สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560

ตลาดที่อยู่อาศัยปี61 ‘ไม่โอเวอร์ซัพพลาย’

ศูนย์ข้อมูลฯ ธอส. ประเมินอุปทานที่อยู่อาศัยปีหน้า  2.76 แสนหน่วย ย้ำ “ไม่โอเวอร์ซัพพลาย” ชี้อัตราดูดซับยังดี จากแนวโน้มจีดีพีปี61 โตเกิน 4%  คาด“คอนโด”กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเกือบ 8 หมื่นหน่วย พบทิศทางอสังหาฯ“รายใหญ่”ครองส่วนแบ่ง 72%  

ตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่อปีมูลค่า 8 แสนล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจเติบโต ในงานสัมมนาทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย “ส่องอสังหาฯ 2018” วานนี้ (24 พ.ย.)บรรดาผู้ประกอบการและศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. ร่วมกันประเมินสถานการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการแข่งขันปีหน้า

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่าจากตัวเลขคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าเติบโตเกิน 4%  ส่งผลต่อทิศทางตลาดอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยในปี 2561 จะกลับมาสดใสพอสมควร เมื่อเทียบกับปี 2559 ต่อเนื่องปี 2560 ที่มีมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ ทำให้ดึงดีมานด์ไปล่วงหน้า

ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ปี 2561 มีจำนวน  276,100 หน่วย  แบ่งเป็นแนวราบ 154,200 หน่วย  สัดส่วน 55.8% และอาคารชุด 121,900 หน่วย สัดส่วน 44.2%

โดยจำนวนหน่วยที่มีมากที่สุด  คือ อาคารชุด 44.1% , ทาวน์เฮ้าส์ 24.3% ,บ้านเดี่ยว 23.5%   บ้านแฝดและอาคารพาณิชย์ 8.1%   ด้วยจำนวนซัพพลายดังกล่าวยังไม่อยู่ในภาวะล้นตลาด (โอเวอร์ซัพพลาย) เนื่องจากตลาดยังมีอัตราการดูดซับดี

คอนโดกรุงเทพฯ 8หมื่นหน่วย

 จากตัวเลขคาดการณ์ซัพพลายปีหน้า ที่จำนวน  276,100 หน่วย ประเภท แนวราบ 154,200 ยูนิต  แบ่งเป็น กรุงเทพฯ และปริมณฑล 74,300 ยูนิต สัดส่วน 48.2%  ภูมิภาค จำนวน 79,900 ยูนิต สัดส่วน 51.8%

ส่วนอาคารชุด จำนวน 121,900 ยูนิต แบ่งเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑล 79,900 ยูนิต  และ ภูมิภาค 42,000 ยูนิต

สำหรับซัพพลาย เฉพาะพื้นที่ “กรุงเทพฯและปริมณฑล” ที่จำนวนหน่วย 154,200 หน่วย ประเภท หน่วยมากที่สุด คือ  คอนโด 51.2%, ทาวน์เฮ้าส์ 29.1% , บ้านเดี่ยว 13.6%  บ้านแฝดและอาคารพาณิชย์ 6.1%

ขณะที่ซัพพลายที่อยู่อาศัย“ภูมิภาค”ทั่วประเทศ จำนวน 121,900 หน่วย ประเภทหน่วยที่มีมากที่สุด คือ บ้านเดี่ยว 36.2%,คอนโด 34.5%,ทาวน์เฮ้าส์ 18.1%บ้านแฝดและอาคารพาณิชย์ 11.2

ภาวะการขายหรืออัตราการดูดซับตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปีหน้า คาดว่าจะใช้เวลาเฉลี่ย 15 เดือน หากแยกเป็นบ้านแนวราบ คาดว่าจะใช้เวลาดูดซับ 17 เดือน ซึ่งใช้เวลาน้อกว่าปกติที่เฉลี่ย 19 เดือน ส่วนตลาดคอนโด คาดว่าจะใช้เวลาดูดซับ 13 เดือน โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อยที่ 12 เดือน

