สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563

ส่อง 9 เดือน รายได้ – กำไร บิ๊กอสังหาฯ “แสนสิริ”

บมจ.แสนสิริ เผย ผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้ 8,582 ล้านบาท ดันรอบ 9 เดือน มีรายได้รวม 26,511 ล้านบาท เติบโตขึ้น 57% จากปีก่อน ขณะกำไรสุทธิ 1,085 ล้านบาท

16 พ.ย.2563 – นางสาววรางคณา อัครสถาพร รักษาการ ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 765 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196% จากไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิฯ 258 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.9% โตขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 2.3% และโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 7.5% ขณะที่ในรอบ 9 เดือนของปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,085 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2563 บริษัทมีรายได้กว่า 8,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขาย อยู่ที่ 7,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้ค่าบริการธุรกิจอยู่ที่ 626 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้สะสมในรอบ 9 เดือน อยู่ที่ 26,511 ล้านบาท 

“ผลงานรายได้ที่ดีในช่วงไตรมาส 3 มาจากความสำเร็จจากการรุก Sansiri Housing Evolution ในตลาดโครงการแนวราบ และ Sansiri Service ที่ยืนหนึ่งในใจผู้บริโภค ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มลูกค้าเลือกแสนสิริ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ โดยในตลาดแนวราบ บริษัทสามารถทำรายได้เฉพาะไตรมาส 3 อยู่ที่ 4,492 ล้านบาท และรายได้ในรอบ 9 เดือนอยู่ที่ 13,941 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมมาจากผลงานการโอนที่โดดเด่น โดยรายได้คอนโดมิเนียมเฉพาะไตรมาส 3 อยู่ที่ 3,143 ล้านบาท และรายได้ในรอบ 9 เดือนอยู่ที่ 9,415 ล้านบาท” นางสาววรางคณา กล่าว 

      นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยผลงานการโอนล่าสุด พุ่งไปแล้วถึง 38,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 109% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 90% จากเป้าหมายยอดโอนใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบ 15,600 ล้านบาท เติบโตขึ้น 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมมียอดโอนล่าสุดสูงถึง 22,900 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 186% ผลงานมาจากการโอนคอนโดมิเนียม อาทิ โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คาวะ เฮาส์, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ และเดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง รวมถึงเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ อาทิ XT เอกมัย, โอกะ เฮาส์, ดีคอนโด ธาร จรัญฯ, ลา ฮาบานา หัวหิน รวมถึงการโอนที่อยู่อาศัยแนวราบให้แก่ลูกค้าตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง
      ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ยังนับเป็นไตรมาสที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมอีก 5 โครงการ รวมมูลค่า 4,800 ล้านบาทเพื่อตอบรับเรียล ดีมานต์ รวมถึงการโอนคอนโดมิเนียม “ดีคอนโด ธาร จรัญฯ คอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดในทำเลจรัญสนิทวงศ์ บนแนวคิดโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ คือ “ชีวิตดีๆ บนพื้นที่สีเขียวแห่งเดียวใจกลางจรัญฯ” จากการเป็นคอนโดสไตล์บ้านสวนริมน้ำ บนพื้นที่สีเขียวแห่งเดียวในจรัญฯ จุดเด่นของโครงการตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่กำลังเติบโตสูง โดยโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร รูปแบบห้องสตูดิโอ พื้นที่ใช้สอย 26.52 ตารางเมตร และห้องแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 54 ตารางเมตร รวม 484 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท ในทำเลถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชันที่เชื่อมสู่ถนนสายหลักทั้งถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี และถนนราชพฤกษ์ได้โดยสะดวก 
       นอกจากนี้โครงการยังตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายเฉลิมรัชมงคล ส่วนต่อขยายสัญญาที่ 3 ช่วงสถานีเตาปูนถึงสี่แยกท่าพระ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดเปิดใช้งานในต้นปี 2563 นี้ โดยโครงการตั้งอยู่เพียง 1.9 กิโลเมตรหรือเพียง 5 นาทีจากสถานีบางขุนนนท์ ซึ่งในอนาคตจะเป็นสถานีร่วมหรือนับเป็นจุดเชื่อมต่อแห่งอนาคตของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีส้ม และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และเพียง 5 นาทีจากทางด่วนศรีรัช ส่งผลให้ศักยภาพของทำเลในย่านนี้มีการขยายตัวและเติบโต ประกอบด้วยการขยายถนนตัดใหม่ การขยายตัวของสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลศิริราช การขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่ในเส้นราชพฤกษ์ เป็นต้น ซึ่งหลังจากเปิดขายโครงการได้รับการตอบรับที่ดี โดยมียอดขายไปแล้ว 70% นอกจากนี้บริษัทยังมีกระแสเงินสดที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจรวม 12,000 ล้านบาท ที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์ พร้อมพรีเซลล์ แบ็กล็อก มูลค่าอีกกว่า 32,000 ล้านบาท ที่จะรองรับการเติบโตระยะยาวเป็นระยะเวลาอีก 3 ปี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“เฟรเซอร์ส โฮม”พลิกเกมสู่“ซิตี้โฮม” จับกำลังซื้อตลาดกลาง-บน

