สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 27 ธันวาคม 2560

แสนสิริชูเอสเคป ‘เพิ่มมูลค่า’ ธุรกิจอสังหาฯ

มิติการแข่งขันด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเจาะตลาดบน การพัฒนาบริการที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าผ่านการ “ลงทุนโรงแรม” เพื่อเปิดโอกาสให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีมาตรฐานร่วมกัน

เป็นกลยุทธ์ที่ “แสนสิริ” เริ่มรุกต่อเนื่องมา 4 ปี ซึ่งนอกจากจะเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาฯ แล้ว ยังเริ่มสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง

อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตั้งแต่เปิดตัวธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เอสเคป” มาแล้ว 4 ปี (2557-2560) มีการเติบโตถึง 66% หรือรวมกว่า 340 ล้านบาท ปัจจุบันมีโรงแรม 2 แห่งที่หัวหินและเขาใหญ่ ซึ่งใช้งบลงทุนรวมไปกว่า 700 ล้านบาท

ในปี 2560 คาดว่าจะมีรายได้เข้ามากว่า 100 ล้านบาท อัตราเข้าพักเฉลี่ยตลอดปีสูงราว 70% เฉพาะช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ มีการจองเข้ามาแล้วสูงกว่า 90% โดยเฉพาะ “เขาใหญ่” ซึ่งสร้างชื่อในตลาดคนไทยและเป็นตลาดหลักกว่า 98% ในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะที่หัวหินในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี มีตลาดคนไทยราว 80% และต่างชาติอยู่ที่ 20%

“ที่ผ่านมาลูกค้าคนไทยยังเป็นสัดส่วนหลักของโรงแรมทั้ง 2 แห่ง แต่ต่อไปคาดว่าตลาดต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการไปร่วมออกโรดโชว์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เข้าไปยังทุกแห่ง และเอสเคปเริ่มมีสัดส่วนตลาดนี้เพิ่มขึ้น”

แม้ว่าที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ของโรงแรมเอสเคปเทียบกับรายได้ทั้งเครือจะน้อยมาก คิดเป็นสัดส่วนราว 0.03% แต่ตำแหน่งการตลาดที่ตั้งไว้จะไปสร้างมูลค่าได้ดีกว่าในแง่ของการส่งเสริมแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในเครือแสนสิริ เนื่องจากทุกโครงการของโรงแรม ตั้งเป้าหมายให้เข้าไป “เสริม” กับโครงการอสังหาฯ ที่มีอยู่ และเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ซื้อโครงการเข้ามาใช้บริการในโรงแรมได้ เป็นการยกระดับประสบการณ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง

ในอนาคตหากมีเป้าหมายการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในทำเลที่สามารถทำตลาดการท่องเที่ยวได้ เช่น พัทยา ระยอง ซึ่งกำลังมีศักยภาพจากการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี), ภูเก็ตและเชียงใหม่ ก็อาจจะมีโอกาสขยายเพิ่มเติมใน 3 ปีต่อไปนี้เช่นกัน แต่ในระยะสั้นปี 2561 จะยังไม่มีโรงแรมใหม่เพิ่มเติม แต่จะมุ่งสร้างรายได้เข้า 2 โรงแรมที่มีอยู่ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 7%

ทั้งนี้ การขายห้องพักผ่านออนไลน์ ทราเวล เอเยนต์ (โอทีเอ) ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนราว 60-70% เป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูงขึ้นจากที่อยู่ราว 40% ในปีก่อน และในปี 2561 ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 70%

ปัจจุบันการขายผ่านเว็บไซต์บุคกิ้งดอทคอม ครองส่วนแบ่งสูงสุด คืออยู่ที่ 44% สำหรับโรงแรมที่หัวหิน แต่โรงแรมที่เขาใหญ่ ขายผ่านอโกด้าสูงสุดราว 53% ขณะที่การจองตรงผ่านเว็บไซต์ (Direct Booking) อยู่ที่ราว 5-6% และมีแผนจะเพิ่มรายได้ส่วนนี้มากขึ้น ด้วยการนำเสนอราคาพิเศษแบบ Hot Deal Promotion ต่อเนื่อง รวมถึงปูพรมการตลาดดิจิทัล และใช้บุคคลที่มีอิทธิพลมาช่วยสร้างแรงจูงใจ (Online Influencer Engagement)

