สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2560

บ้านเดี่ยวแข่งปั้นนวัตกรรมโซลาร์ฯแก้ร้อน

อสังหาฯ แนวราบ แข่งนวัตกรรม แสนสิริประเดิมบ้านระบายความร้อนโดยโซลาร์เซลล์ผสานบ้านผู้สูงอายุ

นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ เปิดเผยว่า บริษัทได้รุกด้านนวัตกรรมอย่างเต็มรูปแบบในโครงการบ้านแนวราบ โดยได้นำนวัตกรรมบ้านระบายความร้อนโดยโซลาร์เซลล์ ภายใต้ชื่อ Cooliving Designed Home ประกอบด้วย 5 ฟังก์ชั่น ได้แก่ 1.ระบบพัดลมและช่องระบายอากาศใต้หลังคา ทำให้บ้านเย็นลง 2.ช่องระบายลมในบ้าน 3.ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยดูจากทิศทางของบ้าน 4.ผนังบ้านดีไซน์พิเศษช่วยลดความร้อนจากแสงแดดที่ตกกระทบผิว และ 5.สีชนิดพิเศษช่วยกันความร้อนเป็นต้น รวมทั้งนวัตกรรมบ้านสำหรับผู้สูงอายุ

“นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาเป็นสัดส่วน 5-6% ของราคาบ้าน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับราคาบ้านและความต้องการของลูกค้าว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยบริษัทมีแผนจะนำนวัตกรรม ดังกล่าวไปใช้กับทุกโครงการบ้านเดี่ยวที่พัฒนา” นายเมธา กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุดได้เปิดขายโครงการบุราสิริ วัชรพล 242 ยูนิต มูลค่า 3,400 ล้านบาท ส่วนแผนในครึ่งปีหลังจะเปิด 9 โครงการใหม่มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 2 โครงการในช่วงไตรมาส 3 และ 7 โครงการในไตรมาส 4 จากทั้งปีเปิด 11 โครงการมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับยอดขายครึ่งปีแรก 6,000 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ที่มา  หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


พม.เดินหน้าบ้านประชารัฐริมคลองบางซื่อ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการออกแบบบ้านย่านบางซื่อ “จากวังหลังสู่บางซื่อ” พร้อมนำชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ เยี่ยมชมกระบวนการจัดการที่อยู่อาศัยชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์ เพื่อให้ตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ อยู่ระหว่างการพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้เห็นรูปแบบการพัฒนาชุมชน และนำกลับไปใช้ในการออกแบบบ้านและผังชุมชนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อ โดยมีตัวแทนชาวชุมชนริมคลองบางซื่อ นักวิชาการด้านที่อยู่อาศัย และเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จำนวน 50 คน เข้าร่วมกิจกรรม

นายไมตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีโครงการจัดการสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ โดยการรื้อย้ายบ้านเรือนที่อยู่ในคลองลาดพร้าว และคลองบางซื่อออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน เพื่อให้สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร สร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม และมอบหมายให้ พม.โดย พอช.จัดทำแผนงานที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับประชาชนต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อนตามโครงการบ้านประชารัฐริมคลองนั้น ขณะนี้การก่อสร้างบ้านใหม่ในชุมชนริมคลองลาดพร้าวมีความคืบหน้าไปตามลำดับขั้น พอช.ได้สนับสนุนการก่อสร้างบ้านไปแล้ว 9 ชุมชน สร้างเสร็จไปแล้วประมาณ 900 หลัง ส่วนที่ชุมชนริมคลองบางซื่อมีจำนวน 7 ชุมชน ประมาณเกือบ 500 ครัวเรือน อยู่ระหว่างเตรียมออกแบบ

นายไมตรีกล่าวว่า ชุมชนตรอกวังหลังต้นโพธิ์เป็น 1 ในโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช.ให้การสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในชุมชนเดิม 33 หลังคาเรือน โดยเช่าที่ดินกรมธนารักษ์ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการ พม. ทำพิธีมอบบ้านให้แก่ชาวชุมชนไปแล้วในช่วงต้นปี 2559 จากสภาพเดิมของชุมชนมีความแออัดไม่เป็นระเบียบ บ้านเรือนมีสภาพทรุดโทรม จึงออกแบบบ้านและก่อสร้างใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและสามารถเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ มีประชาชนและนักท่องเที่ยวสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน สำหรับชุมชนริมคลองบางซื่ออนาคตจะไม่แตกต่างจากชุมชนวังหลังฯ ชาวชุมชนสามารถใช้บ้านเป็นร้านค้าขายของได้ เพราะชุมชนตั้งอยู่ระหว่างถนนสองสายที่สำคัญ คือ ถนนรัชดาภิเษกกับลาดพร้าว ขณะนี้ถนนรัชดาภิเษกมีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว ส่วนถนนลาดพร้าวรัฐบาลมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเร็วๆ นี้ ทำให้ชุมชนริมคลองบางซื่อสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำได้