“เฟรเซอร์ส โฮม”พลิกเกมสู่“ซิตี้โฮม”   จับกำลังซื้อตลาดกลาง-บน

จากวิกฤติโควิด19 ทำให้หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น สวนทางกำลังซื้อโดยเฉพาะระดับฐานรากยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ “การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัย” สูงขึ้น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนขยายพอร์ตซิตี้โฮม -คอนโดระดับลักชัวรี่ ดักกำลังซื้อกลาง-บน

หลังจากการควบรวมกิจการระหว่าง “บริษัทแผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์”และ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย” เข้าด้วยกัน ทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 ประเภท คือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 100,000 ล้านบาท ภายใต้การกุมบังเหียนของ “ปณต สิริวัฒนภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด

“แสนผิน สุขี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) ในกลุ่มเฟรเซอร์สฯ ดูแลกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีโครงการที่พักอาศัยรวม 60 โครงการ ครอบคลุมทุกระดับราคา ตั้งแต่ 2 ล้านบาท จนถึง 100 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “โกลเด้น” มีความแข็งแกร่งมากขึ้นทั้งแบรนด์ เงินทุน ที่เข้ามาสนับสนุนหลังจากเข้ามาอยู่ภายใต้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทำให้สามารถเพิ่มพอร์ตสินค้าหลากหลายขึ้นไม่ว่าจะเป็นซิตี้โฮมและคอนโดมิเนียม

อย่างไรก็ตาม จากวิกฤติโควิด19 ทำให้หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น สวนทางกำลังซื้อโดยเฉพาะระดับฐานรากยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ “การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัย” ในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดลูกค้าบริษัทมียอดการปฏิเสธสูงขึ้นเป็น 32% จากเดิม 30% ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้นักพัฒนาอสังหาฯหลายราย รวมทั้งเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ขยับพอร์ตสินค้าเพื่อจับกลุ่มกลาง-บนมากขึ้น เนื่องจากยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ

โดยเฉพาะการเปิดตลาด “ซิตี้โฮม” ในรูปแบบบ้านแฝด หรือบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ระดับราคา 15-40 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่เคยอยากซื้อคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ทำเลในเมือง เริ่มอยากได้บ้านในเมืองมากกว่าคอนโดมิเนียมหลังจากเกิดโควิด-19 เพื่อรองรับไลฟ์สตล์การทำงานบ้านเพิ่มขึ้น รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในปี 2564 อีก1-2โครงการ

“ในปี2564เศรษฐกิจปีน่าจะเติบโตกว่าปีนี้ แต่ตลาดยังแข่งขันสูง โปรโมชั่นยังคงดุเดือด เพราะทุกบริษัทต้องการเติบโต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ จะเป็นตัวส่งเสริมความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องขณะที่ หนี้สินครัวเรือนยังคงสูง “

นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ยังทําให้เกิดความไม่แน่นอน ทําให้ลูกค้าเกิดการชะลอซื้อ สภาวะแบบนี้ ผู้ประกอบการจึงต้องมีความรอบคอบและแม่นยำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้องปรับตัวและตอบรับให้ทันกับทุกสถานการณ์ เป็นยุคของมืออาชีพอย่างแท้จริง

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2564 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 27โครงการ มูลค่า 35,000ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท โครงการนีโอ โฮม บ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท คอนโด5,000 ล้านบาท

โดยกลุ่มทาวน์โฮม ขยายไปในทำเลใหม่ ทีที่มีศักยภาพและออกแบบฟังก์ชั่นเด่น นีโอ โฮม เป็นบ้านแฝด ที่เน้นทำเลใกล้เมือง ฟังก์ชั่นระดับบ้านเดี่ยว และราคาไม่แพง ขณะที่บ้านเดี่ยว ออกผลิตภัณฑ์ที่มีความหรูหรา ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างจังหวัด เน้นทําเลในเมืองสำหรับโครงการต่างจังหวัดนอกจากนี้ ยังจะพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกระดับความต้องการของลูกค้า