ตลาดใหญ่อีกประเภทคือ กรุ๊ปประชุมสัมมนา ครองส่วนแบ่งราว 20% ที่เหลือเป็นการจองผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น การเข้าร่วมงานไทยเที่ยวไทย ที่ไปร่วมออกบูธและมียอดขายราว 8 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด

อุทัย กล่าวด้วยว่ามั่นใจแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีหน้าจะยังดีต่อเนื่อง รวมถึงยังอยู่ในเกณฑ์สดใส เพราะสำหรับเศรษฐกิจไทย หาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ท่องเที่ยว, เกษตร และส่งออก ขับเคลื่อนได้ดี ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจดี และต่อเนื่องมายังธุรกิจอสังหาฯ ในภาพรวมเติบโตตามไปด้วย

“ปลายปีนี้ ช่วงไตรมาส 3-4 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จีดีพีเติบโตได้ระดับ 3.7% หรือ 3.8% ปกติแล้วถ้าเศรษฐกิจขยายตัวแล้ว ใช้เวลาราว 3-6 เดือน ธุรกิจอสังหาฯ จะเติบโตตามขึ้นมา และจะขยายตัวมากกว่าภาพรวมการเติบโตเศรษฐกิจ 2 เท่าเสมอ” 

แต่ในทางกลับกัน หากได้รับผลกระทบ ก็จะลดลงกว่า 2 เท่าทันทีเช่นกัน ดังนั้นมองว่าสัญญาณเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปีนี้  ช่วงต้นปีหน้าจะเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดี รวมถึงกลุ่มโรงแรมที่มีตลาดต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะยังไม่มีแผนการลงทุนโรงแรมใหม่ในปีหน้า แต่ตั้งเป้าขยายโรงแรมที่หัวหิน ด้วยการเพิ่ม “พูลวิลล่า” อีก 2 ยูนิต ใช้งบประมาณยูนิตละ 5-7 ล้านบาท นอกจากนั้นเพื่อเจาะตลาดเอเชียเพิ่มเติม ร่วมมือกับโอทีเอ ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ เช่น Alipay, WeChat Pay เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกกับลูกค้า

ด้านมาตรการยกเว้นภาษีจากการท่องเที่ยวที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติล่าสุด สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน 55 จังหวัดทั่วประเทศนั้น แม้ว่าจะไม่มีหลายพื้นที่รวมถึง หัวหินและเขาใหญ่ด้วยนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่า แม้พื้นที่ๆ ไม่ได้รับลดหย่อนโดยตรง แต่ก็จะได้ประโยชน์ทางอ้อม เพราะคนเดินทางส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพฯ ซึ่งหากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแล้ว ก็จะมีกำลังซื้อสะสมไว้สำหรับการเดินทางไปเที่ยวที่อื่นๆ เพิ่มเติมเช่นกัน

อุทัย กล่าวด้วยว่านอกจากการลงทุนโรงแรมในแบรนด์เอสเคปแล้ว แสนสิริยังเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจโรงแรมชั้นนำคือ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา  โดยมีแบรนด์หลัก เดอะ สแตนดาร์ด (The Standard) ธุรกิจบูติกโฮเทล ซึ่งตามกลยุทธ์ของเดอะ สแตนดาร์ด ตั้งเป้าขยายการรับบริหารในภูมิภาคเอเชีย รวมถึง “ไทย” เพิ่มเติม จากปัจจุบันตลาดหลักอยู่ที่อเมริกา และกำลังจะขยายสาขาที่ลอนดอน

