สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2563

” โนเบิล” ทุ่มเปิด 11 โครงการ 4.5 หมื่นล้าน ปูพรม Top5 อสังหาฯ

“โนเบิล” ประกาศแผนธุรกิจปี 64 ทุบสถิติใหม่ ทุ่มเปิด 11 โครงการ มูลค่า 45,100 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปูทาง 3 ปี ขึ้นแท่น TOP 5 ผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตและการลงทุนในก้าวที่สำคัญของบริษัทฯ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับชั้นแนวหน้าที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนธุรกิจการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2564 จำนวน 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 45,100 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2534 และตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2564 จำนวน 11,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ จำนวน 10,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) จำนวน 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้จำนวน 6,500 ล้านบาท

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2564 จะแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน 5 โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ โดยในครึ่งปีแรก 2564 จะประเดิมเปิดโครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ จำนวน 4 โครงการประกอบด้วย 1. โครงการ NOBLE FORM THONGLOR มูลค่าโครงการประมาณ 5,400 ล้านบาท 2. โครงการ NUE NOBLE CENTRE BANGNA มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท 3. โครงการ THE EMBASSY AT WIRELESS มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท และ 4. โครงการ NUE CONDO AT DON MUEANG มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ส่วนโครงการอื่น ๆ อีก 7 โครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2564 ตามนโยบายการรุกขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 

นอกจากนี้ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ยังได้เปิดเผยว่า “ทางบริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาทางธุรกิจกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละ 50:50 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม บนทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนคูคต และถนนพระราม 9 รวมจำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการกว่า 23,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกบนทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 50% โดยทั้ง 4 โครงการใหม่ติดรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีคูคต (สายสีเขียว) สถานีราษฎร์บูรณะ และสถานีประชาอุทิศ (สายสีม่วง) รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9 

อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) “BTS” และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) “SPI” เพื่อลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนา ในสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE 40%, SPI 41%, และ BTS 19% โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจต่อไป 

ในปี 2564 ถือเป็นก้าวสำคัญของ “โนเบิล” ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะด้วยความพร้อมหลังการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 รายของบริษัทฯ ในปัจจุบันถือหุ้นรวมกันประมาณ 50% ประกอบด้วย 1. นาย ธงชัย บุศราพันธ์ 2. NCROWNE PTE LTD. นำโดยนายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง และ 3. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ดังนั้นจะเห็นศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมทั้งโดยตรงและที่มีความเกี่ยวข้องกัน จึงเป็นการผนึกกำลังพันธมิตรที่ลงตัวในการบริหารธุรกิจเพื่อสอดรับกับนโยบายการก้าวสู่ TOP 5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนขยายและต่อยอดฐานลูกค้าของ “โนเบิล” ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันฐานลูกค้าแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ทั้งนี้แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าอาจชะลอการซื้อ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เรายังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมทั้งหมดในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา” นายธงชัย กล่าว

ด้านความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงินนั้น ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไว้แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท ภายใต้การจัดการโครงสร้างทางการเงิน พร้อมสำหรับรองรับแผนการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดจองสูงกว่าที่ตั้งไว้ จึงต้องมีการนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Green Shoe) มาใช้ และยังได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทฯ ยังมีความคล่องตัวในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้

นอกจากนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ให้แก่นักลงทุน และเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนในการได้รับการพิจารณาเข้าคำนวณในดัชนี SET100 Index อีกด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สหพัฒน์ผนึกโตคิวลงทุนอีก 800 ล้าน ผุดโครงการบ้านเฟส 2 ในศรีราชา

สหพัฒน์เชื่อมั่นศักยภาพไทย ผนึก “โตคิว” ลงทุนอีก 800 ล้าน โปรเจ็ค HarmoniQ 2 บ้านในศรีราชา

นายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทในเครือสหพัฒน์ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้ ซึ่งนับเป็นวิบากกรรมทั่วโลก แต่บริษัทเชื่อมั่นในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังมีศักยภาพและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าภาคอสังหาฯ ไทยจะรีบาวน์กลับมาอีกครั้ง

ดังนั้น เครือสหพัฒน์ จึงเตรียมแผนขยายการลงทุน เดินหน้าโครงการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยบริษัทร่วมกับกลุ่มทุนใหญ่ของอสังหาฯ ญี่ปุ่นอย่าง ‘โตคิว’ ขยายการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 800 ล้านบาท โครงการ ‘HarmoniQ 2’ โครงการบ้านพักที่อยู่อาศัยในศรีราชา  เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับชาวญี่ปุ่น บนพื้นที่กว่ารวมกว่า 50 ไร่ในอำเภอ ศรีราชาจังหวัด ชลบุรี โดยคาดว่าจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ในเดือนเมษายน ปี 2564 และเริ่มเปิดดำเนินโครงการภายในปีเดียวกัน

วิชัย กุลสมภพ

“ในฐานะที่เราเป็นผู้นำในการลงทุนในเขตศรีราชา-แหลมฉบัง เตรียมขยายโครงการที่อยู่อาศัยเจาะกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น ครอบครัวนักธุรกิจที่ต้องมาพักอาศัยในประทเศไทย ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้เราขยายการลงทุน”

