สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2560

รับสร้างบ้านเร่งปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ ชูนวัตกรรมสู้  

รับสร้างบ้านเร่งปรับตัวรับเทรนด์ใหม่ ชูนวัตกรรมสู้

ถือว่าต้องทำงานอย่างหนักสำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านในครึ่งหลังปี 2560 เนื่องจากภาพรวมตลาดลดลงกว่า 10% ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ดังนั้นผู้ประกอบการเลยต้องมีการปรับตัวปรับกลยุทธ์อย่างแรง ทั้งในแง่ของนวัตกรรมการก่อสร้าง และการควบคุมต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งแรกปี 2560 ชะลอตัว โดยลดลง 13-14% หรือมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จากตัวเลขมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2560 ที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศและไม่ยอมใช้จ่ายโดยเฉพาะกลุ่มกลางและบน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับตัวเพื่อลดต้นทุน

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังเชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมา โดยเฉพาะไตรมาส 3 เนื่องจากความต้องการสร้างบ้านใหม่ยังมีอยู่ ประกอบกับผู้ประกอบการต่างเร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาด รวมทั้งการแข่งขันด้านราคาและส่วนลด 15-20% ทำให้ตลาดแข่งขันรุนแรงแต่บรรยากาศจะคึกคักขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคมีอำนาจการต่อรองสูง โดยกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสนใจจะปลูกสร้างบ้านในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2-2 ล้านบาท มีสัดส่วนถึง 70%

สำหรับตลาดในต่างจังหวัดนั้น กำลังซื้อเริ่มกลับมาทั้งในส่วนของโครงการจัดสรรและรับสร้างบ้านหลังจากซึมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยจังหวัดที่เติบโตได้ดียังคงเป็นจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว และเมืองที่มีเศรษฐกิจเติบโตดี เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น เป็นต้น อย่างไรก็ดี หากในไตรมาส 3 ตลาดไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ ตลาดรวมปีนี้ก็อาจไม่มีการเติบโต

ด้าน ศิริพร สิงหรัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีอาร์คีเทค กล่าวว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ลดปัญหาแรงงาน โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเครือเอสซีจี ในการใช้นวัตกรรมก่อสร้างเหล็กสยาม ยาโมโตะ รวมทั้งยังนำระบบผนังมวลเบาเสริมโครงเหล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน และรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค 4.0 ทั้งนี้บริษัทได้มีการออกแบบบ้านรองรับไลฟ์สไตล์ผ่าน 4 เทรนด์ที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ เทรนด์ผู้สูงอายุ เทรนด์บ้านที่ประหยัดพลังงาน เทรนด์ดิจิทัลที่นำความทันสมัยของเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และเทรนด์รักษ์โลกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“มองว่าการก่อสร้างบ้านทำให้เกิดมลภาวะมากมาย ทั้งฝุ่นละออง ขยะ ใช้เวลาหลายเดือน

บริษัทจึงใช้ระบบโครงสร้างเหล็กมาทดแทนโครงสร้างคอนกรีต ทำให้เป็นหน่วยงานที่สะอาด ลดมลภาวะกับพื้นที่ข้างเคียง ที่สำคัญ การได้รูปแบบบ้านที่ทันสมัย บางเบา มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากโครงสร้างคอนกรีตที่ดูหนาเทอะทะ” ศิริพร กล่าว

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาโปรดักต์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องของผู้บริโภค อีกทั้งเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจในภาวะที่ตลาดทรงตัวและมีการแข่งขันกันสูง

นอกจากการปรับตัวของผู้ประกอบการแล้ว ในขณะเดียวกันสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านได้จัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ : Home Builder & Materials Expo 2017” ในวันที่ 17-20 ส.ค. 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อกระตุ้นการขาย พร้อมกับนำเสนอเทรนด์ความต้องการวัสดุก่อสร้างและตกแต่งต่างๆ ที่ใช้งานได้ง่าย-มากประโยชน์ และต้องตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งานมาแสดง

