สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563

บริทาเนียผุดโครงการลักชัวรีทิ้งทวน

บริทาเนียผุดโครงการลักชัวรีทิ้งทวน

บริทาเนีย ลุยเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี 25ล้านอัพ เจาะกลุ่มครอบครัวขยาย นำร่อง “เบลกราเวีย บางนา” 65 ยูนิต ระบุซัพพลายน้อย เผยปีหน้าหันจับเรียลดีมานด์บ้านราคา 2-7ล้าน

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจบ้านจัดสรรในเครือ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ธุรกิจ “บริทาเนีย” แบรนด์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมที่สามารถเติบโตและขยายเซ็กเมนต์ช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นนโยบายของออริจิ้น บริษัทแม่ในการไดเวอซิฟายพอร์ตแนวราบและมีการตอบรับที่ดี

โดยปีนี้บริษัทจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ “ไบรตัน” แบรนด์ทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาท “แกรนด์บริทาเนีย” แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 7-10 ล้านบาท และ “เบลกราเวีย” แบรนด์บ้านเดี่ยวพรีเมียมระดับราคา 25-35 ล้านบาทตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับ ข้อมูลเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ที่ระบุว่า ซัพพลายตลาดบ้านเดี่ยวในเซกเมนต์ลักชัวรีมีจำนวนยูนิตเหลือน้อยทั้งในระดับราคา30ล้านบาทขึ้นไปและราคาระหว่าง20-30 ล้านบาทมีซะพพลายเหลือน้อยที่สุด สะท้อนดีมานด์ในย่านที่ค่อนข้างสูงสำหรับบ้านระดับลักชัวรี

จากสถานการณ์โควิด19 ทำให้ตลาดแนวราบได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจึงเป็นโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) ที่ต้องบ้านสำหรับครอบครัวขยายที่อยู่ร่วมกันทั้ง 3 เจนเนอเรชั่นภายใต้โครงการ เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนาซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ บนถนนคู่ขนานกาญจนาภิเษก จำนวน 65 ยูนิตราคาเริ่มต้น 25-40 ล้านบาท เนื่องจากซัพพลายในโซนบางนามีน้อย ในปีนี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 5,000ล้านบาทตามเป้าหมาย

“บริทาเนียจะขยายธุรกิจทั้งในด้านเซ็กเมนต์และทำเล ที่มีศักยภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตและเดินทางสะดวกเป็นหลักแต่จะไม่ทิ้งทำเลเดิมที่เป็นเจ้าตลาดอย่างกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกที่มีศักยภาพและฐานลูกค้าเก่า”

นางศุภลักษณ์ กล่าวว่า สำหรับแผนการทำตลาดปี 2564 จะเปิดตัว 10-12 โครงการใหม่ มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แบรนด์หลักจะเป็นไบรตัน แบรนด์ทาวน์โฮมระดับราคา 2-5 ล้านบาทในโซนตะวันออก (อีอีซี) ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา และ แบรนด์บริทาเนีย แบรนด์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับราคาตั้งแต่ 3-7 ล้านบาทโซนกรุงเทพฯ ตะวันตกเฉียงใต้ และสมุทรปราการ เพื่อจับกลุ่มเรียลดีมานด์ระดับราคา 2-7 ล้านบาทที่มีสัดส่วนในตลาด 80%เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอลที่ทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัว และต้องการเว้นระยะห่างทางทางสังคมกับผู้อื่น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมดำเนินโครงการ “ศูนย์ความเป็นเลิศทางอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขางานก่อสร้าง โครงการ Living Solution Expert”

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมดำเนินโครงการ

คุณสรศักดิ์ ผดุงผล (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายก่อสร้างกลางและจัดซื้อ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ คุณสุเทพ แก่งสันเทียะ (ที่ 2 จากซ้าย) เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อดำเนินโครงการ “ศูนย์ความเป็นเลิศทางอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขางานก่อสร้าง โครงการ Living Solution Expert” ยกระดับและพัฒนาฝีมีอของนักศึกษาอาชีวะ โดยมีคุณนพร สุนทรจิตต์เจริญ (ขวาสุด) ประธานคณะกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และ คุณสง่า แต่เชื้อสาย (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมเป็นพยาน

โครงการ Living Solution Expert เกิดจากความร่วมมือระหว่างองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระยะเวลาการศึกษา 2 ปี จัดการเรียนการสอนที่วิทยาลัยเทคนิคดุสิต ในปีการศึกษา 2564 ประกอบด้วย วิชาบังคับตามหลักสูตรปวส. วิชาความรู้พื้นฐานด้านการก่อสร้างและวิชาด้านอาชีพ รวมถึงวิชาด้านการจัดการเป็นผู้ประกอบการ พร้อมฝึกงานจริงที่สถานประกอบการเป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันและอนาคต ทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติ โครงการนี้สอดคล้องกับแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาทักษะเฉพาะด้านให้กับนักเรียนอย่างตรงจุด และสามารถทำงานได้ทันทีหลังจบการศึกษา เนื่องจากกำลังอาชีวะถือเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศ

ขอบคุณข้อมูลจาก www.ryt9.com


คลังคาดเศรษฐกิจ5ปีหน้าโต3-5%

คลังคาดเศรษฐกิจ5ปีหน้าโต3-5%

คลังเตรียมแผนกู้นอก คาด 5 ปี เศรษฐกิจโตต่อเนื่อง ความต้องการใช้เงินภายในประเทศสูง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การก่อหนี้ของประเทศเพื่อพัฒนาประเทศไม่มีปัญยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนการคลังไม่เกิน 60% ของจีดีพี แม้ว่าล่าสุดสัดส่วนหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 49.34% ของจีดีพี เมื่อรวมกับเงินกู้ตาม พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีก็ยังอยู่ในกรอบ เพื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 แล้ว และทำให้เศรษฐกิจ 5 ข้างหน้ากลับมาขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น

“สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังขึ้นอยู่กับการขยายตัวเศรษฐกิจ หากการขยายตัวต่ำ ก็ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้น ซึ่งในปีหน้า คาดว่าจีดีพี จะขยายตัว 4% และในช่วง 5 ปี? คาดว่าจะขยายตัว? 3-5% ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่สูงหรืออาจจะลดลงด้วย” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ศึกษาการกู้เงินต่างประเทศเตรียมพร้อมไว้ โดยเป็นการกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เพราะหลังวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการเงินกู้ภายในประเทศของภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ 2564 คลังยังไม่มีแผนกู้เงินจากต่างประเทศ เพราะเพิ่งเซ็นสัญญากู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) 1.5? พันล้านดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


โรเบิร์ตสันชี้3ทีมน่ากลัวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

โรเบิร์ตสันชี้3ทีมน่ากลัวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

ไปฟัง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน บอกนอกจาก ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ แล้วยังมีอีก 3 ทีมที่น่ากลัวในการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก หลังยกระดับขึ้นมาอย่างมากในซีซั่นนี้

    แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายตัวเก่ง ลิเวอร์พูล ยอมรับว่า การแย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ จะสู้กันอย่างสูสีมากขึ้น โดยมองว่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี เป็น 3 ทีมที่มีศักยภาพในการร่วมลุ้นแชมป์แข่งกับทั้ง “หงส์แดง” และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

    หลัง พรีเมียร์ลีก ผ่านไป 9 เกมแล้วนั้น สเปอร์ส นำเป็นจ่าฝูง มี 20 คะแนนเท่ากับ ลิเวอร์พูล แต่ผลต่างประตูได้เสียของ “ไก่เดือยทอง” ดีกว่า ขณะที่ เชลซี รั้งอันดับ 3 มี 18 คะแนนเท่ากับ เลสเตอร์ ซิตี้ แต่ผลต่างประตูได้เสียของ “สิงห์บลูส์” ดีกว่า

โรเบิร์ตสัน เผยผ่าน สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬาดังแดนผู้ดีว่า “พวกเราไม่ได้ตั้งเป้าต้องเก็บให้ได้กี่คะแนน แต่ก็อยากได้ถึง 99 คะแนนเหมือนซีซั่นที่แล้วอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ฤดูกาลนี้จะสู้กันสูสีหนักมาก ผมคิดว่า มีหลายทีมที่พัฒนาขึ้น คุณคงได้เห็น ท็อตแน่ม คุณคงได้เห็น เลสเตอร์ คุณคงได้เห็น เชลซี กันแล้ว พวกเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก”

    พร้อมกันนี้ โรเบิร์ตสัน ยังยอมรับว่า ปี 2020 เป็นปีที่ตัวเองมีความสุขอย่างมาก เพราะทั้งช่วยให้ “หงส์แดง” กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และนำทีมชาติสกอตแลนด์ ผ่านเข้าไปเล่น ยูโร 2020 รอบสุดท้าย ซึ่งนับเป็นทัวร์นาเมนต์สำคัญแรกที่ทัพ “ตาร์ตัน” ได้ไปโชว์ฝีเท้าตั้งแต่ปี 1998 

    “เรายุติการการรอคอยแชมป์ลีกมานาน 30 ปีสำหรับสโมสรที่ยอดเยี่ยมแห่งนี้ และผมยังช่วยให้ทีมชาติบ้านเกิดสิ้นสุดการรอคอย 23 ปีด้วย มันเป็นความซาบซึ้งใจอย่างยิ่งหลังจบเกมจนแทบร้องไห้ออกมา พวกเราต้องผ่านอะไรหลายอย่าง มันเป็นการรอคอยที่ยาวนานทั้งกับเราและแฟนบอล” ดาวเตะสกอตต์ ทิ้งท้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


นักประสาทวิทยาชี้เด็กยุคอินเทอร์เน็ตไอคิวต่ำกว่าพ่อแม่ เหตุเพราะการใช้เวลาหน้าจอชะลอการเติบโตสมอง

Kids and teenagers wearing VR headsets

“เราไม่มีข้อแก้ตัวเลยในสิ่งที่เรากำลังทำต่อลูกหลานของเราอยู่” นักประสาทวิทยาชื่อดังชาวฝรั่งเศส มิเชล เดมูร์เจท์ กล่าว