สำหรับโครงการ ‘HarmoniQ 2’ โครงการบ้านพักที่อยู่อาศัยในศรีราชา ที่สหพัฒน์ร่วมกับโตคิว ต่อยอดโครงการแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตอบรับดีมานด์ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยโครงการทั้งหมดมูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท ทั้งนี้โครงการแรก ‘HarmoniQ 1’ ได้รับรางวัลจาก Miki House ที่ได้รับรองว่าแบรนด์ ‘HarmoniQ’ เป็นสถานที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมต่อครอบครัวและเด็ก มีความปลอดภัย แข็งแรงตามมาตรฐานญี่ปุ่น

โดยเลือกใช้การก่อสร้างจาก SCG HEIM นับเป็นแหล่งที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ด้วยจุดเด่นของโครงการที่มีห้องพักหลากหลายรูปแบบ มีบรรยากาศน่าอยู่เหมือนอยู่ที่ญี่ปุ่น และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะต่อคนญี่ปุ่นอย่างมาก จนทำให้มียอดจองพักล้นหลามบางช่วงถึงกับต้องมี Waiting List กันเลยทีเดียว

นายวิชัย กล่าวอีกว่า การขยายการลงทุนของโครงการอสังหาฯ ใน “ศรีราชา” เป็นการตอกย้ำศักยภาพของอำเภอนี้ในชลบุรีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรม” ที่น่าจับตามองในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC เฉพาะที่ศรีราชาขณะนี้มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 10 แห่ง และจำนวนโรงงาน มีโรงงานทั้งสิ้นกว่า 1,300 แห่ง โดยญี่ปุ่นเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมายาวนานโดยเฉพาะในพื้นที่ศรีราชา

“ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นพักอาศัยอยู่กว่า 10,000 คน และมีสมาคมธุรกิจญี่ปุ่นอยู่กว่า 20 แห่ง ดังนั้น EEC จึงเป็นทำเลศักยภาพอีกแห่งหนึ่งสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในไทย ที่จะสามารถตอบรับดีมานด์ชาวต่างชาติและชาวไทยได้”

อนึ่งกลุ่มโตคิวเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 98 ปี ทั้งในธุรกิจห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม การก่อสร้างขนาดใหญ่ ระบบขนส่งมวลชนทั้งรถบัส และรถไฟ โดยหลักทรัพย์ของกลุ่มโตคิว (Tokyu Corporation) ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดประมาณ 230,000 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กังวลโควิด! ดาวโจนส์,ทองคำปิดร่วง/น้ำมันลบ

กังวลโควิด! ดาวโจนส์,ทองคำปิดร่วง/น้ำมันลบ

หุ้นดาวโจนส์ปิดร่วง 200.94 จุด วิตกไวรัสกลายพันธุ์ ด้านราคาน้ำมันลดลง 95 เซนต์ ขณะที่ทองคำดิ่ง 12.50 ดอลลาร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,015.51 จุด ลดลง 200.94 จุด หรือ -0.67% ขณะที่ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,687.26 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.21% ส่วนดัชนี แนสแดค ปิดที่ 12,807.92 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด หรือ +0.51%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ

ด้าน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 95 เซนต์ ปิดที่ 47.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 83 เซนต์ ปิดที่ 50.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาทองคำโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 12.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,870.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


แซงแล้ว “เมสซี” เบียด “เปเล่” ขึ้นแท่นยิงเยอะสุดกับสโมสรเดียว

“ลิโอเนล เมสซี” ก้าวขึ้นมาครองสถิติสำคัญได้อีกครั้ง หลังทำประตูเพิ่มในเกมลาลีกานัดล่าสุด ที่บุกไปไล่ขย่มเรอัล บายาโดลิด แบบขาดลอยถึงถิ่น

วันที่ 23 ธ.ค.63 ในเกมลาลีกา 2020-21 นัดกลางสัปดาห์ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ปรากฏว่าลูกทีมของ โรนัลด์ คูมัน กลับมาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง หลังเป็นฝ่ายบุกไปเอาชนะ เรอัล บายาโดลิด ขาดลอยคาบ้าน 3-0 จากผลงานของ เกลม็องต์ ล็องเลต์, มาร์ติน เบรธเวต และลิโอเนล เมสซี ยิงปิดท้าย

ซึ่งการทำเพิ่มอีก 1 ลูกของ ลิโอเนล เมสซี ในเกมนี้ ส่งผลให้แข้งดังจากแดนฟ้าขาววัย 33 ปี ทำสถิติแซงหน้าเจ้าของฉายา “ไข่มุกดำ” เปเล่ ขึ้นเป็นครองสถิตินักเตะที่ยิงประตูกับสโมสรเดียวมากที่สุด ด้วยจำนวน 644 ประตู

ขณะที่ เมสซี ได้บรรยายความรู้สึกผ่านไอจีส่วนตัวว่า “ตอนที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอล ผมไม่เคยคิดถึงการทำลายสถิติอะไรเลย โดยเฉพาะสถิติของเปเล่ ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่ขอบคุณทุกๆ คน ที่คอยช่วยเหลือผมตลอดปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทีม ครอบครัว และเพื่อนๆ ที่คอยสนับสนุบผมในทุกๆ วัน”

อย่างไรก็ตาม ลิโอเนล เมสซี ยังไม่ยอมขยายสัญญาฉบับใหม่กับต้นสังกัด และสามารถเจรจาย้ายทีมได้แบบอิสระตามกฎบอสแมนทันที หลังเข้าสู่เดือนมกราคมนี้.