ในปี2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีนี้ มีสัดส่วนรายได้จากทาวน์โฮม 42% นีโอ โฮม บ้านแฝด 23% บ้านเดี่ยว 21% และโครงการต่างจังหวัด 14% โดยมีแผนจัดซื้อที่ดินประมาณ 20 แปลง ในงบประมาณ 10,720 ล้านบาท

ในส่วนของพันธกิจของบริษัท ยังคงตั้งเป้าหมายาภายใน 3 ปี(2564-2566) จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ของผู้นำตลาดอสังหาฯ ด้านรายได้และเป็นแบรนด์ทาวน์โฮมที่อยู่ในใจของลูกค้าอันดับต้นๆและเป็นอันดับที่ 1 ในการทำบ้านแฝด ภายใต้แบรนด์นีโอ โฮมพร้อมกับเป็นผู้นำตลาดต่างจังหวัดด้านยอดขายสูงสุด

สำหรับผลการดำเนินงานในเดือน ม.ค.-ก.ย. ปีนี้ มียอดรับรู้รายได้ 10,894 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในสถานการณ์ โควิด-19 คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ในปีนี้ 15,000 ล้านบาททั้งนี้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ ได้แก่นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ และทาวน์โฮม 1 โครงการ มูลค่ารวม 3,050 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


บาทแข็ง เหตุศก.เปราะบาง

บาทแข็ง เหตุศก.เปราะบาง

กรุงศรีคาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 30.00-30.40 มองสินทรัพย์เสี่ยงได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.00-30.40 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.20 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 10 เดือนครั้งใหม่ ตามปัจจัยหนุนจากความชัดเจนเรื่องผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และข่าวการพัฒนาวัคซีนหนุนเงินทุนไหลเข้า ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยด้วยมูลค่าสูงถึง 3.10 หมื่นล้านบาท และ 1.88 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า แม้ว่าข่าวการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 ช่วยกระตุ้นคาดการณ์ที่สดใสของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักลงทุนอาจเพิ่มความระมัดระวังในการซื้อขายท่ามกลางข้อกังวลเกี่ยวกับวิธีการขนส่งวัคซีนและการเก็บรักษา รวมถึงการแข่งกับเวลาในการพัฒนาวัคซีน ขณะที่ยอดผู้ป่วยในสหรัฐฯ กำลังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์เสี่ยงอาจยังคงได้แรงหนุนจากท่าทีของผู้ดำเนินนโยบายการเงินในกลุ่มประเทศหลักที่ยังส่งสัญญาณสนับสนุนตลาดการเงินและเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่าจะเดินหน้าเพิ่มการผ่อนคลายทางการเงินในเดือนธันวาคมแม้มีความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีน สอดคล้องกับประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งแสดงความเห็นเชิงบวกต่อผลการทดลองวัคซีน แต่เน้นย้ำว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะยากลำบากและเร็วเกินไปที่จะให้ความมั่นใจในระยะสั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

คลังความรู้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลิน

คลังความรู้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลิน

สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ และสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน ร่วมกับซาโนฟี่ เปิดตัวเว็บไซต์ T2DMinsulin.com นำเสนอ e-Learning ให้ความรู้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลิน หวังลดภาวะการเกิดโรคแทรกซ้อน

ประเทศไทยกำลังเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2568 โดยจะมีประชากรที่มีอายุ มากกว่า 60 ปี เพิ่มขึ้นประมาณ 14.4 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และจะมีผู้สูงอายุ 1 คนในทุกๆ 5 คนเป็นโรคเบาหวาน สหพันธ์เบาหวานนานาชาติได้คาดการณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ. 2583 ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเบาหวานสูงถึง 5.3 ล้านคน ซึ่งในปัจจุบันมีรายงานว่าในกลุ่มประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 4.8 ล้านคน ซึ่งในกลุ่มนี้ มีผู้ป่วยมากกว่า 2 ล้านคนที่ยังไม่ทราบว่าตนเองป่วยหรือยังไม่ได้รับการวินิจฉัย

นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดเผยว่า “สาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในแต่ละปี ประเทศไทยต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเบาหวานเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี และสิ่งที่น่ากังวลคือ มีคนไทยที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานอีก 7.7 ล้านคน ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งคาดว่ากลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ จะกลายเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานในอัตราร้อยละ 5-10 ต่อปี ซึ่งสามารถป้องกันได้”

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังพบว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งเกิดจากที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เกิดเป็นเบาหวานได้ ซึ่งหากปล่อยให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ตับอ่อนผิดปกติไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ หรือผลิตได้น้อยลง ทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ที่ผ่านมา สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยอินซูลินให้ได้รับความรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการใช้อินซูลิน และให้เห็นถึงประโยชน์ในการดูแลตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากโรคเบาหวานที่จัดการได้ไม่ดี หรือไม่ได้รับการรักษาดีที่เพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดภาวะทุพพลภาพและภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคตา โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด และการถูกตัดเท้าหรือขา

