิตาวีร์

นับเป็นดีลที่สร้างความฮือฮามากที่สุด ทันทีที่โปลิศ เทโร ประกาศพร้อมปล่อยตัวคู่แฝดทิตาธร และทิตาวีร์ อักษรศรี หลังมีสโมสรทุ่มซื้อแข้งทั้งสองราย ทำให้โลกโซเชียลต่างถกเถียงกันว่าใครจะได้ตัวแข้งสองรายนี้ไป กระทั่งมีข่าวว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมเต็งที่จะปิดดีล

แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกล็อก เมื่อทั้งคู่ไปเปิดตัวกับการท่าเรือ เอฟซี แบบสุดช็อก ทำให้ดีลนี้ กลายเป็นดีลที่ฮือฮาที่สุดในตลาดซื้อขายรอบนี้เลยก็ว่าได้ 

5.เมืองทอง ยื่น 55 ล้านซื้อ “เอกนิษฐ์”

เป็นดีลที่เกิดขึ้นและจบลงอย่ารวดเร็วในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เมื่อเอสซีจี เมืองทอง ออกมาประกาศว่า พร้อมทุ่มเงิน 55 ล้านบาท เพื่อฉีกสัญญาเอกนิษฐ์ ปัญญา กองกลางทีมชาติไทย จากสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ด มาร่วมทีม  

จากนั้นไม่ถึง 1 ชั่วโมง “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ประธานเชียงราย ยูไนเต็ด ได้ออกมาปฏิเสธข่าวนี้ทันที พร้อมกับบอกว่า ได้ปฏิเสธทางเมืองทอง ไปเรียบร้อยแล้ว 

6.”เชโปวิช” ติดโควิด-19

หัวหอกทีมชาติเซอร์เบีย อย่าง “มาร์โค เชโปวิช” เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ก่อนเข้ารับการกักตัว และร่วมฝึกซ้อมกับต้นสังกัดใหม่อย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แต่กลับพบว่า แข้งรายนี้ติดโรคโควิด-19 ซึ่งก็มีการสร้างความสับสนว่าเจ้าตัวติดโควิด-19 จริงหรือไม่

จนสุดท้าย ได้รับการยืนยันว่าแข้งรายนี้ติดโควิด-19 จริง แต่นับว่าโชคดีเมื่อแข้งรายนี้หายจากโควิด ทันไทยลีกกลับมารีสตาร์ตพอดี 

7.แข้งสมุทรปราการ ตกงานสุดงง

เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความงุนงงให้กับนักเตะ เมื่อ วีรศักดิ์ กายสิทธิ์ นักฟุตบอลของสมุทรปราการ ซิตี้ ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับทีมเพียง 5 วัน ถูกยกเลิกสัญญาไปแบบสุดงง ทำเอาเจ้าตัวถึงกับทำอะไรไม่ถูก ซึ่งเมื่อเช็กสัญญาแล้วปรากฏว่า แม้จะมีการเซ็นสัญญาระยะเวลา 3 ปี แต่เงื่อนไขระบุว่าสโมสรสามารถยกเลิกโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ส่งผลให้เขาต้องกลายเป็นอดีตนักเตะแบบสุดงง  

อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนียน สมุทรสาคร ในศึกไทยลีก 2 ได้ดึงตัวแข้งรายนี้ไปร่วมทัพแทนในเวลาต่อมา 

8.ข่าวลือ ดิโอโก้-มุ้ย ซบ “บีจี”

ตลาดซื้อขายรอบพิเศษครั้งนี้ สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีข่าวพัวพันกับ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ อดีตดาวซัลโวไทยลีกของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ตลอดว่าจะย้ายมาร่วมทีม แต่สุดท้ายแล้ว การย้ายทีมของดิโอโก้ ก็ยังไม่เกิดขึ้นในตลาดซื้อขายรอบพิเศษนี้ ซึ่งอาจจะต้องรอลุ้นว่าในเลกที่สอง ดิโอโก้ จะได้กลับมาเล่นในไทยลีกหรือไม่

