สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2563

“เอสซีจี เซรามิกส์” ครึ่งปีแรก ฝ่าโควิด ดีเกินคาด

“เอสซีจี เซรามิกส์”ครึ่งปีแรก ฝ่าโควิด ดีเกินคาด เตรียมจัดทัพมุ่งสู่ธุรกิจติดตั้ง-ตกแต่ง-ต่อเติม พร้อมรับมือตลาดซ่อม-สร้าง

แม้ว่าวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นตลอดไตรมาสที่ 2 จะทำให้ยอดขายลดลงทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศแต่บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้น 95% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสามารถบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้โดยปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเป็นออนไลน์มากขึ้น ปรับตัวได้รวดเร็วตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,369 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15  แต่บริษัทฯ มีกำไรสำหรับงวด 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 95 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2563 ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากปัญหา COVID-19 จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 4,892 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทฯ ยังสามารถทำกำไรสำหรับงวดได้ถึง 166 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

 นายนำพล เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มียอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์ซึ่งมีการปิดช่องทางจัดจำหน่ายหลัก คือ ร้านโมเดิร์นเทรดทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย และมีการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายแต่ละรูปแบบ อย่างมีประสิทธิภาพจึงทำให้ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากจนเกินไป เนื่องจากผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงสินค้าของบริษัทฯ ได้จากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย คลังเซรามิค และช่องทางออนไลน์  นอกจากนี้  เรายังได้ร่วมมือกับร้านโมเดิร์นเทรดเพื่อช่วยกระตุ้นการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยในช่วงที่หน้าร้านปิดทำการ ทำให้ยอดขายผ่านทางช่องทางนี้โดยรวมโตขึ้นถึง 300%  ด้านคลังเซรามิคมียอดขายสูงกว่าเป้าหมายทุกเดือน ในขณะที่ร้านผู้แทนจำหน่ายส่วนใหญ่ยังมียอดขายทรงตัว”

 ในส่วนของการส่งออกไปยังตลาด CLM อเมริกา ยุโรป และโอเชียเนีย ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดของโควิด-19ในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถดำเนินการผลิตและขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก จึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และขณะนี้ตลาดส่งออกเริ่มดีขึ้นบ้างในกลุ่มประเทศที่กำลังฟื้นตัวโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLM

สำหรับแผนงานของบริษัทฯ ภายหลังจากนี้ นายนำพลเปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้นและมีความตระหนักถึงเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยภายในบ้านเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสดีของบริษัทฯที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ในกลุ่ม Health and Clean เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการปรับแต่งพื้นที่อยู่อาศัย

ให้เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี ปลอดภัย สะอาดไร้กังวลและสร้างความอุ่นใจในการอยู่อาศัย โดยในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เร่งออกสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ อาทิ กระเบื้อง Hygienic Tile หรือ กระเบื้องยับยั้งแบคทีเรีย จาก COTTO ที่ใช้เทคนิคในการผสมสารซิลเวอร์นาโนในเนื้อกระเบื้อง ทำให้สามารถยับยั้งการเกิดเชื้อแบคทีเรียได้ตลอดอายุการใช้งานซึ่งแตกต่างจากการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์ขณะใช้งานและจะหมดประสิทธิภาพลงอย่างรวดเร็ว

 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายพอร์ทสินค้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้ที่ให้ความสำคัญไม่เพียงแต่ความสะอาด แต่ยังต้องคำนึงถึง ความสะดวก ปลอดภัย และสวยงาม อีกด้วย บริษัทฯจึงมุ่งเน้นพัฒนาออกสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เช่น แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้นที่มีดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และล่าสุด กระเบื้องรุ่น 4D+ จาก CAMPANA และ SOSUCO  ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการกันลื่นเพื่อความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น โดยยังคงให้ผิวสัมผัสที่่นุ่มละมุนสบายแตกต่างจากเดิม

 ที่สำคัญ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ ต้องการปรับปรุงที่พักอาศัย (รีโนเวต) บริษัทฯ ได้มีการขยายธุรกิจให้บริการติดตั้ง ภายใต้ชื่อ C’TIS (Certified Tile Installation Service) เพื่อให้บริการสร้างซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้งกระเบื้องและวัสดุกรุผิว ด้วยทีมช่างมืออาชีพที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

 “เราเริ่มต้นจากธุรกิจติดตั้งกระเบื้องเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่ต้องการปรับปรุงบ้านที่อยู่อาศัย หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล จากนี้ จึงคาดว่าจะต่อยอดเป็น ธุรกิจสร้างซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้งวัสดุกรุผิว ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นนอกเหนือจากกระเบื้องเซรามิก  ไม่ว่าจะเป็นอลูมิเนียมคอมโพสิตสำหรับอาคารสูงและอาคารทั่วไป หรือวัสดุกลุ่ม Resilient Flooring ได้แก่แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO เพื่อเจาะตลาดงานต่อเติมบ้านและอาคารขนาดเล็ก โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บ้านในโครงการต่าง ๆ   ที่ผ่านมาลูกค้าส่วนใหญ่นิยมใช้บริการของ C’TIS ในการต่อเติมโรงจอดรถ ปูกระเบื้องสระว่ายน้ำ ปูพื้นห้องคอนโดมิเนียม คงานตกแต่งอาคารสถานที่ด้วยกระเบื้องขนาดใหญ่  ลูกค้าที่สนใจใช้บริการติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ทาง เฟซบุ๊กเพจ C’TIS หรือ  COTTO Life และร้านผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่ต่าง ๆ  ขณะนี้ มีจุดให้บริการที่กรุงเทพ เชียงใหม่ ระยอง และชลบุรี โดยมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 30 จุดทั่วประเทศ ภายใน 2 ปีนี้”  นายนำพล กล่าว