ในขณะที่ประเทศไทย ยังมีบุคลากรทางการแพทย์ค่อนข้างจำกัด ทำให้ไม่สามารถให้ความรู้ผู้ป่วยเบาหวานทุกรายได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงประเทศไทยยังไม่มีสื่อการเรียนระบบออนไลน์สำหรับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งในบางครั้งผู้ป่วยอาจได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากโลกออนไลน์ บ้างก็ไม่มีแหล่งที่มาของข้อมูล อาจเกิดความเข้าใจผิดในการใช้อินซูลินได้

เนื่องในวันเบาหวานโลก ปี 2563 สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ และสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน ร่วมกับบริษัท ซาโนฟี่-อเวนตีส (ประเทศไทย) จำกัด มีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด  ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงได้ร่วมกันจัดทำสื่อการเรียนออนไลน์ (e-Learning) บนเว็บไซต์ www.t2dminsulin.com เพื่อให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลินและผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในการใช้อินซูลินได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลายทั้งคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต

อีกทั้ง ผู้ที่ลงทะเบียนยังสามารถทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนเพื่อทดสอบความเข้าใจหลังเข้าเรียน และจะได้รับประกาศนียบัตรออนไลน์หลังจากได้ทำการเรียนในแต่ละบทเรียนเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าสมาชิกได้เรียนครบถ้วน และเป็นอีกแรงจูงใจให้สมาชิกที่ลงทะเบียนตั้งใจที่จะเรียนรู้ โดยโครงการ e-Learning บนเว็บไซต์ www.t2dminsulin.com ได้เปิดให้ผู้ป่วย ผู้ดูแล รวมทั้งประชาชนทั่วไปเข้าไปลงทะเบียนเรียนออนไลน์ ได้ตั้งแต่ 18 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป

ศ.คลินิก นพ.วีระศักดิ์ ศรินนภากร นายกสมาคมผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน กล่าวเสริมว่า “สื่อโครงการ e-Learning บนเว็บไซต์ www.t2dminsulin.com ถือเป็นอีกสื่อกลางที่ให้ความรู้โรคเบาหวานที่ทันสมัย เหมาะกับยุคดิจิทัล ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่าย สะดวก เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งได้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนแอนิเมชั่น และมีเกมสอดแทรกความรู้เพื่อให้สนุกสนานกับการเรียนรู้ เพิ่มความน่าสนใจ และจดจำได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีการประเมินผลการเรียนพร้อมได้ใบประกาศนียบัตร โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมถึง 8 เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย ทำไมอินซูลินถึงมีความสำคัญ, ชนิดของอินซูลิน, การเริ่มใช้อินซูลิน, การจัดการเมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ, การใช้เครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว และความจำเป็นของการปรับขนาดยาอินซูลิน, การเก็บอินซูลิน และการพกพาอินซลูิน, อาหารและการออกกำลังกาย และความเข้าใจผิดและความจริงเกี่ยวกับอินซูลิน เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้ที่สนใจ และบุคลากรทางการแพทย์ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ในระบบเดียว”  

ทั้งนี้ หัวใจสำคัญในการก้าวไปสู่การดูแลผู้ป่วยเบาหวานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สำคัญที่สุดคือภาคประชาชน หวังว่าสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ e-Learning ที่ร่วมกับพัฒนาขึ้นมานี้ จะเป็นสื่อกลางที่ช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจ สร้างกำลังใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กับผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลิน ได้เรียนรู้วิธีการดูแลรักษาโรคเบาหวานด้วยตนเองให้เกิดผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้  เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ผู้สนใจสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ www.t2dminsulin.com หรือสแกน QR Code และสามารถเข้าไปดูขั้นตอนการสมัครลงทะเบียนง่ายๆ ได้ที่ https://www.t2dminsulin.com/regis_instruction_vid.php
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com

วิบากกรรมหงส์แดง

ปี 2020 ถือว่าเป็นปีที่ดีของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ หลังจากรอแชมป์ลีกสูงสุดมานานถึง 30 ปี แต่ก็กลายเป็นปีที่มหาซวยภายในปีเดียวกันด้วยเช่นกัน

ลิเวอร์พูล วางแผนป้องกันแชมป์ปีนี้เอาไว้ให้ได้อีกสมัย ซึ่งก็ดูแล้วไม่น่าจะยากสักเท่าไร ด้วยขุมกำลังที่มีอยู่กันครบเหมือนเดิม แถมนักเตะแต่ละคนกำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มแบบสุดๆ เล่นแย่แค่ไหนก็ยังสามารถคว้าแชมป์มาครองได้

