สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 11 มกราคม 2564

พัทยา – ขอนแก่น ดาวเด่นอสังหาฯ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปักหมุดเพิ่ม

พัทยา - ขอนแก่น ดาวเด่นอสังหาฯ  โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปักหมุดเพิ่ม

โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ มอง โควิด-19 รอบใหม่ จบเร็ว ไม่กระทบอสังหาฯ ปี 2564 พร้อมลุยปักหมุด 2 ทำเลศักยภาพเดิม พัทยา หัวเมืองอีอีซี และจังหวัดขอนแก่น รับการเติบโตของรายได้ประชากรต่อหัวสูงสุด

นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพครบวงจร เปิดเผยถึงทิศทางและโอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดปี 2564  ว่ามีแนวโน้มเติบโตที่ดีขึ้น แม้ไม่หวือหวา แต่มียอดขายอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดีมานด์อยู่อาศัยจริงรองรับชัดเจน ไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคาที่ดินที่สูงเช่นในกทม. โดยเฉพาะจังหวัดมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ที่ชี้ถึงการเจริญเติบโตของเมืองในหลายๆ มุม เช่น เป็นจังหวัดที่มีแหล่งรายได้จากหลายทาง (เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ) มีสนามบิน แหล่งการศึกษา เป็นต้น

พัทยา - ขอนแก่น ดาวเด่นอสังหาฯ  โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปักหมุดเพิ่ม

“ปีนี้จะมีปัจจัยบวกคือวัคซีนที่วิจัยสำเร็จ แม้ว่าขณะนี้จะมีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ก็เชื่อว่ารัฐบาลน่าควบคุมได้เร็วกว่ารอบก่อน คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่น่าเกิน 1 เดือน เพราะทุกภาคส่วนต่างก็มีประสบการณ์และเรียนรู้วิธีในการป้องกันตัวเองมาแล้วเป็นอย่างดี  เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะตื่นตกใจ (Panic)  ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกันกลับมายกระดับมาตรการการดูแลป้องกันที่เข้มข้นมากขึ้นอีกครั้ง มองว่าอาจจะส่งผลกระทบแค่ระยะสั้นๆ และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 1” นายณพงศ์ กล่าว

ดังนั้น ในปี 2564 โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้  ยังคงยึดกลยุทธ์รุกการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด เน้นตอบโจทย์ความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเรียลดีมานด์ โดยเฉพาะ 2 พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ที่บริษัทได้เข้าไปลงุทนแล้ว ได้แก่ ขอนแก่น และ พัทยา  ซึ่งเป็นพื้นที่พบว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจ และมีการเติบโต แม้จะเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่น ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอีสาน ทั้งการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ เมดิคัลฮับ (Medical Hub) ของภาคอีสาน ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดคนจังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง

โดยดัชนีชี้วัด ในแง่ของกำลังซื้อสูงขอนแก่น จากตัวเลข รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดในภาคอีสาน 122,950 บาท/คน/ปี  จะเห็นได้ว่าขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อ จากยอดขายของโครงการ “โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ – ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น บนเนื้อที่ 1 ไร่ 266 ตารางวา มีจำนวนห้องพักอาศัย 236 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท  หลังสถานการณ์คลายล็อดดาวน์ สามารถทำยอดขายเฉลี่ยเกินกว่า 10 ยูนิตต่อเดือน ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายวางไว้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40%

ขณะที่พื้นที่เมืองพัทยา ถือเป็นหนึ่งในทำเลหลักของการพัฒนาโครงการ  ซึ่งพัทยาได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากนโยบายเร่งเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)   อีกทั้ง EEC จะทำให้เมืองพัทยาเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างรวดเร็ว การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามา เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เมืองชายทะเลที่มีความมั่นงคงมากกว่าเดิม  ขณะที่รถไฟความเร็วสูง ซึ่งมีแผนพัฒนาสถานีพัทยาในรูปแบบ TOD จะเพิ่มศักยภาพของพัทยาเพิ่มขึ้น

โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา

“ในช่วงปี 2563 แม้มีสถานการณ์โควิด-19 เพราะทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการมีบ้านหลังที่สองเพื่ออยู่อาศัยและพักผ่อนไปด้วยในช่วงเวลาที่ไม่มีความปลอดภัยเกิดขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อบ้านหลังที่สองหรือบ้านพักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะพัทยา  สะท้อนจากยอดขายโครงการ”โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา “มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 350 ล้านบาท โดยพบกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่มีเงินเย็นและมีรายได้สูงเท่านั้น แต่ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ อายุน้อย รวมถึงลูกค้าชาวจีนที่อาศัยและทำธุรกิจในประเทศไทย สนใจโครงการซื้อมากขึ้นด้วย  ที่คาดว่า จะปิดการขายห้องชุดพร้อมอยู่โครงการ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่ถึง 10% แล้ว จากจำนวน 268 ยูนิต ได้ภายในปีหน้าอย่างแน่นอน  ทำให้บริษัทอาจพิจารณาที่จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ เพราะยังมีที่ดินเหลือพัฒนาอีกเกือบ 100 ไร่”

นอกจากนี้ ทางโอเชี่ยนฯ ได้ใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท รีโนเวทโรงแรม โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ครั้งใหญ่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกปี 2564

“คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อสังหาริมทรัพย์ และ การท่องเที่ยวในพัทยาจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะพัทยามีโปรเจคลงทุนค่อนข้างเยอะ ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการอีอีซีที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)” นายณพงศ์กล่าว

ขอบคุณข้อมมูลจาก thansettakij.com


ทะลวงเพิ่ม เส้นทางรถไฟฟ้า

ทะลวงเพิ่ม เส้นทางรถไฟฟ้า

รัฐบาลประยุทธทะลวงเพิ่ม เส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ เริ่มกระบวนการประมูล-ศึกษา ปี2564 ไม่ต่ำ3แสนล้านบาท

รัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางรางอย่างต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า3แสนล้านบาทหลังเปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ และสายสีทองไปเมื่อปีที่ผ่านมาเริ่มจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) มีความพร้อมเปิดประมูล สายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร (กม.)  วงเงิน 101,100 ล้าน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แม้จะติดปัญหาอุปสรรคเจรจาเวนคืนพื้นที่ในบางทำเล แต่ มองว่า มีความพร้อม  ขณะสายสีส้ม ช่วง บางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร วงเงิน 1.2แสนล้านบาท  ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ร้อนแห่งปี2563  และมีแนวโน้ม ลากยาวมาถึงปีนี้ มองว่า  ต้องรอศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด  

เข็นม่วงใต้ประมูล

  ด้านความคืบหน้า  นายภคพงศ์  ศิริกันทรมาศ  ผู้ว่าการ รฟม. ระบุว่าสายสีม่วงใต้  หลังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง  จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2563 แล้ว  ปัจจุบันได้ดำเนินการออกแบบรายละเอียดและเตรียมจัดทำเอกสารการประกวดราคา (ทีโออาร์) จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และได้ตัวผู้รับจ้างระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน  2564 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในธันวาคม 2564  ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 6 ปี โดยก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี  2570 

ล่าสุดคณะกรรมการรฟม.(บอร์ดรฟม.)พิจารณาปรับลดวงเงินลงทุนในส่วนค่างานโยธาของสายสีม่วงใต้ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปการขอใช้พื้นที่ของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ แต่รฟม.คาดว่าจะเปิดประมูลงานได้ทันตามแผนที่วางไว้

สำหรับรูปแบบการลงทุน จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรัฐ (พีพีพี) PPP Gross cost ระยะเวลา 30 ปี รูปแบบเดียวกับสายสีม่วง (เหนือ) ช่วงเตาปูน – คลองบางไผ่  วงเงิน 1 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น งานโยธาราว 77,385 ล้านบาท  ค่าเวนคืนที่ดิน 15,913 ล้านบาท ค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 32 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง 2,865 ล้านบาท

สายสีส้มรอศาล 

ขณะความคืบหน้าสายสีส้ม  ที่อยู่ระหว่างศาลปกครองสูงสุดนัดไต่สวน ระหว่างบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีทีเอสซี และคณะกรรมการมาตรา 36 กับพวกรวม 2 คน นั้น  ล่าสุด รฟม.ยืนยันตามคำอุทธรณ์ว่าคำคำสั่งทุเลาของศาลปกครองกลางส่งผลกระทบต่อภาพรวมโครงการ ทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากขณะนี้ รฟม. เปิดรับซองข้อเสนอเอกชนมาแล้วกว่า 1 เดือน แต่ยังไม่สามารถดำเนินการเปิดซองเพื่อพิจารณาข้อเสนอได้ ดังนั้นหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การเปิดพิจารณาข้อเสนอก็จะล่าช้าออกไป เป็นเหตุกระทบต่อโครงการ กระทบต่อการเปิดให้บริการประชาชน และสร้างความเสียหาย

**สีน้ำเงินไปสาย4-สีน้ำตาลอีกนาน

  อย่างไรก็ตาม  รฟม.ยังมี โครงการส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงบางแค – พุทธมณฑลสาย 4 วงเงิน 1.7  หมื่นล้านบาท ตามแผนเดิม จะเปิดประมูลในปี2564  แต่ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานต้องการดูตัวเลขผู้โดยสารที่มาใช้บริการสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ที่เชื่อมกับสายสีน้ำเงินเดิมว่าเป็นอย่างไร หลังจากนั้นจะพิจารณาอีกครั้ง มาที่สายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) วงเงินลงทุน 4.8 หมื่นล้านบาท  โดยใช้ตอม่อของรถไฟฟ้าร่วมกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอนทดแทน N1 และ N2 ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ปัจจุบันคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) มีมติเห็นชอบให้รฟม.จ้างที่ปรึกษาออกแบบฐานรากตอม่อสายสีน้ำตาลเรียบร้อยแล้ว ขณะรฟม. มีความพร้อมออกแบบฐานรากตอม่อเพื่อก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวบริเวณตอน N2 (ช่วงแยกเกษตร-นวมินทร์ ) ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร (กม.) ช่วงที่มีการทับซ้อนทางด่วนขั้นที่ 3 

ทั้งนี้การออกแบบฐานรากตอม่อร่วมกับกทพ.ในครั้งนี้ติดปัญหากรณีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ค้านการก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 3 ตอน N1  หากการเจรจาระหว่างกทพ.และมก.ไม่จบจะส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างโครงการฯล่าช้าออกไปอีก ซึ่งรฟม.ต้องการที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลควบคู่ไปกับทางด่วนขั้นที่ 3 เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการก่อสร้างโครงการฯ หากท้ายที่สุดแล้วเจรจาไม่สำเร็จรฟม.อาจจะต้องดำเนินการบางส่วนไปก่อน  ถ้ากทพ.ได้ข้อสรุปแล้วก็สามารถดำเนินการร่วมกับรฟม.ได้ ส่วนจะกระทบต่อภาระต้นทุนโครงการฯ ของรฟม.หรือไม่  ยังสรุปไม่ได้ ซึ่งจะต้องรอผู้ที่เกี่ยวข้องสรุปข้อมูลด้วย  ด้านการศึกษาทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล เบื้องต้นอยู่ระหว่างดำเนินการต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