ปัจจุบัน C’TIS มีทีมช่างประมาณ 100 คนที่ให้บริการด้านสร้าง ซ่อม ตกแต่ง ต่อเติม ติดตั้ง และยังคงเปิดรับสมัครทีมช่างจำนวนมากเข้ามาร่วมงาน โดยจะมีการอบรมให้ความรู้ตามมาตรฐานของ C’TIS พร้อมกับมอบหมายงานให้ทีมช่างอย่างสม่ำเสมอ

“คาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะยังคงส่งผลต่อทั้งระบบเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง โดยมีหลายปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง เช่น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อ ความชัดเจนของการผลิตวัคซีนป้องกัน และสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของตลาดกระเบื้องเซรามิกอาจจะได้รับผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อที่ลดลงของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ไปสถานการณ์ตลาดในประเทศจะค่อย ๆ คลี่คลายลงตามลำดับ ตามที่ภาครัฐมีแนวทางและมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาคาดว่าจะมีส่วนช่วยให้ตลาดมีความต้องการใช้กระเบื้องเซรามิกและวัสดุก่อสร้างดีกว่าในไตรมาสก่อน โดยบริษัท ฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมในการวางแผนการผลิตเพื่อบริหารสต๊อกสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของตลาดและจับตาดูพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดด้วย  ทั้งนี้ ยังต้องรอดูทิศทางของ COVID-19 หากไม่มีการระบาดระลอก 2 มั่นใจว่าจะเป็นไปตามแผนงานระยะฟื้นฟูตามที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้”  นายนำพล กล่าวสรุป

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ไตรมาส2 คอนโดฯกทม.เปิดตัว 1,250หน่วย ต่ำสุดรอบ 10ปี

ตลาดคอนโดฯไตรมาส2ในกทม.ชะลอตัวหนัก เปิดตัวใหม่แค่1,250หน่วย  ต่ำสุดในรอบ 10ปี ลดลง จากไตรมาสแรก 74% ชี้โควิดมา ขอสินเชื่อยาก   โรงแรม การท่องเที่ยวปิดกิจการ

ตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงแบบชัดเจนทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป การปิดโครงการพื้นที่ค้าปลีกหรือการปิดกิจการทั้งแบบชั่วคราวและถาวรของหลายๆ บริษัทมีผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของคนไทยที่ความเชื่อมั่นลดลงและเลือกที่จะใช้จ่ายลดลง การซื้อที่อยู่อาศัยในตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่สำหรับคนที่มีความพร้อมกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพราะสามารถได้ที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมในราคาไม่สูงอีกทั้งยังมีของแถมหรือส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมอีก แต่สำหรับคนทั่วไปก็ยากลำบากในการขอสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ทำงานในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจนทั้งธุรกิจการบิน สนามบิน โรงแรม การท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศที่คำสั่งซื้อหรือยดการผลิตลดลงจนต้องปิดกิจการชั่วคราวและถาวรมากขึ้นแบบที่เห็นนข่าว โครงการที่อยู่อาศัยรอบสนามบิน รอบนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งได้รับผลกระทบบ้างแล้วในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา

ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ระบุว่า คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 2 ปี2563 มีทั้งหมดประมาณ 1,200 หน่วยลดลงจากไตรมาสที่ 1 ประมาณ 74% เป็นจำนวนคอนโดมิเนียมปิดขายใหม่ใน 1 ไตรมาสต่ำที่สุดในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา และเมื่อรวมกับคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสที่ 1 ปี2563 เปิดขายใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เพียงประมาณ 5,800  หน่วยแน่นอนว่ายังคงต่ำที่สุดในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา

คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เป็นคอนโดมิเนียมในช่วงราคาไม่เกิน 100,000 บาทต่อตารางเมตรมากถึงประมาณ 77% ของจำนวนคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ผู้ประกอบการเลือกเปิดขายโครงการราคาไม่แพงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราการขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ประมาณ 36% เท่านั้น แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของกำลังซื้อได้เป็นอย่างดีว่าอยู่ในภาวะถดถอยแบบชัดเจน และการที่ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ลดลงในช่วง 6 เดือนแรกของปีก็เป็นการแสดงออกชัดเจนของผู้ประกอบการว่าพวกเขาให้ความสนใจโครงการคอนโดมิเนียมลดลงแต่ไปเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ผู้ใช้บัตรผวาหนักภัยไซเบอร์ล้วงข้อมูล