เท่านั้นยังไม่พอช่วงซัมเมอร์ก็ยังเสริมทัพมาอย่างสุดแกร่งได้ทั้ง ติอาโก อัลคันทารา กองกลางจอมเทคนิคทีมชาติสเปน และดิโอโก โชตา กองหน้าทีมชาติโปรตุเกส มาร่วมก๊วน

เรียกได้ว่าการมาของทั้งคู่เสริมความแข็งแกร่งของ “หงส์แดง” ได้แน่นเปรี๊ยะ

แม้ว่าบรรดาคู่ต่อสู้แย่งแชมป์อย่าง “สิงห์บลู” เชลซี และ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ จะเสริมทัพมากขนาดไหน แต่ก็ดูแล้วว่าคงยากจะล้ม “หงส์แดง” ลงได้ในซีซันนี้

ลิเวอร์พูลออกสตาร์ตได้อย่างสวยงามด้วยชัยชนะ 3 นัดรวด หลังจากนั้นเค้าลางร้ายก็เริ่มปรากฏเมื่อตัวหลักๆก็เริ่มมีติดเชื้อไวรัสโควิด-19 บ้าง ไม่ว่าจะเป็นซาดิโอ มาเน ปีกทีมชาติเซเนกัล, เชอร์ดราน ชากิรี มิดฟิลด์ทีมชาติสวิตฯ หรือ
แม้กระทั่ง อัลคันทาราก็ได้รับเชื้อมรณะเช่นกัน

นอกจากนั้น “หงส์แดง” ยังมีปัญหาแนวรับขาดแคลนโดยเฉพาะตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่หลังจากปล่อยตัวของเดยัน ลอฟเรน ให้ย้ายไปเล่นในรัสเซียแล้ว ก็ทำให้เหลือเพียงแค่เวอร์จิล

ฟาน ไดก์, โจ โกเมซ และโจเอล มาติป เท่านั้น แถมยังมีฟาบินโญ กองกลางตัวรับที่รับบทปราการหลังตัวกลางได้เป็นตัวสแตนด์บาย

จริงๆแล้วเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คนหมุนเวียนกันบวกกับตัวเสริมอีก 1 ก็เพียงพอแล้ว

แต่ความซวยก็ปรากฏเมื่อมาติปก็มีอาการบาดเจ็บ โกเมซก็ฟิตบ้างไม่ฟิตบ้าง ทำให้ต้องใช้ ฟาน ไดก์ ยืนคู่กับฟาบินโญ โดยทั้งคู่ก็ทำได้ดี

แต่ลางร้ายเริ่มปรากฏในเกมที่ลิเวอร์พูล เสมอเอฟเวอร์ตัน 2-2 เมื่อ เวอร์จิล ฟาน ไดก์ ปราการหลังตัวเก่ง โดนจอร์แดน พิกฟอร์ด จอมหนึบทีมชาติอังกฤษของเอฟเวอร์ตัน พุ่งเข้าเสียบที่หัวเข่าเต็มๆ จนต้องพักยาว

หลังจากนั้นไม่นาน ฟาบินโญ มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ที่รับบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็นก็มาเจ็บอีกราย ต่อด้วยเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่เด้งไปอีกราย และล่าสุดต้องมาเสียโจ โกเมซ ปราการหลังทีมชาติอังกฤษไปอีกรายต้องผ่าตัดพักยาว

ทำให้ตอนนี้ เจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน เหลือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟในทีมเพียงแค่ มาติปเท่านั้น แถมยังเจ็บออดๆแอดๆอีกด้วย

ซึ่งคลอปป์ก็ดึงดาวรุ่ง 2 รายขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น นาธานเนียล ฟิลลิปส์, รีส วิลเลียมส์ แม้ว่าที่ผ่านมายังไม่มีความผิดพลาดแบบจะแจ้งให้เห็น แต่ถ้าโดนเกมหนักๆ เข้าไปแรงกดดันเยอะๆ ก็ต้องรอดูว่าจะรับมือได้มากแค่ไหน

เรียกได้ว่าแนวรับลิเวอร์พูล ตอนนี้ไม่ต่างจากคำว่าพิการ

แถมล่าสุด โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่งทีมชาติอียิปต์ก็ติดโควิด-19 ไปอีกราย

น่าปวดหัวแทนเจอร์เกน คลอปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ไม่รู้จะทำยังไงดีขุมกำลังที่มีแต่ปัญหาในตอนนี้

ก็ได้แต่ภาวนาให้นักเตะในแนวรับที่เหลืออยู่ที่ไปรับใช้ทีมชาติบ้านเกิดให้กลับมาแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม อย่าให้มีใครเจ็บไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว

ซีซันนี้เป็นบทพิสูจน์ฝีมือคลอปป์อย่างแท้จริง

ว่าจะฝ่าขวากหนามที่ขวางทางจนพา “หงส์แดง” ป้องกันแชมป์เอาไว้ได้หรือไม่??