“เรากำลังทำให้อนาคตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย”

เขาเชื่อว่าอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ กำลังส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก เดมูร์เจท์ เขียนไว้ในหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ชื่อ “The Digital Cretin (or Idiot) Factory” โดยบอกว่ามีข้อมูลสนับสนุนข้อสรุปนี้มากมาย

เดมูร์เจท์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติฝรั่งเศส และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาที่เคยทำงานกับสถาบันชั้นนำอย่างสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (MIT) และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ

ข้อเสนอที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในหนังสือเล่มใหม่ของเขาคือ “คนยุคดิจิทัลรุ่นแรก” หรือเด็กที่เกิดหลังการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมแล้ว มีระดับไอคิวต่ำกว่าพ่อแม่ของพวกเขา

เดมูร์เจท์ บอกว่า จากที่ระดับไอคิวของคนในประเทศต่าง ๆ เคยเพิ่มขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น แต่ตอนนี้แนวโน้มนี้กำลังเปลี่ยนไปตรงกันข้าม

Toddler playing with a mobile phone

เขาบอกว่า จริงอยู่ที่ระดับไอคิวขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ อย่างคุณภาพระบบสาธารณสุข การศึกษา และอาหาร ในประเทศนั้น ๆ แต่เมื่อมองดูจากประเทศที่ปัจจัยทางเศษฐกิจและสังคมมีเสถียรภาพมาหลายทศวรรษแล้ว แนวโน้มก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ดี เช่นในนอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส เป็นต้น

เมื่อถามว่าเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เด็กมีไอคิวลดลงหรือไม่ เดมูร์เจท์ บอกว่ายังไม่สามารถเจาะจงลงไปได้ว่าแต่ละปัจจัย อาทิ การอยู่หน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานาน หรือว่าการได้รับมลพิษ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง

“[แต่] เรารู้แน่ชัดว่าเวลาที่เด็กใช้อยู่หน้าจอมีผลกระทบมากต่อระดับไอคิว แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวก็ตาม”

เดมูร์เจท์ บอกว่า เด็กใช้เวลาในการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวน้อยลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาการทางภาษาและอารมณ์ นอกจากนี้ เด็กทำกิจกรรมอื่นซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง อย่างทำการบ้าน ฟังเพลง สร้างงานศิลปะ หรืออ่านหนังสือ น้อยลงไปด้วย

Michel Desmurget

นักประสาทวิทยารายนี้บอกว่า สมองคนเราเป็นอวัยวะที่จะมีพัฒนาการต่อเนื่อง ขณะที่โลกที่เราอาศัยอยู่ ประสบการณ์และความท้าทายที่คนเรากำลังเผชิญ มีส่วนกำหนดโครงสร้างสมองของคนเรา

เดมูร์เจท์ บอกว่า นักวิจัยสังเกตว่าช่วงเวลาที่คนอยู่กับหน้าจอเพื่อความบันเทิง เป็นตัวชะลอพัฒนาการของสมอง และมีผลต่อการทำงานของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการรับรู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาและการมีสมาธิ ขณะที่การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสติปัญญา การอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือเล่นกีฬา จะสามารถช่วยสร้างเสริมโครงสร้างและเป็นประโยชน์ต่อสมองมากกว่า

เดมูร์เจท์ เปรียบสมองคนเราเหมือนดินน้ำมัน สมองของเด็กและวัยรุ่นจะยังมีความอ่อนนุ่ม ปั้นง่าย แต่พอแก่ตัวขึ้น มันจะเริ่มแห้งและเปลี่ยนรูปร่างได้ยากขึ้น

นักประสาทวิทยารายนี้ บอกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กอายุ 2 ขวบใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงไปกับหน้าจอ และราว 5 ชั่วโมงสำหรับเด็กอายุ 8 ขวบ ส่วนวัยรุ่นใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน

“นั่นหมายความว่าก่อนจะอายุ 18 ปี เด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่หน้าจอเพื่อความบันเทิงเทียบเท่ากับ 30 ปีในโรงเรียน หรือเทียบเท่ากับการทำงานเต็มเวลานานถึง 16 ปี …นี่ถือว่าบ้าไปแล้วและเป็นการไร้ความรับผิดชอบ [ของผู้ใหญ่] มาก ๆ”

Two children wearing "thinking hats"

เดมูร์เจท์ บอกว่า เด็กอายุต่ำกว่ากว่า 6 ขวบไม่ควรใช้เวลาหน้าจอเลย และเด็กตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไป อาจจะใช้เวลาหน้าจอได้ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงต่อวัน

นอกจากนี้ กฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่ควรใช้คือ ห้ามใช้เวลาหน้าจอก่อนไปโรงเรียน และก่อนเข้านอน และไม่อนุญาตให้เด็กใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในห้องนอน

เดมูร์เจท์ บอกว่า สื่อกระแสหลักเต็มไปด้วยข้อมูลกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐาน และการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่ไม่ทราบถึงภัยที่แท้จริงของการใช้เวลาหน้าจอเยอะเกินไป