ผู้ใช้บัตรผวาหนักภัยไซเบอร์ล้วงข้อมูล

มาสเตอร์การ์ดชี้ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยบนไซเบอร์เป็นอย่างมาก แนะองค์กรควรลงทุนความปลอดภัยสร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค

อุรุจ เบอร์นี่ Senior Principal, Data and Services มาสเตอร์การ์ด เปิดเผยว่า 62% ของผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงหรือการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล ในขณะที่องค์กรมีความกังวลต่อประเด็นดังกล่าวเพียง 43%

ผลการสำรวจล่าสุดพบมุมมองต่อความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่แตกต่างกันระหว่างองค์กรและผู้บริโภคซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะมีอาชญากรรมทางไซเบอร์เกิดขึ้น

จากผลสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนโดยมาสเตอร์การ์ดและจัดทำโดย Harvard Business Review Analytic Services 62% ของผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกงหรือการโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล ในขณะที่เพียง 43% ขององค์กรมีความกังวลต่อประเด็นดังกล่าว

ตัวเลขที่ต่างกันนี้มีความอันตรายและอาจจะส่งผลต่อองค์กรในโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างมากในปัจจุบัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจของอาชญากรรมด้านไซเบอร์นั้นมีความรุนแรงอย่างชัดเจน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2021 ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะมีมูลค่าถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าปี 2015 ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ถึงเท่าตัว นอกจากนี้การสูญเสียความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าก็เป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล การใช้งบประมาณไปกับการป้องกันด้านไซเบอร์เพิ่มขึ้น 12-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่จำนวนอาชญากรรมด้านไซเบอร์กลับนำหน้าการป้องกันที่ถูกนำมาปรับใช้ ทำให้เห็นว่าการป้องกันทางไซเบอร์ถือเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญและควรใช้ทรัพยากรในการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

เพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค องค์กรต้องพัฒนาและยกระดับมาตรการการลงทุนอย่างฉลาดมากขึ้น แนวคิดที่ว่าความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นมากกว่าเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลักสำคัญในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต และถึงแม้ว่าประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์จะเป็น 1 ใน 3 ปัญหาหลักระดับโลกในทุกอุตสาหกรรม แต่ก็ยังมีช่องทางที่องค์กรยังสามารถพัฒนาในเรื่องดังกล่าวด้วยการลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โครงสร้างการรายงานในองค์กร และการจัดระดับผู้บริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศในองค์กร ดังนั้น ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ถือเป็นความรับผิดชอบและข้อผูกพันของทุกคนไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ตาม

พยายามอย่าใช้โซลูชั่นแบบผสมปนเป

การซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพิ่มมากขึ้นไม่ได้หมายความว่า จะช่วยให้สามารถปกป้องข้อมูลได้ดีขึ้น หลายๆ บริษัทได้ใช้วิธีเพิ่มชั้นของการปกป้องข้อมูลให้ซับซ้อนขึ้นด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องมาหลายปี โดยไม่ได้ปรับปรุงระบบความปลอดภัยหรือลดความเสี่ยงของตนลงอย่างแท้จริง

สิ่งที่ตามมาคือ โซลูชั่นที่เอาหลายสิ่งหลายอย่างมาผสมกัน แต่ไม่สอดรับกันอย่างเหมาะเจาะ และยังต้องหาทีมงานด้านความปลอดภัยที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถดูแลระบบเหล่านั้นได้ พร้อมไปกับข้อมูลดิบจำนวนมากที่ยากต่อการเอามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพพอในเชิงธุรกิจ

แทนที่จะผัดผ่อนการลงทุนด้านไซเบอร์ไปเรื่อยๆ ธุรกิจจำเป็นต้องคิดถึงความจำเป็นในแต่ละปี และลงทุนเฉพาะกับโซลูชั่นที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่วัดได้ชัดเจนและช่วยลดความเสี่ยงทางไซเบอร์

การลงทุนทางไซเบอร์ที่ให้ผลตอบแทนที่เห็นได้จริงจะต้องใช้งานได้และช่วยจัดระบบของเครื่องมือและขั้นตอนที่ทำงานได้ดังต่อไปนี้

วัดและประเมินความเสี่ยงจากมุมมองของผู้บุกรุกทางไซเบอร์และมองเห็นจุดอ่อนที่ผู้บุกรุกสามารถเข้าโจมตีใช้ข้อมูลนั้นๆ เพื่อให้เกิดการทำงานประสานกันข้ามฟังก์ชั่นต่างๆ และจัดลำดับการให้ความสำคัญของความปลอดภัยของข้อมูลทั่วทั้งธุรกิจ

มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่าหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และความรับผิดชอบต่อข้อมูลยังอยู่ในระดับที่ยังรับความเสี่ยงได้

บริษัทที่มีแนวคิดที่พร้อมยกระดับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้ครอบคลุมข้อมูลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากผู้บริโภค พนักงาน พันธมิตรธุรกิจ หรือข้อมูลองค์กรเอง จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

การเคารพในความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

นอกเหนือจากเรื่องเชิงเทคนิคด้านความปลอดภัยของข้อมูลแล้ว การบริหารข้อมูลและความเคารพในความเป็นส่วนตัวควรเป็นหลักการสำคัญของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจดิจิตัลกำลังเติบโตเช่นนี้ การตอกย้ำถึงความเคารพในความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะช่วยให้พนักงานทุกคนเข้าใจว่าตนเองมีความรับผิดชอบ และช่วยให้เกิดความไว้วางใจในหมู่ลูกค้า ส่งผลให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั้งในการบริหารข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์

การไม่ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและไม่ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องที่ส่งผลเสียอย่างมาก แน่นอนว่า การละเมิดความปลอดภัยของข้อมูลจะก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้างในการทำธุรกิจ แต่ชื่อเสียงที่เสียไปคือความเสียหายที่ยิ่งใหญ่กว่า การจะทำให้ผู้บริโภคกลับมาไว้วางใจและมีความเชื่อมั่นเหมือนเดิม ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างความภักดีในหมู่ลูกค้านั้นยากยิ่งกว่าการกู้ข้อมูลกลับคืนมาหลายเท่า

เมื่อระบบดิจิตัลขยายตัวสู่ความเป็นสมาร์ทโฮม อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ รถยนต์อัจฉริยะ และสมาร์ทซิตี้ เท่ากับว่ามีหนทางที่แฮ็กเกอร์สามารถเจาะเข้าระบบต่างๆ ได้มากมายขึ้น การเตรียมการและมาตรการปฏิบัติที่ไม่เพียงพอในวันนี้จะกลายเป็นหายนะของธุรกิจในอนาคต นอกจากความเสียหายต่อธุรกิจแล้ว การโจมตีทางไซเบอร์ยังเป็นอันตรายต่อลูกค้าโดยตรง ด้วยการขโมยอัตลักษณ์ของลูกค้า ประวัติสุขภาพ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ การขโมยข้อมูลในรูปแบบดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อเรื่องทั่วๆ ไปเช่น การขออนุมัติเครดิตการ์ด หรือการพิจารณาคุณสมบัติการทำประกันเพื่อให้ได้อัตราที่ดีที่สุด ซึ่งส่งผลเสียทั้งต่อลูกค้าและต่อบริษัทด้วย

การสูญเสียความไว้วางใจของลูกค้านำมาซึ่งความเสียหายอย่างมาก การสำรวจทั่วโลกโดย Gemalto ระบุว่า 64% ของผู้บริโภคกล่าวว่าจะไม่ทำธุรกิจใดๆ กับบริษัทที่เคยเกิดกรณีการขโมยข้อมูลด้านการเงินหรือข้อมูลสำคัญๆ อื่นๆ ของลูกค้า

เห็นได้ชัดว่า ลูกค้าพร้อมที่จะลงโทษบริษัทที่ไม่มีมาตรฐานด้านการรักษาความลับของข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์สูงพอ การสำรวจโดย Harvard Business Review ระบุว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องนี้ดี โดย 88% กล่าวว่าความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับดาต้าถือเป็นความสำคัญขั้นสูงในกลยุทธและการทำงานของบริษัท แต่มีบริษัทเพียง 51% เท่านั้นที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลลูกค้าในอันดับต้นๆ แสดงให้เห็นว่า ยังจำเป็นที่จะต้องทำให้คนเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้มากขึ้น จำเป็นต้องมีการลงทุนและการวางแผนอย่างมีกลยุทธและด้วยความระมัดระวังเพื่อปิดช่องว่างระหว่างจุดที่ผู้บริโภคต้องการความรู้สึกปลอดภัยในกิจกรรมออนไลน์กับสิ่งที่บริษัทต่างๆ กำลังนำเสนอแก่ผู้บริโภคเหล่านั้น

เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ผลที่ตามมาสำหรับการทำสิ่งที่ถูกต้องจะยิ่งใหญ่กว่า ผู้บริโภคกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับ การเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูลและการปกป้องข้อมูล ความไว้วางใจจากลูกค้ามีค่ามหาศาลเกินกว่าที่จะมีธุรกิจใดสามารถสูญเสียความไว้วางใจนั้นไปได้

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


“ลิเวอร์พูล” สร้าง 1 สถิติสุดโหดหลังเกมถล่ม “เชลซี” ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก

“ลิเวอร์พูล” สร้าง 1 สถิติสุดโหดหลังเกมที่พวกเขาเปิดบ้านเอาชนะ “เชลซี” ด้วยสกอร์ 5-3 และจบเกมดังกล่าวพวกเขาก็ได้ชูถ้วยแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” อย่างเป็นทางการ

วันที่ 23 ก.ค. 63 ความเคลื่อนไหวหลังจากที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดสนาม แอนฟิลด์ เอาชนะผู้มาเยือนอย่าง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี 5-3 ในเกมลีกนัดที่ 37 หรือนัดรองสุดท้ายประจำฤดูกาล 2019-20 เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจบเกมดังกล่าวพวกเขาก็ได้ชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการและถือเป็นแชมป์สูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว

เป็นที่เข้าใจกันว่า 5 ประตูดังกล่าวของเจ้าบ้าน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล  มาจาก นาบี เกอิตา นาทีที่ 23, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นาทีที่ 38, จอร์จินิโอ ไวนัลดุม นาทีที่ 43, โรแบร์โต เฟอร์มิโน นาทีที่ 55 และ อเล็กซ์ อ็อซ์เลด-แชมเบอร์เลน นาทีที่ 84 ขณะที่ทีมเยือน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ได้ประตูจาก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ นาทีที่ 45+3, แทมมี อับราฮัม นาทีที่ 61 และ คริสเตียน พูลิซิช นาทีที่ 73 ของเกมการแข่งขัน

หลังจบเกมดังกล่าว Opta เจ้าพ่อสถิติลูกหนังชื่อดัง ได้ออกมาระบุว่า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สร้างสถิติสุดยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครที่ แอนฟิลด์ 3 ฤดูกาลติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


สร้างแหล่งอาหารชุมชน บรรเทาภัยโควิด-19

สร้างแหล่งอาหารชุมชน บรรเทาภัยโควิด-19 thaihealth

ปัจจุบันสัตว์น้ำในแหล่งน้ำสาธารณะลดจำนวนลง จากการจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ และไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ จึงมีการจัดกิจกรรมปล่อยกบลงนา ปล่อยปลาลงหนอง สร้างแหล่งอาหารชุมชน เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและช่วยบรรเทาวิกฤตโควิด-19

ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานกิจกรรม“ปล่อยกบลงนา ปล่อยปลาลงหนอง ฟื้นฟูลำคลองธรรมชาติ” ที่ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อขยายพันธุ์สัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง และเนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนบางรายไม่ได้รับการจ้างงานต่อ ต้องกลับถิ่นที่อยู่อาศัยไปประกอบอาชีพเกษตรกรรม การลงนา ลงหนองน้ำ จึงเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ที่ใช้แสวงหาสัตว์น้ำจากธรรมชาติเพื่อบริโภคและลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน 

ปัจจุบันสัตว์น้ำในแหล่งน้ำสาธารณะลดจำนวนลง สาเหตุหลักเกิดจากการจับสัตว์น้ำขึ้นมาใช้ประโยชน์จนธรรมชาติไม่สามารถผลิตได้ทันความต้องการ รวมถึงความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำธรรมชาติจากกิจกรรมของมนุษย์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำลดน้อยลงทั้งสิ้น

ดร.วิชาญ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกรมประมง จังหวัดปทุมธานี ประกอบด้วย สำนักงานประมงจังหวัดปทุมธานี ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานี ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำปทุมธานี และศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดภาคกลาง(พระนครศรีอยุธยา) กำหนดจัดกิจกรรม“ปล่อยกบลงนา ปล่อยปลาลงหนอง ฟื้นฟูลำคลองธรรมชาติ” ขึ้นเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ และช่วยสร้างให้มีแหล่งอาหารให้ราษฎรในพื้นที่ โดยกิจกรรมนี้จะปล่อยพันธุ์ปลาและกบนา ที่ปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี พบได้น้อยลง เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

และจากกิจกรรมของเกษตรกรที่ใช้ปุ๋ยและสารเคมีในการปลูกพืช การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการตัดวงจรการแพร่ขยายพันธุ์ และมีส่วนทำลายพันธุ์กบในธรรมชาติทั้งสิ้น อีกทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัด ส่งเสริมให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ ทางสำนักงานประมงจังหวัดปทุมธานี จึงดำเนินการคัดเลือกพื้นที่นาอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ฯ เป็นพื้นที่นำร่องสำหรับดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้

กิจกรรมครั้งนี้กรมประมงได้คัดเลือกศูนย์การเรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เป็นพื้นที่จัดกิจกรรม โดยได้มีการปล่อยพ่อแม่พันธุ์กบ จำนวน 20 คู่ ลงในนาข้าวและปล่อยพันธุ์ปลาแก้มช้ำ และปลาตะเพียนทอง จำนวน 100,000 ตัว ลงแหล่งน้ำสาธารณะบริเวณใกล้เคียงพร้อมให้คำแนะนำข้อมูลทางวิชาการ ในด้านการเพาะเลี้ยงกบ ซึ่งหลังจากนี้ทางกรมประมงจะจัดส่งนักวิชาการลงพื้นที่ ติดตามการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำเป็นระยะ เพื่อประเมินผลการดำเนินกิจกรรมต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก thaihealth.or.th


เทียบเสียงอักษร ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สระ พยัญชนะ ประสมคำ สะกด ชื่อ นามสกุล

สระ อักษร ภาษาอังกฤษ

อักษร พยัญชนะ สระ อังกฤษ-ไทย

ปูพื้นฐานภาษาอังกฤษ แบบแน่นๆ ด้วย Alphabets ซึ่ง alphabet (แอล’ ฟาเบท) n. หมายถึง อักษรพยัญชนะ, อักขระ, ระบบตัวอักษร นั่นเองครับ โดยตัวอักษรในภาษาอังกฤษมี 26 ตัว คือ