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


บทสนทนาภาษาอังกฤษ เดินทางโดยรถบัสประจำทาง

บทสนทนาภาษาอังกฤษ การโดยสารโดยรถบัสประจำทาง เริ่มจาก ถามหาป้ายจอดรถบัส การถามทาง การถามหมายเลขรถที่จะไปยังจุดหมาย การถามป้ายจอดที่จะลง ลองศึกษาตัวอย่างบทสนทนากันเลย

บทสนทนาเดินทางรถบัส

บทสนทนาภาษาอังกฤษ เดินทางโดยรถบัสประจำทาง

A: Hey there, could tell me if there is a bus stop close by.
หวัดดีครับ บอกผมหน่อยได้ไหมครับว่ามีป้ายหยุดรถบัสใกล้ๆแถวนี้ไหม

B: Sure. There is one on the next street over.
ได้สิ มีหนึ่งป้ายเลยถนนเส้นถัดไป

A: Okay. What street is it called?
โอเค มันชื่อถนนอะไรครับ

B: Broadway. Just take this next left, go past the bank, and it is right there.
บรอดเวย์ ก็แค่เลี้ยวซ้ายถนนถัดไป ผ่านธนาคารไป และมันจะอยู่ด้านขวามือตรงนั้นแหละ

A: Okay. Thanks for your help!
โอเค ขอบคุณที่ช่วยเหลือ

At Bus Stop

A: Hi, do you know what bus number will take me to Denver?
หวัดดี คุณรู้ไหมว่ารถบัสหมายเลขอะไรที่จะพาผมไปเมืองเดนเวอร์ได้บ้าง

B: Bus four.
รถบัสหมายเลข 4

A: Okay. I appreciate your help!
โอเค ผมซาบซึ้งในความช่วยเหลือ

On the Bus

A: Hello, is this seat taken?
สวัสดี เก้าอี้นี้มีคนนั่งหรือยัง

B: Nope.
ไม่นะ

A: Cool. Hey, I am looking for The Musuem of Nature and Science. Do you know where that is? I am just not sure which stop to get off at.
ดีเลย ผมกำลังมองหาพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ คุณรู้ไหมว่าอยู่ตรงไหน ผมไม่มันใจว่าจะต้องลงป้ายไหน

B: Oh yeah, that’s on Colorado Boulevard.  That’s the next stop.
อ๋อครับ มันอยู่ถนนโคโลราโด ป้ายถัดไป

A: Thank you.
ขอบคุณครับ

 ขอบคุณข้อมูลจาก ภาษาอังกฤษออนไลน์.com

โลกขานรับข่าวดีวัคซีน เชื่อการแพร่ระบาดของโควิด สามารถยุติในปี 64

ผู้เชี่ยวชาญฟันธงการระบาดของ “โควิด-19” ยุติปีหน้า (2564) หลังมีข่าวคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนออกมาอย่างต่อเนื่อง

นพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลี้บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยุติลงในปีหน้า (2564) หลังมีรายงานความคืบหน้าในการพัฒนา วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของ บริษัทโมเดอร์นา และไฟเซอร์ อิงค์ 

นพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลี้บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA)

“หากข้อมูลทั้งหมดยังคงยืนยันผลการทดลองดังกล่าว เราก็จะมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการต้านโควิด-19 ถึง 2 ตัว และเมื่อมีวัคซีนเหล่านี้อย่างเพียงพอขณะย่างเข้าสู่ปีหน้า เราก็จะฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอย่างมากให้แก่ประชาชน ทำให้สามารถยุติการแพร่ระบาดในปีหน้าด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่” นพ.ก็อตต์ลี้บกล่าว

สอดคล้องกับทรรศนะของศาสตราจารย์อูกูร์ ซาฮิน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบโอเอ็นเทค บริษัทยาของเยอรมนีที่ร่วมพัฒนาวัคซีนกับไฟเซอร์ อิงค์ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อคาดหมายว่า วัคซีนโควิดที่มีความคืบหน้าอย่างมากนี้จะช่วยให้ประชาชนใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ในช่วงฤดูหนาวปีหน้า (2564) “ผมเชื่อว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จะสามารถลดการแพร่ระบาดลงได้ถึง 50% ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดต่ำลงอย่างมาก”

