ผู้ประกอบการอสังหาฯ ดิ้นรับปี 61 เผยกลยุทธ์-จับตลาดใหม่ เพิ่มยอดขาย
ในปีที่ผ่านมาจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้หลาย ๆ บริษัทผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องทำการบ้านกันอย่างหนักหน่วงเพื่อให้โครงการขายได้ แม้ว่าในช่วงปลายปีกำลังซื้อจะเริ่มกลับมาและตลาดมีการเติบโตเพิ่มขึ้น แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่มีปัจจัยท้าทายบริษัทผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายด้านเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นภาพหลายๆ บริษัท เตรียมวางกลยุทธ์แก้เกมเพื่อแข่งขันกันตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
จับตลาดใหม่-รุกต่างประเทศ
ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ที่เดินหน้าบุกตลาดคอนโดฯ ไฮเอนท์และต่างชาติ
กลยุทธ์หนึ่งที่เห็นได้จากผู้ประกอบการหลาย ๆ บริษัท คือ การเจาะกลุ่มตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจหลังจากที่ตลาดเดิม ๆ มีภาวะซบเซา หรือมีผู้เล่นเป็นจำนวนมากแล้ว อาทิ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งเป้าจะเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยจะเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีจับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และชาวต่างชาติ โครงการแนวราบพัฒนาในรูปแบบทาวน์โฮม และโครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise เพื่อปรับตัวรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น ด้วยการขยายสินค้าไปในทุกสินค้า ทุกระดับราคา สร้างความยืดหยุ่นและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
เช่นเดียวกับ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) ที่วางแผนว่าในปี 2561 จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์หนึ่งคือการเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ อาทิ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการวางแผนทำการตลาดในระดับ International เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน
แข่งขันด้วยนวัตกรรมที่อยู่อาศัย
เสนาดีเวลลอปเม้นท์ บุกพัฒนาแผงโซลาเซลล์มากขึ้นกว่าเดิม
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุค 4.0 ที่เปลี่ยนไป อาทิ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่วางแผนเปิดตัวโครงใหม่ 18 โครงการ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท เตรียมตอกย้ำภาพผู้นำด้านพลังงานทดแทนหลังจากที่ผ่านมาได้นำพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์มาติดตั้งในโครงการซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง โดยต่อยอดรับนวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ตั้งเป้าเป็น “The First EV ready” จับกลุ่มลูกค้าบ้าน Segment 5-10 ล้านบาทเจ้าแรกของไทย นำร่อง 2 โครงการ ประกอบด้วย เสนา พาร์คแกรนด์ รามอินทรา-วงแหวน และเสนา พาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน
ขณะที่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 18 โครงการ มูลค่ารวม 36,300 ล้านบาท จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยมากขึ้นด้วยระบบ PRO License Plate เทคโนโลยีกล้องสแกนป้ายทะเบียนรถ Visitor ทุกคันที่เข้า-ออก โครงการ สามารถตรวจสอบวัน เวลา และสถานที่ปลายทาง ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และระบบ Face Detection ระบบกล้องตรวจจับใบหน้า ใช้สำหรับคนงาน ที่เข้า-ออกภายในโครงการ โดยระบบสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมตรวจสอบบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นคนงาน ทำให้ลูกบ้านมั่นใจได้ ถึงความปลอดภัยภายในโครงการ
ปิดท้ายด้วย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งปีนี้จะวางแผนจะเปิดโครงการใหม่ 35 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท จะนำระบบ Home automation ระบบ Home security เข้ามาใช้ในโครงการ รวมทั้งยังเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แต่ละบริษัทเริ่มปรับเปลี่ยนจากการใช้โปรโมชั่นเข้าห้ำหั่นกันเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมให้บริการดีขึ้น รวมทั้งการขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และได้รับผลประโยชน์ในท้ายที่สุด
https://www.ddproperty.com
ดีเดย์ 1 ก.พ.นี้ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ขยายเวลาเปิดเร็วขึ้น เป็น 05.30 น.
รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ขยายเวลาเปิดบริการให้เร็วขึ้นกว่าเดิม จาก 06.00 น. เป็น 05.30 น.เพื่อให้สามารถรองรับการใช้บริการของผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น เริ่ม 1 กุมภาพันธ์ 2561
นายวิสุทธิ์ จันมณี กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า เนื่องจากในปัจจุบันสถิติผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในวันจันทร์ – วันศุกร์ มีผู้ใช้บริการสูงถึงประมาณ 70,000 – 80,000 คนต่อวัน ส่วนในวันหยุด (วันเสาร์-วันอาทิตย์) มีผู้ใช้บริการประมาณ 50,000 คนต่อวัน
ซึ่งคณะกรรมการบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวก และรองรับจำนวนผู้โดยสารที่มีเป็นจำนวนมากดังกล่าว จึงมีนโยบายในการขยายเวลาเปิดให้บริการรถไฟฟ้าให้เร็วขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเมื่อครั้งที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของบริษัท
ดังนั้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไป บริษัทจะขยายเวลาเปิดบริการให้เร็วขึ้นกว่าเดิมจากที่เปิดให้บริการเวลา 06.00 – 24.00 น. เป็น 05.30 – 24.00 น.
