สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 23 มกราคม 2561

ทางออกใหม่ผู้ประกอบการอสังหาฯ แตกไลน์ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม

ทางออกใหม่ผู้ประกอบการอสังหาฯ แตกไลน์ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ตลาดก็มีความผันผวนจากความอ่อนไหวต่อสภาพเศรษฐกิจของผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายต้องหาทางออกเพื่อให้บริษัทมีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนกว่าที่หวังพึ่งเฉพาะธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยมีทั้งแตกไลน์ไปสู่ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่หลายบริษัทเลือกมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก

ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มดีอย่างไร
สาเหตุที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนหนึ่งเลือกแตกไลน์มาจับธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากต้องการกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจที่ไม่เกิดโอเวอร์ซัพพลายเหมือนกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รับรู้รายได้เร็ว ต่อเนื่อง เปิดสาขา และคืนทุนได้เร็ว ซึ่งธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มแต่ละปีมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นสินค้าที่ทุกคนต้องบริโภค

ผู้ประกอบการจับแบรนด์รุกตลาดไทย-เทศ
ตัวอย่างผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาจับธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มได้แก่
บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นบริษัทแรก ๆ ที่จับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเมื่อ 7 ปีก่อน โดยได้ซื้อแบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้า ร้านอาหารและกาแฟจากนิวยอร์ก ก่อนเริ่มสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จักด้วยการเปิดสาขาตามย่านธุรกิจ ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน โดยวางเป้าหมายเปิดดีน แอนด์ เดลูก้า 300 สาขา ในปี 2562 ตั้งเป้ารายได้จะมาจากเปอร์เซ็นต์ยอดขายของแฟรนไชส์ดีน แอนด์ เดลูก้า ซึ่งจะกลายเป็นอีกรายได้หลักสำคัญของบริษัท

ส่วน บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ที่แต่เดิมจับธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์มาตั้งแต่ปี 2557 ก่อนขยับขยายมาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และหันมาบริหารกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาซ่า ลาแปง ที่ปัจจุบันมีอยู่ 8 สาขา โดยมีแผนจะขยายร้านอาหารคาซ่า ลาแปง ทั้งรูปแบบลงทุนเอง และขายแฟรนไชส์ ซึ่งในระยะยาวจะสร้างโอกาสเติบโตได้ทั้งในและต่างประเทศ และสร้างรายได้ให้ในสัดส่วน 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ล่าสุดขยับตัวครั้งใหญ่จับมือกับบ้านหญิง กรุ๊ป ร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงมากว่า 20 ปี

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ล่าสุดขยับตัวครั้งใหญ่จับมือกับบ้านหญิง กรุ๊ป ร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงมากว่า 20 ปี

ขณะที่ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ล่าสุดขยับตัวครั้งใหญ่จับมือกับบ้านหญิง กรุ๊ป ร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงมากว่า 20 ปี เข้าสู่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มเพื่อนำอาหารไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยในปีนี้จะเริ่มที่สิงคโปร์ ในอาคาร รอยัล สแควร์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพของโนวีน่า เฮล ซีตี้ ในไตรมาส 1 จะมีร้านดิงค์ ดิงค์ (Dink Dink) ร้านอาหารขนาด 68 ที่นั่ง อาหารไทยในบรรยากาศสบาย ๆ เน้นความสะดวก รวดเร็ว และมีเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง และเครื่องดื่มไทยโบราณ สำหรับรับประทานทั้งภายในและภายนอก และร้านบ้านหญิง ขนาด 126 ที่นั่ง ร้านอาหารไทยในสไตล์ไทยร่วมสมัย ส่วนร้านที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์สไตล์ ฮ็อต พ็อท (Hot Pot) ไทย-อีสาน ที่มีรสชาติจัดจ้าน คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4 นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดให้บริการร้านอาหารทะเลระดับพรีเมียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ ด้วย

