สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 25 มกราคม 2561

ไลฟ์สไตล์เปลี่ยน คนเมินบ้านเดี่ยว แห่ซื้อคอนโดฯ

ไลฟ์สไตล์เปลี่ยน คนเมินบ้านเดี่ยว แห่ซื้อคอนโดฯ

อสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 ในภาพรวมทรงตัว เนื่องจากตลาดบ้านเดี่ยวชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า แตกต่างจากตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมที่ยังขยายตัวได้ดี ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนมาอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น จากเดิมที่ได้รับความนิยมแค่ในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งด้านทำเล เดินทางสะดวก และซื้อเพื่อลงทุน

บ้านเดี่ยวซึม พาอสังหาฯ ปี 61 ทรงตัวต่อเนื่อง
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ คาดการณ์ว่า ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ภาพรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก 2560 จะมีการขยายตัวได้ดีแต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแม้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจะมีการเติบโตขึ้นตามลำดับมาอยู่ที่ 33.9 ในเดือนธันวาคม 2560 แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดัชนีที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ 50.0 จึงเป็นเหตุให้เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำเพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับล่าง ซึ่งเป็นอุปทานหลักในตลาด นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อด้วย

ไลฟ์สไตล์ผู้ซื้อบ้านเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวตกวูบ

ไลฟ์สไตล์ผู้ซื้อบ้านเปลี่ยน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวตกวูบ

บ้านเดี่ยวชะลอตัว เหตุไลฟ์สไตล์เปลี่ยน-เน้นลงทุน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวชะลอตัวมาจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมาซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากขึ้น แม้กลุ่มเป้าหมายหลักยังเป็นกลุ่มคนวัยทำงานแต่ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัวขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดมิเนียมด้วย เพราะสะดวกในการเดินทาง รวมทั้งยังเกิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานที่เริ่มต้นทำงาน 3-5 ปีที่หันมาลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น โดยเน้นลงทุนระดับล่าง-กลาง ใช้การผ่อนดาวน์เป็นการเก็บเงิน และขายต่อเพื่อได้ Capital Gain หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า โดยใช้ค่าเช่ามาผ่อนชำระเพื่อเป็นรายได้เสริมและเป็นสินทรัพย์ของตนเอง

นอกจากนี้ ช่วงอายุผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะขยายไปจนถึงวัยผู้ใหญ่มากขึ้น เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลาย Generation จึงทำให้เห็นวัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมตลาดปี 2561 จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 จากกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ตามลำดับ โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์กลุ่มตลาดระดับกลาง-บน จะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี สำหรับคอนโดมิเนียมระดับล่างที่เคยขยายตัวได้ดีเมื่อ 4-5 ปีก่อนจะเริ่มลดลง สาเหตุจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นและการปรับผังเมืองในบางพื้นที่ ด้านตลาดแนวราบคาดว่าบ้านเดี่ยวอุปทานจะยังคงชะลอตัวลง ส่วนทาวน์เฮ้าส์จะเป็นตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสนใจและมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด

https://www.ddproperty.com


‘เสนา’เล็งโตเท่าตัวเปิดโครงการใหม่ 2.3 หมื่นล้าน

“เสนา”ชี้อสังหาฯโตต่อเนื่อง เปิดแผนธุรกิจปี61 ผุดโครงการใหม่“แนวราบ-คอนโด” 18 โครงการ มูลค่า 2.3 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นกว่า“เท่าตัว” สูงสุดรอบ 30 ปี เผยโปรเจคร่วมทุนฮันคิว 1 หมื่นล้าน หวังหนุนรายได้-ยอดขายโตก้าวกระโดด ชูนวัตกรรมใหม่จุดชาร์จไฟฟ้ารถอีวี

เศรษฐกิจไทย ปี 2561 คาดการณ์เติบโตที่ระดับ 3.8-5%  ขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ สะท้อนจากการประกาศแผนเดินหน้าลงทุนเปิดโครงการใหม่ของดีเวลลอปเปอร์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่พัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ เปิดเผยว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 2561 เชื่อว่าเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา หรือราว 7% เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการหลายรายร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนค่อนข้างมาก