สำหรับเทรนด์วัสดุก่อสร้างและตกแต่งที่นำเสนอ ได้แก่ เทรนด์ Eco-Friendly บ้านประหยัดพลังงาน ซึ่งฝ่ายวิชาการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เชื่อว่าในปี 2563 เทคโนโลยีเพื่อช่วยประหยัดพลังงานหรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเก็บพลังงานทดแทนจะมีมากขึ้น รวมถึงการใช้ฟิล์มกรองแสงเพื่อช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านหรืออาคาร ซึ่งวันนี้นวัตกรรมการผลิตฟิล์มติดกระจกยังล้ำถึงขั้นกันกระสุนได้ด้วย

เทรนด์สำหรับบ้านพื้นที่ขนาดเล็ก นอกจากจะออกแบบเพื่อลดทอนบางห้องเข้าด้วยกันแบบมัลติฟังก์ชั่นแล้ว การเลือกใช้สีทาผนังก็มีอิทธิพลที่จะช่วยทำให้บ้านนั้นดูสว่างขึ้น และปัจจุบันนวัตกรรมการผลิตสียุคใหม่ก็ง่ายต่อการทำความสะอาดและการดูแลรักษา นอกจากนี้ยังมีวัสดุอุปกรณ์สำเร็จ รูปอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทต่อการปลูกสร้างบ้านหรืออาคาร นั่นคือวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป ซึ่งนอกจากจะคงไว้ซึ่งประโยชน์การใช้สอยแล้ว ยังช่วยทำให้ประหยัดเวลาและประหยัดแรงงานด้วย

เทรนด์ Home Tech ฝ่ายวิชาการของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เชื่อว่าในปี 2563 แทบทุกบ้านของคนรุ่นใหม่จะมีการใช้เทคโนโลยีมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายสำหรับอยู่อาศัยมากขึ้น บ้านทุกหลังจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ อาทิ การควบคุมระบบไฟด้วยรีโมท หรือการสั่งการด้วยเสียง ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงขั้นตอนต่างๆ ในการก่อสร้างบ้านและนวัตกรรมการสร้างบ้านที่มีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคนิคการก่อสร้างใหม่ๆ เข้ามาใช้ เช่น บ้านโครงสร้างเหล็ก ทำให้การทำงานมีความรวดเร็วและประหยัดต้นทุน เป็นต้น

เทรนด์บ้านสำหรับผู้สูงอายุ ด้วยการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และอีก 10 ปีข้างหน้าผู้สูงอายุจะมีมากถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ดังนั้นการออกแบบหรือการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์สร้างบ้านจึงต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้สูงอายุ และอีกหนึ่งนวัตกรรมการอยู่อาศัยที่เข้ามามีบทบาท นั่นคือลิฟต์สำหรับบ้านพักอาศัย ซึ่งนอกจากจะยกระดับความสุขภายในบ้านแล้วยังเติมเต็มไลฟ์สไตล์เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยยิ่งขึ้น

เทรนด์ต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นโจทย์สำคัญของบริษัทรับสร้างบ้านที่จะต้องเร่งปรับตัวรับกับไลฟ์สไตล์ที่จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในเวลาอันใกล้นี้

ที่มา  หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


ไฮสปีดเทรน กรุงเทพฯ-โคราช เชื่อมขนส่งอาเซียน-จีน

การประชุมคณะรัฐมนตรี วานนี้ (11 ก.ค.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมฯมีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้าความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในวงเงิน 179,413ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบประมาณ 2560-2563) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ มีรายละเอียดดังนี้

ความสำคัญของโครงการ

โครงการฯช่วงกรุงเทพมหานครนครราชสีมา เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟขนาดทาง มาตรฐานช่วงกรุงเทพมหานครนครราชสีมา-หนองคาย ที่มีความสำคัญ เชิงยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน และสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ปัจจุบันมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และมีมูลค่าการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวกับไทยสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ One  Belt One Road ที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ การสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง การคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือให้เชื่อมโยงกับ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