รวมประกาศคอนโดมิเนียม โครงการเด่นของ ไรมอนด์ แลนด์ ที่นี่

ทั้งนี้ ไรมอน แลนด์ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน อาทิ กัวลาลัมเปอร์ พนมเปญ ฮานอย โฮจิมินห์ เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว โดยจะเปิดร้านอาหารรวม 10-15 สาขา ภายในปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท ในปี 2561 และเติบโตไปเป็น 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตามจากการแตกไลน์สู่ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นอกจากจะเป็นการนำแบรนด์ไทยออกไปสร้างชื่อยังต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการนำแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาเสิร์ฟถึงมือผู้บริโภค และเป็นการเพิ่มการลงทุนให้ร้านอาหารและเครื่องดื่มให้สามารถขยายสาขามากขึ้นทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

https://www.ddproperty.com


ภาษีที่ดินจุดชนวน”ฟองสบู่ที่ดินเปล่า” หวั่นโอเวอร์ซัพพลายแย่งซื้อราคาแพงเว่อร์

อัพเดตภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเวอร์ชั่น สนช. “ที่ดินเปล่า” เพดานสูงสุดเก็บ 3% ถ้าไม่ทำประโยชน์ภายใน 6-9 ปี ชนเพดานจัดเก็บ 1.2% เท่าภาษีพาณิชยกรรม หวั่นแลนด์ลอร์ดตกใจพัฒนาโครงการหลีกเลี่ยงจ่ายภาษีแพง สร้างปัญหาโอเวอร์ซัพพลายพัฒนาเกินความจำเป็นในอนาคต ฟากดีเวลอปเปอร์ขานรับ เผยเจ้าของที่รายย่อยเปิดดีลเจรจาซื้อขายมากขึ้น

นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศศ.) กระทรวงการคลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้คืบหน้าเป็นลำดับ โดยผลักดันให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี จากนั้นตั้งเป้าจัดเก็บจริงในวันที่ 1 มกราคม 2562
 
“ขณะนี้เป็นการพิจารณากฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. หลักการคือไม่ว่าจะประกาศในราชกิจจาฯเดือนไหนของปีนี้ การจัดเก็บจริงยืนยันว่าต้องเป็นวันที่ 1 มกราคม 2562”
 
ส่วนอัตราภาษีถือว่าผ่อนคลายขึ้น โดย กมธ.ปรับลดเพดานภาษีลง 40% ทั้ง 4 ประเภทเมื่อเทียบกับร่างเดิมที่เคยเป็นมติคณะรัฐมนตรี แบ่งเป็นเกษตรกรรม 0.2% ปรับเหลือ 0.15% ที่อยู่อาศัย 0.5% ปรับเหลือ 0.3% พาณิชยกรรม 2% ปรับเหลือ 1.2% และที่ดินเปล่าจาก 5% ปรับเหลือ 3%
ที่ดินเปล่าเพดานภาษี 3%
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอ สนช.ได้ปรับปรุงรายละเอียดภาษีจากร่างเดิม ดังนี้ ประเภทเกษตรกรรม จาก 0.2% อัตราจัดเก็บมี 3 ขั้น โดยคิดตามมูลค่า เริ่มจากไม่เกิน 50 ล้านบาทได้รับยกเว้นภาษี, มูลค่า 50-100 ล้านบาท จัดเก็บ 0.05% หรือล้านละ 500 บาท, มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ภาษี 0.10% หรือล้านละ 1,000 บาท ข้อเสนอ สนช.มีการย่อยอัตราภาษี 5-6 ขั้นบันได โดยแยกเป็นที่ดินเกษตรกรรมรายย่อยมี 6 ขั้น ได้รับยกเว้นภาษีสำหรับมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จากนั้นมูลค่า 50-75 ล้านบาท เริ่มเก็บภาษี 0.01% หรือล้านละ 100 บาทจนถึงมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท มีภาระภาษีล้านละ 1,000 บาท และที่ดินเกษตรรายใหญ่หรือนิติบุคคล มี 5 ขั้นไม่มีการยกเว้นภาษี โดยมูลค่า 0-75 ล้านบาท เริ่มเก็บภาษีล้านละ 100 บาทจนถึงมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาทเสียภาษีล้านละ 1,000 บาท “ประเภทที่อยู่อาศัย” นอกจากลดเพดานจัดเก็บจาก 0.5% เหลือ 0.3% แล้ว ทรัพย์สินบ้านหลังหลักมีการถ่างอัตราจัดเก็บจาก 3 ขั้นบันได เป็น 5 ขั้นบันได และลดมูลค่ายกเว้นภาษีจากเดิม 50 ล้านบาท เหลือบ้านไม่เกิน 20 ล้านบาท ส่วนบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปเริ่มจัดเก็บตามมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ล้านละ 200-1,000 บาท “ประเภทพาณิชยกรรม” อัตราจัดเก็บลดจาก 6 ขั้นบันได เหลือ 5 ขั้นบันได แต่เดิมไม่เกิน 50 ล้านบาท เก็บล้านละ 5,000 บาท ปรับภาษีให้บรรเทาลงเหลือล้านละ 3,000 บาท มูลค่าทรัพย์สูง ๆ ระดับ 1,000-3,000 ล้านบาท ข้อเสนอเดิมเก็บล้านละ 9,000-12,000 บาท ปรับใหม่เหลือล้านละ 6,000 บาท และมูลค่าทรัพย์เกิน 5,000 ล้านบาท จัดเก็บล้านละ 7,000 บาท สุดท้าย “ประเภทที่ดินเปล่า” เพดานลดจาก 5% เหลือ 3% ข้อเสนอเดิมไม่มีการแบ่งมูลค่า ในขณะที่ข้อเสนอ สนช.แบ่งจัดเก็บ 5 ขั้นบันได โดยใช้อัตราจัดเก็บแบบเดียวกับประเภทพาณิชยกรรม ข้อแตกต่างอยู่ที่มีการปรับเพิ่มภาษีทุก 3 ปี (ถ้ายังไม่นำมาทำประโยน์) ในอัตรา 0.3% โดยตัวกฎหมายเขียนไว้ว่า บวกภาษีเพิ่มแต่ไม่เกิน 3% แต่คาดว่าที่ดินเปล่าเสียภาษีสูงสุดน่าจะเท่ากับพาณิชยกรรมคือ 1.2% ซึ่งคำนวณแล้วถ้าทิ้งไว้เป็นที่ดินเปล่าภายใน 6-9 ปี จะชนเพดานจัดเก็บ 1.2% และต้องใช้เวลา 24-27 ปี อัตราภาษีจะชนเพดานสูงสุด 3%
หวั่นปัญหาฟองสบู่ที่ดินเปล่า
 