***ต่อขยายสีเหลืองหิน

สำหรับความคืบหน้าส่วนต่อขยายสายสีเหลืองช่วงรัชดาฯ-ลาดพร้าว-รัชโยธิน ระยะทาง 2.6 กม. วงเงิน 3,779 ล้านบาท  ขณะนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ให้รฟม.ประสานข้อมูลเจรจาร่วมกับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ยอมรับเงื่อนไขเพิ่มเติมในกรณีที่ทบทวนขอให้ใส่เงื่อนไขเพิ่มเติมในสัญญา เรื่องการชดเชยรายได้ หาก BEM สามารถพิสูจน์ได้ว่าสายสีเหลืองส่วนต่อขยายส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารของสายสีน้ำเงินที่มีจุดเชื่อมต่อกันที่สถานีลาดพร้าว ทางบีทีเอสปฏิเสธยังไม่รับเงื่อนไขในเรื่องนี้ แต่เราคาดว่าจะสามารถดำเนินโครงการฯ ในเฟส 2 ได้เนื่องจากยังพอมีระยะเวลาดำเนินการ  หากก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเส้นหลักแล้วเสร็จ 

 ด้านมุมสะท้อนนายสุรพงษ์   เลาหะอัญญา  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บีทีเอสซี  ย้ำความคืบหน้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง  ปัจจุบัน รฟม.ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างสายสีชมพูล่าช้า เนื่องจากมีการปรับตำแหน่งก่อสร้างสถานีจำนวน 2 แห่ง ได้แก่  สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี และสถานีนพรัตนราชธานี ทำให้บีทีเอสต้องแก้ไขรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)ใหม่โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการปรับตำแหน่งสถานีดังกล่าว  ขณะนี้รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ได้รับความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะทยอยเปิดเดินรถไฟฟ้าเป็นช่วงๆ  ตั้งแต่ต้นปี 2565 

ส่วนสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง  ที่ผ่านมาติดปัญหาส่งมอบพื้นที่ล่าช้า 2 จุด ประกอบด้วย  1.จุดตัดสะพานข้ามแยกบางกะปิ ถนนลาดพร้าว ซึ่งจุดดังกล่าวไม่มีสถานีมีแต่ทางวิ่งรถไฟฟ้าสามารถเร่งรัดการก่อสร้างให้เสร็จตามแผนได้  2.บริเวณสถานีรัชดา-ลาดพร้าว เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เจ้าของพื้นที่ได้ให้เอกชนเช่าใช้ประโยชน์ต้องใช้เวลาในการเคลียร์พื้นที่ขณะนี้ได้ข้อยุติแล้ว ส่งผลทำให้การก่อสร้างสถานีดังกล่าวล่าช้า

ทะลวงเพิ่ม เส้นทางรถไฟฟ้า

***กทม.ลุยทองเฟส2-สีเทา

 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หลังเปิดเดินรถสายสีเขียวเหนือเติมเต็มทั้งระบบ ส่งผลให้  บีทีเอสสามารถรองรับผู้โดยสารมากกว่า 1,500,000 เที่ยวคนต่อวันด้วยระยะทางยาว68.25กิโลเมตร59สถานี  ส่วนแผน สร้างส่วนต่อขยาย จากสถานีคูคตออกไปถึงลำลูกกาอีก4สถานี ต้องรอดูปริมาณผู้โดยสารอีกครั้ง รถไฟฟ้าอีกเส้นทางที่เปิดเดินรถไปแล้วสายสีทองระยะทาง 1.8 กม.  มีจุดเชื่อมต่อกับการเดินทางรูปแบบต่างๆ เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีลมที่สถานีกรุงธนบุรี เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่สถานีประชาธิปก และสายสีแดง (หัวลำโพง-มหาชัย) ที่สถานีคลองสาน และยังเชื่อมต่อทางน้ำ สำหรับประชาชนที่ใช้บริการเรือด่วนและเรือข้ามฟาก 

ทั้งนี้ ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีทอง ระยะที่ 1 สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สถานีคลองสาน จะให้บริการฟรี 1 เดือน ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2563-15 มกราคม 2564 จะเริ่มเก็บค่าโดยสารคงที่ 15 บาทตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2564 เป็นต้นไป และคาดว่ากลางปี2564 กทม.มีแผนก่อสร้าง สายสีทองเฟส2 อีก900เมตร1สถานีที่ประชาธิปก  วงเงิน1,300 ล้านบาท

ขณะสายสีเทา  ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ  กทม.เตรียมว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุน (PPP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ ระยะที่ 1 ระยะทาง 19 กม. เพื่อนำผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการฯในรูปแบบการลงทุนพีพีพี โดยใช้งบว่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 29 ล้านบาท ระยะเวลา 6 เดือน นับจากลงนามสัญญาจ้าง  โดยปัจจุบันจัดทำร่างเอกสารการประกวดราคา (ทีโออาร์)แล้ว คาดว่าจะเริ่มประกาศเชิญชวนเพื่อคัดเลือกที่ปรึกษาได้ ภายในเดือนมกราคม 2564  สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา แบ่งออกเป็น 3 เฟส ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ช่วงวัชรพล-ทองหล่อ  ระยะที่ 2 จากพระโขนง-ลุมพินี และระยะที่ 3  ช่วงลุมพินี-ท่าพระ

รฟท.ยืดสายสีแดง

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย  (รฟท.)  กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน 13 สถานี รวมสถานีกลางบางซื่อ  ขณะนี้เหลืองานระบบและจัดเตรียมอบรมบุคลากรในการบริหารและซ่อมบำรุงมีความก้าวหน้า 89.10% คาดว่าจะทดสอบเดินรถเสมือนจริงเดือน มีนาคม 2564 จากนั้นเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการเดือนกรกฎาคม 2564  และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2564 คาดว่ามีผู้ใช้บริการ 86,000 เที่ยวคนต่อวัน เบื้องต้นให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเป็นผู้เดินรถ ส่วนการบริหารสถานีกลางบางซื่อ ในระยะแรกทาง ร.ฟ.ท.จะเป็นผู้บริหารไปก่อน

