สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564

สภาพัฒน์ สั่งศึกษาให้ชัด   สร้าง เทอมินัล 2   งบ 5.7 หมื่นล้าน

สภาพัฒน์ สั่งศึกษาให้ชัด    สร้าง เทอมินัล 2   งบ 5.7 หมื่นล้าน

สภาพัฒน์  (สศช.)  สั่ง ศึกษาให้ชัด   แผนสร้างเทอร์มินัล 2   หลัง   “คมนาคม” สั่งลุย 2 เร่ง ทอท.ดำเนินการ 60 วัน รับผู้โดยสาร120 ล้านคนต่อปี  พร้อมชงครม.ไฟเขียว มี.ค.นี้ คาดเปิดประมูล ก.ย.64

ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.)ที่มีนาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารทั้ง 3 แห่ง วงเงินประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการพัฒนาส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) หรือเทอร์มินัล 2  วงเงินประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท และโครงการพัฒนาส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 1 ด้านทิศตะวันตก (West Wings)  และตะวันออก (East Wings) วงเงินรวมประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารนั้น

สภาพัฒน์ สั่งศึกษาให้ชัด    สร้าง เทอมินัล 2   งบ 5.7 หมื่นล้าน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า เบื้องต้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)สั่งให้ทบทวนผลการศึกษาแนวทางการพัฒนา ทสภ. ให้ชัดเจน พร้อมนำเรื่องดังกล่าวที่มีมติในที่ประชุมเสนอต่อสำนักงานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาตา) ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม 

“ยืนยันว่าสศช.ไม่ได้ขัดข้อง   พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ บรษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือ ทอท.ดำเนินการ ตามข้อแนะนำให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน  หลังจากนั้นจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือนมีนาคม 2564 และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อประมูลโครงการฯ หาผู้รับจ้างคาดว่าจะได้เอกชนผู้รับจ้าง ราวเดือนกันยายน  2564”

อย่างไรก็ตามปัจจุบันอาคารผู้โดยสารสามารถรองรับได้ 45 ล้านคนต่อปี โดยการก่อสร้างอาคารทั้ง 3 แห่ง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ ทสภ.เป็น 120 ล้านคนต่อปี ประกอบด้วย อาคารผู้โดยสารปัจจุบัน รองรับได้ 45 ล้านคนต่อปี  ส่วนอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT 1) สามารถรองรับได้ 15 ล้านคนต่อปี  ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดบริการปี 2565  ด้าน North Expansion สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว  24 เดือน  คาดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2566   ขณะที่ West Wings รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี และ East Wings สามารถรองรับได้ 15 ล้านคนต่อปี  ทั้งด้าน West & East Wings ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 28 เดือน คาดแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2567

“ปัจจุบันแผนพัฒนา ทสภ. อยู่ระหว่างก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 หากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้ ทสภ. สามารถรองรับผู้โดยสารได้เป็น 90 ล้านคนต่อปี และรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 90 เที่ยวบินต่อชั่วโมง  จากปัจจุบัน 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง  หากเราไม่สร้างอาคาร 3 ส่วนพร้อมกัน  จะทำให้ประเทศเสียโอกาส   เนื่องจากรายได้ของประเทศ  ส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยว คิดเป็น 80% ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางทางอากาศ  ถ้าเราสามารถพัฒนาให้รองรับนักท่องเที่ยวได้มากเท่าไร  ทำให้ประเทศชาติมีโอกาสรับรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้นเท่านั้น“

ผู้สื่อข่าว”ฐานเศรษฐกิจ”รายงานว่า ล่าสุดสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้นำเสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1.การเปลี่ยนแผนการขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะทำให้เกิดความแออัดที่เทอร์มินัล 1 และจะทำให้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ซึ่งกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นานทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์แบบ

เพราะไม่มีผู้โดยสารจากส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกมาป้อนให้ตามที่ได้วางแผนไว้  ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกนั้น ครม.ได้อนุมัติแล้วตั้งแต่ปี 2553 มีแบบรายละเอียดการก่อสร้างแล้ว โดย ทอท.ได้จ่ายค่าจ้างออกแบบแล้วด้วย และได้รับความเห็นชอบผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว

2.ขีดความสามารถของส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือซึ่ง ทอท.อ้างว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปีนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีหลุมจอดประชิดอาคารเพียง 14 หลุมเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบความจุของหลุมจอดประชิดอาคารที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลุมจอดประชิดอาคารจำนวน 14 หลุม จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 30 ล้านคนต่อปี