ทั้งนี้ แสนสิริ จะรับรู้รายได้ผ่านการลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้น ซึ่งการดำเนินธุรกิจของเอสเคป จะอยู่ภายใต้แสนสิริเอง ซึ่งมีโครงสร้างแยกจากเชนโรงแรมดังกล่าว และมีตำแหน่งการตลาดคนละแบบ เนื่องจาก เดอะ สแตนดาร์ด เน้นความเป็น 5 ดาวตลาดบน ราคาห้องพักในอเมริกาสูงถึงราว 350 ดอลลาร์ (1.1 หมื่นบาท) ต่อคืน แต่สำหรับเอสเคป เน้นความเป็นบูติค ด้วยจำนวนห้องพักไม่มาก ราว 50 ห้อง ราคาเฉลี่ยที่ราว 2,500 บาทเท่านั้น

http://www.bangkokbiznews.com


‘คอนโด’ปีหน้าเปิด 5.6 หมื่นยูนิต

ตลาดอสังหาฯปีหน้า “คอนโด”แห่เปิด 5.6 หมื่นยูนิต “รายใหญ่”ลุยลงทุนต่อเนื่องเกาะแนวรถไฟฟ้า-เมืองชั้นใน ชี้ราคาที่ดินพุ่งฉุด“แนวราบ”ชะลอตัว พื้นที่สำนักงานเพิ่ม 7.5 แสนตร.ม.ปี2564 จับตา“จีน”รุกลงทุน 2 หมื่นล้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี2560 ค่อนข้างคึกคัก ทั้งการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีมากกว่า 5.6 หมื่นยูนิต สูงสุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่ปีนี้ประกาศออกมาอีกหลายราย รวมไปถึงการเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนสุดท้ายของปีนี้

นายสุรเชษฐ กองชีพ ผู้เชี่ยวชาญตลาดอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าตลาดอสังหาฯ ปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจปีหน้าเติบโต จากการส่งออกและท่องเที่ยวดีขึ้นกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2560 ขณะที่การท่องเที่ยวยังดีต่อเนื่องมาตลอดจากจำนวนชาวต่างชาติเดินทางเข้ามามากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยหลัก มีแนวโน้มเป็นบวกในปี 2561 ประกอบกับการลงทุนภาครัฐที่ยังมีต่อเนื่อง  ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนเริ่มมีมากขึ้น  ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตา เช่น ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง  ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในระยะยาว เป็นต้น

คอนโดคึกคัก5.6หมื่นยูนิต

สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยปี 2561  มองว่า คอนโดมิเนียม มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังปี 2560  โดยผู้ประกอบการหลายรายยังมีแผนลงทุนเปิดโครงการใหม่เพื่อรักษาการเติบโตในระดับเดียวกับปีนี้ หรือสูงกว่า  โดยเฉพาะรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ คาดว่าคอนโดเปิดขายใหม่ปี 2561 จำนวนยูนิตจะใกล้เคียงกับปีนี้ คือประมาณ 5.6 หมื่นยูนิต

ประเมินอัตราการขายเฉลี่ยของโครงการเปิดขายใหม่อยู่ที่ 65-70% มากกว่าปี 2560 ประมาณ 7-8%

“คอนโดเปิดใหม่ปีหน้า อาจจะลดลงหรือมากกว่านี้ ต้องดูเรื่องของกำลังซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์ประกอบ เพราะถ้าโครงการที่สร้างเสร็จในปี 2561 แล้วมีคนไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในจำนวนที่ไม่ได้แตกต่างจากปี 2560 ทั้งเรื่องการขอสินเชื่อธนาคารไม่ผ่านและการไม่อยากโอนกรรมสิทธิ์ ก็จะมีผลต่อผู้ประกอบการเช่นกัน”

ทำเลรถไฟฟ้า-เมืองชั้นใน“ฮิต”

อย่างไรก็ตามตลาดคอนโดยังโปรดักท์ที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างและที่จะเริ่มการก่อสร้าง เพราะผู้ประกอบการยังต้องการพัฒนาโครงการที่สามารถเข้าถึงผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่มีกำลังซื้อไม่เกิน 3-4 ล้านบาทต่อยูนิต  ทั้งนี้ ทำเลเกาะแนวรถไฟฟ้าที่จะมีการเปิดตัวคอนโดใหม่จำนวนมากในปีหน้า คือ สายสีส้ม ,ชมพู และเหลือง

นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังให้ความสำคัญกับโครงการราคาสูงในพื้นที่ “เมืองชั้นใน” เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้หลากหลาย ในกลุ่มนักลงทุนและตลาดต่างประเทศ ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าปีนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่รุกทำตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้ เนื่องจากราคาที่ดินเมืองชั้นใน หรือย่านใจกกลางธุรกิจ (ซีบีดี) ปรับขึ้นสูง ทำให้ราคาคอนโดในกลุ่มลักซัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี ปรับเพิ่มขึ้นตาม ปี 2561 ราคาในย่านซีบีดี จะเริ่มต้นที่ 3-3.5 แสนบาทต่อตร.ม. ขณะที่ปีนี้ยังมีบางทำเลที่เริ่มที่เกือบ 3 แสนบาทต่อตร.ม.

ที่ดินพุ่งฉุดแนวราบชะลอตัว

นายสุรเชษฐ กล่าวว่าสำหรับทิศทางที่อยู่อาศัยแนวราบ ปี 2561  มองว่ากลุ่มบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ อาจจะลดลงเพราะราคาที่ดินที่สูงขึ้น  โดยเฉลี่ยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเปิดใหม่เฉลี่ยปีละ 2 หมื่นยูนิต ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาจำนวนลดลงราว 5-10%   เช่นเดียวกับปีนี้และทิศทางปีหน้า  ส่วนใหญ่โครงการจะอยู่ในทำเลห่างจากพื้นที่เขตเมืองที่ราคาที่ดินปรับขึ้นไม่สูงมาก

ทั้งนี้ ราคาที่ดินปรับขึ้นทุกปี อัตราเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่  8.2% ต่อปี  ขณะที่กรุงเทพฯ ปรับสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่า คือ 15% ขึ้นไปในหลายทำเล และบางทำเลมากกว่า 40%  จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า

“เส้นทางรถไฟฟ้าเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมายาวนานหลายปี หลายแปลงซื้อขายกันที่เกือบ 2 ล้านบาทต่อตร.ว.ไปแล้ว”

จากทิศทางราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับขึ้นตามไปด้วย โดยราคาคอนโดปรับขึ้นต่อปีที่ไปในทางเดียวกันกับราคาที่ดิน เพราะเป็นรูปแบบโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวที่สามารถพัฒนาบนที่ดินที่มีราคาสูงได้ง่ายที่สุด

ขณะที่ราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินปรับเพิ่มขึ้น 3.9% ต่อปี ,ทาวน์เฮ้าส์พร้อมที่ดินปรับเพิ่มขึ้น 5.2% ต่อปี ส่วนราคาคอนโดปรับเพิ่มขึ้น 7.3% ต่อปี

พื้นที่สำนักงานเพิ่ม 7.5แสนตร.ม.

นายสุรเชษฐ กล่าวว่าสำหรับโครงการอสังหาฯ รูปแบบอื่นๆ ปีหน้ายังขยายตัวตามภาวะตลาด คือ อาคารสำนักงาน ที่ในช่วง 1-2 ปีนับจากปี 2561 เป็นต้นไปยังคงขยายตัว จากความต้องการพื้นที่สำนักงาน แต่หลังจากนั้นเมื่อมีอาคารสำนักงานใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดโดยคาดว่าจะมีพื้นที่รวมมากกว่า 7.5 แสนตร.ม.ในปี 2564  เมื่อถึงช่วงดังกล่าวจะต้องดูความต้องการพื้นที่อีกครั้งว่ามีทิศทางอย่างไร

ทางด้านพื้นที่ค้าปลีก อาจประสบกับปัญหาที่ชัดเจนกว่าโครงการรูปแบบอื่นๆ เพราะผู้เช่าประสบกับปัญหาเรื่องรายได้ลดลง ทั้งจากการขยายตัวของตลาดออนไลน์ รวมทั้งคนไทยใช้จ่ายเงินลดลงในช่วงที่ผ่านมา