เพื่อให้สามารถอำนวยความสะดวก และรองรับกับความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จากการเปิดบริการเร็วขึ้น จะทำให้มีรถไฟฟ้าให้บริการเพิ่มในวันจันทร์ – วันศุกร์ จำนวน 5 เที่ยว และในวันหยุด (วันเสาร์ – วันอาทิตย์) จำนวน 3 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 750 คนต่อเที่ยว
นอกจากนั้นยังทำให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากเที่ยวบินที่มาส่งยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในช่วง 03.00 – 05.00 น. ได้ถึงประมาณ 14 เที่ยวบิน โดยในช่วงขยายเวลาเปิดให้บริการนั้น ผู้โดยสารสามารถชื้อเหรียญโดยสารได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (TVM) หรือใช้บัตรสมาร์ทพาสทุกประเภทเท่านั้น
http://www.bkkcitismart.com
ก.วิทย์ผุดย่านนวัตกรรมทั่วปท.ดันสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก
ก.วิทย์เร่งสร้างอีโคซิสเต็มผลักดันกรุงเทพฯ เมืองแห่งการเริ่มต้นสตาร์ทอัพพร้อมดึงซีพี เบทาโกร ปูนซิเมนต์ไทย และปตท.หนุนสตาร์ทอัพไทยก้าวสู่เวทีโลก ตามเป้าหมายไทยแลนด์ 4.0
เคเอ็กซ์ ( มจธ.) ,ทรู อินคิวบ์ , วีโคซิสเต็ม ตัวอย่างของอีโคซิสเต็มที่ช่วยผลักดันกรุงเทพฯ เมืองแห่งการเริ่มต้นสตาร์ทอัพ เล็งขยายย่านนวัตกรรมในแนวระเบียงเคเอ็กซ์ ( มจธ.) ,ทรู อินคิวบ์ , วีโคซิสเต็ม ตัวอย่างของอีโคซิสเต็มที่ช่วยผลักดันกรุงเทพฯ เมืองแห่งการเริ่มต้นสตาร์ทอัพ เล็งขยายย่านนวัตกรรมในแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก -ภูมิภาคทั่วประเทศพร้อมดึงซีพี เบทาโกร ปูนซิเมนต์ไทย และปตท.หนุนสตาร์ทอัพไทยก้าวสู่เวทีโลก ตามเป้าหมายไทยแลนด์ 4.0
2 ปีของการพัฒนาสตาร์ทอัพ ในฐานะนักรบใหม่ทางเศรษฐกิจที่จะสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเป็นตัวจักรสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยให้ก้าวพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางปัจจุบันมีจำนวนสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วงพัฒนาแนวคิดกว่า 8 พันราย สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเริ่มดำเนินธุรกิจจริงกว่า 1.5 พันราย ทำให้เกิดการจ้างงานใหม่ในธุรกิจสตาร์ทอัพไม่น้อยกว่า 7.5 พันอัตราหรือมากกว่า 4 หมื่นคน
จูงใจธุรกิจสตาร์ทอัพ
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 150% โดยเฉพาะในภาคเอกชนที่หันมาจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยมีมูลค่ากองทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่เฉพาะปีที่ผ่านมา สูงถึงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการสนับสนุนภาครัฐอาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ การยกเว้นภาษี 8 ปีสำหรับโคเวิร์คกิ้งสเปซ การจูงใจให้เกิดกิจการร่วมลงทุน (VC) ขึ้นในประเทศไทย ด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกิจการร่วมลงทุน เป็นเวลา 10 ปี
สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ในปีนี้จะเป็นการต่อจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของประเทศโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.)จะพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ และการพัฒนาสตาร์ทอัพต้องขยายพื้นที่ออกไปสู่ภูมิภาคเพื่อพัฒนาย่านนวัตกรรม 27 แห่งทั่วประเทศ ร่วมกับทุกภาคส่วน ให้เป็นพื้นที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มีโอกาสเติบโต และใช้ศักยภาพของแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน ในการสร้างธุรกิจที่สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด เริ่มจากการผลักดันให้กรุงเทพฯ เมืองแห่งการเริ่มต้นสตาร์ทอัพ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนสร้างระบบนิเวศรองรับการเติบโตของสตาร์ทอัพโดยย่านนวัตกรรมกรุงเทพฯ ได้แก่ โยธี ปทุมวัน คลองสาน รัตนโกสินทร์ กล้วยน้ำไท ลาดกระบัง ปุณณวิถีและบางซื่อ เพื่อเป็นศูนย์กลางพื้นที่นวัตกรรมธุรกิจคนรุ่นใหม่