ทั้งนี้ บริษัท โมเดอร์นา ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ แถลงเมื่อวานนี้ (16 พ.ย.)ว่า ผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทที่พัฒนาร่วมกับสถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐ ในกลุ่มอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 30,000 ราย (เป็นการทดลองทางคลินิกในเฟสที่ 3) พบว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 มากถึง 94.5%

ก่อนหน้านั้น ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว บริษัท ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ก็เพิ่งแถลงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ที่บริษัทร่วมพัฒนากับบริษัท ไบโอเอ็นเทค ของเยอรมนี โดยระบุว่า ผลการทดลองบ่งชี้ว่า วัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนมากกว่า 90% และบริษัทจะจดทะเบียนวัคซีนต่อ สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในสัปดาห์นี้ จากนั้นคาดว่าจะมีการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดสภายในปี 2563  และอีก 1,300 ล้านโดสในปี 2564

ปัจจุบัน ทั่วโลกมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ 54,953,213 ราย และยอดผู้เสียชีวิต 1,326,589 ราย (ข้อมูลจาก Worldometer เว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ณ วันที่ 17 พ.ย.)  โดยสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงที่สุดในโลก (11,367,214 ราย) รองลงมาคืออินเดีย (8,850,338 ราย) และ บราซิล (5,863,093 ราย)

ส่วนประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 1 ล้านราย ได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน อังกฤษ อาร์เจนตินา โคลอมเบีย อิตาลี และเม็กซิโก

สำหรับประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา  (251,901 ราย) ตามมาด้วยบราซิล (165,811 ราย) อินเดีย (130,187 ราย) เม็กซิโก (98,542 ราย) และอังกฤษ (51,934 ราย)

     ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้น โดยทั่วโลกมีอัตราการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 10 ล้านรายภายในเวลา 3 เดือน และพุ่งขึ้นสู่ระดับ 20 ล้านรายภายใน 44 วัน, 30 ล้านรายภายใน 38 วัน, 40 ล้านรายภายใน 32 วัน และ 50 ล้านรายภายในเวลาเพียง 22 วัน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กระเทียม สรรพคุณ ต่อสุขภาพที่เต็มไปด้วย ประโยชน์ของกระเทียม

กระเทียม สรรพคุณ ต่อสุขภาพที่เต็มไปด้วย ประโยชน์ของกระเทียม

กระเทียม ( Allium sativum) เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่บำรุงและรักษาสุขภาพที่ดีที่สุดทั่วโลก และมีคุณสมบัติ ประโยชน์ของกระเทียม เป็นยารักษาโรคอย่างแพร่หลาย กระเทียม สรรพคุณ ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว มันมีสารที่เรียกว่า Allicin ซึ่งมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียที่เทียบเท่ากับเพนิซิลลินที่อ่อนแอ เป็นยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติและมีประโยชน์ในการรักษาทุกอย่างจากโรคภูมิแพ้ถึงต่อมทอนซิลอักเสบ

กระเทียมมีกลุ่มสารประกอบกำมะถันหลายชนิดที่ช่วยล้างพิษในร่างกาย เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ลดความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียน กระเทียมยังแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ต้านมะเร็ง ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อราและต่อต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ของกระเทียม ช่วยรักษาโรค

กระเทียมสามารถกระตุ้นการผลิตกลูตาไธโอนซึ่งเป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารพิษ ดูบทความของเราเกี่ยวกับ NAC สำหรับข้อมูลกลูตาไธโอนเพิ่มเติม สารต้านอนุมูลอิสระช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

อนุมูลอิสระ เป็นอะตอมที่สามารถทำลายเยื่อหุ้มเซลล์โต้ตอบกับสารพันธุกรรม และอาจพัฒนานำไปสู่โรคชรารวมถึงโรคหัวใจและมะเร็ง อนุมูลอิสระเกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย แต่สารพิษบนสิ่งแวดล้อม (รวมถึงแสงอุลตร้าไวโอเลตรังสีการสูบบุหรี่และมลพิษทางอากาศ) สามารถเพิ่มจำนวนอะตอมที่เป็นอันตรายเหล่านี้ได้ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและอาจลดหรือแม้แต่ช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

หลอดเลือด

สารอะดีโนซีน (Adenosine) มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบและหลอดเลือดคลายตัวจึงส่งผลช่วยลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังใช้เพื่อช่วยป้องกันหลอดเลือด (คราบจุลินทรีย์สะสมในหลอดเลือดแดงทำให้เกิดการอุดตันและอาจนำไปสู่โรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง) ลดอาการหวัดอาการไอและหลอดลมอักเสบ