เมื่อถามถึงงานวิจัยที่บอกว่าวิดีโอเกมช่วยให้เด็กเรียนดีมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสผู้นี้บอกว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี และเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะงานวิจัยเหล่านั้นเป็นการศึกษากรณีเดี่ยว ๆ แยกกัน และก็ไม่ได้มีข้อมูลที่มีน้ำหนักมาสนับสนุน

เดมูร์เจท์ บอกว่า เขามักจะได้ยินความคิดที่ว่า “คนยุคดิจิทัลรุ่นแรก” มีความรู้ “แตกต่างออกไป” จากคนรุ่นก่อนหน้า หมายความว่าแม้ว่าพวกเขาอาจจะเก่งภาษา มีสมาธิ และมีความรู้ น้อยลง แต่พวกเขาเก่ง “เรื่องอื่น ๆ” แทน

Girl illuminated by the glow of a screen

แต่คำถามคือ “เรื่องอื่น ๆ” ที่ว่านั้นคืออะไร

“สำหรับผม เด็กเหล่านี้เหมือนกับที่ อัลดัส ฮักซลีย์ เขียนไว้ในนวนิยาย “Brave New World” ที่ถูกทำให้งงงวยโดยสิ่งบันเทิงที่โง่เง่า ปราศจากภาษา ไม่สามารถคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับโลกได้ แต่ก็มีความสุขกับโชคชะตาของตัวเอง”

เดมูร์เจท์ บอกว่า ทุกวันนี้ ไต้หวันได้กำหนดให้การปล่อยเด็กให้ใช้เวลาหน้าจอมากเกินไปเป็นรูปแบบการทารุณกรรมเด็กอย่างหนึ่งแล้ว ส่วนที่จีนก็มีกฎจำกัดเล่นเกมสำหรับเด็กแล้ว โดยห้ามเล่นระหว่าง 4 ทุ่มถึง 8 โมงเช้า ห้ามเกิน 90 นาทีต่อวัน ในช่วงวันธรรมดา

อย่างไรก็ดี เดมูร์เจท์ ไม่ได้สนับสนุนให้มีกฎหมายปกป้องเด็กไม่ให้ใช้เวลาหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป แต่ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ตรงไปตรงมาและครอบคลุมแก่พ่อแม่ โดยกฎเกณฑ์ง่าย ๆ ที่ควรเริ่มใช้คือ ห้ามให้ใช้เวลาหน้าจอเลยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี และจากนั้นเป็นต้นไปอาจจะให้ใช้เวลาได้ 30-60 นาที ต่อวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก bbc.com/thai


บทสนทนากล่าวทักทายภาษาอังกฤษ

กล่าวทักทายประโยคสนทนาภาษาอังกฤษ

เรียนบทสนทนากล่าวทักทายภาษาอังกฤษ

เมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่มาพบกันครั้งแรกเราจะพูดลักษณะใดพูดอย่างไร ควรใช้คำพูดแบบไหนในการกล่าวทักทาย หัดพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษ
ลองนำบทสนทนาภาษาอังกฤษเมื่อครั้งแรกที่ได้พบกันไปลองหัด ฝึกออกเสียงแล้วพยายามมำความเข้าใจในความหมายของของรูปประโยคนะคะ จะได้เข้าใจในความหมายรูปประโยคที่พูดออกไปว่าต้องการสื่อสารอย่างไร

ประโยคทักทายภาษาอังกฤษสามารถใช้ได้หลายรูปแบบแตกต่างกันไป การกล่าวทักทายภาษาอังกฤษสำหรับคนที่สนิทสนมกันและเป็นกันเองเราสามารถพูดได้รูปแบบนี้ด้วยคำว่า Hi, Hello และ Hello ดูตัวอย่างประโยคกันเลยเช่น

  1. Hi, May. อ่านว่า ไฮ เมย์ แปลว่า สวัสดีเมย์
  2. Hello, Mayya อ่านว่า เฮลโล เมย์ย่า แปลว่า สวัสดีเมย์ย่า
  3. Hey, Marry อ่านว่า เฮ้-แมรี่ แปลว่า สวัสดีแมรี่

การกล่าวทักทายเมื่อพบปะเจอกันครั้งแรกสำหรับคนที่เราไม่สนิทสนมกันเท่าไรคุณอาจะพูดตามรูปแบบนี้ด้วยคำว่า Good Morning, Good Afternoon และ Good Evening ดูตัวอย่างประโยคสนทนาแบบเป็นทางการดังนี้

  1. Good morning , May. อ่านว่า กู้ด-มอร์นิ่ง เมย์ แปลว่า สวัสดีตอนเช้าครับ/ค่ะเมย์ Good Morning ใช้ในช่วงเวลาเช้าถึงบ่าย
  2. Good afternoon , Mayya. อ่านว่า กู้ด-อ๊าฟเตอร์นูน เมย์ย่า แปลว่า สวัสดีครับ/ค่ะตอนบ่ายคุณเมย์ย่า Good afternoonใช้กล่าวทักทายกันในตอนบ่ายจนถึงเย็น
  3. Good evening, Marry. อ่านว่า กู้ด-อีฟ-นิ่ง ออฟ แปลว่า สวัสดีตอนเย็นครับ/ค่ะคุณออฟ Good Evening ใช้ทักทายกันในตอนเย็นเป็นต้นไปจนเช้าของวันใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก englishinspire.com


