สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 2 เมษายน 2561

ไฟเขียวไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน เอกชนร่วมทุนการรถไฟ 1.2 แสนล้าน

ครม.ไฟเขียว ไฮสปีดเทรน เชื่อม 3 สนามบิน-ประกาศเพิ่มเติมพื้นที่อีอีซี ตลอดสองข้างทางเริ่มดอนเมืองสุดเขต กทม. 60 กม.-2,400 ไร่ คลุมมักกะสันด้วย 
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ แถลงว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา ระยะทาง 220 กิโลเมตร 5 สถานี ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ศรีราชา พัทยาและอู่ตะเภา อัตราความเร็ว 250 กม./ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินอู่ตะเภาเข้ากรุงเทพฯ ภายในเวลา 45 นาที ให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP Net Cost ระยะเวลา 50 ปี อัตราค่าโดยสาร จากมักกะสัน-พัทยา 270 บาท และจากมักกะสัน-อู่ตะเภา 330 บาท เปิดพื้นที่การพัฒนา 3 จังหวัด ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทราและระยอง
ขณะที่ผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ทั้งโครงการ มูลค่า 700,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 50 ปีแรก 400,000 ล้านบาท และ 50 ปีต่อไป 300,000 ล้านบาท โดยผลตอบแทนมาจากมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากสนามบินอู่ตะเภา ลดการใช้น้ำมัน ลดระยะเวลาเดินทางและมลพิษจากการใช้รถยนต์ นอกจากนี้ยังได้ผลตอบแทนจากการพัฒนาเศรษฐกิจตลอดเส้นทาง รวมถึงความเจริญที่จะเกิดขึ้นโดยรอบสถานีรถไฟ การจ้างงานและการใช้ปัจจัยการผลิตภายในประเทศ ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้มากขึ้น ทั้งนี้ในอนาคตระยะต่อไป จะเชื่อมโยงจากระยอง จันทบุรีและตราด
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวหมายถึงการพัฒนาที่ดินมักกะสันและศรีราชา และรวมโครงการแอร์พอร์ตลิงก์รวมเข้าไปด้วยเป็นโครงการเดียวกัน โดยรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ใช้รางเดียวกับรถไฟความเร็วสูง
สำหรับรายละเอียดโครงการตามที่มติ ครม.อนุมัติ ได้แก่ 1.ภาครัฐลงทุนค่างานจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดิน ภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า ค่าพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมถึงการบริหารและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนระยะเวลา 50 ปี โดยเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ จัดเก็บรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โครงการ
2.อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) มีอำนาจร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับเลือก 3.อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูง กรอบวงเงิน 3,570.29 ล้านบาท
4.อนุมัติกรอบวงเงิน ร่วมลงทุนกับเอกชน ในวงเงินไม่เกิน 119,425.75 ล้านบาท ทั้งนี้จะทยอยจ่ายให้เอกชน แบ่งจ่ายเป็นรายปี ระยะเวลาแบ่งจ่าย ไม่ต่ำกว่า 10 ปี 5.เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของแอร์พอร์ตเรลลิงก์ของ ร.ฟ.ท. เป็นจำนวนเงิน 22,558.06 ล้านบาท
6.เห็นชอบให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงตั้งแต่สนามบินดอนเมือง ถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ หรือพื้นที่ที่เป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่านและรอบสถานี ประกาศให้เป็นพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาในเชิงพาณิชย์ต่อไป
7.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ร.ฟ.ท. และสำนักงานอีอีซี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไป คือ การร่าง TOR และสรรหาผู้ประมูลเพื่อนำเข้า ครม.อนุมัติอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพิ่มเติม ตั้งแต่สถานีดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิที่มีระยะทางยาว 60 กิโลเมตร พื้นที่ 2,400 ไร่ ประกอบด้วย 1.พื้นที่แนวเขตทางรถไฟของโครงการ ตั้งแต่สถานีดอนเมืองถึงสถานีสุวรรณภูมิ ระยะทาง 60 กม. (ความกว้างของเขตทางรถไฟ 40-80 เมตร) 2.พื้นที่สถานีกลางบางซื่อ (เฉพาะในส่วนชานชาลาและรางที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการ) 3.พื้นที่สถานีมักกะสัน (28 ไร่) 4.พื้นที่บริเวณสถานีมักกะสันเพื่อใช้ในการสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสารและการดำเนินกิจการทางพาณิชย์ (150 ไร่) และ 5.พื้นที่สถานีสุวรรณภูมิ
http://www.bkkcitismart.com