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


“โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa)” โรคยอดฮิตของคนรักความผอม (ตอน 1)

การมีรูปร่างที่สวยงาม สมส่วน ล้วนเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทุกคน ด้วยเหตุนี้เอง ใครที่มีน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกิน หรือมีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน ต่างก็สรรหาวิธีมาลดน้ำหนักต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการอดอาหาร และการออกกำลังกาย แต่จะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ลดน้ำหนักมากเกินไป จนเรียกว่าเป็นอาการป่วย ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้หลายระบบ ซึ่งเป็นที่มาของ “โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa)” นั่นเอง

“โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa)” คืออะไร

เป็นโรคที่คนไข้จะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องรูปร่าง และน้ำหนักของตนเองที่มากเกินไป ถึงขั้นผิดปกติ กล่าวคือ คนที่รูปร่างปกติหรือผอมแล้ว แต่ก็ยังมีความคิดว่าตนเองยังอ้วนอยู่ คนไข้ก็จะพยายามลดน้ำหนักลงไปอีก ลดจนกระทั่งมีผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกายค่อนข้างมาก ที่พบได้บ่อยๆ ก่อนอย่างอื่น คืออาการขาดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเกิดความผิดปกติ

เมื่อมีการลดน้ำหนักมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อร่างกายทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำลง หัวใจเต้นช้าลง ความผิดปกติของเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกาย สมอง ความคิด ความจำแย่ลง มวลกระดูกลดลง และส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนตอนอายุมากขึ้นได้

ในอดีต คนไข้โรคคลั่งผอมมีอัตราการตายสูงถึงประมาณร้อยละ 5 แต่ปัจจุบันอัตราการตายลดลงมากแล้ว เนื่องจากมีคนรู้จักโรคนี้กันมากขึ้น บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้โรคนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นคือ คาเรน คาร์เพนเทอร์ นักร้องวงคาร์เพนเทอร์ ที่เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 32 ปี จากอาการหัวใจวาย อันสืบเนื่องจากโรคกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) ในปี ค.ศ. 1983 หลังจากนั้นคนทั่วไปก็เริ่มรู้จักโรคนี้ว่าเป็นโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับการรักษาที่รวดเร็ว เมื่อเห็นคนใกล้ตัวมีอาการของโรคคลั่งผอม หรือแม้แต่ผู้ป่วยเอง ก็จะมารับการรักษาเร็วขึ้น ทำให้อัตราการตายลดลงมาก

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคคลั่งผอมเป็นโรคที่เกิดจากหลายๆ ปัจจัยที่มีผลต่อกันและกันอย่างซับซ้อน ดังนี้

@ ปัจจัยทางพันธุกรรม เกี่ยวข้องกับยีนบางตำแหน่งที่ทำให้เกิดโรค พบว่า ในพี่น้องฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน หากมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ อีกคนก็มีโอกาสจะเป็นโรคสูงกว่าพี่น้องที่เป็นฝาแฝดไข่คนละใบหรือพี่น้องที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดกัน

@ ความผิดปกติของสมอง และสารสื่อประสาทในสมอง ที่ควบคุมเรื่องการกิน ความหิว ความอิ่ม ซึ่งมีการทำงานที่ผิดปกติไป ซึ่งอาจเกิดจากยีนร่วมกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ 

@ ปัจจัยทางด้านจิตใจ คนไข้โรคคลั่งผอม มักมีความคิดว่าตนเองยังไม่ดีพอ เป็นคนที่ทำอะไรแล้วมักต้องทำให้สมบูรณ์แบบ (perfectionism) เพื่อชดเชยความรู้สึกที่ตัวเองยังไม่ดีพอ เมื่อรู้สึกว่ารูปร่างยังไม่ดีพอ จึงต้องพยายามลดน้ำหนักมากกว่าปกติ เพื่อให้รูปร่างสมบูรณ์แบบที่สุด การที่ผู้ป่วยสามารถควบคุมน้ำหนักของตนเองได้ สามารถทำให้ตนเองมีรูปร่างผอมลงได้ เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้น ดังนั้นเขาจึงยังจะลดน้ำหนักไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าผอมมากเกินไปแล้วก็ตาม

@ ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านครอบครัวก็มีส่วนในการเกิดโรคด้วยเช่นกัน ผู้ป่วยโรคคลั่งผอมมักเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เลี้ยงดูควบคุมเด็กมากเกินไป (overcontrol) หรือปกป้องมากเกินไป (overprotection) หรือครอบครัวที่ขาดขอบเขตความเป็นส่วนตัว (overinvolvement) ทำให้การพัฒนาความเป็นตัวตนของเด็กบกพร่องไปได้

@ ปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรม พบว่าประเทศทางซีกโลกตะวันตกและประเทศที่เน้นการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและความเจริญทางวัตถุ จะมีผู้ป่วยโรคคลั่งผอมมากกว่าประเทศทางซีกโลกตะวันออกและประเทศเกษตรกรรม

สำหรับประเทศไทยของเราได้เริ่มมีการพัฒนาตามโลกตะวันตกมานานหลายปี ปัจจุบันจึงพบว่ามีแนวโน้มพบโรคคลั่งผอมมากขึ้นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังพบว่าการเสพโซเชียลมีเดีย ที่เน็ตไอดอลส่วนใหญ่มีรูปร่างผอมกว่าปกติ แต่ผู้ใช้สื่อกลับยึดความผิดปกตินี้เป็นมาตรฐาน ทำให้ประเมินตนเองว่าอ้วนเกินไป และพยายามลดน้ำหนักจนเป็นโรคคลั่งผอมเพิ่มขึ้นมาก กลุ่มคนที่ทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องเน้นรูปร่าง เช่น นักบัลเลต์ นักยิมนาสติก หรือดารานักแสดง เป็นต้น ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป

@ โรคคลั่งผอมมักเริ่มเป็นในช่วงวัยรุ่น วัยรุ่นมักจะมีความกังวลเกี่ยวกับรูปร่างของตนเองเป็นพื้นฐาน ทำให้มีความเครียด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบรูปร่างกับเพื่อนหรือเน็ตไอดอล หรือบ้างครั้งอาจเกิดความกดดันจากการถูกเพื่อนล้อเลียนเรื่องอ้วน ทำให้อยากลดน้ำหนักจนผอมลงไปเรื่องเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคคลั่งผอมได้

ดังนั้นสาเหตุของการเป็นโรคคลั่งผอมจึงมักเกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ที่จะส่งผลให้คนคนหนึ่งเกิดเป็นโรคได้ โดยผู้ป่วยแต่ละคนอาจจะมีเหตุปัจจัยที่แตกต่างกันได้มาก

สัปดาห์หน้ายังมีความน่าสนใจของ “โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa)” กันอีก รอติดตามกันนะครับ

รศ. นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


แคปชั่นภาษาอังกฤษ คำคม สร้างแรงบันดาลใจ ชีวิต

แคปชั่นภาษาอังกฤษ พร้อมคำแปล

  • คำคมภาษาอังกฤษ สั้นๆ สำหรับสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ข้อคิดดีๆ ความหมายดีๆ

I don’t want a perfect life. I want a happy life.

ฉันไม่ได้ต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ฉันต้องการชีวิตที่มีความสุข

Enjoy your own life without comparing it with that of another.
มีความสุขกับชีวิตของคุณเอง โดยไม่เปรียบกับคนอื่น

You only live once, But if you do it right, once is enough.
คุณมีชีวิตเพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่ถ้าทำมันได้อย่างถูกต้อง ครั้งเดียวก็เพียงพอ

We don’t grow when things are easy. We grow when we face challenges.
เราจะไม่รู้จักโตหากสิ่งที่พบเจอมีแต่เรื่องง่ายๆ เราจะโตเมื่อเราเผชิญหน้ากับความท้าทาย

Every story has an end but in life every end is a new beginning.
ทุกเรื่องราวมีตอนจบ แต่สำหรับชีวิตแล้ว ทุกตอนจบคือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

You can’t start the next chapter of your life, if you keep re-reading the last one.
คุณไม่สามารถนำชีวิตไปสู่บทต่อไปได้ หากยังคงอ่านบทเดิมซ้ำไปซ้ำมา

Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must keep moving.
ชีวิตเปรียบเสมือนการขี่จักรยาน การที่จะรักษาสมดุลได้นั้น ต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป

What comes easy won’t last. What lasts won’t come easy.
อะไรที่ได้มาง่ายจะไม่คงอยู่ถาวร สิ่งที่คงอยู่ถาวรจะไม่ได้มาโดยง่าย

I don’t care what you think about me. I don’t think about you at all.
ฉันไม่สนใจสิ่งที่คุณคิดกับฉัน เพราะฉันไม่ได้คิดเกี่ยวกับคุณเลย

Be yourself no matter whatever they say.
จงเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าอย่างไร

Be yourself. An original is always worth more than a copy.
จงเป็นตัวของตัวเอง ของแท้มีคุณค่ามากกว่าของเลียนแบบเสมอ

Thinking too much can only cause problems.
การคิดมากจนเกินไปมีแต่จะสร้างปัญหา

Don’t let someone change who you are, to become what they need.
อย่าปล่อยให้ใครมาเปลี่ยนความเป็นตัวคุณ ให้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ

Running away from your problems is a race you will never win.
การที่คุณวิ่งหนีปัญหา คือการแข่งขันที่คุณจะไม่มีวันชนะ

Life is not about waiting for the storm to pass. It is about learning to dance in the rain.
ชีวิตไม่ใช่การรอให้พายุอยู่ผ่านพ้นไป แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะเต้นได้ในสายฝนต่างหาก

The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams.
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันอันงดงามของตนเองเท่านั้น

My pain may be the reason for somebody is laugh. But my laugh must never be the reason for somebody is pain.
– Charlie Chaplin
ความเจ็บปวดของผมอาจทำให้ใครบางคนหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของผมจะต้องไม่ทำให้ใครเจ็บปวด

 คำคมภาษาอังกฤษ โดย ชาลี แชปลิน

ขอบคุณข้อมูลจาก tonamorn.com


พิษโควิด“ดีป้า”เลื่อนจัด “Digital Thailand Big Bang”

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประกาศเลื่อนการจัดงาน Digital Thailand Big Bang: Digital Station   ระหว่างวันที่ 26-27 ธันวาคม 2563 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด สาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพมหานครในบางพื้นที่ ดังนั้น ดีป้า จึงจำเป็นต้องเลื่อนการจัดงาน Digital Thailand Big Bang: Digital Station ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 ธันวาคมนี้ บริเวณสยาม สแควร์ ซอย 3 ลานสีฟ้า  และสยามสแควร์ ซอย 7 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ดีป้า เล็งเห็นว่า ช่วงเวลาดังกล่าวไม่เหมาะสมต่อการจัดงานที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานและสังคมในวงกว้าง ดังนั้น ดีป้า จำเป็นต้องเลื่อนการจัดงานดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรือจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฯ จะคลี่คลาย เพื่อความปลอดภัย และคลายความกังวลต่อประชาชน อีกทั้งเป็นการรับผิดชอบต่อสังคม และประเทศ” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ทั้งนี้ งาน Digital Thailand Big Bang: Digital Station โดยความร่วมมือระหว่าง ดีป้า และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ งานเปิดตัวความร่วมมือการจัดงาน Digital Station: Siam Square งานแสดงนิทรรศการและกิจกรรมสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนกันยายน 2564 และจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กระถินเทศ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นกระถินเทศ 38 ข้อ !

กระถินเทศ

กระถินเทศ

กระถินเทศ ชื่อสามัญ Cassie, Cassie Flower, Huisache, Needle Bush, Sponge Tree, Sweet Acacia, Thorny Acacia[1],[3],[5],[7]

กระถินเทศ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia farnesiana (L.) Willd. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)[7]

สมุนไพรกระถินเทศ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เกากรึนอง (กาญจนบุรี), บุหงาอินโดนีเซีย (กรุงเทพฯ), บุหงาละสะมะนา บุหงาละสมนา (ปัตตานี), กระถินเทศ กระถินหอม คำใต้ ดอกคำใต้ (ภาคเหนือ), กระถิน (ภาคกลาง), ถิน (ภาคใต้), กะถิ่นเทศ กะถิ่นหอม (ไทย), มอนคำ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), บุหงาเซียม (มลายู-ภาคใต้), อะเจ๋าฉิ่ว (จีน-แต้จิ๋ว), ยาจ้าวซู่ จินเหอฮวน (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2],[4],[5]

หมายเหตุ : พรรณไม้ชนิดนี้เคยใช้ชื่อ Acacia farnesia (L.) Willd. มาจนถึงปี ค.ศ.2005 แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาอยู่ในสกุล Vachellia แล้วพร้อมกับชนิดอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตามอาจมีการเปลี่ยนกลับไปอยู่ในสกุลเดิมก็เป็นได้[7]

ลักษณะของกระถินเทศ

  • ต้นกระถินเทศ จัดเป็นพรรณไม้พุ่มผลัดใบขนาดย่อม กิ่งมักคดไปมาแต่จะยืดจนเกือบตรงเมื่อต้นเจริญเติบโตขึ้น ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง มีความสูงได้ประมาณ 2-4 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม กิ่งออกในลักษณะซิกแซ็ก เปลือกต้นเป็นสีคล้ำน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและดินเหนียวที่อุ้มน้ำได้ดี ต้องการน้ำปานกลาง ควรปลูกในที่มีแสงแดดทั้งวัน มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ พบขึ้นเป็นวัชพืชทั่วไปในเขตร้อน[1],[2],[5],[7]

ต้นกระถินเทศ

สมุนไพรกระถินเทศ

  • ใบกระถินเทศ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงสลับ แกนกลางใบประกอบยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาวประมาณ 1-1.3 เซนติเมตร มีต่อมบนก้านใบ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.2-0.4 มิลลิเมตร ไม่มีต่อมบนแกนกลางใบ ช่อใบย่อยมี 4-7 คู่ ยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร ก้านใบประกอบย่อยยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ส่วนใบย่อยออกเรียงตรงข้ามกัน มีประมาณ 10-20 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปดาบ หรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม เบี้ยว ปลายเป็นติ่ง โคนใบตัด ไร้ก้าน ใบย่อยเป็นสีเขียวแก่มีขนาดยาวประมาณ 2-7 มิลลิเมตร โคนก้านใบมีหูใบแปลงรูปเป็นหนามแหลมตรงและแข็ง 1 คู่ ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร[1],[2],[5],[7]