ในระดับประเทศ จะเป็นการเชื่อมโยง โอกาสการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีระดับสัดส่วนมูลค่าร้อยละ 47 ของ GDP ไปสู่จังหวัดในโครงข่ายในการพัฒนา ได้แก่ อยุธยา สระบุรี นครราชสีมา สำหรับการพัฒนาโครงข่ายในระยะแรก และนำไปสู่เขตจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย กลุ่มจังหวัดใกล้เคียง ในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการสนับสนุนและเชื่อมโยง พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อันเป็นการเปิดโอกาสด้านการพัฒนาเมือง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว นำไปสู่การ กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ในขณะที่ลดการย้ายถิ่นฐาน สร้างงานในพื้นที่ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนทำงานยังคงอยู่อาศัยกับครอบครัวในสังคมผู้สูงอายุในอีก 5 ปีข้างหน้า

ในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จะนำไปสู่การเริ่มต้นของการพัฒนาโครงข่ายระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย และเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟด้านทิศเหนือ-ใต้ของอาเซียน กับจีนตอนใต้ตามแนวเส้นทางรถไฟสิงคโปร์-คุนหมิง อันเป็น Gateway ของการเป็นประตูกลุ่มประเทศศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งทางบกของประเทศไทย ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่แท้จริง  ตลอดจนจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายคมนาคม One Belt One Road เชื่อมไปสู่กลุ่มประเทศที่สำคัญผ่านโครงข่ายทางรถไฟของจีนในอนาคต ซึ่งมีความสำคัญในด้านของภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่จะมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นลู่ทางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวให้แก่นักธุรกิจของไทย ผู้ประกอบการขนส่ง เกษตรกร เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ไปสู่การเปิดตลาดใหม่ๆ ได้อย่างยั่งยืนสาระสำคัญของโครงการ

-แนวเส้นทาง ระยะทางรวม 253 กม. สถานียกระดับ 6 สถานี

-ศูนย์ซ่อมบำรุงและควบคุมการเดินรถ สถานีรถไฟเชียงรากน้อย

-ระบบรถไฟฟ้า EMU 6 ขบวน กำลัง ขับเคลื่อนสูงสุด 5,200 kW. ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ความจุขบวนรถ 600 ที่นั่ง/ขบวน ใช้เวลาเดินทาง กทม.-นครราชสีมา 1 ชม. 17 นาที

– เปิดให้บริการปีแรก (ปี 2564) คาดว่า จะมีปริมาณผู้โดยสาร ประมาณ 5,310 คนเที่ยว/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 26,830 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2594 รถออกทุก 90 นาที กรอบวงเงินลงทุน 179,413ล้านบาท ซึ่งไทยจะเป็นผู้ลงทุน ทั้งหมด

รูปแบบการดำเนินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 สัญญา ได้แก่

(1) สัญญาก่อสร้างงานโยธา (ฝ่ายไทย)

(2)สัญญา EPC RAILWAY SYSTEMS ได้แก่ งานออกแบบรายละเอียดงาน โยธาควบคุมงานโยธา ติดตั้งและจัดหา ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และขบวนรถ (ฝ่ายจีน)

(3) การเดินรถและซ่อมบารุง กำหนดให้มีการจัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ (SPV) ในฐานะรัฐวิสาหกิจของไทยเพื่อดาเนินงานเดินรถและซ่อมบำรุง

ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ มี NPV เท่ากับ -59,286 ล้านบาท ณ อัตราคิดลดร้อยละ 12 EIRR ร้อยละ 8.56 และ B/C Ratio 0.62 เท่า

ผลตอบแทนทางด้านการเงิน มีNPV เท่ากับ -220,197 ล้านบาท ณ อัตราคิดลดร้อยละ 2.53

ครม.ไฟเขียวเร่งเวนคืนที่ดินสร้างวงแหวนรอบเมืองโคราช

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วานนี้ (11 ก.ค.) ครม.เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านหนองไทรบ้านหนองบัวศาลา ในท้องที่ อ.ปักธงชัย อ.เมือง และ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน

เนื่องจากขณะนี้ยังมีอีก 4 แปลงที่ประชาชนยังไม่เข้ามาทำสัญญาข้อตกลงซื้อขายกับกรมทางหลวง(ทล.) จากทั้งหมด 58 แปลงที่มีการกำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินแล้ว จึงต้องมีการออกประกาศเร่งด่วนดังกล่าว เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนปกติของการเวนคืนที่ดิน ทั้งนี้ 4 แปลงดังกล่าว อยู่บริเวณทางแยกต่างระดับ ซึ่งเป็น จุดเริ่มต้นโครงการ สำหรับโครงการก่อสร้างดังกล่าว ได้ทำสัญญาจ้างบริษัท โรจน์สินก่อสร้าง จำกัด ก่อสร้างโครงการ ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการ 960 วัน โดยเริ่มสัญญาวันที่ 1 มิ.ย.2559 และสิ้นสุดสัญญาวันที่ 16 มิ.ย.2562 วงเงินก่อสร้าง 987,934,080 บาท โครงการนี้จะช่วยแก้ปัญหาการจราจร ติดขัดภายในตัวเมืองนครราชสีมาในระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันการจราจรผ่านเข้าตัวเมืองดังกล่าวค่อนข้างหนาแน่น ดังนั้นการสร้างถนนวงแหวนของเมืองใหญ่จึงมีความจำเป็น เพื่อให้รถไม่ต้องวิ่ง ผ่านเข้าตัวเมือง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมี อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนอีก 227 แปลง ที่ยังไม่ได้กำหนดราคาค่าทดแทนที่ดิน ซึ่งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้น กำลังประชุมเพื่อกำหนดราคาค่าทดแทน ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้ จากนั้น จะแจ้งให้ประชาชนมาทำสัญญาต่อไป

ที่มา  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ธปท. กำหนดเพดานสินเชื่อใหม่ รายได้ไม่เกิน 3 หมื่น ได้ 1.5 เท่า

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวคิดที่จะวางกรอบการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตใหม่ เพื่อแก้แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดมาแตะระดับ 79.9% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ณ สิ้นปี 2559 สูงเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย รองจากออสเตรเลียและเกาหลีใต้

ธปท. กำหนดเพดานสินเชื่อใหม่ รายได้ไม่เกิน 3 หมื่น ได้ 1.5 เท่า

จำกัดวงเงินสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันทุกประเภท
กฎเกณฑ์ใหม่ของ ธปท. มุ่งเน้นไปที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการคุมการก่อหนี้ตามฐานรายได้ แบ่งเป็น
สินเชื่อบัตรเครดิต กำหนดให้ผู้มีรายได้ระหว่าง 15,000-30,000 บาท/เดือน ได้รับวงเงินบัตรเครดิตสูงสุดไม่เกิน 1.5 เท่า ส่วนผู้มีรายได้ 30,000-50,000 บาทต่อเดือน ได้รับวงเงินบัตรไม่เกิน 3 เท่า และ 50,000 บาทขึ้นไปได้รับวงเงินไม่เกิน 5 เท่า โดยไม่จำกัดจำนวนบัตร จากเดิมที่จะได้รับวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตไม่เกิน 5 เท่า ในทุกฐานรายได้
สินเชื่อส่วนบุคคล กำหนดให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จะได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1.5 เท่า และจำกัดสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้ไม่เกิน 3 แห่ง ส่วนผู้มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป ยังคงได้รับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 เท่าของรายได้

เกณฑ์ใหม่ ธปท. ไม่กระทบธนาคารขนาดใหญ่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะอยู่ในวงจำกัดเนื่องจากเกณฑ์การอนุมัติวงเงินสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายใหม่ที่ธนาคารไม่เคยมีประวัติเครดิตมาก่อนนั้น มักอยู่ในกรอบที่ต่ำกว่า 5 เท่าต่อรายได้อยู่แล้วในปัจจุบัน โดยในกรณีของบัตรเครดิตนั้น จะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 2-3 เท่าต่อรายได้ ขณะที่จำนวนบัตรเครดิตที่ถือครองในปัจจุบัน มักไม่เกิน 3 บัตร ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า การถือครองบัตรโดยเฉลี่ย จะอยู่ที่ประมาณ 2.23 ใบต่อคน (ยกเว้นกลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนเกิน 1 แสนบาท)

นอกจากนี้ แนวทางของ ธปท.ในการลดเพดานวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลลงจากเดิมนั้น ยังเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ที่เน้นกำหนดวงเงินสินเชื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานจริงของลูกค้ามากขึ้น โดยธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้เริ่มเน้นนโยบายการให้วงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการใช้จ่ายของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และ/หรือแต่ละรายมากขึ้น