 3.ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะก่อให้เกิดหลากหลายปัญหาตามมา เช่น   ผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกเพราะต้องใช้รถไฟฟ้าไร้คนขับถึง 3 สาย จึงจะได้ขึ้นเครื่องบิน และทำให้รถใช้มอเตอร์เวย์เข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิมากขึ้น เนื่องจากส่วนต่อขยายด้านทิศเหนืออยู่ใกล้มอเตอร์เวย์ ส่งผลให้รถติดบนมอเตอร์เวย์ ผู้โดยสารจะต้องเผื่อเวลาการเดินทางไปสนามบินเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น

4.การก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 42,000 ล้านบาท โดย ทอท.อ้างว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับการขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปีเช่นเดียวกัน แต่ใช้เงินลงทุนเพียงประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือประหยัดเงินได้ถึง 30,000 ล้านบาท

5.เป็นการยากที่สนามบินสุวรรณภูมิจะมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี ตามที่ ทอท.กล่าวอ้าง เนื่องจากมีข้อจำกัดในเขตการบินหรือแอร์ไซด์ อีกทั้ง ไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มความจุให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี เพราะในอนาคตผู้โดยสารจะกระจายไปใช้สนามบินดอนเมืองและสนามบินอู่ตะเภาด้วย โดยใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และจากการดูข้อมูลจำนวนผู้โดยสารในสนามบินต่างๆ ทั่วโลก พบว่ามีเพียง 2 สนามบินเท่านั้นที่มีผู้โดยสารถึง 100 ล้านคนต่อปี ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือเพื่อทำให้สนามบินมีความจุถึง 150 ล้านคนต่อปี

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะให้ ทอท.ดำเนินการ เร่งขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออก ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 รวมทั้งขยายด้านทิศตะวันตกด้วย เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 75 ล้านคนต่อปี   รวมทั้งดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสภาพัฒน์ที่ให้ขยายด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตามด้วยก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ด้านทิศใต้ใกล้ถนนบางนา-ตราด เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 120 ล้านคนต่อปี เป็นลำดับแรกก่อน แล้วจึงนำส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือมาพิจารณาว่ายังคงมีความจำเป็นอีกหรือไม่

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ลดค่าโอนฯ บ้านตํ่า 3 ล้าน  เกายังไม่ถูกที่คัน

ลดค่าโอนฯ บ้านตํ่า 3 ล้าน   เกายังไม่ถูกที่คัน

การคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ที่เป็นเรื่องยาก อันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดใหม่ของ COVID-19 กำลังฉุดกระชากรายได้ของผู้บริโภคในอนาคตอย่างช้าๆ

ชัดเจนแล้วว่า ทั้งแผนเปิดตัวโครงการใหม่ และการซื้อ-ขาย ตลอดไตรมาสแรกของปี เป็นไปอย่างเงียบเหงา และอาจชัตดาวน์ตลอดครึ่งปีแรก หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ภายในเดือนมีนาคม

ขณะบทสรุปภาวะของตลาดปี 2563 ในหลายแง่ ทั้งจำนวนซัพพลายที่เปิดใหม่ลดฮวบ -46.6% , ยอดที่ขายได้ใหม่ ลดลงถึง -25.2% โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม ที่มียอดหายไปมากเกือบเท่าตัว ส่งผลหน่วยคงค้างเหลือขายในตลาด มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นกังวลเป็นห่วง คาดอยู่ในหลัก 2- 3 แสนหน่วย โดยนัยแสดงผลอย่างชัดเจนว่าโควิด-19 ส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วก่อนมีโควิด-19 

อีกทั้งซ้ำเติม ตลาดที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปี 2562 จากยอดขายที่ตรึงตัว อันเนื่องจากผลกระทบของการประกาศมาตรการป้องกันการเก็งกำไรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือ มาตรการ LTV เมื่อเดือนเมษายน 2562 ซึ่งเมื่อเกิดการล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2563 ทำให้การซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย ก็ยิ่งหดตัวเพิ่มมากขึ้น

โดยนับเป็นเวลาเกือบ 5 เดือน (ก.ย 2563) หลังจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประกอบการไปด้วย 3 สมาคมหลักสำคัญ ผู้ประกอบการรายใหญ่ บริษัทตัวแทนขาย และที่ปรึกษาอสังหาฯ รวมไปถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อถกปัญหา ยื่นข้อเสนอทางรอดฟื้นธุรกิจ เพื่อหวังเป็นอุตสาหกรรมตัวตายตัวแทนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ตั้งแต่ขอพิจารณาปลดล็อกเงื่อนไขสำคัญ แอลทีวี ,ขอแก้กฎหมายสนับสนุนการเช่าซื้อของต่างชาติ, ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนประเด็นสำคัญ โดยขอให้รัฐนั้น พิจารณายกเลิกเพดานราคาบ้าน ที่จำกัดกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในมาตรการ “ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง 0.01%” ซึ่ง ณ เวลานั้น นับเป็นปัจจัยบวกเพียงไม่กี่เรื่อง ที่คอยพยุงสนับสนุนความอยู่รอดของตลาด แต่เปรียบเป็นยารักษาโรคที่ไม่แรงพอ เพราะบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่จะได้รับอานิสงส์ มีเพียงไม่ถึง 30% ของตลาดรวม 

กลายเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการแทบทุกราย ร้องขอให้รัฐพิจารณา และขอให้ยืดระยะมาตรการออกไปจนกว่าตลาดจะฟื้นตัว แต่ไร้ความคืบหน้า ก่อนมาตรการดังกล่าวสิ้นสุดลง ณ  24 ธันวาคม 2563 แม้ก่อนหน้า 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ พยายามกระทุ้งอีกรอบ ผ่านการยื่น 5 ข้อเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โดยย้ำในมาตรการดังกล่าวว่า

“รัฐต้องลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ และค่าธรรมเนียมการจดจำนองลงถึงอัตราต่ำสุด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในทุกประเภท ทุกระดับราคา ทั้งที่อยู่อาศัยใหม่ และบ้านมือสองจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.64” เพื่อเพิ่มโอกาสการซื้อ-ขายในตลาด และตัดวงจรผู้ประกอบการหลายรายไปไม่รอด ต้องปิดกิจการ

ส่องวิกฤติ ตลาดที่อยู่อาศัยไทย

อย่างไรก็ตาม 26 ม.ค. ที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติอนุมัติขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน – ซื้ออสังหาริมทรัพย์ จากเดิม 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดจากเดิม 1% ของมูลค่าที่จำนอง เหลือ 0.01% ไปจนถึง 31 ธ.ค. 2564  โดยปรากฎ พร้อมกับเงื่อนไขเดิมขีดเส้น สำหรับ “บ้านราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น” 

ซึ่งคนในแวดวงอสังหาฯ ต่างแสดงออกในทิศทางเดียวกัน ว่าเปรียบเป็นยารักษา ที่พอให้อาการทุเลา แต่ไม่แรงและไม่โดนพอ สำหรับอสังหาฯขณะนี้ ที่คล้ายเป็นมะเร็งร้าย อาการค่อยๆทรุด แม้แต่คนในภาคการเมือง อย่าง นายอภิชัย เตชะอุบล ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ยังออกมาแนะให้รัฐทบทวนมติ เพราะมองเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เนื่องจากในความเป็นจริง คนที่มีกำลังซื้อในขณะนี้ คือ ผู้ที่มีฐานะ แต่รัฐไม่สร้างแรงจูงใจเพื่อกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ใช้เงิน รัฐกำหนดเพดานราคาที่ต่ำเกินไป เพราะในขณะนี้ราคาห้องชุดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จาดต้นทุนราคาที่ดินที่สูงขึ้น

โดยนับเป็นความเห็นที่ประดุจเข้าอกเข้าใจคนอสังหาฯอย่างดี และสอดคล้องกับการให้ความเห็นของนายอธิป พีชานนท์ ฐานะประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้าเผยว่า กำลังรอคิวเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

โดยเตรียมเสนอความเห็นสำหรับมาตรการดังกล่าว ว่าควรให้สิทธิ์การลดภาษีเหลือ 0.01% นั้น เป็นการครอบคลุมกลุ่มที่อยู่ในสัดส่วนราคา 3 ล้านบาทแรก ทุกการซื้อขายหน่วย โดยที่เหลือส่วนเกิน ให้ผู้ซื้อจ่ายตามอัตราปกติ เพื่อให้อานิสงส์ของมาตรการเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการทุกราย ส่วนรัฐเอง ยังได้รับภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยในส่วนที่งอกออกมา แต่กลับไม่ทันการณ์  

โดยนายอธิป เผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความกังวล และชุดความคิดแบบเก่าของรัฐ ที่เกรงจะถูกโจมตี หากขยายเพดานราคาขึ้น ว่าจะเป็นการอุ้มช่วยคนรวยนั้น กำลังจะทำให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจนี้ วงล้อหมุนไม่ได้สุด ทั้งๆที่ในสภาวะแบบนี้ ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาฯ เพื่อทดแทนการท่องเที่ยวและการส่งออก ที่หยุดลง โดยการส่งเสริม ให้เกิดการซื้อ-ขาย ภายในอย่างวงกว้าง

เนื่องจาก อุตสาหกรรมนี้ มีมูลค่าหมุนเวียนมหาศาล ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ยัน ปลายน้ำ อีกทั้งช่วยให้คนมีงานทำ ธุรกิจอยู่รอด โดยฐานรายได้ต่างๆนั้น ย่อมถูกแปลงเป็นภาษีเงินได้-ภาษีธุรกิจ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ 