จากการสำรวจที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ของเมืองที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพในเอเชีย และเป็นอันดับ 7 ของโลก แซงฮ่องกงและสิงคโปร์ที่ถือว่าเป็นสถานที่อันดับต้นที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นธุรกิจ และมีความสามารถในการแข่งขันสูง เนื่องจากตัวเลขของการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสนใจในกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน เหมาะสมสำหรับการผลักดันธุรกิจดังกล่าวสู่ภูมิภาคอาเซียน จากนั้นจะขยายไปสู่ย่านนวัตกรรมในแนวระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก 4 ย่าน ได้แก่ บางแสน ศรีราชา พัทยา อู่ตะเภา-บ้านฉาง ก่อนจะขยายไปสู่
กลุ่มเครือข่ายย่านนวัตกรรมภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ตและฉะเชิงเทรา หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาย่านนวัตกรรมบางพื้นที่ ทั้งมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการ รวมทั้งร่วมมือกับภาคเอกชนไทยรายใหญ่ จำนวน 10 ราย อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เบทาโกร ปูนซิเมนต์ไทย ปตท. ฯลฯ ร่วมขับเคลื่อนสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก
มุ่งเป้าอสังหาฯและสมาร์ทซิตี้
นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับสมาคมอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ และบริษัทพัฒนาเมืองชั้นนำ 9 จังหวัด พัฒนาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์และเมือง เนื่องจากมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศที่มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากมาย อาทิ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทพัฒนาเมือง, ธนาคาร, ผู้ประกอบการ, ผู้รับเหมา, ผู้ค้าวัสดุ, ที่ปรึกษาต่างๆ มีมูลค่า 4.5-5 แสนล้านต่อปี นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิสาหกิจเริ่มต้นตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนานวัตกรรมเชิงพื้นที่ ในการยกระดับศักยภาพทางนวัตกรรมในระดับย่านนวัตกรรม เพื่อยกระดับโลคัล อีโคโนมีด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ นวัตกรรม
พร้อมกันนี้ได้ขยายโอกาสการเข้าสู่สตาร์ทอัพในกลุ่มนักเรียนอาชีวะ มุ่งผลักดันการสร้างวิธีคิด การสร้างทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อสร้างนักรบใหม่ทางเศรษฐกิจ ด้วยการจัด ไทยแลนด์ พิทชิง ชาเลนจ์ “อาชีวะ R-League” ในลักษณะเดียวกับมหาวิทยาลัย กำหนด 1 พันทีมตั้งต้น จัดประกวด 3 รอบ คัดให้เหลือ50 ทีมสุดท้าย เพื่อเข้าค่ายอบรม เสริมสร้างความรู้ด้านการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบ่มเพาะการก้าวเป็นสตาร์ทอัพรายใหม่ จากนั้นแข่งขันคัดเหลือ 10 ทีมสุดท้ายเข้าร่วม ในงาน สตาร์ทอัพ ไทยแลนด์ 2018 พร้อมทั้งเร่งพัฒนาระบบบ่มสตาร์ทอัพให้มีความสามารถในการขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศ ในรายสาขาที่มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ สุขภาพ ภาครัฐ เกษตร อาหาร และท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
http://www.bangkokbiznews.com
คลังเตรียมชงครม.ออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการ
“รมว.คลัง” เตรียมเสนอ ครม. ออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการหลังปรับขึ้นค่าแรง ชี้นำรายจ่ายจากการขึ้นค่าแรงลดหย่อนภาษี 1.15 เท่า
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ดังนั้นการจะปรับขึ้นค่าแรงจึงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ แต่กระทรวงการคลัง เตรียมออกมาตรการภาษี ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีภาระต้นทุนด้านค่าแรงมากขึ้น ด้วยการให้นำค่าใช้จ่ายจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งหมดมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.15 เท่า สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 100 ล้านบาท ในรอบเดือน เม.ย.-ธ.ค.2561 ซึ่งจะสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการได้ 9-10 บาท ซึ่งเหมาะสมกับค่าแรงที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5-22 บาท โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาภายในสัปดาห์หน้า