พาณิชย์ดึงห้างสรรพสินค้าช่วย ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์

กรมการค้าภายในดึงห้างสรรพสินค้า ค้าปลีกสมัยใหม่ รับซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ ในราคาสูงกว่าตลาดสร้างแรงจูงใจทำผลผลิตปลอดสารพิษ

น.ส.สุทัศนีย์ ราชเรืองระบิน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประสานความร่วมมือไปยังห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ให้เข้ามาช่วยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เพิ่มเริ่มต้นผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยได้ทำการเชื่อมโยงให้มีการจับคู่ทำธุรกิจ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรที่เพิ่งหันมาทำเกษตรอินทรีย์ได้มีกำลังใจและมีแรงในการขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ เพราะมีตลาดรองรับผลผลิตที่แน่นอนเพื่อเป็นการรับประกันให้กับเกษตรกรว่า การเพาะปลูกพืชผัก ผลไม้ หรือทำปศุสัตว์อินทรีย์ จะมีตลาดรองรับผลผลิตแน่นอน แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นทำ เพราะกรมฯ ได้ประสานห้างให้เข้ามาช่วยรับซื้อ โดยราคาที่รับซื้อจะสูงกว่าราคาสินค้าชนิดเดียวกันที่ไม่ทำแบบอินทรีย์ แต่ก็ไม่สูงเท่ากับสินค้าที่เป็นอินทรีย์แล้ว ซึ่งหากในอนาคต สินค้าปลอดสารเคมี ไม่มีสารตกค้างแล้ว ก็จะเพิ่มราคาให้เท่ากับการรับซื้อสินค้าที่เป็นอินทรีย์

โดยการดำเนินการในรูปแบบนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มและขยายพื้นที่เพาะปลูกสินค้าอินทรีย์ แต่ยังเป็นการช่วยดูแลและปกป้องสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศด้วย โดยที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการในจังหวัดน่าน ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีข้อมูลว่าเป็นจังหวัดที่ทำลายสิ่งแวดล้อมสูงมาก มีการใช้สารเคมีสูง มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม กรมฯ จึงได้เข้าไปให้คำแนะนำ เข้าไปช่วยผลักดันให้เกษตรกรเลิกใช้สารเคมี และหันมาเพาะปลูกแบบอินทรีย์ และดึงห้างเข้าไปรับประกันว่าจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมด โดยมั่นใจว่า ในอนาคตจังหวัดน่าน จะเป็นจังหวัดที่มีสภาพแวดล้อมดีขึ้น

สำหรับการดำเนินการในรูปแบบนี้ กรมฯ มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้เป้าหมายการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์เป็น 6 แสนไร่ภายในปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 2 แสนไร่ หรือเพิ่มขึ้นกว่า3เท่าตัว ทำได้เร็วขึ้น เพราะเกษตรกรจะมีแรงจูงใจในการทำเกษตรอินทรีย์ และยังมั่นใจว่าจะผลักดันให้มีจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นราย

ปัจจุบันตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย มีมูลค่าตลาดประมาณ2,700ล้านบาท เติบโตปีละประมาณ 20% โดยแบ่งเป็นตลาดภายในประเทศ 800 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศ 1,900 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าการส่งออกคิดเป็น 0.07% ของมูลค่าตลาดโลก ทำให้ยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ

http://www.bangkokbiznews.com


เหตุผลที่ทำให้ ‘ญี่ปุ่น’ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังไม่สำเร็จ

เหตุผลที่ทำให้ 'ญี่ปุ่น' เปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังไม่สำเร็จ