สำหรับส่วนต่อขยายสายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ศึกษาแผนพัฒนา ให้ครอบคลุมเชื่อมต่อการเดินทางจากจังหวัดปริมณฑลด้านทิศเหนือ เข้ามายังกทม.  บริเวณพื้นที่ ดอนเมือง รังสิต ปทุมธานี และอยุธยา โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) มีแผนที่จะพัฒนาต่อขยายอีก 2 โครงการ ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 42,610 ล้านบาทแยกเป็นสายสีแดงเข้มช่วงรังสิต-ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.48 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 6,570 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562

ประเมินว่าจะสามารถจัดหาเอกชนเพื่อร่วมลงทุนได้ในเดือนธันวาคม 2565 เริ่มก่อสร้างใช้เวลา 3 ปี สามารถเปิดให้บริการ ในเดือนธันวาคม ปี 2568 คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารราว 28,150 คน/วัน และในอนาคตจะมีการสร้างต่อขยายจาก สถานีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ไปยังสถานีบ้านภาชี จ.อยุธยาด้วย โดยมีสถานีจำนวน 4 แห่ง คือ สถานีคลอง 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชียงราก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต”

ส่วนรถไฟทางไกลสายใหม่เชื่อมต่อรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ซึ่งจะดำเนินการ จำนวน 2 เส้นทาง ช่วง คือ 1.ช่วง อยุธยา-บ้านภาชี ระยะทาง 19.7 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 13,069 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับเปลี่ยนแปลง โดยมีจำนวน 4 สถานี คือ บ้านม้า มาบพระจันทร์ พระแก้ว และบ้านภาชี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ช่วงเดือนตุลาคม 2577 2. ช่วงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อยุธยา ระยะทาง 31.2 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 22,971 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายงานรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับเปลี่ยนแปลง โดยจะมี 4 สถานี   เรียกว่าอนาคตกทม.กำลังกลายเป็นเมืองแห่งการเดินทางด้วยระบบราง

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


แนวโน้มหุ้นไทย11ม.ค.64มีโอกาสปรับขึ้น ราคาทองคำร่วง300บาท

แนวโน้มหุ้นไทย11ม.ค.64มีโอกาสปรับขึ้น ราคาทองคำร่วง300บาท

หุ้นไทย 11 ม.ค. 64 แนวโน้มดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้น จากปัจจัยด้านราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นและทุนจากต่างชาติ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับลง 300 บาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ จากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นเกือบ 3% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ซาอุดีอาระเบียจะลดกำลังการผลิตน้ำมันทำให้เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน และคาดว่า Fund Flow จะยังไหลเข้ามาเห็นได้จากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4.5 พันล้านบาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดีให้ระวังความผันผวนด้วย โดยเฉพาะหุ้น DELTA ที่มีผลต่อดัชนีฯมาก อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการปรับเกณฑ์หุ้นที่มีฟรีโฟลตต่ำ และ Valuation ของตลาดเริ่มตึงตัวแล้ว ทำให้นักลงทุนจะต้องระวังแรงขายทำกำไร

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้รอติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่มแบงก์, การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหรือไม่ และติดตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในเร็ว ๆ นี้

พร้อมให้แนวรับ 1,520-1,525 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 ถัดไป 1,560-1,565 จุด

ด้านสมาคมค้าทองคำรายงานราคาทองคำประจำวัน ราคาปรับลง 300 บาท ทองแท่งรับซื้อ 26,050 บาท ขายออก 26,150 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อ 25,574.92 บาท ขายออก 26,650 บาท

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


“พิพัฒน์” มั่นใจไทยพร้อมเต็มร้อย เดินหน้าจัดแบดฯ 3 รายการใหญ่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตรวจความพร้อมอิมแพ็ค อารีนา ครั้งสุดท้าย ก่อนจัดศึกแบดมินตัน 3 รายการใหญ่ในสัปดาห์หน้า มั่นใจปลอดภัยไร้โควิด-19

วันที่ 10 ม.ค.64 ความเคลื่อนไหวในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศึกแบดมินตัน 3 รายการใหญ่ในเมืองไทย ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมความพร้อม และให้กำลังใจคณะเจ้าหน้าที่ ในการจัดการแข่งขันแบดมินตัน 3 รายการครั้งประวัติศาสตร์ ที่อิมแพ็ค อารีนา โดยมี คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้นำคณะเข้าชมความพร้อม ณ ห้องคอมมานด์ เซ็นเตอร์ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “จากการที่เรามีการเตรียมความพร้อม นักกีฬาเริ่มเข้ามาสู่ที่ อิมแพ็ค อารีนา และที่โรงแรมไอบิสกับโนโวเทล นักกีฬาชาติต่างๆ รวมประเทศไทย มี 22 ประเทศ ตั้งแต่มีการกักตัวในบับเบิล ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ทางกระทรวงสาธารณสุขและ ศบค. ได้มีการตรวจหาเชื้อเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ทุก 4 วัน จนถึง 31 ม.ค. คือวันสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ ขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงคุณหมอทุกท่านที่เข้าไปอยู่ในบับเบิล กรมแพทย์ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันทุกท่าน บริษัท Index เจ้าหน้าที่โรงแรม สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุดคือท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงต่างๆ และที่ต้องขอบคุณมากที่สุดคือท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้อนุมัติงบประมาณและตัดสินใจไม่ยุติการแข่งขันทั้ง 3 รายการ ให้เราดำเนินการแข่งขันต่อไปได้”