ขณะที่การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยระยะที่ 2 นั้น ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเปิดให้ AO (Account officer) หมอประชารัฐสุขใจ ที่จะเป็นเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจความต้องการของประชาชนที่มาลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ซึ่งจะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ธนาคาร และ นักศึกษาบางส่วน ว่ากลุ่มดังกล่าวต้องการทำอาชีพอะไร อยากพัฒนาอะไรบ้าง รวมถึงบางส่วนอาจมีความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งในเบื้องต้นจะอบรมเจ้าหน้าที่ และใช้ระยะเวลา 3 เดือน เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป และหลังจากนั้นจะเปิดให้ประชาชนที่ต้องการพัฒนาอาชีพเข้ามาลงทะเบียนได้ต่อไป
โดยผู้ที่มาลงทะเบียน และพัฒนาทักษะอาชีพนั้น ก็จะให้สิทธิประโยชน์โดยเพิ่มวงเงินในสวัสดิการ จาก 200 บาท เป็น 500 บาท และ 300 บาท เพิ่มเป็น 400 บาท โดยหวังว่าการดำเนินการดังกล่ายจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อย ณ สิ้นปี 2561 ลดลง 25% จาก 11.4 ล้านราย
http://www.bangkokbiznews.com
กิน “กล้วย-อะโวคาโด” ลดเสี่ยง “หัวใจวาย-โรคหลอดเลือดสมอง”
ผลการศึกษาล่าสุด พบว่า กล้วย และอะโวคาโด สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกับอาการหัวใจวายได้ เมื่อทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Alabama at Birmingham ในสหรัฐอเมริกา พบความเชื่อมโยงระหว่างแร่ธาตุโปแตสเซียมกับหลอดเลือดแดง
โดยทีมวิจัยทำการทดลองกับหนูด้วยการให้อาหารที่มีไขมันสูง และให้โปแตสเซียมในปริมาณที่แตกต่างกันไล่จากน้อยไปหามาก ผลปรากฏว่า หนูทอดลองที่ได้รับโปแตสเซียมในปริมาณน้อยมีเส้นเลือดที่ค่อนข้างอุดตัน ขณะที่หนูที่ได้รับโปแตสเซียมในปริมาณมากกลับมีการไหลเวียนโลหิตได้ดีกว่า
ทั้งนี้ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจก็เสื่อมสภาพตามอายุไปด้วย จึงทำให้มีโอกาสเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่อาการหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
อย่างไรก็ตาม หากได้รับแร่ธาตุโปแต สเซียมในปริมาณที่เหมาะสมหรือเพียงพอ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ลงได้ ซึ่งซึ่งกล้วย และอะโวคาโด ล้วนเป็นผลไม้อุดมไปด้วยโปแตสเซียมในปริมาณสูง
แม้ว่าทีมวิจัยยังไม่แน่ใจว่าการทดลองนี้จะได้ประสิทธิผลแบบเดียวกันกับมนุษย์หรือไม่ แต่ปริมาณโปแตสเซียมถือว่าสัมพันธ์กับหลายโรค อาทิ ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง, เบาหวาน และโรคไตเรื้อรัง ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้
https://www.sanook.com
ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 26/1/2561
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง
|
ราคารับซื้อต่อกรัม
|
ราคารับซื้อ/บาท
|
ราคาขายออก/บาท
|
ทองคำแท่ง 96.5% |
n/a |
20,050.00 |
20,150.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% |
1,299.00 |
19,692.84 |
20,650.00 |
ทองรูปพรรณ 90% |
1,169.10 |
17,723.56 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 50% |
585.00 |
8,868.60 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 40% |
455.00 |
6,897.80 |
n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% |
1,346.00 |
20,405.36 |
n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวันที่ 26/1/2561
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ปตท
PTT |
บางจาก
BCP |
เชลล์
Shell |
เอสโซ่
Esso |
คาลเท็กซ์
Caltex |
ไออาร์พีซี
IRPC |
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG |
ซัสโก้
Susco |
ระยองเพียว
Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers |
แก๊สโซฮอล 95 |
28.45 |
28.45 |
– |
27.95 |
28.45 |
28.45 |
28.45
|
28.45
|
28.45
|
28.45
|
แก๊สโซฮอล E-20 |
25.94
|
25.94
|
25.94
|
25.44
|
25.94
|
– |
25.94
|
25.94
|
25.94
|
25.94
|
แก๊สโซฮอล E-85 |
20.94 |
20.94 |
– |
– |
– |
– |
– |
20.94 |
20.94 |
– |
แก๊สโซฮอล 91 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
28.18 |
เบนซิน 95 |
35.56 |
– |
– |
– |
36.01 |
– |
36.06 |
35.56 |
35.06 |
35.56 |
ดีเซลหมุนเร็ว |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
27.59 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม |
30.59 |
30.59 |
30.59 |
30.59 |
30.59 |
– |
– |
– |
– |
– |
มีผลตั้งแต่ |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |
18 Jan 05:00 |