“การขยายตัวของโครงการค้าปลีกอาจจะอยู่ในภาวะชะลอตัวกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ยกเว้นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่ยังคงเดินหน้าต่อไปตามเดิม”

นอกจากนี้ในปี 2561 จะมีการร่วมทุนหรือว่าการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง แต่จะมีสัดส่วนของนักลงทุนจากจีนมากขึ้น หรืออาจจะมีมากถึง 2 หมื่นล้านบาทในปีหน้า จากก่อนหน้านี้มีสัดส่วนไม่มากนักในตลาดอสังหาฯ ไทย

“การลงทุนที่อยู่อาศัยยังเป็นตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่เช่นที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย เริ่มหาช่องทางในการสร้างรายได้จากโครงการรูปแบบอื่นมากขึ้น”

http://www.bangkokbiznews.com


ม.หอการค้า คาดปีใหม่คนไทยใช้จ่ายสูงในรอบ 13 ปี

ม.หอการค้า คาดปีใหม่ใช้จ่ายสูงในรอบ 13 ปี กว่า 1.59 แสนล้าน ทำบุญ ท่องเที่ยว สังสรรค์

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยสำรวจวันที่ 11-20 ธันวาคม 2560 จำนวน 1,213 ตัวอย่างทั่วประเทศ คาดว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 บรรยากาศจะคึกคักอย่างมาก สูงสุดในรอบ 13 ปี

เงินสะพัดกว่า 1.59 แสนล้าน ต่างจังหวัดใช้มากสุด
ประชาชนส่วนใหญ่ 38% ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปีใหม่เพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง โดยคาดการณ์ว่าทั่วประเทศจะมีเงินสะพัดรวม 132,050.09 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในการสำรวจตลอด 13 ปี และเพิ่มขึ้นจากช่วงปีใหม่ของปีที่ผ่านมา 2.1% โดยคนกรุงเทพฯ จะใช้จ่ายรวม 64,292.18 ล้านบาท ต่างจังหวัด 67,757.91 ล้านบาท ซึ่งพบว่า 97.4% วางแผนใช้จ่ายเพื่อตนเองและคนอื่น ส่วนแหล่งที่มาของเงินใช้จ่ายมาจาก เงินเดือน/รายได้ 52% โบนัส/รายได้พิเศษ 24.1% และเงินออม 23.1%
หากรวมค่าใช้จ่ายผ่านโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” และโครงการ “รวมใจ เพิ่มสุข ช้อปสนุก ลดรับปีใหม่” จะทำให้ปีใหม่ปีนี้มีเม็ดเงินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็น 159,632.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 150,067.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4%

ต่างจังหวัดเงินสะพัด

ต่างจังหวัดเงินสะพัด

ใช้จ่ายเพื่อทำบุญ ท่องเที่ยว สังสรรค์
พฤติกรรมการใช้จ่ายสำหรับตัวเองจะพบว่า 3 อันดับแรกที่ประชาชนจะนำเงินไปใช้จ่ายมากสุด คือ การทำบุญ รองลงมาคือ ท่องเที่ยว และจัดเลี้ยงสังสรรค์ ส่วนการใช้จ่ายเพื่อซื้อของขวัญให้ผู้อื่นนั้น พบว่า ของขวัญยอดนิยม 3 อันดับแรก คือ เงินสด/เช็คของขวัญ รองลงมาคือ การรับประทานอาหาร และกระเช้าของขวัญ

ด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยวของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 83.5% เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 13,960 บาท โดยท่องเที่ยวในจังหวัดภาคกลางสูงสุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ สถานที่ที่ประชาชนเลือกจะเดินทางไปมากสุดคือ ภูเขา รองลงมาคือ ทะเล น้ำตก และโบราณสถาน ขณะที่อีก 16.5% เลือกที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในแถบเอเชียสูงสุด รองลงมาคือ ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง มีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 60,135 บาท