ในยุคนี้ “สังคมไร้เงินสด” ดูเหมือนจะกลายเป็นนโยบายของหลาย ๆ ประเทศ ที่มุ่งเดินหน้าปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบการชำระเงินในประเทศ อย่างในประเทศไทยเราก็มีการส่งเสริมให้สมัครบริการพร้อมเพย์, การจ่ายเงินผ่าน QR code เป็นต้น

อีกหนึ่งประเทศที่เริ่มมีการรณรงค์ส่งเสริมเรื่องสังคมไร้เงินสดก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่เริ่มมีการใช้ IC Card เพื่อการชำระเงิน เช่น บัตร SUICA และเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) อื่น ๆ แต่ถึงจะเป็นรายต้น ๆ ที่เริ่มใช้ แต่จากผลสำรวจในปี 2017 กลับพบว่าอัตราการเติบโตของเงินอิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% เท่านั้น สวนทางกับนานาประเทศทั่วโลกที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นแบบพุ่งทะยาน และเมื่อเทียบปริมาณธนบัตรและเหรียญที่หมุนเวียนในระบบของญี่ปุ่นกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ จะพบว่าญี่ปุ่นมีปริมาณเงินสดหมุนเวียนอยู่ในระบบสูงกว่ามาก เพราะเหตุใดจึงทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ไม่สำเร็จ

ก่อนอื่นเรามาดูอัตราการใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศต่าง ๆ กันก่อน

● ญี่ปุ่น……..18%
● เกาหลี……54%
● จีน………..55%
● สหรัฐ…….41%

จะเห็นว่าญี่ปุ่นมีอัตราการใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศชั้นนำของโลก แล้วเหตุผลที่คนญี่ปุ่นยังถือเงินสดกันอยู่เป็นจำนวนมากนั้นเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะว่าที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยมีธนบัตรปลอม และเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถถือเงินสดเยอะ ๆ ติดตัวไปไหนมาไหนได้

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนสู่สังคมไร้เงินสดของญี่ปุ่นเป็นไปได้ช้าเหลือเกินก็คือ โครงสร้างทางการบริหารของธนาคาร ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีตู้ ATM อยู่ตามท้องถนนเป็นจำนวนมาก ในยุคโชวะผู้คนต่างมองว่าตู้ ATM เป็นสิ่งช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้สามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้ง่าย ๆ แต่ตู้ ATM ของญี่ปุ่นนั้นถึงจะเป็นการกดเงินจากตู้ของธนาคารเดียวกัน ถ้าบัตรนั้นไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขพิเศษหรือช่วงเวลาที่ธนาคารให้กดเงินได้ฟรี ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการกดเงินต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 108-216 เยน

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของโครงสร้างทางการบริหารของธนาคารญี่ปุ่นที่มักจะมีค่าธรรมเนียมในทุก ๆ การให้บริการ ทางธนาคารกลางญี่ปุ่นก็รู้ดีถึงความจริงดังกล่าว จึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมในการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อสังคมไร้เงินสดเหมือนอย่างในประเทศเกาหลีและจีน ในปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งเร่งเดินเครื่องก้าวสู่การประยุกต์ใช้สกุลเงินดิจิตอล (Cryptocurrency) กันมากขึ้น นั่นอาจจะเป็นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ แห่งคงเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ของอนาคตของสังคมไร้เงินสดในญี่ปุ่นนั่นเอง

ขณะที่จากนโยบาย Abenomics เช่น มาตรการอัตราดอกเบี้ยติดลบ ทำให้ธนาคารในญี่ปุ่นเสียหนทางในการหารายได้ไปไม่ใช่น้อย และฝากความหวังไว้กับช่องทางการหารายได้อย่างการเก็บค่าธรรมเนียมจากการกด ATM เป็นต้น จนทำให้ญี่ปุ่นยังเดินหน้าแบบช้า ๆ สู่การก้าวสู่สังคมไร้เงินสด จากนี้เราก็คงต้องคอยจับตาดูต่อไปว่าญี่ปุ่นจะเดินหน้าในทิศทางไหนต่อไป และจะก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริงได้หรือไม่ในอนาคต