A = เอ B = บี C = ซี
D = ดี E = อี F = เอฟ
G = จี H = เอช I = ไอ
J = เจ K = เค L = แอล
M = เอ็ม N = เอ็น O = โอ
P = พี Q = คิว R = อาร์
S = เอส T = ที U = ยู
V = วี W = ดับเบิลยู X = เอกซ์
Y = วาย Z = แซด/ซี

*การออกเสียง V, Z ไม่มีในภาษาไทย (V คล้ายมากที่สุดคือเสียง ว กึ่ง ฟ, Z เสียงสั่นในลำคอ) กำลังเพิ่มให้กดฟังเสียง การออกเสียงโดยเจ้าของภาษา ทุกตัวอักษร เร็วๆ นี้ โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่หน้าสารบัญเรียนภาษาอังกฤษ tonamorn.com

ต่อไปเราจะมาศึกษาเรียนรู้การเทียบอักษรภาษาอังกฤษกับภาษาไทยกันในบทความสอนภาษาอังกฤษหน้านี้ครับ

เราสามารถเปรียบเทียบอักษรในภาษาอังกฤษกับภาษาไทยแบบใกล้เคียงที่สุด ได้ดังนี้

สระ อังกฤษ-ไทย

A อ่านว่า เอ เทียบได้กับสระ แ
E อ่านว่า อี เทียบได้กับสระ เ, อี
I อ่านว่า ไอ เทียบได้กับสระ อิ, ไ
O อ่านว่า โอ เทียบได้กับสระ โ, อ
U อ่านว่า ยู เทียบได้กับสระ อั, อิว, อู

พยัญชนะ อังกฤษ-ไทย

B อ่านว่า บี เทียบได้กับอักษร บ
C อ่านว่า ซี เทียบได้กับอักษร ซ, ค
D อ่านว่า ดี เทียบได้กับอักษร ด
F อ่านว่า เอฟ เทียบได้กับอักษร ฟ
G อ่านว่า จี เทียบได้กับอักษร ก
H อ่านว่า เอช เทียบได้กับอักษร ฮ
J อ่านว่า เจ เทียบได้กับอักษร จ
K อ่านว่า เค เทียบได้กับอักษร ค, ก
L อ่านว่า แอล เทียบได้กับอักษร ล
M อ่านว่า เอ็ม เทียบได้กับอักษร ม
N อ่านว่า เอ็น เทียบได้กับอักษร น
P อ่านว่า พี เทียบได้กับอักษร พ
Q อ่านว่า คิว เทียบได้กับอักษร คว
R อ่านว่า อาร์ เทียบได้กับอักษร ร
S อ่านว่า เอส เทียบได้กับอักษร ซ, ส
T อ่านว่า ที เทียบได้กับอักษร ท
V อ่านว่า วี เทียบได้กับอักษร ว
W อ่านว่า ดับเบิ้ลยู เทียบได้กับอักษร ว
X อ่านว่า เอ็กซ เทียบได้กับอักษร กซ
Y อ่านว่า วาย เทียบได้กับอักษร ย, วี,อาย
Z อ่านว่า ซี เทียบได้กับอักษร ซ

*การออกเสียง V, Z ไม่มีในภาษาไทย (V คล้ายมากที่สุดคือเสียง ว กึ่ง ฟ, Z เสียงสั่นในลำคอ) กำลังเพิ่มให้กดฟังเสียง การออกเสียงโดยเจ้าของภาษา ทุกตัวอักษร เร็วๆ นี้ โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่หน้าสารบัญเรียนภาษาอังกฤษ tonamorn.com

  • เนื่องจากภาษาอังกฤษไม่มีสระมากเหมือนในภาษาไทย แต่เราสามารถนำอักษรต่างๆ มาผสมกันได้อย่างคร่าวๆ ดังนี้

สระภาษาไทย เทียบ สระภาษาอังกฤษ

อะ a

เอาะ o
อา a, ar, are
ออ o,or
อิ i
เออะ –
อี e, ee, i
เออ er, ir, ur
อึ u
เอียะ ea, ia, ie
อือ ue
เอีย ia, ere
อุ u, oo
เอือะ ua, ue
อู o, oo, u, ue
เอือ ua, ue
เอะ e, a
อัวะ ua, ue
เอ e, a
อัว ua, ue
แอะ ae, a
อำ am, um
แอ a, ae, a
ไอ ai, i, y
โอะ o
ใอ ai, i, y
โอ o
เอา ao

  • เนื่องจากภาษาอังกฤษไม่มีอักษรมากเหมือนในภาษาไทย การเทียบอักษรภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย บางครั้งเราต้องนำอักษรในภาษาอังกฤษมาผสมกัน ดังนี้