“การแข่งขันแบดทั้ง 3 รายการนี้จะเป็นการพิสูจน์ถึงศักยภาพของการจัดการแข่งขันกีฬาในประเทศไทย ภายใต้วิกฤติโควิด-19 ถ้าการจัดการแข่งขันของเราในคราวนี้ประสบความสำเร็จจนสิ้นสุดคือวันที่ 31 ม.ค. จะเป็นการตอบโจทย์ว่า ประเทศไทยเรามีความสามารถจัดการแข่งจัน คนไทยมีวินัยในการอยู่ร่วมกัน และแสดงให้เห็นว่าขณะที่ไทยเรามีกิจกรรมการจัดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ รัฐบาลให้การกีฬาแห่งประเทศไทยการสนันสนุน สมาคมแบดมินตัน กระทรวงต่างๆ ช่วยกันดูแลว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น”

“จากการชมการฝึกซ้อมและสภาพภายในสนามแข่งขันผ่านทางจอมอนิเจอร์ในห้องนี้ ณ ขณะนี้ ทุกคนในบับเบิลสะอาดและปลอดภัย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในนั้นจากพวกเราที่อยู่ภายนอก แต่จะมีการติดต่อสื่อสารผ่านทางออนไลน์เข้าไปเรื่อยๆ สำกรับความพร้อมจัดการแข่งขัน ณ ขณะนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พรุ่งนี้ถ้ามีการตรวจหาเชื้ออีกครั้งแล้วไม่มีเคสเกิดขึ้น ทุกอย่างจะเดินหน้าไปจนถึงวันที่ 31 มกราคมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเราสามารถจัดการแข่งขันท่ามกลางสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ นักกีฬาทั้งโลกจะมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถจัดการแข่งขันได้อย่างดียิ่ง”

ทางด้าน คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า “ในนามของคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ขอขอบคุณรัฐบาลไทย ท่านนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และทุกภาคส่วน ที่ให้การสนับสนุนจัดการแข่งขันแบดมินตัน 3 รายการครั้งประวัติศาสตร์นี้ แม้จะเป็นการจัดการแข่งขันแบบปิด แต่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ผ่านการถ่ายทอดสู่ผู้ชม 3,000 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นการเปิดประเทศให้คนทั่วโลกได้ชม เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมื่อสถานการณ์โรคระบาดผ่อนคลาย และยังเป็นต้นแบบจัดการแข่งขันกีฬาทั่วโลกแบบนิวนอร์มอล ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้”

“รายการนี้ไม่เป็นเพียงแค่สนับสนุนการแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่เป็นการส่งเสริมประเพณี วัฒนธรรม และการแสดงของไทย โดยจะมีการแสดงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยในพิธีมอบรางวัล และความพิเศษอยู่ที่การมอบรางวัลแบบนิวนอร์มอล ทุกท่านที่เป็นคนมอบรางวัลนั้นจะไม่ได้อยู่ภายในพื้นที่ แต่พิธีการวันนั้นจะถูกจัดให้มีความเสมือนจริง เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยสู่เวทีโลก ที่สามารถจัดกิจกรรมระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยมาตรการคุมเข้มเพื่อความปลอดภัยระดับสูงสุดในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ยังระบาดทั่วโลก”

“ในฐานะคณะกรรมการจัดการแข่งขันไม่มีความกังวล ตามที่ท่านรัฐมนตรีได้กล่าวแล้วว่าทุกคนในบับเบิลสะอาดที่สุด นอกจากนี้ทางโอลิมปิกได้ส่งบุคลากรมาสังเกตการณ์ว่าประเทศไทยทำได้อย่างไร มีการบริหารจัดการอย่างไร เพื่อจะนำไปเป็นต้นแบบ รวมถึงคุณโธมัส บาค ประธานไอโอซี ได้กล่าวชมประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่เสียสละให้นานาประเทศในโลก และกล้าหาญ มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะทำให้เกิดแบบอย่างการจัดการแข่งขันกีฬาชนิดอื่นๆ ให้แก่วงการกีฬาโลก” คุณหญิงปัทมา กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับการแข่งขันแบดมินตันเวิลด์ทัวร์ 3 รายการใหญ่ ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี จะเปิดฉากด้วยศึก “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น” เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างวันที่ 12-17 มกราคม ต่อด้วยรายการ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น” เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างวันที่ 19-24 มกราคม และ เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020 ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างวันที่ 27-31 มกราคม โดยทรูวิชั่นส์จะถ่ายทอดสดให้แฟนกีฬาในประเทศไทยได้รับชมทุกวัน วันละ 2 สนาม สนามละ 10 คู่.

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


แนะวิธีปฏิบัติให้ปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5

แนะวิธีปฏิบัติให้ปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5  thaihealth

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีปฏิบัติ ให้ปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 รวมถึงให้ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประเมินความเสี่ยงของตนเอง เพื่อป้องกันการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้บางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ หากได้รับมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป

กรมควบคุมโรค จึงขอแนะวิธีปฏิบัติให้ปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยการลดการก่อมลพิษและลดการเพิ่มปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ เช่น ลดการใช้รถยนต์ที่มีควันดำ ลดการเผาขยะหรือเผาในที่โล่งแจ้ง รวมถึงดูแลทำความสะอาดบ้านให้ปลอดฝุ่น โดยการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด และปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรออกนอกบ้านหรือทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแจ้ง โดยเฉพาะบริเวณหรือเส้นทางที่มีฝุ่นหนาแน่น หากจำเป็นควรป้องกันการสัมผัสฝุ่นให้น้อยที่สุด โดยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก และดื่มน้ำให้เยอะๆ เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองคอ แสบคอ นอกจากนี้ผู้ที่เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ควรป้องกันตนเองโดยการสวมหน้ากาก แว่นตา เสื้อแขนยาว เพื่อป้องกันฝุ่น เพราะฝุ่นจะทำให้เกิดการระคายเคืองตาและผิวหนังได้

นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และ 4 กลุ่มโรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังและดูแลเป็นพิเศษ คือ 1.กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก  2.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล แสบจมูกและลำคอ  3.กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย  และ 4.กลุ่มโรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา น้ำตาไหล และตาแดง หากสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่ เพื่อประเมินความเสี่ยงในการสัมผัสฝุ่นละอองอย่างเหมาะสม โดยสามารถติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


ข้าราชการครู ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร อ้อ..บุคลากรทางการศึกษาด้วย!