https://money.sanook.com


ไทยติดอันดับ 2 ประเทศยอดนิยมในหมู่นักเที่ยวจีน-65% เลือกชำระเงินผ่านมือถือ

ไทยติดอันดับ 2 ประเทศยอดนิยมในหมู่นักเที่ยวจีน-65% เลือกชำระเงินผ่านมือถือ

นีลเส็น (Nielsen) และอาลีเพย์ (Alipay) เปิดเผยรายงานการสำรวจแนวโน้มการท่องเที่ยว และการบริโภคของนักท่องเที่ยวจีนในต่างประเทศ ประจำปี 2560 ระบุว่า เมื่อปี 2559-2560 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 2 ครั้ง โดยประเทศญี่ปุ่น ไทย และเกาหลีใต้ ครอง 3 อันดับสูงสุด

รายงานดังกล่าวระบุว่า เมื่อปี 2559-2560 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 2 ครั้ง และมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขจะเพิ่มเป็น 2.8 ครั้งในปี 2561 โดยข้อมูลสถิติจากหน่วยงานการท่องเที่ยวจีนชี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปต่างประเทศ 131 ล้านครั้งในปี 2560 เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2559

ขณะเดียวกัน ยอดการใช้จ่ายระหว่างเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสมาคมผู้จัดทัวร์ระหว่างประเทศ (International Association of Tour Managers) ระบุว่า ยอดใช้จ่ายระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนแตะระดับ 2.61 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2559 เพิ่มขึ้น 4.5% จากปีก่อนหน้า และครองอันดับหนึ่งทั่วโลก

ประเด็นสำคัญคือ สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ เช่น ขั้นตอนการขอวีซ่าง่ายกว่า ราคาสินค้าและบริการถูกกว่า ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมสูงสุด ตามมาติด ๆ ด้วยไทย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และมัลดีฟส์

นอกจากนั้น การชำระเงินผ่านมือถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมาก โดย 65% ของนักท่องเที่ยวจีนใช้แพลตฟอร์มการชำระเงินผ่านมือถือขณะเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งมากกว่า 6 เท่าเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ใช้เพียง 11% เท่านั้น

ทั้งนี้ ส่วนมากนักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินผ่านมือถือสำหรับค่าสินค้า ค่าบริการ ค่าอาหาร และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว และกว่า 90% มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้นจากผู้ประกอบการที่เปิดรับชำระเงินผ่านมือถือ

แน่นอนว่า ประเทศไทยได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น นักท่องเที่ยวจีนชอบเดินทางมาพักผ่อน เยี่ยมชมวัด โบราณสถาน รับประทานอาหาร และชมการแสดง โดยแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ภูเก็ต พัทยาเชียงใหม่ และวัดพระแก้ว

hanny-naibaho-247021-unsplash.jpg

ส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีนกว่า 80% ได้แก่ อาหารข้างทาง ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากชื่นชอบสปา หรือการนวดแผนโบราณ ส่วนแหล่งช็อปปิงยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทยก็คือ ร้านค้าปลอดภาษี และร้านสะดวกซื้อ ส่วนสินค้าที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของท้องถิ่นนั้น ๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และอาหาร

https://money.sanook.com


กรมอนามัย เผย 6 อาการ เกิดจากความร้อน พร้อมวิธีป้องกัน

กรมอนามัย เผยในสภาพอากาศร้อน อาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยด้วย 6 อาการ ได้แก่ ผื่นผิวหนัง บวมที่ข้อเท้า ตะคริว เป็นลม เพลียแดด และลมแดด (Heat Stroke) พร้อมแนะวิธีป้องกัน

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้ช่วงกลางวันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งความร้อนเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้ง เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ผู้ทำงานหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น เกษตรกร คนงานก่อสร้าง นักกรีฑาหรือผู้ที่เล่นกีฬาหนักๆ รวมทั้งทหารเกณฑ์ จึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ผลกระทบต่อสุขภาพจากความร้อนเกิดจากร่างกายได้รับความร้อนสูงเกินกว่าที่ร่างกายจะทนได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ดังนี้ 1) ผื่นผิวหนัง เกิดจากร่างกายขับเหงื่อออกมามากจนเกิดการอักเสบของรูขุมขนทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและเป็นตุ่มสีแดงหรือผื่นที่บริเวณหน้า ลำคอ หน้าอกส่วนบน ใต้ราวนม และขาหนีบ แนะนำให้อาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และทายาบริเวณที่เป็นผื่น