ใบกระถินเทศ

หนามกระถินเทศ

  • ดอกกระถินเทศ ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่น มีลักษณะเป็นพุ่มกลม มีหลายช่อออกเป็นกระจุก ก้านช่อยาวประมาณ 1.5-4.5 เซนติเมตร ช่อดอกทรงกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร ที่โคนช่อมีวงใบประดับขนาดเล็ก 4-5 ใบ ดอกย่อยไร้ก้าน ใบประดับ 1 ใบ ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร มีขน กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 1.3-1.5 มิลลิเมตร ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ยาวประมาณ 0.2 มิลลิเมตร เกลี้ยง ส่วนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 2.5 มิลลิเมตร ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปขอบขนานขนาดเล็ก ยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร กลีบดอกเป็นสีเหลืองสด และมีกลิ่นหอมมาก ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก แยกจรดโคน ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 3.5-5.5 มิลลิเมตร ส่วนรังไข่ยาวได้ประมาณ 1.5 มิลลิเมตร เกือบไร้ก้าน เกลี้ยง และมีขนละเอียด ก้านเกสรเพศเมียมีลักษณะเรียวยาว ขนาดยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้ ยอดเกสรมีขนาดเล็ก จะให้ดอกเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี โดนจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม[1],[5],[7]

รูปกระถินเทศ

ดอกกระถินเทศ

  • ผลกระถินเทศ ออกผลเป็นฝัก ฝักมีลักษณะกลมเป็นรูปทรงกระบอก ยาวได้ประมาณ 2-9 เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ฝักจะตรงหรือโค้งงอเล็กน้อย ผิวฝักหนาเกลี้ยง เมื่อฝักแก่จะไม่แตก ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 15 เมล็ด เรียงเป็น 2 แถว เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี แบนเล็กน้อย ยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร มีรอย (pleurogram) รูปรี ยาว 6-7 มิลลิเมตร[1],[2],[5],[7]