“ทิศทางจีดีพีเติบโตเกิน 4% ปีหน้าจะช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยเติบโต ด้วยจำนวนซัพพลายที่คาดการณ์ 2.7 แสนหน่วย ยังไม่เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย”

บิ๊กอสังหาฯครองตลาด 72%

วงเสวนาหัวข้อ “อสังหาริมทรัพย์ พลังขับเคลื่อนประเทศ”  นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าธุรกิจอสังหาฯ ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนและร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทยหลายราย เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตตลาดอสังหาฯไทย

ปัจจัยการขยายตัวของอสังหาฯ มาจากการเติบโตจีดีพี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น เส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมทั้งบรรยากาศความน่าลงทุนของประเทศไทย

ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนอสังหาฯ ไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดอยู่ในมือของผู้ประกอบการรายใหญ่ สะท้อนได้จากส่วนแบ่งการตลาดอสังหาฯ ของผู้ประกอบการรายใหญ่ 11 ราย พบว่าปี 2555 ครองส่วนแบ่งการตลาด 53% ขณะที่ครึ่งปีแรก 2560 เพิ่มเป็น 72%

แนวโน้มผู้ประกอบการรายใหญ่ ครองตลาดอสังหาฯ มาจากสถาบันการเงินมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อเพื่อลงทุน มากกว่ารายเล็ก ดังนั้นการขับเคลื่อนการลงทุนตลาดอสังหาฯ หลังจากนี้ยังอยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่ต่อไป

“ทิศทางดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ จะแข็งแรงมากขึ้น เพราะได้สินเชื่อง่ายกว่ารายเล็ก”

สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย ในตลาดต่างจังหวัด เชื่อว่าบ้านเดี่ยว ที่เดิมซบเซาในช่วงที่ผ่านมา ยังมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ จากการขยายตัวของพื้นที่เมืองในต่างจังหวัด  ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ มาจากกลุ่มคอนโด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่ประกาศออกมาและเริ่มก่อสร้างในขณะนี้

แสนสิริมุ่งแบรนด์ระดับโลก

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่าทิศทางขยายตัวธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยสอดคล้องกับการเติบโตจีดีพี ซึ่งอยู่ระดับไม่สูงมาก ในขณะที่ แสนสิริวางเป้าหมายเติบโตสูงกว่าจีดีพีและภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาฯ จึงมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องและสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก พร้อมผลักดันให้ แสนสิริ ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลก

ทั้งนี้ เพื่อครองความเป็นผู้นำจึงนำเทคโนโลยีมาใช้กับธุรกิจอสังหาฯ ล่าสุดร่วมมือกับ 6 พันธมิตรแบรนด์ระดับโลก ลงทุน 2,800 ล้านบาท ในธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก

“เราขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาฯ และอาศัยพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาฯ ไปพร้อมๆ กัน และตอกย้ำการก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกของแสนสิริ”

ในปี 2561 แสนสิริสนใจลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีอีก 5-6 ประเภท เพื่อสร้างการเติบโต นอกจากนี้จะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่างประเทศไปพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศ 25% ปีหน้าวางเป้าหมายยอดขายที่อยู่อาศัยจากลูกค้าต่างประเทศ 12,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 8,000 ล้านบาท

ชูนวัตกรรมทำเลเจาะแนวราบ

นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตลาดอสังหาฯ มีการแข่งขันสูง ดังนั้นกลยุทธ์การเติบโตต้องมาจากการสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างจากคู่แข่ง  ที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้  จึงเลือกลงทุนธุรกิจแนวราบที่เป็นพื้นฐานของอสังหาฯ หลังจากนั้นจะขยายการลงทุนคอนโดต่อเนื่อง

ปัจจุบันต่างจังหวัด ยังเป็นตลาดอสังหาฯ ที่น่าสนใจในการลงทุนหลายทำเล จากปัจจัยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งเส้นทางรถไฟความเร็วสูง โครงการอีอีซี