ซึ่งการกำหนดมาตรการเพียงกลุ่มต่ำกว่า 3 ล้านบาท เป็นการจำกัดเกินไป เกิดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพียงพอ ประกอบกับในภาวะเช่นนี้ รัฐต้องเข็นให้คนทุกระดับออกมาช่วยซื้อทุกเซกเม้นท์  อย่ายึดติดกับนโยบายช่วยเหลือเพียงกลุ่มคนมีรายได้น้อย หรือ ปานกลางเพียงเท่านั้น โดยเตรียมเดินหน้ายื่นเรื่องให้รัฐทบทวน  ความไม่เห็นด้วยกังกล่าว ยังไม่น่ากังวลเท่า ไทม์ไลน์การออกประกาศบังคับใช้มาตรการ ซึ่งนายอธิประบุ ทุกครั้งที่ผ่านมา มักเป็นไปอย่างล่าช้า และยิ่งซ้ำเติมตลาด

“มีอีกหลายประเด็นที่ต้องการให้รัฐทบทวน ทั้ง LTV ที่ควรต้องหยุดไปก่อน ตอนนี้ไม่ต่างจากการแตะเบรคตอนไฟเขียว, การแก้ปัญหาสินเชื่อที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย เพราะหากคนกู้ไม่ผ่าน 40% แบบนี้ สิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมก็คงไม่ได้ใช้ ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ อีกอย่าง ระยะเวลาประกาศใช้ ที่ผ่านมากระทรวงคลังคิด มหาดไทยดำเนินการ ใช้เวลานานเป็นเดือน ทำให้คนจะซื้อ – จะโอนฯ ณ ขณะนี้รออั้น เป็นการซ้ำเติมตลาด”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คาดกนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.5%

คาดกนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.5%

กนง.คงดอกเบี้ย 0.5% จับตาเดือนมี.ค. หากเศรษฐกิจไม่ดีมีโอกาศลดเหลือ 0.25%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบแรกของปีในวันที่ 3 ก.พ. 2564 นี้ จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตามเดิม เนื่องจาก ภาครัฐเพิ่งมีการออกมาตรการเพิ่มเติมทั้งในส่วนของนโยบายการเงินและมาตรการการคลัง โดยเม็ดเงินที่ใช้ในมาตรการการคลังในรอบนี้มีขนาด 1.4% ของ GDP ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดกระลอกใหม่ได้พอสมควร

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่ชะลอการแข็งค่ายังช่วยลดความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจอีกด้วย

อย่างไรก็ดี จุดจับตาคงอยู่ที่ผลการประเมินเศรษฐกิจไทยรอบใหม่ในเดือนมีนาคมนี้ รวมถึงมาตรการทางการเงินการคลังเพิ่มเติมที่จะออกมาดูแลผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังขึ้นอยู่กับมาตรการจากทางการที่จะออกมาเพิ่มเติมจากที่ได้ทำมาแล้วในเดือนม.ค. นอกจากนี้ การประเมินทิศทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 ยังขึ้นอยู่กับมุมมองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในและต่างประเทศ ปัจจัยบวกจากเรื่องวัคซีน รวมถึงทิศทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งหากการประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยรอบใหม่ในเดือนมี.ค. ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ในการประชุมรอบเดือนธันวาคม 2563 อย่างมีนัยสำคัญ กนง. ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

“บาส-ปอป้อ” เผยแผนเด็ดพิชิตคู่เกาหลี คว้าแชมป์เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล

“บาส-ปอป้อ” เผยแผนเด็ดในการพิชิตคู่ปรับจากแดนโสมขาว ก่อนเข้าป้ายซิว 3 แชมป์ประวัติศาสตร์บนแผ่นดินเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 1 ก.พ.64 ความเคลื่อนไหวหลังจบการแข่งขันแบดมินตัน “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอล 2020” ชิงเงินรางวัลรวม 1,500,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45,150,000 บาท ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี

ซึ่งในประเภทคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 3 ของโลก เอาชนะ ซอ ซึง แจ กับ แช ยู จอง จากเกาหลีใต้ไปอย่างสุดมัน 2-1 เกม ส่งผลให้ทั้งคู่สร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเปิลแชมป์ประเภทคู่ผสม ทัวร์นาเมนต์เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 สามรายการติดต่อกันในเวลาสามสัปดาห์ และรับเงินรางวัลชนะเลิศรวมกันมากถึง 274,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,220,000 บาท

หลังจบการแข่งขัน บาส-ปอป้อ เผยว่า “รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมาก ที่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทำได้ 3 แชมป์ติดต่อกัน นี่คือแชมป์ของคนไทยทั้งประเทศ เกมในวันนี้เป็นการชิงจังหวะด้านหน้า ใครสามารถชิงจังหวะแล้วได้บุกก่อนก็มีโอกาสชนะเยอะมาก ในเกมที่สองเกาหลีเร่งสปีดบุกได้ก่อน เราตั้งตัวไม่ทันทำให้แต้มไหล ส่วนในเกมที่สาม เราก็นำสไตล์การเล่นของเกาหลีในเกมที่สองมาใช้บ้าง และพยายามชิงจังหวะด้านหน้าให้ได้ก่อน”