ธปท. ลดเพดานวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล

สินเชื่อครึ่งปีแรกโต 2.9%
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังเปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปี 2560 สินเชื่อเติบโตแล้ว 2.9% มาจากสินเชื่อธุรกิจ แม้ว่าการลงทุนเอกชนจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ยังมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ทำให้สินเชื่อที่เป็น trade finance โตกว่า 7% ตามการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เติบโตประมาณ 5% ทำให้สินเชื่อธุรกิจเติบโตได้ดีกว่าที่คาดจากเดิมคาดว่าจะต้อง 2% เป็น 3.5%

สำหรับสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ยังคงเติบโตในกรอบจำกัดจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศที่ยังไม่ทั่วถึง ความกังวลต่อประเด็นคุณภาพหนี้ และกฎหมายแรงงานใหม่ คาดว่าในปีนี้จะโตประมาณ 4%

ส่วนสินเชื่อรายย่อยยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงตามยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่หดตัวต่อเนื่อง และกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับธนาคารต่าง ๆ ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้การเติบโตของสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบปีนี้เติบโตประมาณ 4.5% น้อยกว่าที่คาดไว้ที่ 5.5%

ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แม้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในไตรมาส 3 ปี 2560 ที่ระดับ 3.07% แต่คาดว่าจะลดลงในไตรมาส 4 ปี 2560 จากเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และจากการขายหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารต่าง ๆ ออกมาเพื่อรักษาเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับที่แต่ละธนาคารกำหนดไว้

จากกรอบแนวคิดของ ธปท. แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการลดปัญหาหนี้จากสินเชื่อเพื่อการบริโภค ซึ่งไม่กระทบกับภาคธุรกิจอื่น ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย และมีวินัยทางกรเงินมากขึ้น ก็คงต้องตั้งใจรอความชัดเจนของ ธปท. อีกครั้ง ว่าจะเดินตามกรอบแนวคิดนี้ หรือมีประเด็นอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่

ที่มา ddproperty.com


Blue Dye Café รีโนเวทบ้านเก่า เป็นร้านอาหารสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์

Blue Dye Café รีโนเวทบ้านเก่า เป็นร้านอาหารสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์

“คาเฟ่สไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์ ที่ถูกรีโนเวทจากบ้านไม้เก่า ให้กลายเป็นร้านอาหารสุดเก๋ Blue Dye Café คุมความดิบเท่ด้วยพื้นและผนังปูนขัดมัน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของสะสมเพิ่มลวดลายด้วยผ้าย้อมครามและพรมหลากสี”

หากเราได้ผ่านไปในย่านสุขุมวิทแล้วอยากจะหาที่นั่งพักเพื่อจิบกาแฟ ก็คงจะเจอกับคาเฟ่มากมายหลากหลายคอนเซปต์ที่ต่างก็มีความโดดเด่นในตัวเอง ดึงดูดเราให้เข้าไปลิ้มลองบรรยากาศและรสชาติของกาแฟ แต่ในบรรดาร้านเหล่านั้นจะมีสักกี่ร้านที่ทำให้รู้สึกถึงความสบายอย่างแท้จริงได้เท่ากับร้าน Blue Dye Café บ้านสีน้ำเงินย้อมครามหลังน้อยในซอยสุขุมวิท 36 ที่นอกจากจะมีเครื่องดื่มและอาหารรสชาติดีแล้ว ก็ยังมีของน่ารักๆ ให้ได้ช็อปปิ้งติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย

Blue Dye Cafe02

ร้านแห่งนี้เกิดจากความหลงใหลในเสน่ห์แห่งผ้าสีน้ำเงินย้อมครามของ คุณตั้ม กิตติพงษ์ ไพบูลย์สมบัติ ช่างภาพฟรีแลนซ์ที่หันมาเปิดร้านกาแฟในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์ ได้รับแรงบันดาลจากหนังสือแต่งบ้านและเว็บไซต์ต่างประเทศ จากนั้นจึงทำการรีโนเวทบ้านขนาด 2 ชั้น เพื่อเปิดเป็นร้านคาเฟ่เท่ๆ แบบปูนเปลือย ให้คนที่แวะเวียนผ่านเข้ามาได้นั่งทำงาน จิบกาแฟ หรือแม้แต่อ่านหนังสือเคล้าเสียงเพลงที่เปิดคลอ ส่วนบริเวณชั้น 2 เปิดให้เป็นพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมเวิร์กช็อป รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละเดือน

ภายในร้านดูโปร่งโล่งแต่ยังคงให้บรรยากาศดิบเท่จากพื้นปูนขัดมัน

ภายในร้านดูโปร่งโล่งแต่ยังคงให้บรรยากาศดิบเท่จากพื้นปูนขัดมัน

บ้านไม้หลังเล็กได้รับการรีโนเวทใหม่ภายใต้ลุคดิบเท่แบบอินดัสเทรียลลอฟท์ ผนังปูนเปลือยและพื้นปูนขัดมันตัดกันกับงานไม้ที่เป็นโครงสร้างเดิมของบ้าน สอดแทรกด้วยชุดโต๊ะ-เก้าอี้ไม้ดีไซน์เก๋ และเฟอร์นิเจอร์เก่าจากแหล่งต่างๆ บนผนังเสริมด้วยงานศิลปะภาพวาดต่างๆ รวมถึงการใช้ชอล์กเขียนเมนูอาหารลงบนผนังที่ขับเน้นลงตัวกับความดิบของปูน อีกทั้งยังเพิ่มสีสันด้วยพรมหลากลวดลาย ผ้าย้อมคราม และผ้าพื้นเมืองในแถบเอเชีย ที่นำมามิกซ์แอนด์แมตซ์จัดวางตามส่วนต่างๆ ของร้าน

นอกจากนี้ภายในร้านยังจัดสรรพื้นที่ไว้สำหรับขายเสื้อผ้าแฮนด์เมดและจิวเวลรี่ รวมทั้งแบ่งพื้นที่บางส่วนเปิดเป็นช็อปเซรามิกเล็กๆ ภายใต้ชื่อ Cone No.9 ซึ่งมีเพื่อนๆ ของคุณตั้ม มาช่วยแต่งร้านและคิดค้นเมนูใหม่

มุมช็อปเซรามิก เสื้อผ้าแฮนด์เมด และจิวเวลรี่

มุมช็อปเซรามิก เสื้อผ้าแฮนด์เมด และจิวเวลรี่

มาถึงส่วนของเครื่องดื่มและอาหาร เมนูยอดนิยมของทางร้านคือ เมนูเส้นอย่างสปาเก็ตตี้ ที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งไก่กระเทียม หมูน้ำตก ผัดขี้เมา หรือคาร์โบนาร่า หรือเมนูแปลกใหม่อย่าง Chicken Cornflakes ไก่ทอดที่นำคอร์นเฟลกมาชุบแป้งทอดจนได้ไก่ที่กรอบนอกนุ่มใน หรืออาจจะเลือกลิ้มลอง Mandarin Sandwich ที่ได้ความหวานซ่อนเปรี้ยวจากเนื้อส้มแมนดารินผสานความหอมมันจากมอสซาเรลลาชีส ท้อปด้วยโหระพาอิตาเลียน และอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ สลัดหมูย่าง ทานพร้อมกับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ Indian Shake เครื่องดื่มสีแดงรสชาติไทยๆ ด้วยส่วนผสมจากน้ำกระเจี๊ยบและน้ำมะตูม กับความเปรี้ยวเล็กๆ จากมะนาว นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟต่างๆ รวมถึงเบียร์ที่ขายในตอนกลางคืนอีกด้วย

Blue Dye Cafe7_9

Tip: การตกแต่งด้วยปูนซีเมนต์
ปูนซีเมนต์ฉาบ เป็นวัสดุที่เข้ากับการตกแต่งได้ง่ายในทุกพื้นที่ ซึ่งเราสามารถเพิ่มลุคความดิบเท่ด้วยการเลือกใช้ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป เสือ เดคอร์ Grey Skim Coat (ฉาบแต่งผิวเทา) ที่มีกระบวนการทำงานง่ายๆ สามารถฉาบได้ทั้งผนังเก่าและใหม่ อีกทั้งยังสามารถเลือกใช้น้ำยาเคลือบผิวปูนซีเมนต์ที่มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะให้รูปลักษณ์ของผนังที่แตกต่างกันออกไป และเพื่อช่วยป้องกันความชื้นและคราบสกปรกต่างๆ ให้ผนังคงความสวยงามไปได้อีกนาน

