สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2561

แนะพรีแฟบแก้แรงงานเผ่นกลับชาติ คาดตลาดรับสร้างบ้านขยายตัว8พันล้าน

หวั่นแรงงานกระเพื่อม หลัง “ฮุนเซน” ปลุกเร้าแรงงานกัมพูชากลับบ้าน ชี้คนไทยปฎิเสธทำงานก่อสร้างเพราะงานหนัก เผยรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ไม่พร้อมปรับตัว เชื่อตลาดรับสร้างบ้าน 6 เดือนแรกขยายตัวตามคาด 8 พันล้านบาท

นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาเรียกร้องให้แรงงานชาวกัมพูชาที่กำลังทำงานอยู่ในประเทศไทย ให้เดินทางกลับไปทำงานในบ้านเกิด โดยเฉพาะแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันกัมพูชาขาดแคลนแรงงานเป็นอย่างมาก เหตุเพราะมีโครงการลงทุนต่าง ๆ เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก โดยการออกมาประกาศของสมเด็จฮุนเซนในครั้งนี้ เชื่อว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมกับชาวกัมพูชา ที่เข้ามาค้าแรงงานในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่สนใจหรือเลือกจะทำงานก่อสร้างกันแล้ว แม้ว่าจะได้ค่าแรงแพง นั่นก็เพราะเป็นงานที่หนักเหนื่อยและสกปรก ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทที่ต้องใช้ทักษะหรือกรรมกรก่อสร้างก็ตาม ฉะนั้นหากแรงงานกัมพูชาส่วนหนึ่งเดินทางกลับตามคำเรียกร้อง ปัญหาแรงงานก่อสร้างขาดแคลนก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น การปรับค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้นเพื่อแย่งชิงแรงงานก็จะย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีก

4_2

“สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) ประเมินว่า นับวันปัญหาแรงงานขาดแคลนและค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น หากผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายใด ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจหรือผลประกอบการก็จะค่อย ๆ ถดถอยลงหรือรับงานได้น้อยลง และอาจถึงขั้นจะต้องออกจากธุรกิจนี้ไป เพราะการดำเนินธุรกิจและแข่งขันจะยากลำบากมากขึ้น เหตุผลหลัก ๆ เป็นเพราะว่าในปัจจุบันและในอนาคตพฤติกรรมหรือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ การตอบสนองจากสินค้าและบริการคือ “คุณภาพ สะดวก รวดเร็ว” ซึ่งการก่อสร้างรูปแบบเดิม ๆ ไม่ตอบโจทย์และควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ระบบพรีแฟบหรือโครงสร้างสำเร็จรูปก็เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วประเทศแล้ว สังเกตได้จากการที่ดีเวลลอปเปอร์และบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ เช่น กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แสนสิริ พฤกษา แลนดี้โฮม และ พีดีเฮ้าส์ ฯลฯ ที่ใช้ระบบพรีแฟบหรือโครงสร้างสำเร็จรูป ต่างมีมูลค่าแชร์ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและขยายตลาดได้ทั่วประเทศ”

3_5

สถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพบว่า ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ยังคงใช้ระบบก่อสร้างรูปแบบเดิม ๆ คือหล่อคอนกรีตในที่ หรือการผูกเหล็ก ประกอบไม้แบบ และเทคอนกรีตโครงสร้าง ณ สถานที่ก่อสร้างนั้น โดยยังคงต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก สวนทางกับดีเวลลอปเปอร์ที่ต่างเปลี่ยนมาใช้ระบบพรีแฟบกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว อย่างไรก็ดี ระบบพรีแฟบหรือโครงสร้างสำเร็จรูปนั้น ยังไม่เป็นที่นิยมของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมากนัก สาเหตุเพราะว่าไม่คุ้นเคยและที่สำคัญคือ ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ทั้งการออกแบบด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม การคำนวณต้นทุน การผลิต การขนส่งจากโรงงานไปยังสถานที่ก่อสร้าง และการติดตั้งที่ต้องอาศัยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ ฯลฯ เป็นต้น