กลยุทธ์การทำตลาดอสังหาฯ แนวราบที่ผ่านมา บริษัทจะวางโจทย์พัฒนาสินค้าให้เกินความคาดหวังของลูกค้า ทั้งด้านการพัฒนานวัตกรรมทาวน์เฮ้าส์  โดยเฉพาะ“ทำเล”ในเมืองและใกล้เมือง ซึ่งเป็นสำคัญในการตัดสินใจซื้อ พร้อมเสนอราคาจูงใจที่ระดับ 2 ล้านบาท  ด้วยฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์และแตกต่างจากตลาด เช่น ห้องพระ โฮมเธียร์เตอร์ ห้องซักล้าง ทำให้ที่ผ่านมาการเปิดตัวโปรเจคทาวน์เฮ้าส์ของบริษัทจึงได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด

http://www.bangkokbiznews.com


มั่นคงเคหะการดันธุรกิจบริหารโครงการโต 200%

มั่นคงเคหะการ รุกหนักธุรกิจบริหารโครงการ ตั้งเป้าปี61 “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” รายได้โตกว่า 200% รับบริหารเพิ่ม 8 โครงการ

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ  จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการเปิดตัว “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” บริษัทในเครือเพื่อดูแลธุรกิจงานบริการหลังการขาย และบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งของบริษัท และของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในปีที่ผ่านมา พบว่า “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” มีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่สร้างการเติบโตมาจากการที่ผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมาให้ความสนใจด้านการบริการหลังการขายมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณค่าของแบรนด์ต่อความรู้สึกของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ อาทิ การดูแลลูกบ้านในโครงการ การวางระบบการจัดการและการบริหารงานในโครงการทั้งก่อนและหลังการจัดตั้งนิติบุคคล เพื่อดูแลรักษาและจัดระเบียบโครงการให้ได้ตามมาตรฐานอยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ

ปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบการด้านธุรกิจบริหารโครงการจะเกิดขึ้นจำนวนมากในตลาด แต่ว่าบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และมาตรฐานการบริการ ตลอดจนการบริหารงานที่ได้มาตรฐานยังมีอยู่ไม่มากนัก และจากความต้องการผู้ให้บริการมืออาชีพในด้านนี้ ”ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์“ จึงได้พัฒนาทีมงานที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาชีพเฉพาะทาง และมีประสบการณ์ตรงมาให้บริการในทุกส่วนงาน ตลอดจนเปิดอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงานในด้านต่างๆ ที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรฐานการให้บริการ การดูแลลูกค้า การแก้ไขปัญหาและสนองตอบความต้องการของลูกค้า ตลอดจนการบริการด้านต่างๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง

ปัจจุบัน “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” ให้บริการโครงการรวม 15 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การพัฒนาของ บมจ. มั่นคงเคหะการ รวม 11 โครงการ และโครงการของผู้ประกอบการอื่นๆ รวม 4 โครงการ รวมพื้นที่บริหารทั้งสิ้น 567,305 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท

ในปี 2560 “ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์” คาดการณ์รายได้ไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าในปี 2561 จะมีรายได้เติบโตกว่า 200% หรือกว่า 40 ล้านบาท และจะขยายการรับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 8 โครงการ

“ปีหน้าจะเน้นนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกในการให้บริการลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาระบบการทำงาน การจัดการ การให้บริการ”

สำหรับภาพรวมธุรกิจบริหารโครงการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดธุรกิจบริหารโครงการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากอัตราการเปิดตัวของโครงการใหม่ยังคงมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านั้น ล้วนต้องการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารโครงการเข้ามาช่วยดูแลและให้บริการลูกบ้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสในการขายในครั้งต่อๆ ไป

ปัจจุบันเพียงแค่ปัจจัยด้านคุณภาพของสินค้าและราคายังไม่เพียงพอ เพราะลูกค้าหันมาให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขายมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจบริหารโครงการจึงถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ลูกบ้านของโครงการนั้นๆ ซึ่งเมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็คาดว่าธุรกิจบริหารโครงการก็จะเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน

http://www.bangkokbiznews.com


‘อีคอมเมิร์ซไทย’บูมหวั่นต่างชาติผูกขาด

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยบูม รัฐ-เอกชน เล็งประสานแบงก์ชาติ-สรรพากร ออกกฎหมายคุม “ทุนต่างชาติ” รุกไทยหนัก หวั่นผูกขาดตลาด ระบุ 3 ปี มูลค่าพุ่งแตะ 5.6 ล้านล้าน 