“ประสบการณ์ที่ได้รับจากการแข่งขันตลอด 3 รายการในครั้งนี้คือ เพิ่มความมั่นใจกับคู่ของเรามากขึ้น เราได้เห็นว่าสิ่งที่เราทุ่มเทฝึกซ้อมมาตลอด 9 เดือน สามารถนำมาใช้ได้ผลอย่างไรบ้าง และมีสิ่งไหนที่ยังผิดพลาด เราจะนำไปแก้ไขปรับปรุง ส่วนสิ่งที่ประทับใจกับการแข่งขันแบบนิว นอร์มอล คือทุกอย่างดีหมด ประทับใจทุกอย่าง ทีมงานดี การอำนวยความสะดวกให้นักกีฬาดีมาก และอยากจะขอบคุณพี่ๆ ทีมงานที่ช่วยดูแลพวกเรา คอยสนับสนุนเรา ทำให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย”

“ส่วนบาสอยากขอบคุณพี่ปอป้อที่คอยสนับสนุน คอยเตือนในสนาม ทำให้ผลการแข่งขันออกมาดี ส่วนปอป้ออยากขอบคุณน้องบาสไม่ว่าจะหลุด น้องช่วยได้เยอะ ทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ส่วนสิ่งที่อยากทำเป็นอันดับแรกเมื่อออกจากบับเบิลคือ พักผ่อนและหาของอร่อยๆ ทาน ไปหาครอบครัว และเพื่อนๆ รวมทั้งเตรียมฉลองแชมป์”

“ท้ายสุดนี้ก็อยากขอขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา ขอขอบพระคุณคุณหญิงปัทมา รัฐบาลไทย ศบค. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และแฟนแบดมินตันทุกคนที่คอยส่งกำลังใจมาเชียร์พวกเรา และนักกีฬาไทยทุกคนตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา กำลังใจของทุกคนทำให้เราสามารถทำผลงานได้ดีในการแข่งขันครั้งนี้”.

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


3 วิธี ล้างผักผลไม้ให้สะอาดปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19

3 วิธี ล้างผักผลไม้ให้สะอาดปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 thaihealth

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข แนะนำ 3 วิธีการล้างผักและผลไม้ให้สะอาดปลอดภัยในช่วงโควิด-19 พร้อมย้ำประชาชนใช้บริการสถานประกอบการทุกครั้งขอให้ลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ”

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงโควิด-19 ระลอกใหม่ ผู้บริโภคที่ทำอาหารกินกันเองที่บ้าน นอกจากต้องให้ความสำคัญในการเลือกวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารแล้ว การล้างทำความสะอาดวัตถุดิบทุกครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในผักและผลไม้ต่าง ๆ ก่อนกินหรือนำมาปรุงอาหารต้องล้างให้สะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค และละอองฝอยน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ที่สัมผัสมาก่อนที่อาจติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่รู้ตัวได้

การป้องกันจึงต้องล้างผักผลไม้ให้สะอาด ซึ่งทำได้ 3 วิธีคือ วิธีที่ 1 ให้ล้างด้วยน้ำไหล โดยแช่ในน้ำนาน 15 นาที จากนั้นเปิดน้ำไหลผ่านและคลี่ใบผักถูไปมานาน 2 นาที เหมาะสำหรับการล้างผักจำนวนน้อย วิธีที่ 2 แช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์   ในอัตราส่วนน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด และวิธีที่ 3 ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) ครึ่งช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อไวรัสและลดสารพิษตกค้างในผักผลไม้ได้

“ทั้งนี้ การเลือกซื้อวัตถุดิบ ผักและผลไม้ ภายในตลาดหรือแหล่งจับจ่ายสินค้าแต่ละครั้งที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานราชการ เช่น ตลาดสดน่าซื้อ ตลาดนัดน่าซื้อ ไม่ควรใช้มือหยิบ จับ สัมผัสผักและผลไม้โดยตรง ควรใช้ถุงมือ เป็นต้น นอกจากนี้ กรมอนามัยขอความร่วมมือให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ทุกครั้งที่ใช้บริการสถานประกอบการต่าง ๆ และสำหรับผู้ประกอบการขอให้ประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม “Thai Stop COVID” เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกัน  โรคโควิด-19” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