ฝักกระถินเทศ

ผลกระถินเทศ

เมล็ดกระถินเทศ

สรรพคุณของกระถินเทศ

  1. ตำรายาไทยจะใช้รากกระถินเทศกินเป็นยาอายุวัฒนะ (ราก)[1],[3]
  2. หากเป็นวัณโรคมีร่างกายอ่อนแอ ให้ใช้รากแห้งประมาณ 15-30 กรัม ต้มเอาน้ำตุ๋นกับเป็ด หรือไก่ หรือเต้าหู้ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ใช้กินวันละครั้ง (รากแห้ง)[2],[4]
  3. เมล็ดนำมาบดให้เป็นผง หรือคั่วกินเป็นอาหารปกติ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (เมล็ด)[3]
  4. ยาขี้ผึ้งจากดอกใช้เป็นยาแก้ปวดศีรษะ (ดอก)[2]
  5. เปลือกใช้เป็นยาแก้ไอ (เปลือก)[5]
  6. ยางจากรากใช้อม กิน เคี้ยวเป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ ช่วยทำให้คอชุ่ม (ยางจากราก)[2],[3],[4] หรือใช้ยางเข้ายาแก้ไอ บรรเทาอาการระคายคอ (ยาง)[1],[2]
  1. ใช้เป็นยารักษาแผลในคอ (ราก)[3]
  2. รากมีสรรพคุณทำให้อาเจียน (ราก)[5] บ้างใช้เปลือกนำมาต้มกับหอมหัวใหญ่กินเป็นยาทำให้อาเจียน (เปลือกต้น)[2]
  3. เมื่อเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ให้ใช้เปลือกต้นประมาณ 1 ส่วน น้ำ 20 ส่วน แล้วผสมกับขิงสดอีก 1 แง่ง ต้มให้เดือด แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้บ้วนปากทุกเช้าเย็นเป็นประจำ (เปลือกต้น)[2],[4] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า ให้นำรากมาต้มรวมกับขิงใช้อมบ้วนปากแก้เหงือกอักเสบและมีเลือดออก (ราก)[5]
  4. ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำอมเป็นยาแก้ปวดฟัน (ราก)[1]
  5. ใช้เป็นยาแก้โรคปอด (ยาง, รากและเมล็ด)[4]
  6. ยาชงจากดอกใช้กินแก้อาการอาหารไม่ย่อย (ดอก)[2]
  7. ฝักดิบจะมีรสฝาดมาก เมื่อนำมาต้มกับน้ำกินจะมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคบิดได้ (ฝักดิบสีเขียว)[2]
  8. เปลือกต้นมีรสฝาด ใช้ภายในเป็นยาแก้ท้องเสียได้ โดยนำมาต้มเอาน้ำกินแทนน้ำชา (เปลือกต้น)[2],[3],[4]
  9. ดอกใช้แช่กับเหล้ากินเป็นยาแก้ปวดท้อง และเป็นยากระตุ้น (ดอก)[2]
  10. ใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร (เปลือกต้น)[5]
  11. เปลือกใช้ต้มแล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ล้างแผล แก้ดากออก แก้ระดูขาว (เปลือกต้น)[2],[4]
  12. เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาฝาดสมาน ใช้สมานแผลห้ามเลือด โดยนำมาบดเป็นผงโรยหรือพอกบริเวณบาดแผล หรือบดให้ละเอียดต้มแล้วกรองเอาน้ำใช้ล้างแผลหรือใช้ทาแผล โดยส่วนที่ใช้ต้องทำให้แห้งและใช้ประมาณ 1.5-3 กรัม (เปลือกต้น)[2],[3],[4],[5]
  13. ใบอ่อนใช้ตำแล้วเอากากมาพอกแก้แผลเรื้อรังและแก้บาดแผล เมื่อนำมาต้มกรองเอาแต่น้ำจะใช้ล้างแผลได้ (ใบอ่อน)[2],[4],[5]
  14. รากใช้ภายนอกนำมาต้มแล้วกรองเอาน้ำใช้ล้างแผล หรือนำมาตำให้ละเอียดแล้วเอามาพอกแผล แก้ฝีมีหนอง โดยส่วนที่ใช้ต้องทำให้แห้ง และใช้ประมาณ 15-24 กรัม (ราก)[2],[3] ส่วนตำรับยาแก้ฝีมีหนองหลายตัวนั้น ระบุให้ใช้รากสดประมาณ 60 กรัม ถ้ามีหนองน้อยให้นำมาตุ๋นกับเป็ดหรือไก่กิน แต่ถ้ามีหนองมากให้นำมาตุ๋นกับเต้าหู้กิน (รากสด)[2]
  15. เนื้อหุ้มเมล็ดใช้ตำแล้วนำมาพอกแก้ฝีหลายหัวและใช้แก้เนื้องอก (เนื้อหุ้มเมล็ด)[2]
  16. ใช้รักษาฝีหนองในร่างกาย (รากและเมล็ด)[4]
  17. ฝักดิบใช้ต้มเอาน้ำล้างแผลแก้ผิวหนังที่มีอาการเยื่อเมือกอักเสบ เช่น ที่คอและตา (ฝักดิบสีเขียว)[2],[4] ส่วนราก เปลือก และใบ ก็มีรสฝาดเช่นกัน สามารถนำมาต้มแล้วกรองเอาน้ำใช้ล้างผิวหนังที่มีอาการเยื่อเมือกอักเสบ เช่น ที่คอและตาได้ (ราก, เปลือกต้น, ใบ)[2]
  18. รากใช้เป็นยาทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ราก)[1],[3]
  19. รากใช้เป็นยาพอกแก้บวม (ราก)[5] บ้างใช้รากผสมกับเหล้าตำพอกแก้แขนขาบวมและอักเสบ (ราก)[2]
  20. รากใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อักเสบ ปวดข้อ แก้โรคไขข้ออักเสบ (ราก)[2],[3],[4],[5]
  21. ตำรับยาแก้อาการปวดตามข้อ แก้ฝีหนองในปอด จะใช้รากสดประมาณ 60 กรัม นำมาตุ๋นกับเป็ด หรือไก่ หรือเต้าหู้ อย่างใดอย่างหนึ่งกิน (รากสด)[2],[4]
  22. ใบแก่ใช้ตำแล้วคั้นเอาน้ำจากใบมาทาบริเวณเอวและหลัง จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ (ใบแก่)[2],[4]
  23. ดอกใช้เป็นยาแก้เกร็ง (ดอก)[5]
  24. ยางใช้ผสมกับยาผงปั้นเป็นเม็ดผสมกับยาอื่น แก้เยื่ออ่อนของอวัยวะภายในอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น (ยาง)[2],[4]
  25. ตำรับยาบำรุงหัวใจพื้นบ้านของอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร จะใช้ลำต้นกระถินเทศ 2-3 กิ่ง นำมาตำหรือทุบ แล้วนำไปต้มกับน้ำครึ่งลิตรพอเดือด ทิ้งให้อุ่น ให้หญิงคลอดลูกที่อ่อนเพลียเนื่องจากการตกเลือด ดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจจะสดชื่นขึ้นทันที แต่จะให้ดื่มหลังจากที่ดื่มน้ำใบเสนียด ซึ่งเตรียมได้จากการนำใบเสนียดสด ๆ 5 ใบ มาโขลกกับเกลือเล็กน้อยดื่มเพื่อเป็นยาห้ามเลือด ถ้ายังไม่หายอ่อนเพลียก็จะให้รับประทานน้ำต้มจากกิ่งกระถินเทศ (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคล ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)

หมายเหตุ : กรณีใช้ภายในให้ใช้ต้นสดครั้งละ 30-60 กรัม ถ้าเป็นต้นแห้งให้ใช้ครั้งละ 15-30 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ส่วนการใช้ภายนอกให้ใช้ได้ตามความต้องการ[4] ส่วนของยางที่นำมาใช้ ให้ใช้ยางสด ส่วนของใบให้ใช้ใบสด ส่วนเปลือกต้นและรากจะใช้แบบตากแห้งหรือแบบสดก็ได้ (สามารถเก็บไว้ได้ตลอดปี)[2]

ข้อควรระวัง : เกสรจากดอกเมื่อเข้าตาอาจทำให้เคืองตาได้[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระถินเทศ

  • สารสำคัญที่พบ ได้แก่ anisaldehyde, benzoic aldehyde, chotesterol, cresol, djenkolic acid, eugenol, hydrocyanic acid, kaempferol, kaempferol-7-galloyl0glycoside, N-acetyl, sulfoxide, linamarin, palmitic acid, pentadecanoic acid, sitostrol, stigmasterol, tannin, triacontan-l-o, tyramine[3]
  • ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่พบ ได้แก่ ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ขยายหลอดลม เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว ลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย เสริมฤทธิ์ยานอนหลับ[3]
  • ในการสกัดสารด้วยแอลกอฮอล์จากกระถินเทศ เมื่อนำมาละลายในน้ำขนาด 20-80 มิลลิกรัมต่อกรัม พบว่ามีฤทธิ์ทำให้หัวใจของกบที่แยกออกจากตัวนั้นบีบตัวลดลงเป็นจังหวะ ความแรงจากการบีบตัวลดลงชั่วคราวในช่วงแรก ต่อมาจะเพิ่มการบีบตัวขึ้นเป็นจังหวะ ส่วนความแรงของการบีบตัวของกระต่ายเมื่อใช้สารสกัดชนิดเดียวกัน พบว่าจะทำให้การบีบตัวในระยะแรกเพิ่มขึ้น ต่อมาก็จะลดลงเป็นจังหวะ ความแรงในการบีบตัวในขนาด 40-80 มิลลิกรัมต่อกรัม ก็จะทำให้หัวใจของสุนัขทั้งห้องบนและห้องล่างบีบตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแรก ๆ ทำให้ความดันเลือดของสุนัขที่ทำให้สลบตกลงในช่วงระยะสั้น แล้วความดันเลือดก็จะสูงขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้สารที่สกัดได้จากกระถินเทศยังมีฤทธิ์ทำให้ปริมาตรและจังหวะในการหายใจของสุนัขเพิ่มขึ้นอีกด้วย[2],[4]
  • สารละลายที่ได้จากสมุนไพรชนิดนี้มีความเข้มข้น 1 ต่อ 1,000 ส่วน ทำให้สามารถแก้ฤทธิ์ของ acetylcholine และแบลเรียมคลอไรด์ที่มากระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูกของหนูใหญ่ และยังมีฤทธิ์ยับยั้งจังหวะการบีบตัวตามปกติของกล้ามเนื้อมดลูกของหนูใหญ่ที่แยกจากตัว[2],[4]
  • จากการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากใบและเปลือกต้นกระถินเทศด้วยเอทานอลร้อยละ 70 ต่อการต้านมาลาเรียจากเชื้อ Plasmodium falciparum ที่ดื้อต่อยาคลอโรควิน พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นกระถินเทศมีฤทธิ์ต้านมาลาเรียจากเชื้อดังกล่าว โดยความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อได้ครึ่งหนึ่ง มีค่าเท่ากับ 1.3±0.2 มคก./มล. ส่วนสารสกัดจากใบกระถินเทศไม่สามารถต้านมาลาเรียได้ นอกจากนี้สารสกัดเปลือกต้นกระถินเทศ ยังสามารถต้านมาลาเรียจากเชื้อ Plasmodium berghei ได้ 32±5% อีกด้วย[6]
  • เมื่อปี ค.ศ.1992 ที่ประเทศอียิปต์ได้มีการทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดกระถินเทศ ผลการทดลองพบว่า มีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[3]

ประโยชน์ของกระถินเทศ

  1. มีบ้างที่นำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[7]
  2. รากใช้ตำแล้วนำมาพอกที่กีบเท้าวัว ควาย จะสามารถฆ่าหรือป้องกันพยาธิได้[2]
  3. ฝักประกอบไปด้วยของฝาด (tannin) ประมาณ 23% สามารถนำมาใช้เป็นสีย้อมแบบการใช้น้ำฝาดและทำหมึก มักใช้ผสมในน้ำต้มย้อมผ้า จะได้เป็นสีธรรมชาติมากขึ้น[2],[5] ส่วนเปลือกนำมาใช้ฟอกหนัง[2]
  4. ดอกสามารถนำมาใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้[5]
  5. ในฝรั่งเศสจะปลูกต้นกระถินเทศไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อนำดอกของมันมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำน้ำหอม โดยนำมาสกัดเอากลิ่นหอมของดอกและกลั่นมาเป็นน้ำหอม[2],[4],[5]
  6. น้ำมันจากดอกกระถินเทศ (Cassie oil) สามารถนำมาผสมในเครื่องหอมต่าง ๆ ได้ เช่น น้ำมันใส่ผม อบผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ[2] และยังสามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหาร เครื่องดื่ม ขนมหวาน และลูกกวาดได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณต่ำ[5]
  7. ยางที่ได้จากลำต้นเป็นยางที่มีคุณภาพดี (ลำต้นเมื่อมีบาดแผลจะให้ยางไม้สีเหลืองถึงสีน้ำตาลเข้ม) เรียกว่า “กัมอะคาเซีย” (Gum acacia) สามารถนำมาใช้ทางด้านเภสัชกรรมเป็นสารแขวนลอย ใช้ทำกาว พัฒนาเป็นสารยึดเกาะในอุตสาหกรรมการผลิตยาเม็ด ใช้เป็นยาหล่อลื่น ใช้ทำขนมหวานประเภทลูกอม ลูกกวาด เบียร์ น้ำผลไม้ เบเกอรี่ ผลิตภัณฑ์สารให้กลิ่น ฯลฯ[1],[2],[5]

ขอบคุณข้อมูลจาก medthai.com


Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า