“ภาพรวมอสังหาฯปีนี้ปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยการส่งออกและการท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัว และรวมถึงภาครัญลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นและเริ่มกลับมาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาและยังมีสัญญาณบวกในปีนี้”

เปิดโครงการใหม่สูงสุดรอบ 30ปี

สำหรับแผนธุรกิจเสนาปีนี้ วางเป้าหมายเติบโตก้าวกระโดด ภายใต้กลยุทธ์ “Growth Hormone” ด้วยแนวทางเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 18 โครงการ  แบ่งเป็นแนวราบ 3 โครงการ และแนวสูง 15 โครงการ มูลค่ารวม 23,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า“เท่าตัว” เมื่อเทียบปี 2560 เปิดใหม่ 9 โครงการ มูลค่า 9,149 ล้านบาท  หรือมีมูลค่าและจำนวนโครงการเปิดใหม่สูงสุดในรอบกว่า 30 ปี

ปี2561 ตั้งเป้ายอดขาย 10,300 ล้านบาท เติบโต  66% จากปีก่อนอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท และเป้ารายได้ 5,200 ล้านบาท  ขณะที่ปี 2560 อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปี 2560 มีที่อยู่อาศัยรอขาย 3,068 ยูนิต ปี2561 มีแผนเปิดเพิ่ม 7,505 ยูนิต รวม 10,573 ยูนิต

ด้านมูลค่า ปี 2560 มีมูลค่ารอขายอยู่ที่ 7,763 ล้านบาท ปี 2561 เปิดใหม่มูลค่า 23,000 ล้านบาท รวม 30,763 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่รอรับรู้รายได้ถึงปี 2563

ตลาดคอนโดดีมานด์โต 11%

นางสาวเกษรา  กล่าวว่าทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากการวิจัยข้อมูลของเสนา พบว่ามีดีมานด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยครอบครัวไทยเล็กลง  โดยปี 2537 ครอบครัวมีสมาชิกเฉลี่ย 3.42 คน ปี 2559 ลดลงเหลือ 1.9 คนต่อครัวเรือน  รวมทั้งแนวโน้มการใช้ชีวิตโสด, จำนวนผู้ที่เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น  และสังคมสูงวัย ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในครอบครัวขนาดเล็ก 1-2 คน มากขึ้น

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าดีมานด์ตลาดคอนโดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 11% โดยปี 2550 ความต้องการอยู่ที่ 39,197 ยูนิต ขณะที่ปี 2559 ขยับไปที่ 90,077 ยูนิต ส่วนฝั่งซัพพลายช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19% จากปี 2550 อยู่ที่ 17,432 ยูนิต ปี 2559 ซัพพลายอยู่ที่ 70,914 ยูนิต

นอกจากนี้ในกลุ่มคอนโด ไฮเอนด์ ทำเลกลางเมืองและย่านธุรกิจ ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนและต่างชาติ เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดี อีกทั้งเป็นกลุ่มกำลังซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ดีมานด์ในตลาดดังกล่าวจึงเติบโตต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าช่วงที่ผ่านมามีดีเวลลอปเปอร์เปิดโครงการใหม่ กลุ่มคอนโด ไฮเอนด์มากขึ้น

เสนาฯ มีแผนเปิดตัวคอนโด 15 โครงการในปีนี้  โดยเป็นโครงการของเสนา 12 โครงการ มูลค่า  10,000 ล้านบาท และร่วมทุนกับ “ฮันคิว เรียลตี้” ประเทศญี่ปุ่น 3 โครงการ  มูลค่า 10,000 ล้านบาท  คือ

นิช ไพรด์ เตาปูน เปิดตัวไตรมาสแรก ,โครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ ทำเลเอกมัย ราคาต่ำกว่า 2 แสนบาทตร.ม. และอีก 1 โครงการกำลังพิจารณาทำเล