เช่นเดียวกับธีรศิลป์ แดงดา ที่มีข่าวในช่วงก่อนตลาดปิดว่า ทางบีจี เตรียมจ่ายค่าฉีกสัญญากับทางชิมิสุ เอส-พัลส์ เพื่อดึงตัวมาร่วมทีม  แต่ดีลนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้  

9.”ซูมาเรห์” สตาร์มาเลเซีย ซบ “เทโร” 

ถือเป็นการย้ายทีมที่ฮือฮา เมื่อ “โปลิศ เทโร เอฟซี” ประกาศคว้าตัว “โมฮามาดู ซูมาเรห์” กองหน้าทีมชาติมาเลเซีย เชื้อสายแกมเบีย ที่ยิงประตูชัยใส่ทีมชาติไทยในศึกคัดบอลโลกมาร่วมทีมในโค้งสุดท้าย  ทำให้ทีมโปลิศ เทโร ได้รับความสนใจขึ้นมาทันที กับการคว้าตัวกองหน้าดีกรีระดับท็อปของอาเซียนมาร่วมทีม 

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวอาจต้องเจอกับเรื่องคดีความ เมื่อปะหัง เอฟซี อดีตต้นสังกัดได้ดำเนินการทางกฎหมาย เพราะมองว่าแข้งรายนี้ยังมีสัญญากับทีมนั่นเอง 

10.สุพรรณบุรี ไร้ตัวใหม่ เพราะโดนฟีฟ่าแบน

“ช้างศึกยุทธหัตถี” สุพรรณบุรี เอฟซี เป็นทีมที่ไม่มีการเสริมทัพในช่วงตลาดซื้อขายรอบพิเศษนี้ ก่อนที่จะทราบสาเหตุภายหลังว่า ทีมถูกโทษแบนห้ามซื้อขายนักเตะ เพราะไม่จ่ายเงินชดเชย แอนเดอร์สัน ดอส ซานโต๊ส อดีตกองหลังชาวบราซิลที่ค้างอยู่เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ทำให้ แอนเดอร์สัน ไปฟ้องร้อง ฟีฟ่า จนเป็นให้ถูกลงโทษตามกฎของฟีฟ่า

อย่างไรก็ตาม ทางสุพรรณบุรี ได้เคลียร์เรื่องนี้กับทางฟีฟ่าแล้ว และจะสามารถเสริมทัพนักเตะได้ในเลกที่สองได้ตามปกติ 

11.”โบนีญ่า” เบียด “โรเชล่า” เข้าวินวินาทีท้าย

การย้ายทีมเข้ามาของ “เนลสัน โบนีญ่า” ทำให้โควตาต่างชาติของการท่าเรือ เอฟซี เกินโควตา ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะส่งชื่อใครบ้าง  โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่า การท่าเรือ จะไม่ส่งชื่อเนลสัน โบนีญ่า เนื่องจากเจ้าตัวยังมีอาการบาดเจ็บ  

แต่แล้วในโค้งสุดท้าย เนลสัน โบนีญ่า กลับมีชื่อ ขณะที่คนที่หลุดไปคือ กองหลังอย่าง ดาบิด โรเชล่า นั่นก็ถือเป็นอีกเซอร์ไพรส์ของการท่าเรือ ในตลาดซื้อขายครั้งนี้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


คุมเบาหวานได้ ห่างไกลโรคหัวใจและหลอดเลือด

คุมเบาหวานได้  ห่างไกลโรคหัวใจและหลอดเลือด thaihealth

แพทย์แนะควบคุมเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้เซลล์ต่าง ๆของร่างกายนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้ได้ลดลง หรือร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินเพียงพอ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หรือมีระดับน้ำตาลมากกว่า 126 มก./ดล.