ที่มา  หนังสือพิมพ์มติชน


ดึงนายจ้างหักเงินเดือนใช้หนี้ 26 ก.ค. พ.ร.บ. กยศ. ฉบับใหม่เอาจริง

ดึงนายจ้างหักเงินเดือนใช้หนี้ 26 ก.ค. พ.ร.บ. กยศ. ฉบับใหม่เอาจริง

โครงการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. เริ่มมาตั้งแต่เมื่อปี 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กู้ยืมเงินแก่นักเรียน หรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (สายสามัญและสายอาชีพ) จนถึงระดับปริญญาตรี โดยมีแนวคิดให้เป็นกองทุนหมุนเวียน ให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้คืนเมื่อสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว 2 ปี โดยผ่อนชำระ 15 ปี ดอกเบี้ย 1%

ซึ่งเงินส่วนนี้จะถูกส่งต่อให้กับนักเรียน นิสิต/นักศึกษาในรุ่นถัดไป โดยมีกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี หรือสามารถเลือกจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ ผ่านทางธนาคารกรุงไทยทุกสาขา แต่ปัจจุบันกลับมีผู้กู้เป็นจำนวนมากที่ไม่ชำระหนี้คืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักเรียน นิสิต/นักศึกษา ในรุ่นถัดไปที่ไม่มีเงินกู้ยืม และมีข้อจำกัดในการกู้ยืมมากขึ้น อาทิ ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 และทำกิจกรรมจิตอาสาไม่น้อยกว่า 36 ชั่วโมง/ปี และทำให้ กยศ. ต้องไปดึงงบประมาณจากรัฐมาเพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก

เมื่อจิตสำนึกไม่เพียงพอต่อการจูงใจให้ผู้กู้มาชำระหนี้ ล่าสุด คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ได้มากขึ้น

ทำไมต้องมี พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี กยศ. ได้สนับสนุนเงินกู้ยืมแก่นักเรียน นิสิต/นักศึกษา เพื่อค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายด้านศึกษาถึง 4.5 ล้านราย วงเงินกู้ 4.7 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งหรือกว่า 4 แสนล้านบาทมาจากงบประมาณของรัฐที่จัดสรรให้ในแต่ละปี ส่วนที่เหลือมาจากการชำระหนี้ของนักเรียน นิสิต/นักศึกษา รุ่นก่อนที่สำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว 2 ปี แต่ปัจจุบันยังมีผู้กู้ที่ค้างชำระถึง 2 ล้านคน มูลหนี้ 5.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังแล้ว ยังเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของนักเรียน นิสิต/นักศึกษารุ่นต่อไป

ทั้งนี้ จากการประเมินพบว่า หากผู้ที่ค้างชำระ 2 ล้านคน มูลหนี้ค้าง 5.6 หมื่นล้านบาท ชำระหนี้ดังกล่าว จะทำให้นักเรียน นิสิต/นักศึกษารุ่นต่อไปมีโอกาสทางการศึกษาถึง 1.08 ล้านคน หรือได้รับเงินกู้เฉลี่ย 5.2 หมื่นบาท/คน/ปี

14J_02

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 มีสาระสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ โดยกำหนดให้องค์กรนายจ้างมีหน้าที่หักเงินได้ที่มาจากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือนค่าจ้างฯ ของผู้กู้ยืมที่เป็นพนักงานลูกจ้างนำส่งกรมสรรพากรพร้อมกับการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้คืนกองทุน นอกจากนี้ กองทุนสามารถขอข้อมูลหรือเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็นของผู้กู้ยืม เพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและการติดตามการชำระเงินคืนเท่านั้น

โดยในเบื้องต้นจะเริ่มหักรายได้ลูกหนี้ กยศ. ที่เป็นข้าราชการก่อน ซึ่งมีประมาณ 100-200 หน่วยงาน โดยมีข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ กยศ. และค้างชำระหนี้ทั้งสิ้น 200,000 คน จากนั้นจะทยอประสานบริษัทเอกชนเพื่อหักรายได้ของลูกจ้าง คาดว่าจะช่วยลดยอดหนี้ค้างชำระได้ 53% ของจำนวนลูกหนี้ค้างชำระทั้งหมด 2 ล้านคน
นอกจากนี้ยังเป็นการรวบกองทุน กยศ. กับกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต หรือ กรอ. เข้าด้วยกัน ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง 2 กองทุนนี้คือ กยศ. จะให้กู้เฉพาะเด็กที่ขาดแคลน ส่วน กรอ. ไม่จำกัดรายได้ผู้กู้ แต่พิจารณาจากสาขาที่ขาดแคลนซึ่งรัฐบาลเป็นผู้กำหนด โดยผู้กู้ กรอ. จะได้เงินเฉลี่ยคนละ 7.64 หมื่นบาท/ปี ส่วน กยศ. จะได้เฉลี่ยคนละ 5.2 หมื่นบาท/ปี ทำให้อัตราการค้างชำระหนี้ของ กรอ. สูงกว่า