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นและเป็นช่องทางเพิ่มโอกาสเติบโตของธุรกิจที่สามารถสร้างยอดขายก้าวกระโดด อย่างไรก็ตามภายใต้การเติบโตอย่างก้าวกระโดด รัฐบาลในฐานะผู้สนับสนุนและกำกับดูแลจำเป็นต้องเข้ามาวางกรอบกติกาดูแลไปพร้อมๆ กัน

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยกลุ่มตลาดที่ซื้อขายแบบธุรกิจต่อผู้บริโภค (บีทูซี) ของไทยยังสูงเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน ที่มูลค่า 7 แสนล้านบาท  คาดว่าภายในสิ้นปี 2560 นี้  อีคอมเมิร์ซจะมีมูลค่าสูงถึง 2.8 ล้านล้านบาท

“ปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปี 2561 รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในระยะ 5 ปี (2560-2564)  จะเน้นการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกกระทรวง เป็นไปตามกลไกประชารัฐร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนและภาคประชาชน และแผนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระยะ 5 ปีเช่นเดียวกัน”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำควบคู่กันไปถือ การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนต่อการนำเทคโนโลยีที่รัฐบาลลงทุนไว้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต โดยได้มีการจัดงาน “ไทยแลนด์ อี-คอมเมิร์ซ วีค 2017 สร้างโอกาสออนไลน์ให้คนไทยทั้งประเทศ”  ระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย.ในคอนเซปต์  Online! Shall We Go … วิ่งให้ทันโอกาสเพราะตลาดอี-คอมเมิร์ซไม่รอใคร  ถือเป็นเวทีแห่งการสร้างอนาคตของอุตสาหกรรมทุกระดับที่ต้องการเปลี่ยนตัวเองสู่เจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หรือจากเจ้าของธุรกิจธรรมดาก้าวไปสู่ตลาดอา

เซียนและตลาดโลกต่อไป

 มูลค่าอีคอมเมิร์ซพุ่ง

จากตัวเลขของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ระบุว่า ภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2559 มีมูลค่าสูง 2.5 ล้านล้านบาท ขยายตัวจากปี 2558 ถึง 14.03%   ส่วนใหญ่เป็นอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจต่อธุรกิจ (บีทูบี) ประมาณ 154 ล้านล้านบาท คิดเป็น 60.24% ตามด้วยประเภทธุรกิจต่อผู้บริโภค (บีทูซี) 7.03 แสนล้านบาท หรือ 27.47% ส่วนที่เหลือราว 3.14 แสนล้านบาท หรือ 12.29% เป็นมูลค่าประเภทธุรกิจต่อภาครัฐ (บีทูจี) ส่วนมูลค่าแบบบีทูซีของประเทศไทย ในปี 2559 มีมูลค่า 7.03 แสนล้านบาท ถือเป็นมูลค่าสูงสุดในอาเซียน และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต

คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ปี 2560 จะมีมูลค่ารวม 2.8 ล้านล้านบาท เติบโต 9.86% จากปี 2559 และใน 3 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2563 มูลค่าจะเพิ่มขึ้น “เท่าตัว” คิดเป็น 5.6 ล้านล้านบาท

สำหรับมูลค่าขายส่วนใหญ่ยังเป็นอีคอมเมิร์ซประเภทบีทูบี  1.67 ล้านล้านบาท (59.56%) เพิ่มขึ้น 8.63%  ประเภทบีทูซี  8.12 แสนล้านบาท (37.91%) เพิ่มขึ้น 15.54% และประเภทบีทูจี  3.24 แสนล้านบาท  (11.55%) เพิ่มขึ้น 3.24%

“ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยมีแนวโน้มและศักยภาพในการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต เพราะพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงและมีการใช้งานเพิ่มขึ้น”