อักษรภาษาไทย เทียบอักษรภาษาอังกฤษ
ช ch, sh
ง ng
คว qu

ตัวอย่างการประสมคำ

สระ เสียง ตัวอย่าง คำทับศัพท์
a แอ badminton แบดมินตัน
อะ aluminium อะลูมิเนียม
อา Chicago ชิคาโก
เอ Asia เอเชีย
ออ football ฟุตบอล
e อี Sweden สวีเดน
เอ Lebanon เลบานอน
อิ* electronics อิเล็กทรอนิกส์
เอะ Mexico เม็กซิโก
i อิ king คิง
อี ski สกี
ไอ Liberia ไลบีเรีย
o โอ Cairo ไคโร
ออ Tom ทอม
อะ Washington วอชิงตัน
อู Today ทูเดย์
u อะ Hungary ฮังการี
อิว Cuba คิวบา
อุ Lilliput ลิลลิพุต
อู Kuwait คูเวต
ยู Uranium ยูเรเนียม
อิ busy บิซี
ตัวอย่างการสะกดชื่อ นามสกุล ภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ (บางกรณี สามารถสะกดได้มากกว่า 1 แบบ)

วิชัย บุญมี = Vichai Boonmee
ทวน ทองแท้  = Thuan Thongthae
อมร รุ่งโรจน์ = Amorn Roongroj
สมชาย มีสุข = Somchai Meesook
ปราณี งามสง่า = Pranee Ngamsa-Ngar

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


DGA ลุยตั้งศูนย์นวัตกรรมฯ ปั้นโมเดลบริการดิจิทัลภาครัฐ

DGA ผนึกกำลัง มก.พัฒนาศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ปั้นโมเดลบริการดิจิทัลภาครัฐ

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  กล่าวว่า  สำหรับการบริหารราชการของภาครัฐหากขับเคลื่อนได้ช้าและไม่มีประสิทธิภาพจะไม่สามารถต่อสู้กับสังคมโลกได้ ขณะที่ปัจจุบันภาคเอกชนเองก็ต้องดิ้นรนพัฒนาตัวเองในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งสิ่งที่ทางดีจีเอได้ริเริ่มวันนี้หวังว่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืน เพราะจากนี้ประเทศไทยจะต้องปรับตัวกันอย่างมากในช่วงเศรษฐกิจหรือสังคมหลังโควิดที่หลายอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป  ประสบการณ์ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา หลายองค์กรก็ยังสามารถทำงานหรือติดต่อประชุมร่วมกันได้ ภาครัฐเองก็ต้องมีการปรับระบบการทำงานให้มากขึ้น มีการลงทุนในคลาวด์ คอมพิวติ้ง ของหน่วยงานรัฐที่จะมีการใช้งานมากขึ้น การใช้บิ๊กดาต้าเพื่อที่จะวิเคราะห์ความต้องการของประชาชนได้อย่างละเอียดมากขึ้น รวมถึงเรื่องของการเชื่อมโยงระบบอย่างไร้รอยต่อหรือ One Stop Service

“การสร้างระบบนิเวศน์นวัตกรรมของเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับภาครัฐไทยเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและความสำคัญ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนวัตกรรมดิจิทัลมีพื้นที่ในการนำผลงานออกสู่การใช้ประโยชน์ การขยายผล ต่อยอดสู่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ พร้อมกับเป็นช่องทางหลักในการจับคู่ความต้องการด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลกับหน่วยงานรัฐต่างๆ”

ด้าน ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (ดีจีเอ) กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลดิจิทัลส่วนใหญ่จะเริ่มที่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อม ทั้งนี้ได้จัดโครงการ“ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลภาครัฐ”หรือ “Digital Government Technology & Innovation Center : DGTi” เพื่อเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลภาครัฐไทยแบบครบวงจร เพื่อผลักดันและสนับสนุนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล สร้างการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ การค้นคว้าและการวิจัยองค์ความรู้ในการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเพิ่มประสิทธิภาพ ขีดความสามารถในการให้บริการของภาครัฐไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล DGA ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในพื้นที่ของ EEC ที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน จึงได้ริเริ่มดำเนินการโครงการ “Digital Government Technology & Innovation Center” หรือ “ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลภาครัฐ” 

สำหรับความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา นั้นเพื่อสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลอย่างเป็นระบบ เป็นแหล่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะดึงดูดให้เกิดความร่วมมือทั้งจากมหาวิทยาลัย เอกชน วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) และประชาชน โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นผลการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปีงบประมาณ 2563 นี้ ในการพัฒนาโครงการความร่วมมือขับเคลื่อนนวัตกรรมภาครัฐในพื้นที่ EEC เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นรัฐบาลดิจิทัลในปี ‪2564 – 2565‬ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ฝ้าย สรรพคุณและประโยชน์ของต้นฝ้าย 5 ข้อ !