“ปีนี้จะเปิดตัวคอนโด  พรีเมียม แบรนด์ใหม่ หลังจากมีประสบการณ์พัฒนาโครงการในกลุ่มนี้ในปีที่ผ่านมา”

ชูนวัตกรรมจุดชาร์จไฟฟ้ารถอีวี

นางสาวเกษรา กล่าวว่ากลยุทธ์การพัฒนาตลาดที่อยู่อาศัยของเสนา ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่ผ่านมาเสนาได้นำพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์มาติดตั้งในโครงการบ้านและคอนโด ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง รวมถึงพัฒนา แอพพลิเคชั่น SENA 360º Service ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการหลังการขายต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน

“ปี 2561 เรามีแผนการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ให้ตอบโจทย์ลูกค้า ด้านการประหยัดพลังงานและเวลา รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพให้มีบริการครบวงจรมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล”

พร้อมกันนี้ด้วยกระแสอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังก้าวสู่การผลิต,วิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานสะอาด จึงมีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) คาดว่าภายใน 5 ปี จะได้เห็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้ากันมากขึ้น ปีนี้ เสนาพร้อมเดินหน้าตั้งเป้าเป็น “The First EV ready” ด้วยการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้า ในบ้าน ที่ราคา 5-10 ล้านบาท เป็นรายแรกของไทย เพื่อช่วยผลักดันกระแสรักษ์โลกในกลุ่มกลาง นำร่อง 2 โครงการ ประกอบด้วย เสนา พาร์คแกรนด์ รามอินทรา-วงแหวน และเสนา พาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน

โดยมูลค่าการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ 1.2 แสนบาท ซึ่งจะรวมเป็นมูลค่าบ้านและผ่อนชำระพร้อมกับสินเชื่อบ้านตามระยะเวลาสัญญากู้  ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งหรือไม่ติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าก็ได้

http://www.bangkokbiznews.com


ไทยพาณิชย์ ประกาศลดพนักงาน 1.2 หมื่นคน ยุบสาขาเหลือ 400 แห่ง

ธนาคารไทยพาณิชย์ ปลดพนักงาน

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับองค์กร ย้ำใน 3 ปี ลดต้นทุน หดสาขาเหลือ 400 แห่ง จากพันกว่าแห่ง พร้อมลดจำนวนพนักงานเหลือ 1.5 หมื่นคน จาก 2.7 หมื่นคน

วันที่ 23 มกราคม 2561 นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีทำให้แหล่งที่มารายได้ของธนาคารลดลง เช่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สินเชื่อเพื่อการบริโภค โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ทยอยปรับตัว พร้อมลงทุนด้านเทคโนโลยีไอทีกว่า 4 หมื่นล้านบาท

โดยภายใน 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2559-2563 ธนาคารต้องลดต้นทุนเพื่อทำให้องค์กรเบาลง โดย            เฉพาะการลดสาขาและจำนวนพนักงานลง ซึ่งเป้าหมายใน 3 ปี คือ ลดจำนวนสาขาเหลือ 400 สาขา จากปัจจุบัน 1,153 สาขา และลดพนักงานเหลือ 15,000 คน จาก 27,000 คน

อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ย้ำว่า ไม่ใช่การปลดพนักงาน เนื่องจากในละปีมีพนักงานลาออก 3,000 คนต่อปี และไม่หยุดรับพนักงาน เป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางในยุคดิจิทัลต่อไป ซึ่งทางธนาคารก็ได้แจ้งให้กับพนักงานรับทราบถึงการปรับเปลี่ยนดังกล่าวแล้ว

https://money.kapook.com


ธปท. เผย ค่าเงินบาท ยังผันผวนสูง ชี้แบงก์ปิดสาขาประชาชนได้ประโยชน์

ผู้ว่า ธปท. เผย ทิศทาง ค่าเงินบาท ยังคงผันผวนสูง มาจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก ชี้ แบงก์ปิดสาขาประชาชนได้ประโยชน์