เร่งสร้างแพลตฟอร์มหลังบ้าน

นางสุรางคนา วายุภาพ ผู้อำนวย สพธอ. กล่าวว่า สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบอีคอมเมิร์ซไทย ทั้งที่เป็นนิติบุคคล หรือผู้ประกอบการรายย่อย คือ การพัฒนาศักยภาพด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจ ความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย รองรับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอีคอมเมิร์ซของประเทศ รวมถึงเพื่อดำเนินการผลักดันภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

“เราต้องให้ความสำคัญกับการทำอีคอมเมิร์ซคนไทยอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทางด้านอีคอมเมิร์ซที่จะช่วยบริหารจัดการระบบหลังบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงรูปแบบหน้าตาที่ทันสมัย ผู้ให้บริการรับชำระเงินที่จะทำให้การรับชำระเงินทำได้สะดวกสบายและง่ายมากยิ่งขึ้น ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าที่มีบริการตอบสนองความต้องการในการจัดส่งหลายหลากรูปแบบ”

เตือนทุนต่างชาติผูกขาด

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า โอกาสของอีคอมเมิร์ซในไทยมองได้หลายมิติ  ในระยะสั้น และระยะกลาง การที่ไทยมีผู้ประกอบการจากต่างชาติเข้ามาลงทุนทำตลาดหลายราย  ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะช่วยสร้างบรรยากาศให้ไปในทิศทางเดียวกัน เกิดการแข่งขันด้านราคา การบริการ สุดท้ายผลประโยชน์จะตกไปยังผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดีจะสร้างตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตได้

แต่ในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า  ผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาย่อมต้องการผลกำไรกลับประเทศ ดังนั้น การโหมเข้ามาลงทุนของต่างชาติในช่วง 1-2 ปีแรกจะสร้างประโยชน์ให้แก่ตลาดไทย แต่ในระยะยาวต้องพิจารณาว่า ไทยมีกฎหมายที่ทันสมัยเพียงพอในการเก็บภาษีผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซต่างชาติ หรือมีกฎหมายเฉพาะข้อใดบ้างที่ไม่ทำให้เกิดการผูกขาดตลาดในอนาคต เหมือนในสหรัฐเกิดการผูกขาดจากอะเมซอน และหลายประเทศในอาเซียนกำลังถูกอาลีบาบาเข้ามาครองตลาดเพียงรายเดียว

“ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซของไทย ซึ่งอาจจะเป็นเอสเอ็มอี หรือที่เรียกว่า โลคัล มาร์เก็ต เพลส กำลังถูกท้าทายจากทุนต่างชาติอย่างหนัก แม้ว่าตอนนี้จะได้แรงบวกเข้ามากระตุ้นตลาด สร้างความน่าเชื่อให้ผู้บริโภค แต่ในอนาคตยังไม่มีใครตอบได้ว่า ผู้ประกอบการไทยจะอยู่รอดได้หรือไม่”

สิ่งที่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยต้องเร่งพัฒนา คือ  การสร้างแพลตฟอร์มรูปแบบการขาย รู้จักลูกค้าของตัวเอง เข้าใจถึงความต้องการเฉพาะทาง และความหลากหลายของผู้บริโภค ผู้ซื้อที่เป็นคนไทย สินค้าที่นำมาขายผ่านช่องทางดิจิทัลต้องมีลักษณะเฉพาะตัวเพื่อสร้างความแตกต่าง

หนุนเอสเอ็มอีไทยเข้าระบบ

นางแพตริเชีย มงคลวนิช รองอธิบดี กรมสรรพากร กล่าวว่า ปัญหาด้านโครงสร้างการเสียภาษีของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ทุนต่างชาติเข้ามาและช่วงชิงความได้เปรียบจากผู้ค้าในประเทศไทย ถือเป็นปัญหาทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย

“ปัญหาสำคัญของไทย ยังขาดข้อกฎหมายรองรับ กรมสรรพากรพยายามผลักดันหรือดึงทุกคนให้เข้าสู่ระบบเพื่อสร้างบรรทัดฐานเดียวกัน ผู้เล่นทุกรายต้องอยู่บนกติกาเดียว (Fair Game) ให้ได้ จึงขอให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยเข้าสู่ระบบโครงสร้างภาษี เพราะหากยังเป็นผู้ประกอบการรายย่อยเมื่อคำนวณรายได้แต่ละปีอาจไม่ต้องเสียภาษี หากจะต้องเสียก็นำรายได้มาลดหย่อนภาษีได้อีก”

ในอนาคตหากธุรกิจของผู้ประกอบสามารถขยายสู่ตลาดต่างประเทศได้ ความโปร่งใสด้านภาษีจะเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำธุรกิจต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้หากมีการจัดโครงสร้างและทำรายงานการเสียภาษีรายรับ-รายจ่ายที่ดี ถือเป็นการการันตีบริษัทได้ระดับหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือในการเข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศนั้นๆ

เติบโตควบคู่ออฟไลน์ 

นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มไทยเบฟต้องการเติบโตไปพร้อมกับคู่ค้ารายย่อยที่อยู่ทั่วประเทศ ซึ่งการนำดิจิทัลมาใช้ประโยชน์จำเป็นต้องเน้นการเข้าถึงคู่ค้าและลูกค้าที่เป็นอีคอมเมิร์ซด้วย

นางสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเสริม ในประเด็นการชำระเงินออนไลน์ (ดิจิทัล เพย์เมนท์) ว่า หลังจากที่ธปท.ได้สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พร้อมเพย์ แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมา ธปท.ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อสร้างความปลอดภัยในการใช้ข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

http://www.bangkokbiznews.com


ปชช.28.4%มองเศรษฐกิจไทยไม่ดีขึ้น และ45%ไม่ไปช้อปช่วยชาติ

โพลล์ชี้ประชาชน28.4%มองเศรษฐกิจไทยไม่ดีขึ้น และ45%ไม่ไปช้อปช่วยชาติ เพราะมีรายจ่ายประจำเดือนอยู่แล้ว คิดว่าไม่ได้เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ช้อปช่วยชาติ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20 – 21 พฤศจิกายน 2560 จากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยปัจจุบันและมาตรการลดหย่อนภาษีในการซื้อสินค้าและบริการ หรือ “ช้อปช่วยชาติ”การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างด้วยความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0 และมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error: S.E.) ไม่เกิน ร้อยละ1.4

 จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยปัจจุบันว่าดีขึ้นหรือยัง เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว (พ.ศ. 2559) พบว่า ประชาชน ร้อยละ 1.76 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก ร้อยละ 24.96 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยค่อนข้างดีขึ้น ร้อยละ 19.36 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีขึ้น ร้อยละ 28.40 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยไม่ดีขึ้นเลย ร้อยละ 19.68 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยแย่กว่าปีที่แล้ว ร้อยละ 4.32 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยเหมือนเดิมไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว และร้อยละ 1.52 ไม่ระบุ / ไม่แน่ใจ / เฉย ๆ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีในการซื้อสินค้าและบริการ หรือ “ช้อปช่วยชาติ” โดยให้นำรายจ่าย จากการซื้อสินค้าและบริการในช่วงวันที่ 11 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2560 มาหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 15,000 บาทพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 30.64 ระบุว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสม เพราะจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 2560 รองลงมา ร้อยละ 26.08 ระบุว่า เป็นมาตรการที่ใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่มั่นคง ไม่มั่งคั่ง และไม่ยั่งยืน ร้อยละ 15.76 ระบุว่า เป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพราะคนที่ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น ร้อยละ 15.36 ระบุว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสม เพราะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ร้อยละ 9.44 ระบุว่า ไม่สนใจ ร้อยละ 7.44 ระบุว่า เป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพราะจะไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร ร้อยละ 7.12 ระบุว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสม เพราะเป็นการกระตุ้นให้ร้านค้าที่ไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มอยาก เข้าสู่ระบบในอนาคต ร้อยละ 6.88 ระบุว่า เป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือผู้ค้ารายใหญ่เท่านั้น ส่วนผู้ประกอบการรายย่อย ที่ไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น สินค้าชุมชน จะไม่ได้รับประโยชน์ ร้อยละ 1.76 เป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม เพราะไม่ต่างอะไรจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ร้อยละ 0.80 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีรายสูง ขณะที่บางส่วนระบุว่า อยากให้เพิ่มวงเงินส่วนที่นำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเพิ่มระยะเวลาในการช้อปช่วยชาติให้มากกว่านี้