ส่วนการส่งข้อมูลทางการเงินให้กับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งประเทศไทย หรือเครดิตบูโร ยังไม่ได้กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ประกอบกับจากการรวบกองทุน กยศ. และ กรอ. เข้าด้วยกัน ทำให้ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการกองทุน กยศ. ใหม่ การดำเนินการดังกล่าวจึงมีความล่าช้ากว่าเดิม คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2563 จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2561

 

ยอดชำระหนี้เพิ่ม ตั้งเป้าปล่อยกู้ปี 60 จำนวน 2.7 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน กยศ. ดึงผู้กู้ที่ค้างชำระหนี้จำนวน 2 ล้านคน มาเข้าโครงการไกล่เกลี่ย 1 แสนคน และผู้กู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วประมาณ 8 แสนคน โดยกลุ่มนี้มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีถึงขั้นยึดทรัพย์ คือค้างชำระเกิน 4 ปี 5 งวด ซึ่งปัจจุบันทาง กยศ. ได้ส่งเรื่องให้บริษัททนายไปดำเนินการสืบทรัพย์กับผู้กู้รุ่นปี 2547, 2548 และ 2549 แล้ว ประมาณ 5.1 หมื่นคน จำนวนนี้ถูกยึดทรัพย์แล้ว 3,800 คน

จากการเอาจริงเอาจังดังกล่าวทำให้ปี 2560 กยศ. เสนอของบประมาณจากรัฐเพียง 9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกที่กองทุนของบต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากงบประมาณปี 2559 ที่ได้รับ 1.3 หมื่นล้านบาท และปี 2558 ได้รับ 1.44 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมียอดการชำระหนี้เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2556 มียอดชำระหนี้รวม 1.1 หมื่นล้านบาท ปี 2557 จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท ปี 2558 จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และล่าสุดปี 2559 มียอดชำระหนี้รวม 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2560 ตั้งเป้าปล่อยกู้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท

พ.ร.บ. ฉบับใหม่ ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบในการส่งเสริมวินัยทางการเงิน รวมทั้งสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อเงินกู้ยืมที่นำมาจากงบประมาณแผ่นดิน เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษาในรุ่นต่อไป

ที่มา ddproperty.com


‘กำแพง’ ตัวช่วยในการออกกำลังกายง่ายๆ

‘กำแพง’ ตัวช่วยในการออกกำลังกายง่ายๆ

3.หายใจออก พร้อมกับออกแรงดันตัวขึ้นกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น

โดย…วราภรณ์ ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช

โรคยอดฮิตของออฟฟิศซิมโดรม มักเกิดอาการกับส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย อาทิ กระดูกและข้อ เส้นประสาท และกล้ามเนื้อเริ่มปวด

สัญญาณที่บอกว่าเราเริ่มมีปัญหากับร่างกายแล้ว คือเวลาขยับร่างแล้วมีเสียงกรอบแกรบ ขยับแล้วเจ็บเสียวแปลบๆ คอยื่นไปข้างหน้า หลังค่อม กระดูกสันหลังคด กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีแรง ชา กล้ามเนื้อกระตุก ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อย นั่งทำงานอยู่ก็รู้สึกอ่อนล้า เพลีย ตึง ยึด ปวดขึ้นไปที่ขมับ กล้ามเนื้ออักเสบ พังผืดสั่งสมบริเวณกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ ร้าวขึ้นไปบริเวณขมับ ปวดไปที่กระบอกตา

อย่าให้เกิดอาการเช่นนั้นกับตนเองเลย  ต่อไปนี้เป็นการแนะนำท่าออกกำลังกายง่ายๆ ที่แม้อยู่ที่ออฟฟิศก็สามารถยืดเส้นยืดสายได้ ขอแค่มีเพียงอุปกรณ์คือรองเท้าผ้าใบกับกำแพงก็ช่วยคุณได้แล้ว

แนะนำท่าออกกำลังกายโดย เทรนเนอร์โด้-ภักดี อรัณยะนาค ฟิตเนสโปรเฟสชั่นแนล ของเวอร์จิ้น แอคทีฟ สยามดิสคัฟเวอรี่ กับ 2 ท่าออกกำลังกายที่ใช้กำแพงเป็นส่วนประกอบ

ท่า  “Wall  Sit”