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทกานดา พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะนายกกิตติมศักดิ์และที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบจากภาษีที่ดินฯ ที่ปรับปรุงใหม่ต่อวงการอสังหาริมทรัพย์มองว่า 1.เป็นผลบวกต่อนักพัฒนาที่ดิน เนื่องจากเจ้าของที่ดินรายย่อยมีเหตุจูงใจให้ขายออกมาเพราะไม่ต้องการมีภาระจ่ายภาษี 2.ผลกระทบเชิงลบน่าจะเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่ 2 เนื่องจากไม่มีอัตรายกเว้นภาษี และเรียกเก็บตั้งแต่มูลค่า 1 บาทแรก โดยสินค้าบ้านและคอนโดฯ อาจมีผลกระทบทางอ้อมในการขาย ดังนั้น กลุ่มนี้ต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ เพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการจ่ายค่าส่วนกลางรายเดือน 3.แนวโน้มในอนาคต เจตนารมณ์ภาษีต้องการชักจูงและกดดันให้ที่ดินเปล่าถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด จึงเรียกเก็บในอัตราแพงสุด อาจมีผลต่อการตัดสินใจของแลนด์ลอร์ดที่ต้องขายออกมาหรือพยายามพัฒนาที่ดิน จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีภาวะซัพพลายล้นเกินความต้องการในตลาดได้
 
“รัฐบาลน่าจะมีทางออกให้กับเจ้าของที่ดินย่อย เพราะอาจได้รับที่ดินมรดกมา ไม่มีความจำเป็นต้องลงทุน และไม่มีโครงการจะทำใน 5-10 ปี ในกรณีนี้ถ้านำที่ดินมาทำสาธารณประโยชน์ชั่วคราวก็ควรได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายภาษี”
http://www.bkkcitismart.com

‘พาณิชย์’ เชื่อสหรัฐชัตดาวน์ไม่กระทบการค้าไทย

“รมว.พาณิชย์” สั่ง “กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ” จับตาเหตุชัตดาวน์ของสหรัฐใกล้ชิด เชื่อไม่กระทบการค้าไทย