คำว่าครูน่าจะรู้กันดีว่า คือ Teacher แล้วข้าราชการครูล่ะ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอะไร อ้อมันมีพ่วงด้วยนะ “ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ซึ่งเป็นคำเต็มๆของบุคลากรที่ทำงานในหน่วยงานการศึกษา

ข้าราชการครูภาษาอังกฤษ

ข้าราชการครูภาษาอังกฤษ

“ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ภาษาอังกฤษคืออะไร ข้าราชการครู ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า

  • government teacher กั๊ฝเวินเมินท ที๊ชเชอะ แปลว่า ครูของรัฐบาล ก็คือ ข้าราชการครูนี่แหละ

ส่วนคำว่า บุคลากรทางการศึกษา เขาบัญญัติไว้ว่า

  • education personnel  เอ็ดจุเค๊เชิน เพ๊อเซินเน็ล แปลว่า บุคลากรทางการศึกษา

“ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ก็คือ Government Teachers and Education Personnel  ซึ่งเป็นคำที่กระทรวงเขาบัญญัติขึ้นมาครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com


เผย4ปัจจัยดันสินค้าลักชัวรีจีนโต 2 เท่า ท่ามกลางโควิด

เผย4ปัจจัยดันสินค้าลักชัวรีจีนโต 2 เท่า ท่ามกลางโควิด

จีนให้ส่วนแบ่งทางการตลาดลักชัวรีระดับโลกของจีนเพิ่มเป็น 2 เท่าในปี 2563 ท่ามกลางวิกฤตโควิด และคาดว่าจะโตขึ้นอีกไปจนปี 2568 เผยปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโต 4 ประการ การนำรายได้กลับสู่ประเทศ ผู้บริโภครุ่นมิลเลนเนียลและเจน Z การเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลและร้านค้าปลอดภาษีมณฑลไห่หนาน

ในช่วงแรกของการล็อคดาวน์เนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ยอดขายของสินค้าลักชัวรีในจีนมีการชะงักงัน อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายสินค้าลักชัวรีเริ่มกลับมาฟื้นตัวเนื่องมากจากมาตรการการจำกัดการเดินทางในระดับโลก ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนซื้อสินค้าลักชัวรีภายในประเทศแทนที่จะซื้อสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดภายในประเทศจีนจะเพิ่มขึ้น 48 % เป็นเกือบ 346,000 ล้านหยวน (ประมาณ 1,582,149.89 ล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้

การเติบโตดังกล่าวขับเคลื่อนประเทศจีนให้ส่วนแบ่งทางการตลาดลักชัวรีระดับโลกของจีนเพิ่มเป็น 2 เท่าในปี 2563 และคาดว่าจะโตขึ้นอีกไปจนปี 2568 ข้อมูลเหล่านี้อ้างอิงได้ใน China’s Unstoppable 2020 Luxury Market  รายงานการวิจัยร่วมระหว่าง Bain & Company และ Tmall Luxury Division ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม

ตลาดสินค้าลักชัวรีระดับโลกมีการเติบโตลดลง 23 %ในปี 2563 อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งทางการตลาดของจีนกลับโตเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 11 %ในปีก่อนหน้าเป็น 20 % ในปี 2563 และมีทีท่าว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและทำให้ประเทศจีนมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดภายในปี 2568 แม้สภาพเศรษฐกิจกลับไปสู่ช่วงก่อนวิกฤติโควิด

“ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 เราเริ่มเห็นการถดถอยของตลาดสินค้าลักชัวรีระดับโลก เนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมถูกจำกัด อย่างไรก็ตามตลาดจีนกลับมาฟื้นตัวในช่วงคลายมาตรการล็อคดาวน์ เนื่องมาจาก 4 ปัจจัยได้แก่ การนำรายได้กลับสู่ประเทศ: ผู้บริโภครุ่นมิลเลนเนียลและเจน Z การเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลและร้านค้าปลอดภาษีมณฑลไห่หนานซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้” นายบรูโน่ แลนซ์ พาร์ทเนอร์อาวุโสที่ Bain & Company สาขาเซี่ยงไฮ้และหนึ่งในผู้ร่วมจัดทำรายงานวิจัย กล่าว

“เทรนด์น่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับตลาดสินค้าลักชัวรีในปี 2563 คือ การที่แบรนด์พัฒนาและสร้างเครือข่าวในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางช่องทางออนไลน์และออฟไลน์” คริส ต่ง ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด กล่าว “กลุ่มผู้บริโภคสินค้าลักชัวรีของจีนมีความอินเทรนด์และเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและคาดหวังจะได้รับประสบการณ์ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ แบรนด์ลักชัวรีระดับโลกเริ่มหันมาใช้เครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ อาทิ ไลฟ์สตรีมมิ่งสำหรับการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและแสดงสินค้า ในมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก 11.11 ในปีนี้  มีผู้บริโภคดูไลฟ์สตรีมมิ่งและมีปฏิสัมพันธ์หลายล้านครั้งภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผู้บริโภคใช้เวลามองหาวิธีที่จะพูดคุยเชื่อมต่อกับแบรนด์ที่ตนชื่นชอบผ่านทางช่องทางออนไลน์