รู้จักวัคซีน AZD1222 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ไทยเลือกใช้

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายใต้ชื่อ AZD1222 ที่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของอังกฤษ มีศักยภาพที่จะกลายเป็น “วัคซีนสำหรับโลก” ด้วยจุดเด่นหลายประการ และนี่คือวัคซีนที่กำลังจะมีฐานการผลิตในประเทศไทย 

แอสตร้าเซนเน้กา บริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่สัญชาติอังกฤษ-สวีเดน แถลงเกี่ยวกับ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายใต้ชื่อ AZD1222 ที่บริษัทร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ว่า วัคซีนตัวนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น “วัคซีนสำหรับโลก” เพราะนอกจากมีประสิทธิภาพในระดับน่าพอใจแล้ว ยังมีต้นทุนการผลิตราคาถูกกว่า อีกทั้งยังสะดวกในการเก็บรักษาและในการแจกจ่าย  นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตออกมาครั้งละมาก ๆ ได้รวดเร็วกว่า เมื่อเทียบกับวัคซีนของบริษัทอื่น ๆที่เป็นคู่แข่ง

ในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (23 พ.ย.) แอสตร้าเซนเนก้าระบุว่า บริษัทสามารถที่จะผลิตวัคซีนออกมาได้มากถึง 200 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ (2563) ซึ่งมากกว่ากำลังผลิตของคู่แข่งราว 4 เท่าตัว (เมื่อเทียบกับตัวเลขกำลังผลิตวัคซีนของไฟเซอร์ บริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐที่เคยระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้) และสำหรับไตรมาสแรกของปีหน้า (2564) แอสตร้าเซนเนก้าจะผลิตวัคซีนออกมาอีก 700 ล้านโดสพร้อมให้ใช้กันได้ทั่วโลก

“นี่หมายถึง เรามีวัคซีนสำหรับโลกแล้ว”  แอนดริว พอลลาร์ด ผู้อำนวยการของกลุ่มวัคซีน มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวนี้ร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้า กล่าว

ประสิทธิภาพในการป้องกันถึงระดับ 90%

สำหรับประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 70% ในการศึกษาทดสอบขั้นท้ายๆ ที่ดำเนินการในอังกฤษประเทศและบราซิล อย่างไรก็ตาม แอสตร้าเซนเนก้าอธิบายว่า อัตราความสำเร็จในการป้องกันจะเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 90% ถ้าให้วัคซีนนี้ครึ่งโดสแล้วตามด้วย 1 โดสเต็ม ขณะที่ระดับประสิทธิภาพจะเหลือ 62% หากให้ 1 โดสเต็มทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกอาสาสมัครส่วนใหญ่ที่เข้ารับการทดลอง

ประเด็นสำคัญคือ บริษัทยืนยันถึงความปลอดภัยของวัคซีน โดยอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีน AZD1222 ไม่มีผู้ป่วยรายใดที่มีอาการรุนแรงหรือต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีความปลอดภัยในกลุ่มผู้สูงอายุ

หุ้นของแอสตราเซเนกา หล่นลงมา 4% เมื่อวันจันทร์ ถือเป็นผลงานในรอบวันที่แย่ที่สุดของหุ้นตัวนี้ในรอบ 6 เดือน เนื่องจากพวกนักลงทุนเข้าใจกันว่าข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ออกมาน่าผิดหวังเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างบริษัทไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ซึ่งรายงานเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ได้ในอัตรา 94- 95%

กระนั้นก็ตาม วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นบริษัทยาสัญชาติอังกฤษ ก็ยังมีจุดเด่นหรือความได้เปรียบที่สำคัญๆ หลายประการ หากจะเปรียบเทียบกับวัคซีนของคู่แข่ง เช่นกรณีของต้นทุนสำหรับวัคซีนตัวนี้ที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต้องจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 ดอลลาร์ต่อการฉีด 1 ครั้ง ซึ่งถือว่าถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับราคาวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา

นอกจากนี้ วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ายังสามารถขนส่งและเก็บรักษาเอาไว้ในอุณหภูมิของตู้เย็นปกติ นั่นคือระหว่าง 2 – 8 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการแจกจ่ายโดยเฉพาะในบรรดาประเทศยากจน เมื่อเทียบกับวัคซีนของไฟเซอร์ซึ่งต้องขนส่งและเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำมาก คือประมาณ -70 องศาเซลเซียส

ประเด็นสำคัญคือ การผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่า ซึ่งหมายความว่า ทั้งประเทศที่ร่ำรวยและประเทศยากจน สามารถที่จะแจกจ่ายวัคซีนออกไปได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วกว่า ซึ่งจะช่วยให้นานาประเทศทั่วโลกสามารถหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่เข้มงวดอย่างมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหลายที่ส่งผลกระทบหนักทั้งทางสังคมและทางเศรษฐกิจ

ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวเมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) เกี่ยวกับความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบประมาณและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 3,700 ล้านบาท เพื่อการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดนั้น ไทยได้จัดทำข้อตกลงจัดหาวัคซีนด้วยวิธีการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว และคนไทยก็มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้มากกว่าประเทศอื่น ๆ  

“คาดว่าเราจะได้รับวัคซีนกลางปีหน้า เนื่องจากมีความร่วมมือผลิตวัคซีนในประเทศไทยด้วย และเป็นโอกาสในการสร้างขีดความสามารถของประเทศเพื่อความมั่นคงในระยะยาว” นพ.โอภาสกล่าว

สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนโควิด-19 อยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงสาธารณสุข มีโครงการความร่วมมือกับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ในการผลิตวัคซีน AZD1222 จำนวนมากโดยไม่หวังผลกำไรในประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา นับเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรด้านสาธารณสุขชั้นนำของโลก อาทิ องค์การอนามัยโลก กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (CEPI)  องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (GAVI) และผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ผนึกกำลังเพื่อช่วยกันกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงและเท่าเทียมโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บีทรูทกับประโยชน์ต่อสุขภาพ

บีทรูท เป็นพืชชนิดหนึ่งที่นิยมนำรากซึ่งอยู่ใต้ดินมารับประทาน มีอยู่หลายสายพันธุ์และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามภูมิภาค นิยมนำมากินสด ดอง ปรุงอาหาร เพิ่มสีสันของอาหาร แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และนำไปใช้เป็นยารักษาโรค กล่าวกันว่าบีทรูทช่วยลดระดับไขมันในเลือดบางชนิด ลดความดันโลหิต เสริมสมรรถภาพร่างกายให้แก่นักกีฬา เสริมการทำงานของตับหรือป้องกันโรคตับ รวมทั้งต้านมะเร็ง เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด เช่น ใยอาหาร วิตามินบี 9 โฟเลต แมงกานีส โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินซี เป็นต้น

บีทรูท

นอกจากนี้ บีทรูทยังมีสารประกอบทางเคมีในพืชอีกหลายชนิดที่เป็นสารกลุ่มไนโตรเจน เรียกว่า เบตาเลน (Betalain) ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายและทำให้พืชมีสีสันแตกต่างกัน โดยเฉพาะสารบีตาไซยานิน (Betacyanin) ที่ให้สีแดง และสารบีตาแซนทิน (Betaxanthin) ที่ให้สีเหลือง รวมถึงสารให้สีชนิดอื่น ๆ เช่น บีทานิน (Betanin) วูลกา-แซนทิน (Vulgaxanthin) หรือกรดเบทาเลมิก (Betalamic Acid)

คุณค่าทางโภชนาการที่พบในบีทรูทดิบ 100 กรัม

  • น้ำ 88 เปอร์เซ็นต์
  • พลังงาน 43 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.6 กรัม
  • น้ำตาล 6.8 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 2.8 กรัม
  • ไขมันทั้งหมด 0.2 กรัม  
  • กรดไขมันชนิดอิ่มตัว 0.03 กรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 0.03 กรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 0.06 กรัม
  • โอเมก้า 3 0.01 กรัม
  • โอเมก้า 6 0.06 กรัม

อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของบีทรูทที่เคยได้ยินกันนั้นจะเท็จหรือจริงเพียงใด ฐานข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ระบุว่าข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของบีทรูทในปัจจุบันยังมีจำกัด จึงยากต่อการยืนยันประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ประโยชน์ของบีทรูทต่อสุขภาพที่พอจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์กล่าวถึง มีดังนี้

ลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด กล่าวกันว่าสารไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ที่พบในบีทรูทมีสรรพคุณช่วยขยายหลอดเลือดอย่างอ่อน ๆ ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น และยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ง่าย

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับอาหารเสริมที่มีสารไนเตรต (Nitrate) และไนไตรต์ (Nitrite) จากธรรมชาติ คาดว่าสารเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสารไนตริกออกไซด์ในเลือดและทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลง โดยได้ศึกษากับกลุ่มผู้ป่วยอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีปัจจัยความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 3 ประการ อันได้แก่ มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคอ้วน สูบบุหรี่ มีคอเลสเตอรอลสูง มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นโรคเบาหวาน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรค โดยการทดลองจะแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรับประทานอาหารเสริมจากบีทรูทและผลไม้ชนิดอื่นที่มีสารไนเตรต ส่วนอีกกลุ่มรับประทานยาหลอกในช่วงท้องว่าง วันละ 2 ครั้ง และรับประทานต่อเนื่องกันจนครบ 30 วัน

ผลปรากฏว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมมีระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการตรวจพบสารไนเตรตและไนไตรต์ในเลือดที่ไปช่วยเพิ่มระดับสารไนตริกออกไซด์ จึงพอจะบอกได้ว่าบีทรูทนั้นอาจมีประโยชน์ต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในคน อย่างไรก็ตาม ควรมีการค้นคว้าหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพิ่มเติม เนื่องจากงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาบีทรูทในรูปแบบอาหารเสริมผสมกับผลไม้ชนิดอื่น และไม่ได้เป็นการรับประทานบีทรูทโดยตรง จึงยังไม่อาจสรุปผลที่แน่นอนได้