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงการไปช้อปช่วยชาติพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.36 ระบุว่า ไม่ไป เพราะมีรายจ่ายประจำเดือนอยู่แล้ว คิดว่าไม่มีความสำคัญเท่าไหร่ คิดว่าไม่ได้เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น รายได้กับรายจ่ายไม่สมดุล ลดหย่อนภาษีได้ไม่มากพอ ไม่ได้เกิดผลอะไรเท่าที่ควร ระยะเวลาช้อปช่วยชาติน้อยเกินไป เป็นมาตรการที่ทำให้ประชาชนเกิดกิเลสกับสินค้าที่ลดราคาในช่วงนั้น ไม่มีเวลาว่าง ไม่มีเงินไปซื้อ ไม่ได้อยู่ในคุณสมบัติที่ต้องจ่ายภาษี ห่างไกลจากบ้านมาก ไม่สะดวก ส่วนใหญ่ซื้อของในหมู่บ้านมากกว่า รองลงมา ร้อยละ 41.12 ระบุว่า ไป เพราะ ต้องไปใช้สิทธิของตนเอง เป็นสิ่งของที่จำเป็นต้องซื้ออยู่แล้ว และได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย เป็นโครงการที่ช่วยชาติดีมากจะได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น สินค้าราคาถูก มีการลดราคาสินค้าช่วยลดภาษีได้เยอะ และร้อยละ 13.52 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 9.04 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 25.36 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 17.68 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.68 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 14.24 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 50.32 เป็นเพศชาย ร้อยละ 49.52 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.16 เป็นเพศทางเลือก

ตัวอย่าง ร้อยละ 7.04 มีอายุไม่เกิน 25 ปี ร้อยละ 18.32 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 23.68 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 32.32 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 15.76 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และร้อยละ 2.88 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่างร้อยละ 90.40 ระบุว่า นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.92 ระบุว่า นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.96 ระบุว่า นับถือศาสนาคริสต์/ฮินดู/ซิกข์/ยิว/ไม่นับถือศาสนาใด ๆ และร้อยละ 4.72 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 25.76 ระบุว่าสถานภาพโสด ร้อยละ 63.76 สมรสแล้ว ร้อยละ 5.44 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 5.04 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส

ตัวอย่างร้อยละ 28.56 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.20 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.56 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.92 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 5.04 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่า และร้อยละ 6.72 ไม่ระบุการศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 10.72 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.88 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.12 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 17.04 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.36 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 14.16 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 1.92 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.16 เป็นพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 6.64 ไม่ระบุอาชีพ ตัวอย่างร้อยละ 11.84 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 26.16 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 22.88 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 11.68 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 5.20 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 บาท ร้อยละ 7.28 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า มากกว่า 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 14.96 ไม่ระบุรายได้

http://www.bangkokbiznews.com


เปิดกล่องส่องเทรนด์สีแต่งบ้าน ที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะมาแรงในปี 2018เทรนด์สีแต่งบ้าน 2018