คริส ต่ง ประธานกรรมการฝ่ายการตลาด อาลีบาบา กรุ๊ป

รายงานได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโต 4 ประการ:

การนำรายได้กลับสู่ประเทศ: ตลาดลักชัวรีของจีนมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นจากการใช้จ่ายภายในประเทศตั้งแต่ปี 2558 เนื่องมาจากการลดอัตราภาษีนำเข้า การควบคุมตลาดเกรย์ที่เข้มงวดขึ้นและการที่ราคาสินค้าของแบรนด์อยู่ในระดับเดียวกัน อีกทั้งมาตรการจำกัดการเดินทางในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทำให้การใช้จ่ายสินค้าลักชัวรีภายในประเทศมีมากขึ้นถึง 70-75 % มีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันไปในหมวดหมู่สินค้า อาทิ เครื่องหนังและเครื่องประดับมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 70-80 % เสื้อผ้า ready-to-wear และรองเท้าเติบโตขึ้นอยู่ที่ 40-50 %และนาฬิกาหรูเพิ่มขึ้นประมาณ 20 %

กลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z: กลุ่มมิลเลนเนียลในประเทศจีน (เกิดระหว่างปี 2523-2538) และเจน Z (เกิดหลังปี 2538) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดลักชัวรีและส่งผลให้แบรนด์ปรับตัวไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น และเน้น “การตามหาแฟชั่นที่ใช่” สินค้า ดีไซเนอร์จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ กลุ่มมิลเลนเนียลนับเป็นฐานลูกค้าสำคัญในธูรกิจลักชัวรีออนไลน์

การเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล: ในแง่ของอีคอมเมิร์ซ อัตราการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนเพิ่มจาก 13 %ในปี 2562 ไปเป็น 23 %ในปี 2563 การระบาดของโควิดทำให้ยอดขายออนไลน์ของสินค้าลักชัวรีเพิ่มขึ้นถึง 150 % สินค้าในหมวดลักชัวรีแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ มีฐานลูกค้าไม่มากในช่วงแรกกลับเติบโตถึง 100 %ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2563 และการเจาะกลุ่มลูกค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 5 %ในปี 2562 เป็น 7 %ในปี 2563

เกาะไห่หนาน: มณฑลไห่หนานมีโซนสินค้าปลอดภาษีมาเป็นเวลา 1 ทศวรรษ แต่กลับเพิ่งมาได้รับความนิยมในปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการจำกัดการท่องเที่ยวในช่วงวิกฤติโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นการช้อป ยอดขายสินค้าปลอดภาษีในไห่หนานสูงถึง 21,000 หยวน (ประมาณ 95,630 บาท) ในสิ้นเดือนตุลาคม 2563 ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 98 % เมื่อเทียบกับปี 2562

สถานการณ์ในระดับโลกน่าจะกลับมาสู่ภาสะปกติก่อนปี 2565 หรือ 2566 ผู้บริโภคจีนยังจะคงมีพฤติกรรมระมัดระวังแม้พรมแดนจะเปิดให้เดินทางอีกครั้ง คาดว่าแบรนด์ลักชัวรีจะกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2564 ในอัตรา 30 %

“หลากหลายแบรนด์มีหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ ดิจิทัลเต็มรูปแบบมากขึ้น รวมไปถึงการเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สำคัญๆ” แครี่ จาง  พาร์ทเนอร์ที่ Bain & Company สาขาเซี่ยงไฮ้และหนึ่งในผู้ร่วมจัดทำรายงานวิจัย “นอกจานี้ แบรนด์ลักชัวรีเริ่มยกระดับแบรนด์ด้วยคุณภาพและการให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกลยุทธ์การส่วนร่วมกับผู้บริโภคที่แบรนด์ลักชัวรีต่างๆ พึงมี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แบรนด์ยังขาดในช่วงแรกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล”

“แบรนด์ลักชัวรีมองอีคอมเมิร์ซไม่ใช่ในฐานะช่องทางการขายแต่เป็นช่องทางการทำการตลาด ที่สามารถสร้างความรับรู้แก่ผู้บริโภค สร้างคุณค่าแก่แบรนด์และเพิ่มกลุ่มผู้บริโภคใหม่” ลูน่า หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายลักชัวรีของทีมอลล์ อาลีบาบา กรุ๊ป “แบรนด์มีเครื่องมือออนไลน์มากมายที่จะใช้เล่าเรื่องและสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค อาทิ การปรับแต่งสินค้า สินค้ารุ่นลิมิเต็ท การใช้ข้อมูลผู้บริโภค ไลฟ์สตรีมมิ่งและการเชื่องโยงระหว่างการตลาดออนไลน์และออฟไลน์”

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thansettakij.com


อันตรายของ “ป่าช้าเหงา” (หนานเฉาเหว่ย) สมุนไพรช่วยลดน้ำตาลในเลือด ทานมากอาจช็อกเสียชีวิต

อันตรายของ “ป่าช้าเหงา” (หนานเฉาเหว่ย) สมุนไพรช่วยลดน้ำตาลในเลือด ทานมากอาจช็อกเสียชีวิต

“ป่าช้าเหงา” สมุนไพรที่ผู้สูงอายุนิยมทานเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ทดแทน หรือควบคู่ไปกับการทานยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาอาการโรคเบาหวาน ฟังดูมีประโยชน์ และปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วหากทานไม่มากเกินไป หรือทานไม่ถูกวิธี อาจเสี่ยงน้ำตาตกเฉียบพลันจนช็อก และเสียชีวิตได้

ป่าช้าเหงา คืออะไร?