นายสิทธิพร นายกสมาคมฯ แนะว่าปัจจุบันมีโรงงานรับจ้างผลิตที่เป็นมืออาชีพและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ สามารถผลิตตามออเดอร์หรือความต้องการของลูกค้าได้ ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ต้องการหันมาใช้ระบบพรีแฟบ จึงไม่จำเป็นจะต้องลงทุนสร้างโรงงานผลิตของตัวเองเหมือนในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะอาศัยความเชี่ยวชาญของกันและกันในการสร้างบ้านทุกหลัง เหลือเพียงแค่ผู้ประกอบการกำหนดวิสัยทัศน์และเร่งปรับตัวเอง เพื่อให้พร้อมจะดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาว เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ระบบพรีแฟบทั้งแบบโครงสร้างคอนกรีตและโครงสร้างเหล็ก จะเข้ามาแทนที่ระบบก่อสร้างแบบเดิม ๆ มากขึ้น และช่วยให้การส่งมอบคุณภาพงานสร้างบ้านทุกหลังเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคมากขึ้น ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านก็จะมีความเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือในวงกว้างเพิ่มมากขึ้นตามกัน

2_5

ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 4 เดือนเศษที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค. 2561) ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ หรือคิดเป็นมูลค่า 6 เดือนแรก 7.5-8 พันล้านบาท สำหรับความต้องการสร้างบ้านในต่างจังหวัด พบว่าในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้หลาย ๆ จังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางเริ่มมีความต้องการและกำลังซื้อดีขึ้นมาก เช่น เชียงราย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด สุรินทร์ นครราชสีมา และสระบุรี ฯลฯ เป็นต้น

http://www.bangkokbiznews.com


ไนท์แฟรงค์เผยราคาคอนโดฯ ชานเมืองโตสวนทางย่าน CBD

ไนท์แฟรงค์เผยราคาคอนโดฯ ชานเมืองโตสวนทางย่าน CBD

ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ เผยผลวิจัยภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงส่งสัญญาณสดใส เป็นผลมาจากอานิสงส์ของการขยายเส้นทางให้บริการรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ชั้นในและปริมณฑล โดยปี 2560 มียูนิตใหม่เข้าสู่ตลาด 62,751 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 19% ขณะที่การเติบโตราคาคอนโดฯ  โซนชานเมืองเพิ่มขึ้น 61% ขณะที่ย่าน CBD หดตัว 

จับตาทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนและน้ำเงิน

ทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดคอนโดฯ ยังคงเป็นแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนและรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนย่าน CBD สุขุมวิทยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้ามาประมาณ 11,000 ยูนิต รองลงมาคือวิทยุ สีลม สาทร 2,300 ยูนิต และพระราม 4 จำนวน 817 ยูนิต ส่วนทำเลนอกเขต CBD ที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ พระราม 9 – รัชดาภิเษก, พหลโยธิน, ลาดพร้าว, และอ่อนนุช – แบริ่ง โดยมียูนิตใหม่เข้ามาในพื้นที่ข้างต้นประมาณ 19,000 หน่วย

ราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดฯ ในย่าน CBD และปริมณฑล

ราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดฯ ในย่าน CBD และปริมณฑล

 

ราคาคอนโดฯ ในโซน CBD ลดลง สวนทางย่านชานเมือง ปรับสูงขึ้น 

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2561 พบว่าคอนโดฯ ที่เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 มีราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.ใน CBD และพื้นที่โดยรอบ ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 60 อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโครงการที่เปิดตัวใหม่ไตรมาสนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเด่นน้อย ขณะที่ ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 110,353 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 และเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปี 2560 ทั้งปี ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินในเมืองเหลือน้อยบวกกับราคาที่ดินมีแนวโน้มทะยานขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการหลายรายจึงหันไปให้ความสนใจทำเลรอบนอกมากขึ้น โดยในไตรมาสนี้มีโครงการระดับบนซึ่งราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม.มากกว่า 110,000 บาทขึ้นไป เปิดตัวในทำเลชานเมืองถึง 6 โครงการ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อ ตร.ม. ในพื้นที่นี้สูงขึ้นกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาดปีนี้คาดว่าย่านชานเมืองและพื้นที่รอบ CBD ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ทั้งในด้านราคาอสังหาฯ และการตอบรับจากผู้บริโภค โดยเฉพาะโครงการทำเลติดแนวรถไฟฟ้า หรืออยู่ห่างรถไฟฟ้าในระยะทางไม่เกิน 1 กม. ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาด

ทั้งนี้จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่ายังมีอีกหลายโครงการจากผู้พัฒนาโครงการชั้นนำเตรียมทยอยเปิดตัวใน CBD ในไตรมาสที่เหลือของปี 2561 นี้ ซึ่งต้องจับตามองว่าราคาของโครงการใหม่จะทำให้ราคาเสนอขายเฉลี่ย/ตร.ม.ของคอนโดมิเนียมใน CBD กลับมาอยู่ที่จุดใกล้เคียงหรือสูงกว่าปี 2560 หรือไม่

https://www.ddproperty.com


คนไทยดื่มเหล้า-เบียร์น้อยลง ! ทำสรรพสามิต รายได้วืด 6,000 ล้าน

 “สรรพสามิต” เผยยอดเก็บภาษี 7 เดือนแรก รายได้จากการเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หายไปกว่า 6,000 ล้านบาท หลังคนไทยดื่มสุรา-เบียร์น้อยลง ผู้ประกอบการปรับสูตรผลิต ทำรัฐเก็บภาษีลดลง 

ภาษีเหล้าเบียร๊

วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในรอบ 7 เดือน ปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560-เมษายน 2561) ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,289 ล้านบาท โดยเก็บภาษีได้ 322,132 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่พลาดเป้าถึง 6,300 ล้านบาท เพราะระยะหลังคนไทยคนไทยดื่มเบียร์ ดื่มสุราน้อยลง โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่ปกติจะจัดเก็บภาษีได้เป็นจำนวนมาก แต่ปีนี้มีมาตรการณรงค์งดเครื่องดื่มมึนเมา ควบคู่กับการจัดโซนนิ่งตามสถานที่เล่นน้ำและสถานีขนส่งต่าง ๆ จึงทำให้ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการเก็บภาษีน้อยลงตามด้วย

ขณะเดียวกันยังได้รับผลกระทบจากโรงงานผลิตเบียร์ได้ปรับสูตรผลิตใหม่ โดยลดปริมาณแอลกอฮอล์และลดขนาดสินค้าให้เล็กลง เช่น เดิมมีปริมาณแอลกอฮอล์ผสม 5% ก็ลดลงเหลือ 3% รวมถึงได้ปรับขนาดเบียร์กระป๋องจาก 350 ซี.ซี. เหลือ 330 ซี.ซี. เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น จากการถูกเก็บภาษีเข้ากองทุนผู้สูงอายุ จึงทำให้การเก็บภาษีลดลงตามไปด้วย เพราะการเก็บภาษีจะวัดจากแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้การเก็บภาษีจะลดลง แต่ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพคนไทย

ทั้งนี้ การเก็บภาษีสุราและเบียร์ ในเดือนเมษายน 2561 ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเก็บภาษีเบียร์ได้ 8,998 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 173 ล้านบาท ส่วนภาษีสุราเก็บได้ 5,412 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 433 ล้านบาท ทำให้ภาพรวม 7 เดือน เก็บภาษีเบียร์ได้ 42,173 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 4,341 ล้านบาท และเก็บภาษีสุราได้ 34,486 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ยังมั่นใจว่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในปีนี้ จะทำได้สูงกว่าปีที่แล้วแน่นอน โดยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 4-5% แต่จะทำได้ตามเป้าหมาย 600,000 ล้านบาทหรือไม่นั้น ถือเป็นความท้าทายที่กรมฯ จะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างสูง

https://money.kapook.com


เปิดงบกลาง ปี 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้าน กระทรวงไหนได้งบเยอะสุด

สำรวจงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปี 2561 จำนวน 1.5 แสนล้าน กระทรวงไหนคว้างบก้อนนี้ไปมากที่สุด แต่ละหน่วยงานได้งบประมาณเท่าไหร่บ้าง มาดูกัน 

งบกลาง ปี 2561

วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นการอนุมัติงบรายจ่ายเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท โดยกระทรวงและหน่วยงานรัฐที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด มีดังนี้

        1. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ในความควบคุมของกระทรวงการคลัง จำนวน 49,641 ล้านบาท 

  2. กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน เพื่อใช้ในกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช จำนวน 34,022 ล้านบาท (แบ่งเป็นกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ 2 หมื่นล้านบาท, กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก 13,872,513,200 บาท, เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช 150 ล้านบาท)