อย่างไรก็ตาม จากการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดถึง 132,050.09 ล้านบาท และเมื่อรวมกับมาตรการส่งเสริมในโครงการต่าง ๆ จะสูงถึง 159,632.20 ล้านบาท แม้ว่าจะสูงกว่าปีก่อนหน้าไม่มากนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่มีการสำรวจมาในรอบ 13 ปี โดยจะได้เห็นภาพการซื้อสินค้าคงทน และสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าการจับจ่ายใช้สอยจะเริ่มกลับมาเป็นปกติในช่วงปลายไตรมาส 2 ของปี 2561 ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจในปี 2561 เติบโตได้ 4% ตามที่คาดการณ์

https://www.ddproperty.com


แบงก์รัฐจัดเต็ม!! แจกเงิน-ลดดอกเบี้ยให้ปชช.

“ครม.” ไฟเขียวธนาคารรัฐจัดเต็มของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งแจกเงิน ลดดอกเบี้ย ปล่อยเงินกู้ให้ผู้ที่มีรายได้น้อยซื้อบ้าน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม.สัญจร จังหวัดสุโขทัย เห็นชอบโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะจ่ายเงิน 1,000 บาท ให้กับลูกค้ารายย่อยที่มีประวัติผ่อนชำระดีย้อนหลัง 48 เดือน ซึ่งไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อนให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล มีวงเงินกู้รวมทุกบัญชีไม่เกิน 1 ล้านบาท และต้องจ่ายเงินในงวดเดือนธ.ค.60 ด้วย คาดว่า จะมีลูกค้าได้รับของขวัญรวม 165,107 ราย ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะคืนดอกเบี้ยให้ 30% ของจำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายในปี 61 สำหรับลูกค้าที่มีเงินกู้ไม่เกิน 3 แสนบาท คาดว่าจะครอบคลุมลูกค้าที่เป็นเกษตรกร 2.3 ล้านคน

ขณะเดียวกันยังมีของขวัญสำหรับคนอยากมีบ้าน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มประชาชนที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้มีรายได้น้อย มีวงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก โดยถ้ากู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.75% ต่อปี ส่วนกรณีกู้มากกว่า 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 3% ต่อปี ภายใต้วงเงินโครงการ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนกลุ่มบุคลากรภาครัฐ กู้ได้ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก อยู่ที่ 3% ภายใต้วงเงินโครงการ 3 หมื่นล้านบาท

ส่วนกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มประชาชนที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย และบุคลากรภาครัฐ ต้องมีภูมิลำเนา หรือมีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคนที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการภาครัฐ กู้ได้สูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนผู้มีรายได้น้อย และบุคลากรภาครัฐ กู้ได้สูงสุดไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก อยู่ที่ 2.5% ต่อปี มีวงเงินโครงการรวม 1,000 ล้านบาท

http://www.bangkokbiznews.com


5 เทรนด์การเงินที่น่าจับตามองในปี 2018

5 เทรนด์การเงินที่น่าจับตามองในปี 2018

ปี 2017 ที่กำลังจะล่วงเลย ไปแล้วก็จริง แต่ถึงกระนั้นเทรนด์ต่างๆ ของโลกการเงินกำลังจะเกิดขึ้น โดยในปี 2018 ยังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามอง และน่าสนใจมากๆ เนื่องจากโลกการเงินกำลังจะถูก ‘Disrupt’โดยเทคโนโลยี ทำให้สิ่งที่เราคุ้นเคยในวันนี้ อาจไม่มีอีกต่อไปแล้วในวันพรุ่งนี้
  • Digital Banking

db

ปีหน้า Digital Banking มาแน่

ข่าวการปิดตัวลงของสาขาธนาคารพาณิชย์ไทยกว่า 200 สาขา น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่า แวดวงธนาคารกำลังถูกรุกคืบอย่างหนักด้วยเทคโนโลยี เนื่องจากผู้คนในยุคปัจจุบันแทบไม่เหลือความจำเป็นในการเข้าไปใช้บริการสาขาของธนาคารน้อยลง