เป็นท่าออกกำลังกายที่จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อรอบหัวเข่าได้ เริ่มลงมือ …

1.ยืนตรง แยกขาให้กว้างประมาณหัวไหล่ ให้ขาทั้งสองข้างห่างจากกำแพงประมาณ 1-1.5 ก้าว หรือพิงกำแพง ปลายเท้าชี้มาด้านหน้า มือทั้งสองข้างทิ้งไว้ข้างลำตัว ตา

มองไปข้างหน้า

2.หายใจเข้า งอเข่าพร้อมๆ กับย่อตัวลง ให้หัวเข่าทำมุมประมาณ 45-90 องศากับลำตัว โดยให้หลังพิงกำแพงตลอดการเคลื่อนไหว

ท่า “Wall Push up”

เป็นท่าที่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากๆ หรือคนที่อ้วนก็จะสามารถออกกำลังกายได้ง่ายขึ้นและปลอดภัย เริ่มลงมือ

1.หันหน้าเข้าหากำแพงวัดระยะ 1 ช่วงแขน ลำดับต่อไประยะฝ่ามือให้อยู่พอดีกับหัวไหล่เราทั้งสองข้าง ท่านี้จะทำสลับกันสองท่า เริ่มต้นท่าแรกทิ้งน้ำหนักตัวลงไปกางศอกออก

หมายเหตุ : ท่านี้จะได้หัวไหล่และหน้าอก

2.จากนั้นให้หุบข้อศอกลง จะเป็นการบริหารหน้าอกและหลังแขน

3.กางศอก ทำแบบนี้สลับกันไปสำหรับท่านี้

การออกกำลังกาย หากทำเป็นประจำสม่ำเสมอร่วมกับการควบคุมอาหารที่ดีและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง การเผาผลาญพลังงานในร่างกายก็จะมากขึ้น น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างแน่นอน

ที่มา posttoday.com


Verb to be และ get เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

วันนี้ขออธิบาย verb to be และคำว่า get ที่ใช้กับ adjective และประโยค Passive voice (ประธานถูกกระทำ) ปกติการเรียนภาษาอังกฤษทั่วไปที่เรียนในชั้นเรียนเราจะถูกสอนประโยคพื้นฐานจนคุ้นหู เช่น หากเป็นคำ adjective ประโยคจะมีโครงสร้างเป็น Subject + Verb to be + adjective ตัวอย่าง I am tired, You are hungry, She is pregnant. และหากเป็น Passive voice โครงสร้างประโยคจะเป็น Subject + Verb to be + Verbช่อง 3 หรือ Past-participle เช่น My heart is broken (ฉันอกหัก หรือถูกทำให้อกหัก), He is rewarded (เขาได้รับรางวัล หรือถูกมอบรางวัลให้), I have been robbed (ฉันเพิ่งถูกปล้น),

ถ้าเราพูดอ่านหรือใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆจะเห็นว่าบ่อยครั้งที่คำว่า get จะถูกใช้แทนที่ Verb to be เช่น I am getting very tired of this old computer, You get hungry everytime I see you, She got pregnant two months ago. เป็นต้น พูดง่ายๆคือ to get ใช้แทน to be ได้หากใช้กับ adjective หรือ Passive voice

แล้วความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ที่จริงแล้วความหมายแทบจะไม่ต่างกันเลย โดยส่วนมาก get จะใช้ในภาษาพูดมากกว่า ความหมายอาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยโดยความหมายของประโยคที่ใช้ get จะออกไปในทาง ขั้นตอน หรือ กระบวนการมากกว่า อาจพูดอีกอย่างว่า get จะออกแนว become หรือ grow ในความหมายนั่นเอง

get + adjective/V3 = become or grow + adjective/V3

If I work for a long time, I get tired. (I get tired = I become tired = I grow tired)

If I have nothing to do, I get bored. (I get bored = I become bored =I grow bored)

ที่มา songstranslator.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 14/06/2560

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,300.00 20,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,315.00 19,935.40 20,900.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,183.50 17,941.86 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 592.00 8,974.72 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 460.00 6,973.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,363.00 20,663.08 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  14/06/2560


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 25.95 25.95 25.95 25.95 25.95 25.95 25.95 25.95 25.95
แก๊สโซฮอล E-20 23.44 23.44 23.44 23.44 23.44 23.44 23.44 23.44 23.44
แก๊สโซฮอล E-85 19.44 19.44 19.44 19.44
แก๊สโซฮอล 91 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68 25.68
เบนซิน 95 33.06 33.51 33.51 33.56 33.06 33.06 33.06
ดีเซลหมุนเร็ว 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29 24.29
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 27.29 27.97 27.97 27.97 27.97
มีผลตั้งแต่ 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00 10 Jun 05:00
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า