ผักภาษาอังกฤษมีอะไรบ้าง รายชื่อผักต่างๆ 90 กว่าชนิดทั้งไทยและเทศ คำอ่าน คำแปล

รวมชื่อผักภาษาอังกฤษกว่า 90 ชนิดให้มาเรียนรู้กันให้หนำใจไปเลย ทุกคนรู้ดีว่าคำว่าผักภาษาอังกฤษคือ vegetable แต่ว่าชื่อของผักต่างๆ ทั้งของไทยและของประเทศอื่นๆนั้น พวกเรารู้จักกันดีมาน้อยแค่ไหนกัน วันนี้เราจะมาเรียนรู้ชื่อของผักต่างๆไปพร้อมๆกัน

ผักภาษาอังกฤษ

ผักภาษาอังกฤษ Vegetables

ผักต่างมีประโยชน์หนักหนา แต่ว่าเด็กๆไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งอาจะเป็นเพราะว่ามันไม่หวานอร่อยเหมือนไอติมก็เป็นได้ แต่อย่าลืมว่าหากอยากมีสุขภาพที่ดี ต้องกินผักและผลไม้กว่าอาหารในหมู่อื่นๆนะครับ

ว่าแล้วก็มาดูกันเลยว่าในบรรดาผักกว่า 90 ชนิดต่อไปนี้ พวกเราเคยกินอะไรบ้าง และมีผักชนิดไหนที่เราไม่รู้จักเลย

รายชื่อผักภาษาอังกฤษควรเรียนรู้เบื้องต้น

ในรายชื่อของผักต่อไปนี้ เราควรเรียนรู้และจดจำให้ได้นะครับ เพราะเป็นคำศัพท์ที่ใช้บ่อยๆ ดังนั้นพยายามเรียนรู้และจดจำกันให้ได้เลยเชียว

คำศัพท์ คำอ่าน คำแปล
bean บีน ถั่ว
cabbage แค๊บบิจ กะหล่ำ
carrot แค๊เริท หัวผักกาด
chili ชิ๊ลิ พริก
cucumber คิ๊วคัมเบอะ แตงกวา
egg plant เอก แพล๊นท มะเขือ
garlic ก๊าลิค กระเทียม
lemon เล๊ะเมิน เลมอน
lettuce เล็ททิส ผักกาดหอม
long bean ลองบีน ถั่วฝักยาว
onion อั๊นเนียน หอม
potato พะเท๊โท มันฝรั่ง
tomato ทะเม๊โท มะเขือเทศ

รายชื่อผักภาษาอังกฤษเพิ่มเติม

ในรายชื่อของผักต่อไปนี้ เป็นการรวบรวมคำศัพท์เท่าที่จะคิดได้ หรือหาได้นะครับ บางคำอ่านแล้วผ่านเลยก็ได้ เพราะไม่ใช่คำศัพท์ที่ใช้บ่อยสักเท่าไหร่ ถ้าอยากรู้ว่าผักที่เราไม่รู้จักหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ Google ดูเอานะครับ

คำศัพท์ผักหมวด A – E

acacia pennata อะเค๊เชอะ เพ็นนะทะ ชะอม
angleก luffa แอ็งเกิลดึ ลู๊ฟะ บวบเหลี่ยม
arugula อะรู๊กะละ ผักสลักร็อคเก็ต
asparagus อะสแป๊ระกัส หน่อไม้ฝรั่ง

baby corn เบ๊บิ คอน ข้าวโพดฝักอ่อน
bamboo shoot แบ๊มบู ชูท หน่อไม้
basil เบ๊เซิล ใบโหระพา
bean บีน ถั่ว
bean sprout บีน สเปร๊าท ถั่วงอก
bell pepper เบ็ล เพ็พเพอะ พริกหวาน
bird chilli เบิด ชิ๊ลลิ พริกขี้หนู
bitter melon บิ๊ทเทอะ เม็ลเลิน มะระ
black bean แบล็ค บีน ถั่วดำ
black mushroom แบล็ค มั๊ชรูม เห็ดหอม
bok choy บ็อค ชอย ผักกาดกวางตุ้ง
broccoli บร๊อคเคอะลิ บรอกโคลี
Brussels sprout บรั๊สเซิลซ สเปร๊าท กะหล่ำดาว

cabbage แค๊บบิจ กะหล่ำปลี
calabash แค๊เลอะแบช น้ำเต้า
carrot แค๊เริท แครอท
cashew nut แค๊ชู นัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์
cassava เคอะซ๊าวะ มันสำปะหลัง
cauliflower ค๊อลิเฟลาเวอะ กะหล่ำดอก
celery เซ็ลเลอะริ คึ่นฉ่ายฝรั่ง
chaplu leaf ชะพลู ลีฟ ใบชะพลู
chard ชาด ผักกาดก้านแดง
chayote เชโย๊ทิ ฟักแม้ว
chili pepper ชิ๊ลลิ เพ็พเพอะ พริกหยวก
chilli ชิ๊ลลิ พริก
Chinese broccoli ไชนี๊ส บร็อคเคอะลิ คะน้า
Chinese cabbage ไชนี๊ส แค๊บบิจ ผักกาดขาวปลี
coriander คอริแอ๊นเดอะ ผักชี
cucumber คิ๊วคัมเบอะ แตงกวา
culantro คูล๊านโทร ผักชีฝรั่ง

dill ดิล ผักชีลาว
eggplant เอ๊กแพลนท มะเขือม่วง
enoki mushroom เอ๊ะโนะคิ มั๊ชรูม เห็ดเข็มทอง