ทั้งหมดนี้ Digital Banking ที่อยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สามารถใช้งานฟังก์ชันธนาคารได้แบบเดียวกับการให้บริการของธนาคารสาขาได้อย่างไร้รอยต่อ กอปรกับผู้คนในยุคปัจจุบันมีความคุ้นชินกับการทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว นั่นจึงทำให้ธนาคารสาขาจะเป็นสิ่งที่แปลกหูแปลกตาในอนาคตอันใกล้

  • เกิดความร่วมมือระหว่างธนาคารและกลุ่มฟินเทค (FINTECH) มากขึ้น

fintech

ฟินเทคและธนาคารจะร่วมมือกันมากขึ้น

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘สตาร์ทอัป’ ไม่ได้ Disrupt วงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่สตาร์ทอัปยังสามารถ Disrupt วงการอื่นๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แวดวงการเงิน

การเกิดสตาร์ทอัปในกลุ่มแวดวงการเงินนั้น ถูกเรียกขานกันว่า ฟินเทค หรือย่อมาจากไฟแนนเชียล เทคโนโลยี ซึ่งหากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ฟินเทคนี่แหละ คือ สิ่งที่จะเข้ามาทำลายรากฐานเดิมของการธนาคารแบบที่เรารู้จักกันดี เนื่องจากสิ่งที่ธนาคารทั้งหมดทำได้ สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยฟินเทค อีกทั้งอัตราค่าบริการ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของฝั่งฟินเทค จะมีราคาค่างวดที่ถูกกว่ากันมาก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ‘จะรู้ตัว’ ว่าฟินเทค สามารถทำลายล้างรากฐานเดิมของธุรกิจธนาคารได้ เราจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นธุรกิจธนาคารเดิมเข้าไปถือหุ้น หรือให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มฟินเทค ซึ่งในท้ายที่สุดตรงนี้ก็อาจเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ลงตัวก็เป็นได้ เนื่องจากฝั่งธนาคารเองก็แสดงให้เห็นว่าปรับตัวเข้าหาโลกยุคดิจิทัลได้ทัน เช่นเดียวกันฝั่งฟินเทคเองก็จะได้รับความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ ที่มีพื้นฐานจากธุรกิจธนาคารดั้งเดิมเป็นคนการันตี

  • สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

cashlesssociety

เงินสดจะค่อยๆ หายไป

เชื่อว่าประเด็นนี้เป็นสิ่งที่นักช็อปชาวไทย เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นว่า สังคมไร้เงินสดเป็นแนวโน้มที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงมากขึ้นทุกๆ วัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟน หรือมีความเข้าใจเทคโนโลยีเป็นอย่างดีว่า สังคมไร้เงินสดกำลังจะมาเป็นเทรนด์หลักของการ ‘จับจ่ายใช้เงิน’ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ชอบการสั่งสินค้าออนไลน์ ที่จะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

พร้อมกันนี้การสนับสนุนของรัฐบาล ที่ผลักดันนโยบาย ‘PromptPay’ ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่า แม้แต่ภาครัฐบาลยังเล็งเห็นว่า สังคมไร้เงินสดเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน และน่าผลักดันให้เกิดขึ้นจริง

สำหรับหลายคนที่สงสัยว่า สังคมไร้เงินสดมันดีอย่างไร สามารถสรุปให้เข้าใจอย่างง่าย นั่นคือ การลดการใช้เงินสดจะส่งผลในด้านความสะดวกสบายของคนทั่วไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องพกพาเงินสดมากมาย อีกทั้งยังมีความปลอดภัยจากการถูกฉกชิงวิ่งราวซึ่งหน้า

นอกเหนือจากนี้ การงดใช้เงินสด ยังเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการต่อต้านคอร์รัปชันและการเลี่ยงภาษีได้เช่นกัน รวมถึงยังช่วยลดงบประมาณในการจัดพิมพ์ธนบัตร ซึ่งการจัดพิมพ์ธนบัตรสักครั้งหนึ่ง ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนไม่น้อย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศสนับสนุนการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เราไม่อาจมองแต่ด้านดีที่สวยงามได้เพียงอย่างเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว สังคมไร้เงินสดก็ยังมีข้อเสียที่ต้องระวังเช่นกัน นั่นคือการฉ้อโกง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง ต้องออกแบบการป้องกันเพื่อลดช่องโหว่ให้เกิดการฉ้อโกงน้อยที่สุด

  • Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัล อนาคตยังเป็นเครื่องหมายคำถาม

bitcoin

                                                                                                                บิตคอยน์ ยังอยู่ในกระแส

การที่สกุลเงินดิจิทัลยอดนิยมอย่างบิตคอยน์ ที่ในปี 2017 ทำสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเชื่อได้ว่าในปี 2018 บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลจะยังคงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีความสำคัญในแวดวงการเงิน

ทั้งนี้ตลาดฟิวเจอร์ส ในต่างประเทศเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ จะมีแนวโน้มถีบตัวสูงขึ้นต่อไป และจะยังคงมีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาระดมทุนซื้อบิตคอยน์ทั้งในส่วนที่เก็งกำไร และต้องการถือครองเพื่อดูทิศทางความเป็นไปในอนาคตของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลาย

อย่างไรก็ดี ในปี 2018 บิตคอยน์และทุกสกุลเงินดิจิทัล ก็จะถูกตั้งเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของ ‘ฟองสบู่’ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว เราก็คงไม่มีวันทราบหรอกครับว่า สกุลเงินดิจิทัลต้องมีมูลค่าเท่าใดถึงจะเรียกว่าฟองสบู่ เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัล เรามีข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์น้อยมากๆ เรียกว่าถ้าจะเข้าลงทุนสกุลเงินดิจิทัลในชั่วโมงนี้ นอกจากจะต้องมีเงินแล้ว ยังต้อง ‘ใจถึง’ อีกด้วย

  • แวดวงการเงินก็มี Machine Learning

machinelearning

                                                                                                             แวดวงการเงินก็มี Machine Learning

เทรนด์ที่น่าจับตามองอย่างสุดท้าย นั่นคือ เรื่องของ Machine Learning แน่นอนที่สุดถ้าหากคุณติดตามแวดวงเทคโนโลยี หรือสมาร์ทโฟน ก็คงทราบดีกันว่า สองแวดวงนี้มีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในปี 2017 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ แอปเปิล ซัมซุง และหัวเว่ย เริ่มมีการนำ Machine Learning บรรจุลงในสมาร์ทโฟนของตัวเอง

อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ Machine Learning ไม่ได้ถูกขังกรอบไว้เฉพาะโลกเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่กลับปรากฏตัวขึ้นในแวดวงการเงินอีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งนำ Machine Learning เข้ามาใช้ในการคำนวณ จัดสรร เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุนแก่นักลงทุน โดย Machine Learning จะประเมินจากเงื่อนไขและความพร้อมของนักลงทุนรายนั้นๆ จนสามารถสร้างการลงทุนที่เหมาะสมแก่นักลงทุนเป็นรายบุคคล

สรุป

ในปี 2018 ที่กำลังจะมาถึง เป็นปีที่สะท้อนให้เห็นว่า ดิจิทัลทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญในแวดวงการเงิน ทั้งจากโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ไปจนถึงผู้ใช้บริการเอง เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายธุรกิจธนาคารดั้งเดิม ก็ดูจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

https://money.sanook.com

ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 27/12/2560​

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,850.00 19,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,286.00 19,495.76 20,450.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,157.40 17,546.18 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 579.00 8,777.64 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 450.00 6,822.00 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,333.00 20,208.28 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  27/12/2560

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.25 28.25 28.25 28.25 28.25
28.25
28.25
28.25
28.25
แก๊สโซฮอล E-20
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
แก๊สโซฮอล E-85 20.84 20.84 20.84 20.84
แก๊สโซฮอล 91 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98 27.98
เบนซิน 95 35.36 35.81 35.86 35.36 35.36 35.36
ดีเซลหมุนเร็ว 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19 27.19
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.19 30.19 30.19 30.19 30.19
มีผลตั้งแต่ 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00 26 Dec 05:00

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า