 ผู้เชี่ยวชาญเผยแนวโน้มเทรนด์สีแต่งบ้านที่คาดว่าจะมาแรงปี 2018 ผ่าน 3 คียเวิร์ดสำคัญ ได้แก่ ความสัมพันธ์ การเชื่อมโยง และความจริงใจ
          Sherwin-Williams บริษัทดีไซน์และผู้เชี่ยวชาญเรื่องสี ได้เผยถึงแนวโน้มเทรนด์สีแต่งบ้าน ที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2018 ผ่านเว็บไซต์ www.sherwin-williams.com ให้คนรักการแต่งบ้านได้เตรียมตัวกันตั้งแต่กลางปีแบบนี้เลย ผ่าน 3 คีย์เวิร์ดสำคัญ ได้แก่ ความสัมพันธ์ (Affinity), การเชื่อมโยง (Connectivity) และความจริงใจ (Sincerity)
เทรนด์สีแต่งบ้าน 2018
1. ความสัมพันธ์ (Affinity)
          Affinity คือเทรนด์สีที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสถานที่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีสีหลัก ๆ อย่าง สีฟ้าสดใส สีม่วงอมแดง และสีน้ำตาลเข้มที่สามารถแตกเฉดออกเป็นสีชมพูและสีฟ้าได้ โทนสีในลักษณะนี้เปรียบเสมือนการนำสิ่งต่าง ๆ มาผสมผสานรวมให้เกิดจุดศูนย์รวมใหม่ที่ไม่จำกัดรูปแบบ เหมาะกับการนำมาตกแต่งพื้นที่ส่วนรวมอย่างห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ของบ้าน
เทรนด์สีแต่งบ้าน 2018
2. การเชื่อมโยง (Connectivity)
          Connectivity คือ แนวโน้มเทรนด์สีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการก้าวล้ำของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ไปสู่รูปแบบในอุดมคติ มีความเป็นงดงามในแบบโมเดิร์นที่ควบคู่ไปกับความสนุกสนานและขี้เล่น อย่างเช่น สีส้มสว่าง สีน้ำเงินเข้ม สีเขียวเรืองแสง สีเหลืองสว่าง สีเหลืองตุ่น สีม่วงอมแดง หรือแม้กระทั่งการนำสีดำมาผสมสีน้ำเงินให้เกิดเป็นโทนสีธรรมชาติที่สมดุล หรือจะนำมาตกแต่งบ้างจุดในบ้านให้ดูตัดกัน อย่างเช่น ทาเตาผิงไฟด้วยสีเขียวเรืองแสงให้ตัดกับเทาเนื้อไม้และสีเทาได้อย่างลงตัว
เทรนด์สีแต่งบ้าน
3. ความจริงใจ (Sincerity)
          Sincerity คือเทรนด์สีที่เกือบจะเข้ามาแทนที่โทนสีสไตล์มินิมอล แต่ยังคงความเรียบง่ายเอาไว้ ตระหนักถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสติและสร้างสิ่งรอบข้างให้มีชีวิตชีวา โดยเน้นใช้สีโทนอ่อน อย่างเช่น แต่งบ้านด้วยสีเขียวและสีชมพูอ่อนเพื่อให้เกิดความลงตัว เทรนด์นี้เป็นเฉดสีกลาง ๆ ที่ไม่สว่างและไม่มืดจนเกินไป มีการใช้สีน้ำตาลเนื้อทราย สีเทาอ่อน และสีเขียวอ่อนเข้ามาตัดให้ดูดีไปอีกแบบ หรือจะใช้โทนสีออแกนิคเข้ามาประยุกต์ด้วยก็ได้ค่ะ
https://home.kapook.com

ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 27/11/2560​

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,900.00 20,000.0
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,289.00 19,541.24 20,500.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,160.10 17,587.12 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 580.00 8,792.80 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 451.00 6,837.16 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,336.00 20,253.76 n/a

ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  27/11/2560

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.25 28.25 27.65 28.25 27.65
28.25
28.25
28.25
28.25
แก๊สโซฮอล E-20
25.74
25.74
25.74
25.14
25.74
25.74
25.74
25.74
25.74
แก๊สโซฮอล E-85 20.84 20.84 20.84 20.84
แก๊สโซฮอล 91 27.98 27.98 27.98 27.38 27.98 27.38 27.98 27.98 27.98 27.98
เบนซิน 95 35.36 35.81 35.86 35.36 35.36 35.36
ดีเซลหมุนเร็ว 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79 26.79
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 29.79 30.47 30.47 30.47 30.47
มีผลตั้งแต่ 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00 23 Nov 05:00

 

 

 

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า