ฝ้าย

ฝ้าย ชื่อสามัญ Cotton[2]

ฝ้าย ชื่อวิทยาศาสตร์ Gossypium hirsutum L. จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)[1]

ลักษณะของต้นฝ้าย

  • ต้นฝ้าย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและเอเชียตอนใต้ จัดเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง มีขนละเอียดขึ้นหนาแน่น[1],[2]

รูปต้นฝ้าย

ต้นฝ้าย

  • ใบฝ้าย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง ขอบใบเว้าลึกเป็น 3-5 แฉก ใบมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร[1]

ใบฝ้าย

  • ดอกฝ้าย ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมชมพูหลังจากดอกบานเต็มที่[1]

รูปดอกฝ้าย

ดอกฝ้าย

  • ผลฝ้าย ผลเป็นผลแห้ง แตกออกได้ตามพูเป็น 3 ฝา ภายในมีเมล็ดมีขนยาวสีขาวห่อหุ้มอยู่[1]

ผลฝ้าย

ปุยฝ้าย

เมล็ดฝ้าย

ปุยฝ้าย หรือ เส้นใยฝ้าย คือ เซลล์ผิวของเปลือกเมล็ดซึ่งมีรูปร่างยาวคล้ายเส้นผม การแยกเส้นใยออกจากเมล็ดฝ้าย จะเรียกว่า “การหีบฝ้าย” เส้นใยฝ้ายที่ได้นี้สามารถนำไปใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ การเก็บฝ้ายในบ้านเรามักเก็บด้วยมือ โดยเลือกจากผลฝ้ายที่แตกแล้ว ดึงเส้นใยออกจากสมอ ส่งไปโรงงานหีบฝ้ายเพื่อแยกเมล็ดออก หลังจากนั้นจะนำเส้นใยไปทำสำลี ปั่นเป็นเส้นด้าย หรืออัดเป็นแท่ง ส่วนเมล็ดฝ้ายที่แยกเอาเส้นใยออกไปแล้วจะนำไปสกัดเอาน้ำมัน[2]

สรรพคุณของฝ้าย

  • ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ใบฝ้าย ผสมกับใบมะม่วง ใบมะนาวป่า ใบขมิ้น ใบไพล และใบตะไคร้ นำมาต้มเคี่ยว ดื่มกินเป็นยารักษานิ่ว (ใบ)[1]
  • เมล็ดฝ้ายใช้ผสมกับแก่นข่อย แก่นฝาง หัวตะไคร้ เลือดแรด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาอาการประจำเดือนผิดปกติ ข้นคล้ำ (เมล็ด)[1]
  • จากหนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ได้ระบุว่าฝ้ายชนิด Gossypium hirsutum L. ที่กล่าวถึงในบทความนี้ มีสรรพคุณใกล้เคียงกับฝ้ายขาว (Gossypium herbaceum L.) ซึ่งสามารถนำมาใช้แทนกันได้ โปรดอ่านสรรพคุณของฝ้ายขาวเพิ่มเติมในบทความ “ฝ้ายขาว” ที่ระบุไว้ใน [4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของฝ้าย

  • เนื้อในเมล็ดพบสาร gossypol ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างตัวของอสุจิ ลดระดับไขมันในเลือด กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ทั้งในคนและในสัตว์ทดลอง[1]
  • น้ำต้มจากเปลือกรากมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของมดลูกในหลอดทดลอง[1]
  • จากการทดลองในคน โดยการกินน้ำมันที่บีบได้จากเมล็ด พบว่าให้ผลลดการสร้างตัวของอสุจิ ทำให้เป็นหมันชั่วคราว และจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมเมื่อหยุดกิน[1]

ประโยชน์ของฝ้าย

  • ปุยฝ้ายหรือเส้นใยจากเมล็ด สามารถใช้ทอเป็นผ้าฝ้าย เส้นด้าย สำลี ผสมในกระดาษ และกระดาษพิมพ์ ส่วนขนปุยสั้น ๆ ที่ติดอยู่ที่เมล็ดจะนำมาใช้ทำพรม โดยใช้พื้นรองพรมเป็นเส้นใยปอแก้ว (ฝ้าย 10 กิโลกรัม จะให้เส้นใยประมาณ 3.5 กิโลกรัม)[2]
  • เมล็ดใช้สกัดเอาน้ำมันเรียกว่า “น้ำมันเมล็ดฝ้าย” (ฝ้าย 10 กิโลกรัม จะให้น้ำมันประมาณ 1 กิโลกรัม)[2]

ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 27,800.00 27,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,801.00 27,303.16 28,400.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,620.90 24,572.84 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,440.80 21,842.53 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 810.00 12,279.60 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 630.00 9,550.80 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,866.00 28,288.56 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 23/07/2563

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันซัสโก้
ซัสโก้ดีลเลอร์
แก๊สโซฮอล์ 95 21.95 21.95 21.85 21.95 21.55 21.95 21.95 21.95 21.95 21.95
แก๊สโซฮอล์ 91 21.68 21.68 21.58 21.68 21.28 21.68 21.68 21.68 21.68 21.68
แก๊สโซฮอล์ E20 20.44 20.44 20.34 20.44 20.04 20.44 20.44 20.44 20.44
แก๊สโซฮอล์ E85 18.19 18.19
เบนซิน 95 29.36 29.41 29.86 29.36 29.36
ดีเซล 22.59 22.59 22.49 22.59 22.19 22.59 22.59 22.59 22.59 22.59
ดีเซล B10 19.59 19.59 19.49 19.59 19.19 19.59 19.59 19.59 19.59 19.59
ดีเซล B20 19.34 19.34 19.24 19.34 18.94 19.34 19.34 19.34
ดีเซลพรีเมี่ยม 27.04 27.06 28.94 29.04
แก๊ส NGV 15.31 15.31
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า