2) บวมที่ข้อเท้า เกิดจากเส้นเลือดบริเวณผิวหนังขยายตัว ทำให้เกิดอาการบวมที่ขา โดยเฉพาะที่ข้อเท้า จึงควรพักผ่อนและนอน ยกขาสูง 3) ตะคริวเกิดจากกล้ามเนื้อหดตัวและเกร็งอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะบริเวณขา แขน และท้อง ซึ่งพบในผู้ที่ทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างหนัก จนร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางเหงื่อเป็นจำนวนมาก แนะนำให้ยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นตะคริว นวดกล้ามเนื้อเบาๆ ประมาณ 1-2 นาที สลับกับการยืดกล้ามเนื้อ และดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป 4) เป็นลม เกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวต่ออากาศที่ร้อนขึ้น เนื่องจากร่างกายพยายามขับความร้อนส่วนเกินออก โดยการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปที่ผิวหนังเป็นผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วขณะ ทำให้เป็นลมหมดสติได้ วิธีช่วยเหลือคือให้ผู้ป่วยนอนหงายราบกับพื้น ใช้หมอนรองขาและเท้าสูงกว่าลำตัว พัดโบกลมให้ถูกหน้า ลำตัว และให้ดมยาหม่องหรือยาดมอื่นๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า และบีบนวดแขนขา หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที ให้ไปพบแพทย์

5) เพลียแดด สาเหตุสำคัญเกิดจากการสูญเสียน้ำหรือเกลือแร่ที่สำคัญจำนวนมากไปกับเหงื่อเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ผู้ที่มีอาการเพลียแดดยังคงมีเหงื่อออก อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และกระหายน้ำอย่างมาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว แต่ยังคงมีสติอยู่ วิธีช่วยเหลือคือให้ผู้ป่วยนอนยกขาสูง ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามซอกคอ รักแร้ ข้อพับและขาหนีบ หากผู้ป่วยมีอุณหภูมิภายในร่างกายสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส ให้นำส่งโรงพยาบาลทันที และ 6) โรคลมแดด หรือฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นโรคที่รุนแรงมาก เกิดขึ้น เมื่ออยู่ในอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นกว่า 40 องศาเซลเซียส และไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ตามปกติ

อาการที่พบ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการผิวหนังแดง ร้อน เหงื่อไม่ออก สับสน หมดสติ และหากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยคือพาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม หรือในรถที่เปิดเครื่องปรับอากาศ หรือห้องที่มีความเย็น ถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ใช้พัดลมเป่า วางถุงใส่น้ำแข็งไว้ตามซอกคอ รักแร้ ข้อพับและขาหนีบ และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว โดยรถปรับอากาศ หรือเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท ทั้งนี้ หากพบคนไม่สบายหรือต้องการความช่วยเหลือ ให้รีบโทรหาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือติดต่อสายด่วนช่วยชีวิต 1669

http://www.bangkokbiznews.com

ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 02/04/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,550.00 19,650.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,266.00 19,192.56 20,150.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,139.40 17,273.30 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 570.00 8,641.20 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 443.00 6,715.88 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,312.00 19,889.92 n/a
ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  02/04/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
28.35
แก๊สโซฮอล E-20 25.84 25.84 25.94 25.54 25.84 25.84 25.84 25.84 25.84
แก๊สโซฮอล E-85 20.34 20.34 20.34 20.34
แก๊สโซฮอล 91 28.08 28.08 28.28 27.78 28.08 28.08 28.08 28.08 28.08 28.08
เบนซิน 95 35.46 35.91 35.96 35.46 35.46 35.46
ดีเซลหมุนเร็ว 27.59 27.59 27.69 27.29 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.59 31.46 31.56 31.16 31.46
มีผลตั้งแต่ 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00 29 Mar 05:00

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า