อาการที่พบบ่อยในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง คือ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย รับประทานอาหารมากขึ้นแต่น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว และในกรณีที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีเป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีอาการชา เจ็บตามแขนขา เส้นประสาทเสื่อม และเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย จอประสาทตาเสื่อม สำหรับผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน คือผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนลงพุงและขาดการออกกำลังกาย พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่นอาหารที่มีแป้งในปริมาณสูง เบเกอรี่ ขนมหวาน น้ำหวานหรือน้ำอัดลม หรือเกิดจากกรรมพันธุ์ สตรีที่มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ประวัติการตั้งครรภ์ผิดปกติ มีโรคถุงน้ำในรังไข่

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าหากมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานโดยไม่มีการควบคุม อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ คือ อาการชาปลายมือ ปลายเท้า จอประสาทตาเสื่อม ไตวาย อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนปกติ เนื่องจากโรคเบาหวานส่งเสริมให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หลอดเลือดแดงมีการตีบหรืออุดตัน ส่งผลแทรกซ้อนให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวายเรื้อรัง ตาบอด หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงปลายเท้าตีบหรือ อุดตันอีกด้วย

โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาล ด้วยการงดรับประทานอาหารที่มีแป้งสูงในปริมาณมาก หลีกเลี่ยงของหวาน ชา กาแฟที่มีการเติมน้ำตาล น้ำอัดลม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ตรวจและบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งผู้ป่วยเบาหวานควรหมั่นตรวจสุขภาพตา ไต หัวใจ เท้า สมอง และควรรับประทานยาหรือฉีดยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความรุนแรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่จะเกิดในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


13 ประโยคใช้กล่าวขอบคุณแทนคำว่า “THANK YOU” พร้อมคำอธิบายและตัวอย่าง

การกล่าวขอบคุณ ถือเป็นมารยาทที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งในภาษาอังกฤษนอกจากคำว่า “Thank you” ที่ทุกคนรู้จักกันดีแล้ว ยังมีประโยคอื่นๆที่สามารถใช้กล่าวขอบคุณได้เช่นกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อมๆกันครับ

giphy

1. Thanks a lot,
2. Thanks very much,
3. Thank you very much,
4. Thank you so much
เป็นการขอบคุณโดยทั่วไป สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ ทั้งแบบเป็นทางการ และแบบเป็นกันเอง

  • Thank you so much
  • ‘You’re looking well.’ ‘Thanks.’
  • Thank you very much for dinner – it was great.
  • Thanks a lot for looking after the children.
  • Thanks very much for making dinner tonight.

5. Thanks a bunch
ใช้ขอบคุณอย่างเป็นกันเอง หรือบางทีจะใช้ประชดได้ เมื่อบางคนทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่สมควรทำ

  • You told Tony what I told you in confidence? Thanks a bunch!
  • Thanks a lot for spoiling my evening.

6. Much obliged
ใช้ขอบคุณอย่างเป็นทางการมาก

  • I am much obliged to you for your patience during the recent difficulties.
  • “You can use the facilities whilst you are in the club”. “Much obliged“.

7. You’ve saved my life,
8. I owe you one/I owe you big time.

ใช้ขอบคุณอย่างเป็นกันเอง เมื่อถูกช่วยจากสถานการณ์ที่คับขันหรือยากลำบาก

  • Thanks for giving me a lift to the station. You saved my life.
  • Thanks for the advice. I owe you one.
  • Thanks for helping me out with the essay. I owe you big time.

9. Cheers
เป็นภาษาพูด ใช้ขอบคุณอย่างเป็นกันเอง จะใช้มากในภาษาอังกฤษแบบบริทิช

  • ‘Here’s that book you wanted to borrow.’ ‘Oh, cheers.‘
  • “Would you like a drink?” “That’d be great. Cheers.

10. You shouldn’t (have)
ใช้ขอบคุณเมื่อได้รับของขวัญหรือสิ่งของที่ทำให้คุณประหลาดใจ

  • Oh, Martin, what lovely flowers. You shouldn’t have!

11. You’re too kind
เป็นการกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่ในบางครั้งก็อาจฟังดูไม่จริงใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำเสียงในการพูด

  • Thank you for for the glowing praise. You’re too kind.

12. I’d like to thank…
เป็นภาษาพูด ใช้ขอบคุณอย่างเป็นทางการ

  • I’d like to thank everyone for coming along and supporting us today.

13. Many thanks
เป็นการขอบคุณอย่างเป็นทางการ ใช้บ่อยในการเขียนจดหมายหรืออีเมลล์

  • Many thanks for the lovely present.