ที่มา ddproperty.com


รวมคำชมต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ

ใครๆก็ชอบที่จะถูกชมเชย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม จริงมั้ยคะ? แต่ถ้าเราจะชมคนต่างชาติ หรือถ้ามีคนต่างชาติมาชื่นชมเราล่ะ เราจะรู้กันมั้ย ว่าคำชมที่เราพยายามจะสื่อสารกับเขา หรือคำชมที่คนต่างชาติเหล่านั้นพยายามสื่อสารกับเรานั้นแปลว่าอะไร? ต้องพูดยังไง? แล้วแต่ละคำชม แตกต่างกันมากมั้ย? จะชมสิ่งที่เขาทำ? หรือชื่นชมกับคนที่กระทำ?

complimentsinenglish

วันนี้เราจะมายกตัวอย่างคำชมที่เรามักจะได้ยินหรืออาจจะได้ใช้บ่อยๆในชีวิตประจำวันกันค่ะ!

1. Very good / Good / Good job / Excellent / Great / Perfect / Fantastic

คำศัพท์เหล่านี้ล้วนเป็นคำชม ที่มีความหมายตรงตัว ว่า ’ดีมาก/เยี่ยมยอด’ สามารถชมเป็นคำสั้นได้เลย หรือจะเพิ่มประโยคต่อท้ายคำชมเพื่อเพิ่มประโยคสนทนาก็ได้ ตัวอย่างเช่น นายA สอบได้คะแนนเต็ม เราสามารถกล่าวชมเชยนาย A พร้อมชวนเขาคุยว่า ’Good job!, How did you do that? ’หรือเพียงแค่ ‘Good job!’ สั้นๆก็ได้

2. Much better! / That’s great

เป็นคำชมประเภท ชื่นชมผลงาน/ สิ่งของ / การกระทำ มากกว่าตัวบุคคลค่ะ

3. I’m so proud of you / I know you can do it!

ประโยคคำชมแบบนี้ เป็นการชมที่เน้นถ่ายอารมณ์ของผู้เอ่ยชม เป็นการชมที่แฝงการให้กำลังใจไว้ด้วย เป็นคำชมที่เน้นความรู้สึกของผู้พูด

4. You are getting better everyday / You did that very well / Nothing can’t stop you now

ตัวอย่างที่คำชมที่ยกมาในข้อสี่นี้ เป็นการชมที่พยายามชมเจาะจงไปที่บุคคลที่เราอยากจะชมค่ะ ซึ่งจะแตกต่างจากคำชมในข้อสองที่มุ่งชมไปที่วัตถุสิ่งของมากกว่าคนที่กระทำ และยังแตกต่างจากข้อสามที่เน้นไปยังความรู้สึกผู้พูดชม แต่ในกรณีคำชมนี้เป็นคำชมที่แสดงให้เห็นเลยว่า ผู้พูดนั้นใส่ใจที่จะชม เพราะเค้าได้ชมนอกเหนือจากสิ่งของหรือผลงาน แต่เค้าเห็นถึงความพยายามของผู้ที่ถูกชมอีกด้วย เป็นคำชมที่เน้นถึงผู้ฟัง(ผู้ถูกชม)นั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.hotcourses.in.th


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 13/07/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,600.00 19,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,270.00 19,253.20 20,200.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,143.00 17,327.88 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 572.00 8,671.52 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 445.00 6,746.20 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,316.00 19,950.56 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  13/07/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55 25.55
แก๊สโซฮอล E-20 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04 23.04
แก๊สโซฮอล E-85 19.24 19.24 19.24 19.24
แก๊สโซฮอล 91 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28 25.28
เบนซิน 95 32.66 33.11 33.11 33.16 32.66 32.66 32.66
ดีเซลหมุนเร็ว 24.49 24.49 24.49 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99 23.99
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 27.49 28.17 28.17 28.17 28.17
มีผลตั้งแต่ 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00 05 Jul 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า