คำศัพท์ผักหมวด F – J

fingerroot ฟิ๊งเกอะรูท กระชาย

galangal แก๊เลินแกล ข่า
garlic ก๊าลิค กระเทียม
ginger จิ๊นเจอะ ขิง
goat pepper โกท เพ็พเพอะ พริกชี้ฟ้า
gourd กอด บวบ
green bean กรีน บีน ถั่วแขก
green onion กรีน เอิ๊นเนียน ต้นหอม

hairy eggplant แฮ๊ริ เอ๊กแพลนทึ มะอึก
holy basil โฮ๊ลิ แบ๊เซิล ใบกะเพรา
horse tamarind ฮอส แท็มเมอะรินด กระถิน

ivy gourd ไอ๊วิ กอด ผักตำลึง

คำศัพท์ผักหมวด K – O

kaffir lime แค๊ฟเฟอะ ไลม มะกรูด
kohlrabi โคลร๊าบิ กะหล่ำปม

lemon เล๊ะเมิน เลมอน
lemongrass เล๊ะเมินกราส ตะไคร้
lettuce เล็ททิส ผักกาดหอม
lime ไลมฺ มะนาว
long bean ลอง บีน ถั่วฝักยาว
long eggplant ลอง เอ๊กแพลนท มะเขือยาว

mung bean มัง บีน ถั่วเขียว
mushroom มั๊ชรูม เห็ด

okra โอ๊คระ ผักกระเจี๊ยบ
onion เอิ๊นเนียน หอมหัวใหญ่
oyster mushrooms อ๊อยสเตอ มั๊ชรูม เห็ดนางฟ้า

คำศัพท์ผักหมวด P – T

parsley พ๊าสลิ พาสลีย์
pea พี ถั่วลันเตา
pea eggplant พี เอ๊กแพลนท มะเขือพวง
peanut พี๊นัท ถั่วลิสง
pepper เพ็พเพอะ พริกไทย
peppermint เพ็พเพอะมินท สะระแหน่
potato พะเท๊โท มันฝรั่ง
pumpkin พั๊มคิน ฟักทอง

radish แร๊ดิช หัวไชเท้า
red bean เรด-บีน ถั่วแดง

sesame เซะซะมิ งา
shallot ชะล๊อท หอมแดง
snake gourd สเนค กอด บวบงู
soybean ซ๊อยบีน ถั่วเหลือง
spinach สปิ๊นิช ผักโขม
sponge gourd สปันจ กอด บวบหอม
straw mushroom สตรอ มั๊ชรูม เห็ดฟาง
sweet basil สวีท เบ๊เซิล ใบโหระพา
sweet pepper สวีท เพ็พเพอะ พริกหวาน

taro ท๊าโร เผือก
tomato ทะเม๊โท มะเขือเทศ
turnip เท๊อนิพ เทอร์นิพ

คำศัพท์ผักหมวด U – Z

water mimosa ว๊อเทอะ มิโม๊ซะ ผักกระเฉด
water Spinach ว็อเทอะ สปิ๊นิช ผักบุ้ง

watercress ว๊อเทอะเคร็ส สลัดน้ำ

winged bean วิงดึ บีน ถั่วพู
winter melon วิ๊นเทอะ เม็ลเลิน ฟัก

yam แยม มันเทศ

zucchini สุคี๊นิ แตงกวาญี่ปุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com


โตโยต้า ยอดขายทั่วโลกปี 2020 ชนะ โฟล์คสวาเกน ในรอบ 5 ปี

โตโยต้า ยอดขายทั่วโลกปี 2020 ชนะ โฟล์คสวาเกน ในรอบ 5 ปี

โตโยต้า ปิดยอดขายปี 2020 รวมทั่วโลก ชนะ โฟล์คสวาเกน ถือเป็นการกลับมาครองแชมป์ในรอบ 5 ปี

ปี 2020 ตลาดรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสองผู้เล่นรายใหญ่อย่าง โตโยต้า และ โฟล์คสวาเกน ยอดขายรวมทั่วโลกลดลง 11% และ 15% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของ โตโยต้า ที่ทำยอดขายรวมทั่วโลกในปี 2020 กลับมาชนะโฟล์คสวาเกน ได้ในรอบ 5 ปี