เพียงเท่านี้เพื่อนๆก็จะมีประโยคกล่าวขอบคุณ ไว้ใช้ตามสถานการณ์ต่างๆแล้วหล่ะ ลองเอาไปหัดใช้กันดูนะครับ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก wegointer.com


ส่อง 3 เทคโนโลยี ที่ต้องมีในเมืองแห่งอนาคต

ซีเมนส์ เผย 3 เทคโนโลยีพื้นฐานสำคัญ ที่ต้องมีในเมืองแห่งอนาคต

    นางสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอซีเมนส์ ประเทศไทย  เปิดผ่านบทความว่า  สหประชาชาติได้ประมาณการว่า ภายในปี 2050 จะมีจำนวนประชากรบนโลกเพิ่มขึ้นอีก 2 พันล้านคน ส่งผลให้เมืองขนาดใหญ่แบบมหานคร Mega Urban City มีจำนวนมากขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้า และ จากสถิติเฉลี่ยในปัจจุบัน มีผู้อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ราว 55% ในขณะที่ 45% อาศัยอยู่นอกเขตเมืองโดยในอีก 30 ปีข้างหน้า คาดว่าสัดส่วนผู้อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่จะเพิ่มเป็น 68%

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันมีอัตราการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่อยู่ที่ประมาณ 50% (Research by Siemens)  นอกเหนือจากเมืองขนาดใหญ่แบบมหานคร Mega Urban City ที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือ โรคระบาดร้ายแรงต่าง ๆ (Pandemic) ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้การพัฒนาเมืองใหญ่ และการเตรียมการในด้านต่าง ๆ เพื่อรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าวกลายเป็นภารกิจสำคัญ อาทิ การบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย การบริการทางสังคม บริการด้านสาธารณสุข หรือแม้แต่การศึกษา ซึ่งความท้าทายเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีเดิมๆ ที่มีอยู่  ในขณะที่เทรนด์การเติบโตของมหานคร (Urbanization) และดิจิทัลไลเซชั่น (Digitalization) ได้พัฒนามาจนเกิดเป็นมิติใหม่สำหรับคนเมือง ดังนั้น “เมืองอัจฉริยะ” จึงนับเป็นหนึ่งในคำตอบที่จะเข้ามาช่วยบริหารเรื่องใหม่ๆ เหล่านี้

เมืองอัจฉริยะคืออะไร?

     เมืองอัจฉริยะคือการผสานรวมวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองใหญ่ โดยมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรของเมืองอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการ พร้อมลดการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการสร้างเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น จำเป็นจะต้องมีเทคโนโลยีสำคัญ 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย

1) สมาร์ทกริด (Smart Grid) หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ คือ โครงข่ายไฟฟ้าที่นำเทคโนโลยีหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน  เพื่อให้โครงข่ายไฟฟ้าสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น ทั้งนี้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจะต้องครอบคลุมระบบไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งรวมถึงตั้งแต่ระบบการผลิต ระบบส่ง ระบบจำหน่าย จนถึงระบบของผู้ใช้ไฟฟ้า 

2) อาคารอัจฉริยะ (Smart Building) ภายในปี 2050 ประชากรโลกกว่า 70% จะอาศัยอยู่ภายในอาคาร และจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต อาคารต้องเป็นมากกว่าโครงสร้างผนังและหลังคา ต้องมีระบบอัจฉริยะที่ทำให้อาคารสามารถตอบสนองต่อความต้องการผู้อยู่อาศัยได้ สามารถเรียนรู้ และ ปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

3) ระบบไอซีทีอัจฉริยะ (Smart ICT – Smart Information and Communication Technology) ปีนี้อุปกรณ์มากกว่า 5 หมื่นล้านชิ้นจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ และ 1 ใน 5 ของอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกใช้อยู่ภายในอาคาร  ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกสร้างขึ้น หัวใจสำคัญคือเราจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้และวิเคราะห์เพื่อทำให้เมืองมีความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการในระดับชุมชนและระดับบุคคลได้