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทของไทยยังมีทิศทางที่ผันผวนสูง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับหลายสกุลเงิน จึงส่งผลกระทบกับค่าเงินบาทที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหลัก

ดังนั้น ภาคธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อประโยชน์ในเรื่องของการส่งออกหรือการค้า แต่จะเข้าไปดูแลในบางช่วงเวลาที่มีเงินไหลเข้าประเทศไทยรุนแรง นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 5-22 บาททั่วประเทศ ว่า มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และเป็นการปรับขึ้นไม่เท่ากันทุกจังหวัดทั่วประเทศ จึงมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยมาก

นายวิรไท กล่าวถึงกรณีการปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ที่มากขึ้น ว่า ยอมรับเป็นผลจากการที่ธนาคารปรับตัวใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการให้บริการของสถาบันการเงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเทียบกับหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการลดการผลิตและแรงงานคน แต่เชื่อว่า ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อต้นทุนการให้บริการซึ่งจะทำให้ค่าธรรมเนียมการใช้บริการลดลง และพนักงานมีโอกาสปรับตัว รองรับโลกดิจิทัลมากขึ้น และในไตรมาส1ของปีนี้ ธปท.จะออกประกาศ การใช้ Banking Agent หรือ การมีตัวแทนของสถาบันการเงิน ในการรับฝากและชำระเงิน เพื่อทำให้การเข้าถึงการบริการการเงินของรายย่อย มีประสิทธิภาพและเข้าถึงชุมชนมากขึ้น

https://news.mthai.com


โรงงานผลิตพืช จุดเปลี่ยนเกษตรไทย

“โรงงานผลิตพืช” หนึ่งในคีย์เวิร์ดการพัฒนาเกษตรไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีตามเป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 เป็นแพลตฟอร์มต้นแบบที่ไบโอเทค นำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มสมุนไพรและผักผลไม้ราคาแพง

“โรงงานผลิตพืช” หนึ่งในคีย์เวิร์ดการพัฒนาเกษตรไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีตามเป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 เป็นแพลตฟอร์มต้นแบบที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) นำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มสมุนไพรและผักผลไม้ราคาแพง ตอบโจทย์การทำเกษตรแบบยั่งยืน หวังสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่กลับภูมิลำเนา

ญี่ปุ่นใช้งบลงทุนโรงงานผลิตพืชด้วยแอลอีดี 1.27 แสนบาทต่อตารางเมตร สร้างรายได้ปีละประมาณ 7.5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร และคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี ขณะที่หลายประเทศมุ่งเป้าพัฒนาโรงงานผลิตพืชด้วยแอลอีดี เพื่อใช้ในการผลิตสารสำคัญทางชีวภาพจากพืชเชิงการค้า เช่น ญี่ปุ่นมี 200 แห่ง ไต้หวัน 100 แห่ง จีน 50 แห่ง สหรัฐอเมริกา 25 แห่ง เกาหลี 10 แห่งและสิงคโปร์ 2 แห่ง
นอกจากยังมีแนวคิดในการพัฒนาโรงงานผลิตพืช เพื่อใช้ผลิตพืชในสภาวะแวดล้อมที่ขาดแคลนทรัพยากรในการผลิต เช่น ในทะเลทรายหรือในอวกาศ เป็นต้น

เป้าหมายสมุนไพรมูลค่าสูง

โรงงานผลิตพืช (Plant Factory) เป็นเทคโนโลยีการผลิตพืชในระบบปิดหรือกึ่งปิด ที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาจากองค์ความรู้แขนงต่างๆ ทั้งด้านสรีรวิทยาพืช การเกษตร วิศวกรรมรวมถึงการจัดการเทคโนโลยี จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือ สามารถผลิตพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงทั้งด้านอัตราการผลิต (ผลผลิตต่อพื้นที่ต่อเวลา) และการใช้ทรัพยากรในการผลิต อีกทั้งสามารถเพิ่มคุณภาพ/สารสำคัญของพืชเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิต

“เราสามารถเพิ่มวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดที่ใช้เป็นยารักษาโรค รวมถึงคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ เช่น ผิวสัมผัส รสชาติ และอายุหลังการเก็บเกี่ยว ให้ยาวนานขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ เพราะลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากรน้ำและธาตุอาหาร” เฉลิมพล เกิดมณี หัวหน้าห้องปฏิบัติการสรีรวิทยาและชีวเคมีด้านพืช ไบโอเทค อธิบายจุดเด่นของ โรงงานผลิตพืช

ปัจจุบันหลายประเทศกำลังให้ความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช และนำไปใช้ผลิตพืชคุณภาพสูงเชิงการค้าได้เป็นผลสำเร็จแล้ว โดยเฉพาะญี่ปุ่น ไบโอเทคจึงเชิญ โตโยกิ โคไซ ศาสตราจารย์ด้านโรงงานผลิตพืชจากมหาวิทยาลัยชิบะ มาถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้แก่นักวิจัย นักวิชาการ เกษตรกรสมัยใหม่และผู้ที่สนใจ เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการผลิตพืชมูลค่าสูง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

ดึงคนรุ่นใหม่เป็นเกษตรกร

เฉลิมพล กล่าวต่อว่า ญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืชมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี สามารถปลูกพืชได้มากกว่า 10 ชั้น ขึ้นกับชนิดของพืช จึงเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับการเกษตรพื้นที่จำกัด ส่วนการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ประเทศไทยน่าจะเหมาะกับการปลูกพืชมูลค่าสูงในกลุ่มสมุนไพรเพื่อควบคุมปัจจัยหลัก เช่น ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุและปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ใช้ในการเจริญเติบโต โดยใช้หลอดไฟแอลอีดีเป็นแหล่งกำเนิดของแสง ซึ่งจะทำให้ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการจัดการความร้อน มีกระบวนการผลิตที่แม่นยำสูง ผลผลิตที่ได้ปราศจากการปนเปื้อน

ยกตัวอย่าง สมุนไพรบางตัวจะผลิตสารสำคัญทางยาอย่างน้ำมันหอมระเหย แคโรทีนอยด์ หรือ แอนโทไซยานิน ออกมาในเวลาพืชเกิดความเครียดจากสิ่งแวดล้อม หรือสามารถใช้ชนิดสีของแสงแอลอีดีเป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโต เช่น ใช้แสงสีน้ำเงินเพื่อเร่งการเจริญเติบโตช่วงใบ หรือใช้แสงสีแดงช่วงเร่งการดอก เป็นต้น คาดว่าภายในปีนี้จะมีการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของไทย เพื่อนำสารสกัดที่ได้จากสมุนไพรไปเป็นส่วนประกอบสร้างจุดขายใหม่ อาทิ สารสกัดจากใบบัวบกที่มีส่วนประกอบคอลาเจน ที่นำไปเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

“หากระบบผ่านการพัฒนาให้เหมาะสมกับประเทศไทย จะทำให้ได้ผลผลิตที่สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อนและมีระยะการเก็บเกี่ยวที่สั้นลง รายได้จากผลผลิตสูงขึ้น จะเป็นการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเกษตร ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ และกลับไปพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดทำให้รากฐานของประเทศแข็งแรง” เฉลิมพล กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 25/1/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 20,150.00 20,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,305.00 19,783.80 20,750.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,174.50 17,805.42 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 587.00 8,898.92 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 457.00 6,928.12 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,352.00 20,496.32 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  25/1/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.45 28.45 27.95 28.45 28.45
28.45
28.45
28.45
28.45
แก๊สโซฮอล E-20
25.94
25.94
25.94
25.44
25.94
25.94
25.94
25.94
25.94
แก๊สโซฮอล E-85 20.94 20.94 20.94 20.94
แก๊สโซฮอล 91 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18 28.18
เบนซิน 95 35.56 36.01 36.06 35.56 35.06 35.56
ดีเซลหมุนเร็ว 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59 27.59
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.59 30.59 30.59 30.59 30.59
มีผลตั้งแต่ 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00 18 Jan 05:00

 

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า