ยอดขายโตโยต้า ที่รวมแบรนด์ในเครือทั้ง เลกซัส ไดฮัทสุ ฮีโน่ ทำได้ 9.53 ล้านคัน ขณะที่ โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป ที่รวมรถหรูในกลุ่มอาวดี้ และแบรนด์ปอร์เช่ สโกด้า เซียท ตลอดจนรถเพื่อการพาณิชย์อย่าง สแกนเนีย และ MAN ทำตัวเลขได้ 9.31 ล้านคัน

ยอดขายโตโยต้าทั่วโลก ปี 2020 ทำได้ 9.53 ล้านคัน

ทั้งนี้ ยอดขายรวมทั่วโลกทุกแบรนด์ในปี 2020 ทำได้ 76.8 ล้านคัน คาดว่าปีนี้จะฟื้นตัวด้วยตัวเลข 84.4 ล้านคัน

ขณะที่กลุ่มรถหรู บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์) ยังเป็นอันดับหนึ่งด้วยยอดขาย 2.324 ล้านคัน ส่วนยอดขายในไทย 12,426 คัน ลดลง 4.1% แต่ประสบความสำเร็จด้วยการขายมากกว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมครองแชมป์เซกเมนต์รถพรีเมี่ยมในรอบ 20 ปี

สำหรับประเทศไทยตลาดรวมในปี 2020 ปิดที่ 7.92 แสนคัน ลดลง 21% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดย โตโยต้า ขายเป็นอันดับหนึ่ง 2.44 แสนคัน ลดลง 26.5% ครองส่วนแบ่งการตลาด 30.8%

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กาหลง สรรพคุณมากมายทั้ง 10ข้อ!!

กาหลง

ชื่อสามัญ: Snowy Orchid Flower

ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia acuminata Linn.

ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ: ส้มเสี้ยว, เสี้ยวดอกขาว

ถิ่นกำเนิดของกาหลง: ถิ่นกำเนิดจะอยู่ในแถบประเทศเขตร้อน เช่น กัมพูชา, ลาว, พม่า, ไทย, อินเดีย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกาหลง

กาหลงจัดว่าเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ที่มีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่3-6เมตร ใบมีลักษณะโค้งเว้าคล้ายรูปหัวใจ หรือเหมือนใบติดกัน ดอกออกเป็นช่อ ช่อนึงจะมีประมาณ 3-5ดอก โดยดอกและกลีบดอกจะมีกลิ่นหอมและมีสีขาว และแต่ละดอกจะมีอยู่ 5กลีบ โดยเกสรตัวเมียจะมีสีเขียวอ่อน แต่เกสรตัวผู้จะมีสีขาว ลักษณะผลของกาหลงจะเป็นฝักแบน จะเป็นสีเขียวและเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล

ใบกาหลง

ฤดูกาลที่กาหลงเจริญเติบโต:  จะออกดอกและผลในช่วงฤดูฝน

แหล่งปลูก: สามารถปลูกได้ทุกที่ทั่วไทย

เมนูที่ทำจากกาหลง: ดอกสามารถนำไปชุบแป้งทอดแล้วนำไปรับประทานได้, สามารถนำฝักและดอกมาผัดน้ำมันหรือลวกกินกับน้ำพริกก็ได้ จะนำไปใส่ทำเป็นแกงส้มก็ได้

สรรพคุณทางยาและประโยชน์ของกาหลง

กาหลงนั้นถือว่ามีสรรพคุณต่างๆมากมาย เช่น

  1. ดอกสามารถช่วยแก้อาการปวดศรีษะได้
  2. ช่วยลดความดันโลหิต (ดอก)
  3. รับประทานช่วยขับเสมหะได้ (ดอก)
  4. ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน (ดอก)
  5. ช่วยขับปัสสาวะได้ (ใบ)
  6. ช่วยขับและฟอกโลหิตระดูได้ (ใบ)
  7. เปลือกต้น ช่วยแก้ไอได้
  8. ช่วยห้ามเลือดได้ (เปลือกต้น)
  9. ช่วยแก้อาการท้องเสียได้ (เปลือกต้น)
  10. ช่วยแก้อาการบิดได้ (ราก)

ขอบคุณข้อมูลจาก vegetweb.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,250.00 26,350.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,700.00 25,772.00 26,850.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,530.00 23,194.80 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,360.00 20,617.60 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 765.00 11,597.40 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 595.00 9,020.20 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,762.00 26,711.92 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/02/2564

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25 24.25
แก๊สโซฮอล์ 91 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98 23.98
แก๊สโซฮอล์ E20 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74 22.74
แก๊สโซฮอล์ E85 19.49 19.49 19.49
เบนซิน 95 31.66 32.11 32.16 31.66 31.66
ดีเซล B7 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09 25.09
ดีเซล 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09 22.09
ดีเซล B20 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84 21.84
ดีเซลพรีเมี่ยม 29.54 29.56 31.54 30.94 29.54
แก๊ส NGV 13.35 13.35 13.35
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า