       นอกจากนี้ ระบบการซื้อขายไฟฟ้าในอนาคตจะเปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้ใช้ไฟจะมีทางเลือกมากขึ้นสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าผ่าน Energy Trading Platform และสามารถเป็นผู้ขายไฟฟ้าได้หากมีการติดตั้งแผงโซล่าบนหลังคา (Solar Rooftop) พฤติกรรมของโพรซูเมอร์ (Prosumer) เข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง เปลี่ยนจากผู้บริโภค ให้กลายมาเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในตัวเอง เป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของเมืองอัจฉริยะ

อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย นโยบายการผลักดันเมืองอัจฉริยะของรัฐบาล นับเป็นทิศทางที่ถูกต้องในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหา ภาครัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุนเรื่องกฎหมายและการลงทุน ส่วนภาคเอกชนสามารถช่วยในเรื่อง Know-how เทคโนโลยี เพื่อนำมาช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงานและการลดการเกิด CO2 ดังนั้นทุกฝ่ายจำเป็นต้องทำงานประสานกัน เพื่อนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้  ในการรวบรวม วิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลอย่างเหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เพกาผักพื้นบ้านจากป่าและสวนโบราณ

เพกาผักพื้นบ้านจากป่าและสวนโบราณ

ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างกันสองแห่งคือสุโขทัยและกาญจนบุรี แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันหลายประการในพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้นก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้พบและประทับใจในการเดินทางครั้งนี้คือต้นไม้ ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านเก่าแก่ของไทยชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ทั่วไป โดยไม่ต้องมีใครปลูกหรือเอาใจใส่ดูแลแต่อย่างใดเลย

ต้นไม้ชนิดนี้คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว หรือแม้จะรู้จักก็คงมีโอกาสกินผักพื้นบ้านจากต้นไม้นี้ไม่ง่ายนัก เพราะส่วนที่นำมาใช้เป็นผักมีเฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น ต้นไม้ชนิดนี้ก็คือเพกานั่นเอง
ที่สุโขทัยผู้เขียนไปเยี่ยมสวนผลไม้โบราณที่ตำบลคลองกระจง อำเภอสวรรคโลก ซึ่งอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำยม รวมพื้นที่สวนผลไม้แบบนี้หลายพันไร่ สวนผลไม้โบราณที่คลองกระจงนี้คงทำสืบต่อกันมาหลายชั่วคน อาจจะย้อนไปถึงยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อราว 700 ปีก่อนโน้นก็เป็นได้

ลักษณะของสวนผลไม้โบราณนี้ก็คือปลูกผลไม้พื้นบ้านและพืชที่ใช้ประโยชน์ปะปนกันหลายชนิด จนสภาพแวดล้อมมีความสมดุล ให้ผลผลิตได้สม่ำเสมอและมั่นคง โดยไม่ต้องใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอกเข้ามาช่วยเลย ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารพิษฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช ฯลฯ ซึ่งแตกต่างจากระบบสวนผลไม้สมัยใหม่อย่างมากมาย ในสวนผลไม้โบราณที่คลองกระจงมีต้นไม้ขึ้นอยู่หลายชนิด ทั้งผลไม้ พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ เครื่องเทศ สมุนไพร ฯลฯ และในสวนโบราณนี้มีต้นเพกาขึ้นปะปนอยู่ทั่วไป
สอบถามจากเจ้าของสวนจึงทราบว่าต้นเพกาเหล่านั้นไม่ต้องมีใครปลูกและดูแลรักษาแต่อย่างใด เพราะเพกาสามารถขยายพันธุ์และเติบโตได้เอง ชาวสวนเพียงแต่เลือกเก็บบางต้นเอาไว้ และตัดต้นที่ไม่ต้องการออกเพราะจะขึ้นเบียดต้นไม้อื่นๆมากเกินไป

ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผู้เขียนไปเยี่ยมสวนโบราณที่คลองกระจงนั้น เพกากำลังมีเมล็ดแก่พอดี จึงพบเมล็ดเพกาตามพื้นดินทั่วไป เนื่องจากเมล็ดเพกามีเยื่อบางๆเป็นปีกอยู่รอบเมล็ดทำให้ลมพัดลอยไปได้ไกลๆ เป็นวิธีแพร่พันธุ์ของเพกาตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพมาก เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวสวนจึงไม่ต้องเสียเวลาปลูกเพกา