การศึกษาแนะนำว่ากระเทียมสดหรือผลิตภัณฑ์เสริม อาจป้องกันการอุดตันในเลือดและทำลายคราบจุลินทรีย์ เลือดอุดตันและคราบจุลินทรีย์ต้านการไหลเวียนของเลือด การอุดตันของการไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจสมองและอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน, โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด (PVD) ผู้ที่มีอาการ PVD จะรู้สึกเจ็บปวดที่ขาเมื่อพวกเขาเดินและเคลื่อนไหว หากกระเทียมช่วยลดการสะสมของคราบหินปูนตามมาด้วยโรคหลอดเลือดสมองหัวใจวายและ PVD อาจมีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่รับประทานกระเทียมหรือทานผลิตภัณฑ์เสริม

ฤทธิ์ต้านโคเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูง

จากการศึกษาพบว่ากระเทียมช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของกระเทียมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ฤทธิ์ต้านโรคเบาหวาน

กระเทียมถูกใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริม แบบดั้งเดิมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานในเอเชียยุโรปและตะวันออกกลาง การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับกระต่ายหนูและผู้คนจำนวนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ากระเทียมมีคุณสมบัติในการลดน้ำตาลในเลือด จำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมในด้านนี้ (ดูหมายเหตุเกี่ยวกับความกังวลเกี่ยวกับการใช้กระเทียมกับยารักษาโรคเบาหวานบางอย่าง)

ฤทธิ์ต้านโรคไข้หวัด

การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ให้อาสาสมัครจำนวน 150 คน ทดลองรับประทานสารสกัดกระเทียมสำหรับการป้องกันและรักษาโรคไข้หวัด ในการศึกษานี้ผู้คนได้รับประทานสารสกัดจากกระเทียมหรือยาหลอกเป็นเวลา 12 สัปดาห์ในช่วง “ฤดูหนาว” (ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์) มีอาการหวัดน้อยกว่าผู้ที่ได้รับประทานยาหลอก

ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง

การศึกษาทำทดลองในสัตว์แนะนำว่ากระเทียมอาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง การสังเกตจากการศึกษาของประชากร (ซึ่งติดตามกลุ่มคนในช่วงเวลาหนึ่ง) ผู้ที่รับประทานกระเทียมดิบหรือกระเทียมสุกมากขึ้นในอาหารของพวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งบางชนิดน้อยลงโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร กระเทียมอาจช่วยป้องกันการพัฒนาของมะเร็งเต้านมต่อมลูกหมากและกล่องเสียง (คอ) อย่างไรก็ตามมะเร็งชนิดนี้ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางเหมือนกับมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะอาหาร

ฤทธิ์ต้านวัณโรค

การศึกษาได้ทำการทดลองจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกระเทียมยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ รวมถึงเชื้อมัยโคแบคทีเรียมวัณโรคซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่เป็นวัณโรค จำเป็นต้องใช้สารสกัดกระเทียมที่มีความเข้มข้นสูงมากเพื่อชะลอการเติบโตของเชื้อวัณโรค ในการศึกษาเหล่านี้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญบางคนกังวลว่าระดับเหล่านี้อาจเป็นพิษต่อคน ในขณะที่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนการศึกษาจากสัตว์ พบว่าน้ำมันกระเทียมยังยับยั้งเชื้อวัณโรคและลดรอยโรคในปอดของสัตว์เหล่านี้ได้

ฤทธิ์ต้านปรสิตในลำไส้

การศึกษาในห้องปฏิบัติการชี้ให้เห็นว่ากระเทียมสดจำนวนมาก อาจมีสรรพคุณในการต่อต้านพยาธิตัวกลมพยาธิตัวกลม Ascaris lumbricoides ซึ่งเป็นปรสิตชนิดที่พบบ่อยที่สุด อย่างไรก็ตามกระเทียมเพื่อจุดประสงค์นี้ยังไม่ได้รับการทดสอบในคน

ขอบคุณข้อมูลจาก atherbth.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,900.00 27,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,742.00 26,408.72 27,500.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,567.80 23,767.85 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,393.60 21,126.98 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 784.00 11,885.44 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 610.00 9,247.60 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,805.00 27,363.80 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/11/2563

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85 21.85
แก๊สโซฮอล์ 91 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58 21.58
แก๊สโซฮอล์ E20 20.34 20.34 20.34 20.34 20.34 20.34 20.34 20.34 20.34
แก๊สโซฮอล์ E85 17.99 17.99 17.99
เบนซิน 95 29.26 29.71 29.76 29.26 29.26
ดีเซล B7 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89 22.89
ดีเซล 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89 19.89
ดีเซล B20 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64 19.64
ดีเซลพรีเมี่ยม 27.34 27.36 29.34 28.74 27.34
แก๊ส NGV 13.10 13.10 13.10
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า