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ชัตดาวน์ (Government Shutdown) หรือการปิดดำเนินการชั่วคราวของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้นประเมินว่าการชัตดาวน์ได้เริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 20 มกราคม 2561 ตามเวลาสหรัฐฯ ภายหลังจากที่ประชุมวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่สามารถให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายงบประมาณสหรัฐฯ ประจำปี 2561 ได้นั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ได้ติดตามการวิเคราะห์ผลกระทบของการชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่ประเมินโดยสถาบันวิจัยต่างๆ ของสหรัฐฯ พบว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Real GDP Growth) ของไตรมาสที่ 1 อาจลดลง 0.2% รวมทั้งส่งผลต่อค่าเงินสหรัฐฯ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน และอัตราเงินเฟ้ออาจขยายตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ มีการประมาณการว่าจะมีพนักงานและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบประมาณ 1 ล้านคน และอาจกระทบต่อการจ้างงานของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของภาครัฐ อย่างไรก็ดี หากชัตดาวน์มีระยะเวลายาวนานเป็นหลายสัปดาห์อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ เนื่องจากอุทยานแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศจะปิดทำการ

สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเบื้องต้น จะไม่กระทบการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมทั้งการเดินทางเข้า-ออก สหรัฐฯ ของนักธุรกิจไทย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยังคงทำงานต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี อาจมีความล่าช้าในการประสานงานกับหน่วยงานสหรัฐฯ บางแห่งบ้าง

สำหรับกรณีการชัตดาวน์เป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดการชะลอการนำเข้าสินค้าจากไทย เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการดำเนินกิจกรรมทางการค้าของผู้นำเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภคสหรัฐฯ จะลดปริมาณการใช้จ่ายลงได้

“สถานการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะยืดเยื้อหลายสัปดาห์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการวางแผนล่วงหน้าสำหรับทำการค้ากับสหรัฐฯ ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป” นายสนธิรัตน์ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com


เผยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนยังขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง!!

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เผยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนยังขยับสูงขึ้นตามแนวโน้มสินเชื่อ – ทิศทางเศรษฐกิจ ห่วงคนรุ่นใหม่ก่อหนี้เร็วขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีมีโอกาสขยับลงมาอยู่ที่กรอบประมาณ 77-78% ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจไทยปี 61 ขยายตัวในกรอบ 3.5-4.5% โดยแม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเมื่อเทียบกับจีดีพีในปี 61 มีโอกาสลดต่ำลงต่อเนื่องเป็นปีที่สาม เนื่องจากอัตราการขยายตัวของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจประจำปี (Nominal GDP ซึ่งมีผลของราคาสินค้าที่มีทิศทางขยับขึ้น) ยังมีสัดส่วนที่่สูงกว่าการขยายตัวของหนี้ครัวเรือน

อย่างไรก็ดี ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนที่ยังคงขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง ตามแนวโน้มสินเชื่อและทิศทางเศรษฐกิจในภาพรวม ยังคงเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่า ภาระหนี้สินยังเป็นประเด็นที่เปราะบางของครัวเรือนบางกลุ่ม โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีภาระผูกพันกับหนี้หลายก้อน รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่มีการก่อหนี้เร็วขึ้น ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในบริบทนี้ ต้องพึ่งพาความร่วมมือจากหลายฝ่ายเข้าด้วยกัน

“สินเชื่อรายย่อยหลายประเภท ที่มีสัญญาณขยายตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 4/ 60 อาจช่วยหนุนให้ยอดคงค้างของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน (หนี้ครัวเรือน) ในไตรมาส 4/60 ขยายตัวได้ประมาณ 4.0% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส หลังจากที่เติบโต 3.7% หากเทียบในไตรมาสที่ 3/ 60 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 60 มีโอกาสทรงตัว หรือขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่กรอบประมาณ 78.3-78.5% จากระดับ 78.3% ต่อจีดีพีในไตรมาสที่ 3/60”

อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจภาระหนี้ที่ผ่านพบว่า ประมาณ 78% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม เป็นบุคคลที่มีภาระหนี้ “อย่างน้อย” 1 ประเภท และสัดส่วนประมาณ 35.6% ของประชาชนในกลุ่มที่มีภาระหนี้ ระบุว่า มีภาระการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนเพิ่มขึ้น ขณะที่ 49.7% มีภาระผ่อนชำระหนี้เท่าเดิม และมีเพียง 14.6% เท่านั้นที่มี ภาระการผ่อนชำระหนี้ลดลง

http://www.bangkokbiznews.com


กรมอนามัยชวนบริจาค ‘มือถือเก่า’ ช่วย30 รพ.

กรมอนามัยเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคมือถือเก่านำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี รายได้มอบให้รพ. 30 แห่งทั่วประเทศ

นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า โครงการมือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา เป็นการดำเนินงานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรุงเทพมหานครไปรษณีย์ไทย และภาคเอกชน โดยได้เริ่มดำเนินการ ระยะที่ 1 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2560 ซึ่งผลจากการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมา ได้มอบเงินรายได้จากการรีไซเคิลมือถือเก่า เป็นเงินจำนวนกว่า 3 ล้านบาท ให้ 4 มูลนิธิ  ได้แก่

1.มูลนิธิรามาธิบดีเพื่อสมทบทุนสร้างอาคารสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ 2.ศิริราชมูลนิธิเพื่อสมทบ ทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 ปี 3.กลุ่มพหุชนคนอาสา(The CAP) เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้มีจิตสาธารณะที่จะช่วยสร้างสรรค์และบรรเทาทุกข์ให้กับสังคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4.มูลนิธิเดอะวอยซ์(เสียงจากเรา) เพื่อสนับสนุนการทำงานช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตด้อยโอกาสและสัตว์ยากไร้

สำหรับในระยะที่ 2 กระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน   (อสม.) ทั่วประเทศ จำนวน1,040,000 คน ช่วยประชาสัมพันธ์และจัดเก็บมือถือเก่าที่ได้รับบริจาคจากครัวเรือน   เพื่อรวบรวมส่งที่กล่องรับบริจาค ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และนำส่ง ณ ที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่ต่อไป ผ่านระบบแอปพลิเคชั่นไลน์สำหรับตรวจสอบ ติดตาม สนับสนุน การทำงานของ อสม. ได้ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกำหนดการบริจาคเงินสนับสนุนการดำเนินงานทั้ง 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และสมาคมผู้ป่วยโรคไต ภายในเดือกุมภาพันธ์ 2561

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถร่วมบริจาคมือถือเก่าได้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่จิตอาสาประจำโครงการทั่วประเทศ และที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือสถานีอนามัยทั่วประเทศ ศูนย์อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) ประจำตำบลทั่วประเทศ ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ และร้านเจมาร์ททุกสาขา โดยสามารถติดตามรายละเอียดและกิจกรรมต่างๆ ของโครงการฯได้ที่ Facebook : มือถือเก่าไป ชีวิตใหม่มา

อนึ่ง จากรายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทยปี 2559 ได้คาดการณ์ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้น จำนวน 55,646 ตัน เพิ่มขึ้นจาก ปี 2558 จำนวน 1,778 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.3 จำแนกเป็นมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากโรงพยาบาลรัฐ ร้อยละ 56.79 โรงพยาบาลเอกชน ร้อยละ 17.05 คลินิก ร้อยละ 19.21 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร้อยละ 6.37 สถานพยาบาลสัตว์ ร้อยละ 0.58 และห้องปฏิบัติการเชื้ออันตราย ร้อยละ 0.01 ซึ่งมูลฝอยติดเชื้อเหล่านี้เกิดจากการให้บริการรักษาพยาบาล การตรวจวินิจฉัย การให้ภูมิคุ้มกันโรค และการศึกษาวิจัยที่ดำเนินการทั้งในมนุษย์และสัตว์ หากจัดการไม่ถูกต้องแล้วจะเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรคก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 23/1/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,050.00 20,150.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,299.00 19,692.84 20,650.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,169.10 17,723.56 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 585.00 8,868.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 455.00 6,897.80 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,346.00 20,405.36 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  23/1/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.45 28.45 27.95 28.45 28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
แก๊สโซฮอล E-20
25.94
25.94
25.94
25.44
25.94
25.94
25.94
25.94
25.94
แก๊สโซฮอล E-85 20.94 20.94 20.94 20.94
แก๊สโซฮอล 91 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18
เบนซิน 95 35.56 36.01 36.06 35.56 35.06 35.56
ดีเซลหมุนเร็ว 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.59 30.59 30.59 30.59 30.59
มีผลตั้งแต่ 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00

 

 

 

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า