ที่กาญจนบุรีผู้เขียนไปเยี่ยมพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งผ่านการปลูกพืชไร่มาแล้วหลายปี แต่ปัจจุบันกำลังพยายามฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับคืนเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง งานหลักของที่นี่คือรักษาต้นไม้ทุกชนิดที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ รักษาพื้นดินมิให้ถูกชะล้างจากน้ำฝนและป้องกันไฟป่ามิให้เผาผลาญ ส่วนการปลูกต้นไม้เสริมนั้นเป็นงานลำดับหลังๆ เพราะเชื่อว่าธรรมชาติสามารถฟื้นฟูตนเองได้ดี หากได้รับการช่วยเหลือบ้างตามสมควร
ในสภาพที่ป่าธรรมชาติกำลังฟื้นตัวอยู่นี้ ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่พบขึ้นอยู่มากก็คือ เพกา เพราะเมล็ดลอยมาจากพื้นที่ป่าใกล้เคียง ซึ่งมีต้นเพกาขึ้นอยู่ทั่วไป เพกาจึงเป็นต้นไม้นำร่องที่ดีชนิดหนึ่งสำหรับการฟื้นฟูป่าธรรมชาติ

เพกา : ผักพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย
เพกา มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Oroxylum indicum Vent. ทางภาคเหนือเรียก มะลิตไม้ หรือมะลิ้นไม้ ภาคอีสานเรียกลิ้นฟ้า เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 8-10 เมตร ใบเป็นชนิดใบรวม มีขนาดใหญ่ ก้านใบยาวกว่า 1  เมตร ดอกออกเป็นกลุ่ม มีสีม่วง ก้านดอกยาวประมาณ 50  เซนติเมตร ฝักแบนกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 45  เซนติเมตร เมล็ดแก่มีเยื่อบางๆเป็นปีกสีขาวคล้ายกระดาษซ้อนกันอยู่ในฝักอย่างเป็นระเบียบมากมาย
คนจีนเรียกเพกาว่า “กระดาษพันใบ” เพราะลักษณะของเมล็ดที่มีปีกสีขาวซ้อนกันอยู่นี้เอง ก้านฝักเพกาชูสูงขึ้นไปในอากาศบนส่วนยอดสุดของลำต้น ฝักแบนใหญ่ห้อยลงมา แลดูคล้ายลิ้นขนาดใหญ่ห้อยอยู่ คงเป็นเพราะภาพอย่างนี้ จึงทำให้ชาวอีสานเรียกเพกาว่า ลิ้นฟ้า
เมื่อฝักเพกาแก่เต็มที่แล้ว เปลือกที่ประกบกันอยู่ก็แห้งและแยกออกจากกัน เมื่อลมพัดมาก็จะพาเมล็ดเพกาที่มีปีกลอยไปได้ไกลๆ

เพกาเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย โดยพบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณและป่าชื้นทั่วๆไป
แม้เพกาจะขึ้นอยู่ในหลายประเทศ แต่ดูเหมือนจะมีแต่ชาวไทยเท่านั้นที่นำเพกามากินเป็นผัก ในตำรับสายเยาวภา กล่าวถึงเพกาไว้ว่า เป็นผักที่อยู่ในหมวดดอกฝัก “ฝักเพกา ใช้ต้มหรือเผา ต้องกินสุก” ฝักเพกาที่นำมาใช้เป็นผักนั้น ต้องเป็นฝักอ่อน ซึ่งมีรสขมเล็กน้อย ปัจจุบันยังพบว่ามีชาวบ้านนำมาขายในตลาดสดอยู่บ้างโดยเฉพาะในภาคอีสาน

ประโยชน์ด้านอื่นๆของเพกา
นอกจากใช้เป็นผักแล้ว เพกายังให้ประโยชน์แก่มนุษย์อีกหลายด้าน เช่น เปลือกของลำต้นนำมาใช้ย้อมผ้าฝ้ายให้สีเขียวอ่อน เนื้อไม้สีขาวละเอียดมีความเหนียวเหมาะสำหรับนำมาแกะสลักเป็นตุ๊กตาต่างๆ
อาจารย์ประทีบ สุขโสภา ใช้ไม้เพกาเป็นหลักในการทำตุ๊กตาให้มูลนิธิเด็กนำมาแสดงนิทรรศการเมื่อ 