      3. กระทรวงมหาดไทย 31,875 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย 2 หมื่นล้านบาท กรมการปกครอง 2,547,650,800 บาท และกรมการพัฒนาชุมชน 9,328,118,200 บาท)

4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 22,742 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 221,575,000 บาท, กรมการข้าว 63,602,600 บาท, กรมชลประทาน 13,701,985,000 บาท, กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 23,239,000 บาท, กรมประมง 208,550,000 บาท, กรมปศุสัตว์ 671,159,800 บาท, กรมพัฒนาที่ดิน 150,477,700 บาท, กรมวิชาการเกษตร 134,793,200 บาท, กรมส่งเสริมการเกษตร 5,690,679,200 บาท, กรมส่งเสริมสหกรณ์ 1,791,534,100 บาท, กรมหม่อนไหม 52,640,900 บาท, สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 26,779,200 บาท  และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 5,150,000 บาท)

    5. งบประมาณกลาง เพื่อใช้จ่ายส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน จำนวน 4,600 ล้านบาท

 6. หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 3,988 ล้านบาท (แบ่งเป็นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 1,421,255,400 บาท, ธนาคารออมสิน 185,726,000 บาท, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 785 ล้านบาท และการยางแห่งประเทศไทย 1,596,885,400 บาท)

งบกลาง ปี 2561

 7. กระทรวงแรงงาน 2,120 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน 12,621,800 บาท, กรมการจัดหางาน 39,246,000 บาท และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 2,068,157,600 บาท)

8. กระทรวงอุตสาหกรรม 498 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม 134,723,000 บาท และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 363,879,100 บาท)

9. กระทรวงพาณิชย์ 258 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ 153,218,000 บาท, กรมการค้าภายใน 45,781,900 บาท, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 40 ล้านบาท, และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 19,400,400 บาท)

    10. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 106 ล้านบาท

          11. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 72 ล้านบาท

       12. กระทรวงวัฒนธรรม 68 ล้านบาท (แบ่งเป็นสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม 15,737,500 บาท, กรมศิลปากร 6,581,000 บาท และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม 45.8 ล้านบาท)

     13. กระทรวงการคลัง 5.32 ล้านบาท 

https://money.kapook.com


เปิดกล้องส่องด้วยมือถือก็ตรวจ ‘มะเร็งผิวหนัง’ ได้!

Cutis.AI แอพพลิเคชั่นปัญญาประดิษฐ์คัดกรองมะเร็งผิวหนังด้วยภาพถ่ายไมโครสโคปจากสมาร์ทโฟน ผลงานการวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับบริษัท เซอร์ทิส จำกัด (Sertis) ตอบโจทย์พื้นที่ขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง ช่วยให้เข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที

ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องมือตรวจคัดกรองมะเร็งผิวหนังของแพทย์และมีต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงเหมาะกับการใช้งานของแพทย์เพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลอีกด้วย

แพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนังมีอยู่จำกัดและกระจุกอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์ในด้านนี้ และอาจส่งผลต่อการรักษาโรคที่เป็นอันตรายโดยเฉพาะโรคมะเร็งผิวหนัง รศ.จาตุรงค์ ตันติบัณฑิต และทีมงานจากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จึงเดินหน้าพัฒนาตัวช่วยให้สามารถคัดกรองโรคร้ายได้ง่ายขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือ

นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ

“คิวทิส ดอทเอไอ” แอพพลิเคชั่นคัดกรองมะเร็งผิวหนัง พัฒนาประยุกต์จากรูปแบบการตรวจวินิจฉัยเดิมที่แพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังจะใช้การส่องกล้องดูรอยโรคผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคผิวหนังหรือไม่และเป็นโรคผิวหนังประเภทใด

วิธีการส่องกล้องตรวจทางผิวหนัง หรือ Dermoscopy ต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางที่มีทักษะและประสบการณ์ในการวิเคราะห์เพื่อดูรูปแบบของรอยโรค จากนั้นต้องติดตามการขยายตัวของรอยโรคเพื่อวินิจฉัยและรักษา การจะเข้าถึงบริการทางการแพทย์นี้ ประชาชนต้องมาใช้บริการที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลศูนย์ ทำให้การเข้าถึงบริการทางการแพทย์มีจำกัด

นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นใช้วิธีการเรียนรู้เชิงลึกของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เก็บข้อมูลภาพถ่ายรอยโรคผิวหนัง สร้างฐานข้อมูลการจำแนกโรค มาผสานกับการใช้กล้องจุลทรรศน์สมาร์ทโฟน ที่ร่วมมือกับทีมพัฒนาจุฬาสมาร์ทเลนส์ โดยจำลองการทำงานของกล้องจุลทรรศน์ที่แพทย์ผิวหนังใช้ส่องดูรอยโรค ทำให้สามารถตรวจดูได้ทุกที่ ทดแทนการเข้าไปตรวจยังโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง

เมื่อมีการถ่ายภาพรอยโรคผิวหนังและอัพโหลดรูปเข้าไปในแอพพลิเคชั่น ระบบจะส่งข้อมูลไปที่เซิร์ฟเวอร์ โดยที่ปัญญาประดิษฐ์จะประมวลผลและแจ้งกลับมาแบบเรียลไทม์ สามารถตรวจคัดกรองและจำแนกภาพถ่ายรอยโรคออกเป็นอัตราเสี่ยงโรคผิวหนัง 3 ประเภทใหญ่คือ กระเนื้อ ไฝหรือปานและโรคมะเร็งผิวหนังทั้ง 3ชนิด ไม่ว่าจะเป็น เมลาโนมา เบซาลเซลล์และสะความัส โดยจะแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นความเสี่ยง

ตอบโจทย์ไทย-เทศ

รศ.จาตุรงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทดสอบใช้แอพคิวทิสดอทเอไอ ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน พบว่ามีความแม่นยำอยู่ที่ 70% ใกล้เคียงกับการตรวจคัดกรองด้วยแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง

“สำหรับโรคมะเร็งผิวหนัง อุบัติการณ์ในไทยอยู่ที่ราว 50 รายต่อปี แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่สูงนัก แต่อันตรายมาก ในขณะเดียวกัน การตรวจคัดกรองจะมีโอกาสขยายผลเชิงพาณิชย์ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือเอ็กซแพทที่เข้ามาทำงานในไทย เพราะนิยมอาบแดดและท่องเที่ยวทะเลไทย จึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังสูง”

ปัจจุบันแอพพลิเคชั่นนี้สามารถตอบโจทย์บุคลากรทางการแพทย์ ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่ทำได้แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง ในขณะเดียวกันก็เตรียมพัฒนาเวอร์ชั่นที่ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจหาความเสี่ยงด้วยตนเองได้ เป็นการแพทย์แบบป้องกัน เพื่อให้สามารถตรวจสอบ ป้องกันและหากพบความเสี่ยงก็จะช่วยให้รับการรักษาได้ทันท่วงที

Cutis.AI รับทุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และได้รับรางวัลเหรียญทองและรางวัล Special Prize จาก Federation Francaise Des Inventeurs ประเทศฝรั่งเศส จากเวทีประกวดระดับโลกในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติครั้งที่ 46 นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา รศ.จาตุรงค์ยังมีผลงานนวัตกรรมตรวจดวงตาเพื่อป้องกันตาบอดในผู้สูงอายุ และจากโรคเบาหวานขึ้นตาด้วยโปรแกรมมือถือ ที่ชื่อว่า DeepEye Application ซึ่งได้รับรางวัลจากเจนีวาเช่นกัน

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 16/05/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,600.00 19,700.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,270.00 19,253.2 20,200.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,143.00 17,327.88 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 572.00 8,671.52 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 445.00 6,746.20 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,316.00 19,950.56 n/a

 

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  16/05/2561


ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
29.15
แก๊สโซฮอล E-20
26.64
26.64
26.64
26.64
26.64
26.64
26.64
26.64
26.64
แก๊สโซฮอล E-85 21.04 21.04 21.04 21.04
แก๊สโซฮอล 91 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88 28.88
เบนซิน 95 36.26 36.71 36.76 36.26 36.26 36.26
ดีเซลหมุนเร็ว
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
28.89
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 31.89 31.89 31.89 31.89 31.89
มีผลตั้งแต่ 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00 11 May 05:00

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า