ลดไขมันในตับ หลายคนเชื่อว่าบีทรูทจะช่วยเสริมการทำงานของตับและลดความเสี่ยงต่อโรคตับ เนื่องจากมีสารบีทานินที่อาจช่วยป้องกันหรือลดการสะสมไขมันในตับ ป้องกันตับจากสารพิษ อีกทั้งยังมีรายงานผลการทดลองในสัตว์และการศึกษานำร่องที่ระบุผลว่าสารบีทานินนี้มีผลต่อการลดไขมันของผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ ชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์

จากการศึกษานำร่องถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารบีทานินในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์จำนวน 10 คน โดยให้รับประทานสารบีทานินในรูปแบบยาน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 ปี แต่มีเพียง 7 คนจากในผู้ป่วย 10 คนที่อยู่ในการทดลองจนจบ ผลลัพธ์พบว่าค่าเอนไซม์ตับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากมีค่าเอนไซม์ในระดับสูงก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าตับอาจมีปัญหา โดยผู้ป่วย 3 คน มีค่าเอนไซม์ตับกลับมาเป็นปกติ อีก 3 คนมีค่าลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และมี 1 คนที่ไม่พบการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในด้านอื่น ๆ แต่อาจเกิดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารเล็กน้อย จึงคาดว่าสารบีทานินที่พบในบีทรูทอาจช่วยรักษาอาการของผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ให้ดีขึ้น แต่การศึกษานี้ยังเป็นเพียงการวิจัยเบื้องต้นที่มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น กลุ่มการทดลองมีขนาดเล็ก ไม่อาจระบุความปลอดภัยต่อร่างกาย และผลการศึกษาที่ยังไม่เสถียร

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารบีทานินในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ จำนวน 34 คน เป็นเวลา 12 เดือน โดยแบ่งผู้ทดลองเป็นกลุ่มที่รับประทานสารบีทานินวันละ 20 กรัม และกลุ่มที่รับประทานยาหลอก ซึ่งจากการตัดชิ้นเนื้อของตับไปตรวจหลังสิ้นสุดการทดลอง พบว่ากลุ่มที่รับประทานสารบีทานินมีระดับไขมันในเซลล์ตับลดลง แต่ไม่เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ซึ่งผลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าสารบีทานินอาจช่วยป้องกันอาการของโรคไม่ให้แย่ลง แต่ไม่ได้ช่วยลดไขมันในตับ แม้ว่าจะมีผลการทดลองในสัตว์ที่ระบุผลว่าบีทรูทอาจช่วยลดไขมันในตับได้ แต่การขยายผลไปยังคนยังต้องการงานวิจัยและค้นคว้าอีกจำนวนมาก เพื่อช่วยยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้

ลดความดันโลหิต บีทรูทเป็นพืชอีกชนิดที่อุดมไปด้วยสารไนเตรตซึ่งกล่าวกันว่ามีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต แต่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการได้รับสารไนเตรตจากการรับประทานอาหารตามปกติจะมีผลเช่นเดียวกันหรือไม่

จากการศึกษาประสิทธิภาพของน้ำบีทรูทต่อการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตในอาสาสมัครหญิง 15 คน และชาย 15 คน ด้วยการแบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำบีทรูทผสมกับน้ำแอปเปิ้ล 500 กรัม กับกลุ่มที่ดื่มยาหลอก ซึ่งอาสาสมัครทั้งหมดจะได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตก่อนการทดลองและติดตามผลหลังการดื่มน้ำผลไม้ที่กำหนดอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ทั้ง 2 กลุ่มสลับเป็นน้ำผลไม้ของอีกกลุ่มแทน ผลปรากฏว่าทั้ง 2 กลุ่มมีค่าความดันโลหิตซิสโตลิก (Systolic Blood Pressure: SBP) ลดลงในระยะเวลา 6 ชั่วโมง ภายหลังจากได้รับน้ำบีทรูทผสมแอปเปิ้ล และจากการวิเคราะห์ค่าความดันโลหิตของอาสาสมัครชายพบว่าลดลงประมาณ 4-5 มิลลิเมตรปรอท อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มการทดลองที่ใหญ่ขึ้นและควรวิเคราะห์ผลในผู้หญิงเพิ่มเติม เพื่อยืนยันผลของการรับประทานบีทรูทต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิต

นอกจากนี้ ยังมีการทบทวนงานวิจัยจำนวน 16 ชิ้น เกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารอินออร์แกนิกไนเตรต (Inorganic Nitrate) และอาหารเสริมจากบีทรูทในรูปแบบต่าง ๆ ต่อค่าความดันโลหิต ซึ่งกลุ่มการทดลองในแต่ละการศึกษามีประมาณ 7-30 คน รวมทั้งสิ้น 254 คน และระยะเวลาการศึกษาอยู่ในระหว่าง 2 ชั่วโมง-15 วัน ผลจากการรวบรวมงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทั้งสารอินออร์แกนิกไนเตรตและน้ำบีทรูทต่างมีความเกี่ยวข้องกับค่าความดันโลหิตซิสโตลิกที่ลดลง ทว่าการศึกษาส่วนใหญ่มีระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด จึงควรมีการศึกษาประสิทธิภาพในระยะยาวเพิ่มเติมก่อนจึงจะยืนยันผลได้