2-3ปีที่ผ่านมานี้
เมล็ดแก่ที่มีเยื่อบางๆนั้น ชาวบ้านนำมายัดหมอนใช้แทนนุ่นได้ดี เพกาเป็นไม้โตเร็วและแข็งแรง ทนทาน สามารถปลูกเอาไว้ใช้สอยเป็นไม้ฟืน หรือฟื้นฟูสภาพป่าให้กลับอุดมสมบูรณ์ได้เร็ว ถือเป็นต้นไม้นำร่องชนิดหนึ่ง ประกอบกับมีทรงพุ่มโปร่งและกิ่งก้านสาขาน้อย จึงสามารถปลูกร่วมกับต้นไม้ชนิดอื่นได้ดี
คุณสมบัติประการสำคัญของเพกานอกจากใช้เป็นผักก็คือ คุณสมบัติด้านสมุนไพร แม้แต่ฝักอ่อนของเพกาที่นำมากินเป็นผักก็มีคุณสมบัติทางสมุนไพร คือช่วยขับลมในลำไส้

ในตำราประมวลสรรพคุณยาไทย อธิบายสรรพคุณทางยาของเพกาเอาไว้ดังนี้
เปลือก รสฝาดเย็น ขมเล็กน้อย เป็นยาสมานดับพิษโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้อักเสบ ฟกช้ำ บวม
ราก บำรุงธาตุ แก้ท้องร่วง
เมล็ดแก่ เป็นยาระบาย ใช้เข้าเครื่องยาจีนหลายชนิด ปัจจุบันชาวสวนผลไม้ที่คลองกระจง เก็บเมล็ดแก่ของเพกาส่งขายเป็นรายได้เสริมอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการขายฝักอ่อน

ตำราปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านของคนไทยโบราณห้ามปลูกเพกาในบริเวณบ้าน เพราะถือว่าฝักเพกามีรูปร่างคล้ายดาบหรือปลายหอก อาจนำเรื่องเดือดร้อนเลือดตกยางออกมาสู่เจ้าของบ้านได้ อีกอย่างหนึ่ง ฝักเพกาเป็นชื่อเรียกเหล็กประดับ ยอดพระปรางค์มี 10 กิ่ง (เพราะมีรูปร่างคล้ายฝักเพกา) จึงนับเป็นของสูงไม่คู่ควรนำมาปลูกในบ้าน (เช่นเดียวกับต้นโพธิ์ ต้นไทร) แต่หากนำไปปลูกไว้ตามเรือกสวนไร่นาหรือรั้วบ้านคงจะไม่ถือสากัน

หากผู้อ่านมีพื้นที่ว่างพอปลูกไม้ยืนต้นก็ขอให้นึกถึงเพกา ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยบ้าง เพราะนอกจากจะปลูกง่ายไม่ต้องดูแลมากแล้ว ยังจะให้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก doctor.or.th


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 28,550.00 28,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,849.00 28,030.84 29,150.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,664.10 25,227.76 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,479.20 22,424.67 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 832.00 12,613.12 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 647.00 9,808.52 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,916.00 29,046.56 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/09/2563  

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75
แก๊สโซฮอล์ 91 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48
แก๊สโซฮอล์ E20 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24
แก๊สโซฮอล์ E85 18.04 18.04
เบนซิน 95 29.16 29.61 29.66 29.16 29.16
ดีเซล 21.19 21.19 21.79 21.19 21.19 21.19 21.19 21.19 21.19 21.19
ดีเซล B10 18.19 18.19 18.79 18.19 18.19 18.19 18.19 18.19 18.19 18.19
ดีเซล B20 17.94 17.94 18.54 17.94 17.94 17.94 17.94 17.94
ดีเซลพรีเมี่ยม 25.64 25.66 28.24 27.64
แก๊ส NGV 14.41 14.41

  

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า