ต้นป่าช้าเหงา หรือ หนานเฉาเหว่ย เป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดจากจีน และเป็นพืชกลุ่มเดียวกับฟ้าทลายโจร และพญายอ นิยมปลูกเพื่อเป็นสมุนไพร รักษาอาการของโรคต่างๆ ส่วนที่นำมาทานเพื่อบรรเทาอาการของโรค คือ ใบสด ที่มีรสขมจัด

สรรพคุณของใบป่าช้าเหงา หรือ หนานเฉาเหว่ย

เฟซบุ๊คเพจ สมุนไพรอภัยภูเบศร อธิบายว่า ป่าช้าเหงามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ดังนี้

  1. ลดน้ำตาลในเลือด
  2. ลดไขมันในเลือด
  3. ลดน้ำหนัก
  4. ลดความดันโลหิต
  5. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
  6. ปกป้องตับ (แต่หากเป็นโรคตับ ไม่แนะนำให้ทาน)
  7. ปกป้องไต (หาก GFR หรือค่าการทำงานของไตต่ำกว่า 60 ไม่แนะนำให้ทาน)
  8. กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  9. แก้ปวด ลดอักเสบ
  10. ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  11. ต้านเชื้อปรสิต
  12. เพิ่มคุณภาพของสเปิร์ม
  13. คนพื้นบ้านทานเพื่อแก้ไขมาลาเรีย
  14. คนในแอฟริกา และลิงชิมแปนซีกินเพื่อขับพยาธิ

ปริมาณของใบป่าช้าเหงาที่ควรทาน

  1. ทานเป็นอาหาร
ทานใบป่าช้าเหงาโดยนำใบมารองกระทงห่อหมกแทนใบยอ หรือยำดอกขจรใส่ดอกป่าช้าเหงา คนพื้นบ้านนิยมกินช่วงเปลี่ยนฤดู ปลายฝนต้นหนาว เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เจ็บป่วย (นิยมนำมาลวกน้ำร้อนก่อนรับประทาน เพื่อลดความขม และลดฤทธิ์ยา วันละ 3-5 ใบ)
  1. ทานเป็นยา

    เช่น เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือกินบำรุงร่างกาย

  • กินใบสด ถ้ากินใบใหญ่เท่าฝ่ามือ วันละ 1 ใบ กินบ้างหยุดบ้าง เช่น กินวันเว้นวัน หรือ 2-3 วันกินที ถ้าจะกินทุกวัน แนะนำวันละ 1-2 ใบเล็กๆ ติดต่อกันไม่เกิน 1 เดือน อาจเว้น 1 เดือน แล้วเริ่มกินใหม่
  • ต้มกิน ใบเท่าฝ่ามือ 3 ใบ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ต้มพอเดือด 3-5 นาที ดื่ม 250 มิลลิลิตร ก่อนอาหารเช้า วันละ 1 ครั้ง ตอนตื่นนอน กินบ้างหยุดบ้าง

ไม่แนะนำให้กินทุกวัน หรือกินต่อเนื่อง เพราะเป็นยาเย็น

(จากการใช้ของคนไทใหญ่และทางใต้ มักกินไม่เกินวันละ 5 ใบ)

ข้อควรระวังในการทานใบป่าช้าเหงา

  1. ห้ามใช้ในคนไข้กินยาละลายลิ่มเลือดชื่อวาร์ฟาริน เพราะอาจเสริมฤทธิ์ยา
  2. ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
  3. ผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับ และไตบกพร่อง (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่าหากค่าการทำงานของไต GFR น้อยกว่า 60 ไม่ควรทาน) เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยในการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว
  4. ไม่ควรทานเป็นยา ในผู้ที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คุมความดันโลหิตได้ดีอยู่แล้ว
  5. ระวังการใช้ในผู้ป่วยเลือดจาง เนื่องจากบางรายงานพบฤทธิ์ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
  6. หากมีอาการหน้ามืด เหนื่อยมากขึ้น เหงื่อออก ใจสั่น อ่อนแรง  ควรหยุดทานแล้วปรึกษาแพทย์ทันที

ข้อควรทราบก่อนทานใบป่าช้าเหงา

  • สมุนไพรไม่ได้ทำให้โรคดังกล่าวหายขาด ห้ามหยุดยาแผนปัจจุบัน ห้ามขาดการรักษา
  • ผู้ป่วยควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ความดันตก (BP < 90/60 มิลลิเมตรปรอท อาจมีวิงเวียน หน้ามืด) น้ำตาลตก (ระดับน้ำตาล < 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อาจมีวิงเวียนหน้ามืด ใจสั่น เหงื่อกออก) ต้องหยุดกินทันที
  • จากรายงานการใช้ พบว่าให้ผลลดความดันและน้ำตาลได้เร็ว และลดได้มาก ในผู้ป่วยบางราย (Haemolytic properties) แต่บางรายงานก็ไม่พบผลดังกล่าว
  • พบพิษต่ออัณฑะในหนูเพศผู้ เมื่อใช้ติดต่อกัน 5-6 วัน ระวังการใช้ติดต่อกันนานหรือเข้มข้นในชายวัยเจริญพันธุ์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,100.00 26,200.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,691.00 25,635.56 26,700.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,521.90 23,072.00 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,352.80 20,508.45 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 761.00 11,536.76 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 592.00 8,974.72 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,752.00 26,560.32 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/01/2564

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55 23.55
แก๊สโซฮอล์ 91 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28 23.28
แก๊สโซฮอล์ E20 22.04 22.04 22.04 22.04 22.04 22.04 22.04 22.04 22.04
แก๊สโซฮอล์ E85 18.99 18.99 18.99
เบนซิน 95 30.96 31.41 31.46 30.96 30.96
ดีเซล B7 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49 24.49
ดีเซล 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49 21.49
ดีเซล B20 21.24 21.24 21.24 21.24 21.24 21.24 21.24 21.24
ดีเซลพรีเมี่ยม 28.94 28.96 30.94 30.34 28.94
แก๊ส NGV 13.12 13.12 13.12
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า