เสริมสมรรถภาพทางร่างกาย การศึกษาหลายชิ้นแนะนำถึงประโยชน์ของสารไนเตรตที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางร่างกาย โดยเฉพาะในระหว่างการออกกำลัง ซึ่งจากการศึกษาประสิทธิภาพของอาหารเสริมที่มีสารไนเตรตต่อการทำงานของร่างกายและการออกกำลังกายในนักวิ่งหรือนักไตรกีฬาจำนวน 8 คน โดยให้อาสาสมัครกลุ่มแรกดื่มน้ำบีทรูทเข้มข้นที่มีสารไนเตรต และอีกกลุ่มดื่มน้ำบีทรูทที่ไม่เติมสารไนเตรต หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมงจึงเริ่มทดสอบประสิทธิภาพการออกกำลังกายจำนวน 4 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะประกอบด้วยการอบอุ่นร่างกาย 10 นาที ตามด้วยการวิ่งบนลู่วิ่งระยะทาง 1,500 เมตรหรือ 10,000 เมตร

ผลการศึกษาดังกล่าวปรากฏว่า การดื่มน้ำบีทรูทเข้มข้นช่วยเพิ่มสารอินออร์แกนิกไนเตรตในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนค่าความดันโลหิตขณะพักและระหว่างการออกกำลังกายของทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกันมาก นอกจากนี้ กลุ่มที่ดื่มบีทรูทเข้มข้นยังมีสมรรถภาพการวิ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการวิ่งบนลู่ระยะ 1,500 เมตร แต่ในระยะ 10,000 เมตร กลับไม่พบความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 กลุ่มอย่างชัดเจน การดื่มน้ำบีทรูทเข้มข้นจึงอาจให้ผลดีในการวิ่งระยะใกล้มากกว่าระยะไกล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการศึกษาที่มีกลุ่มทดลองขนาดเล็กและระยะเวลาค่อนข้างสั้น ทำให้ยากต่อการสรุปผลในทันที และควรมีการค้นคว้าเพิ่มเติมหรือรอให้มีหลักฐานที่เพียงพอต่อการระบุประสิทธิภาพต่อไป

การรับประทานบีทรูทให้ปลอดภัย

การรับประทานบีทรูทในปริมาณปกติที่พบได้จากในอาหารค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่อาจทำให้ปัสสาวะและอุจจาระเป็นสีแดงหรือชมพูหลังจากรับประทาน โดยเป็นอาการที่เรียกว่าบีทูเรีย (Beeturia) ซึ่งจะไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย ส่วนข้อควรระวังในบุคคลกลุ่มอื่น มีดังนี้

  • การรับประทานบีทรูทเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคควรมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ หากต้องการรับประทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • บีทรูทอาจส่งผลให้ระดับแคลเซียมลดต่ำลงและกระทบต่อการทำงานของไต ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับไตหรือระดับแคลเซียมในร่างกายอาจมีอาการแย่ลงได้
  • หญิงที่ตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทานบีทรูทในปริมาณมากหรือการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค เพราะยังไม่มีหลักฐานยืนยันความปลอดภัย
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำไม่ควรดื่มน้ำบีทรูทเป็นประจำ เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ความดันโลหิตลดต่ำลง
  • บีทรูทมีออกซาเลต (Oxalate) อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่อาจตกผลึกในปัสสาวะจนกลายเป็นก้อนนิ่ว ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในไต จึงควรดื่มน้ำบีทรูทด้วยความระมัดระวัง
  • บีทรูทมีสาร FODMAPs ในรูปของน้ำตาลฟรุกแทน (Fructan) ที่ช่วยให้แบคทีเรียในลำไส้เติบโต ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสียหรือความผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ในบางรายที่ร่างกายมีการตอบสนองไว เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน

ขอบคุณข้อมูลจาก pobpad.com


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 25,900.00 26,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,678.00 25,438.48 26,500.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,510.20 22,894.63 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,342.40 20,350.78 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 755.00 11,445.80 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 587.00 8,898.92 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,739.00 26,363.24 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 25/11/2563 

ราคาน้ํามันปตท
ปตท.
ราคาน้ํามันบางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75 21.75
แก๊สโซฮอล์ 91 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48 21.48
แก๊สโซฮอล์ E20 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24 20.24
แก๊สโซฮอล์ E85 17.94 17.94 17.94
เบนซิน 95 29.16 29.61 29.66 29.16 29.16
ดีเซล B7 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19 23.19
ดีเซล 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19 20.19
ดีเซล B20 19.94 19.94 19.94 19.94 19.94 19.94 19.94 19.94
ดีเซลพรีเมี่ยม 27.64 27.66 29.64 29.04 27.64
แก๊ส NGV 13.10 13.10 13.10
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า